ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รวมฟิคสั้น Avengers, Thor, Sherlock, Maze Runner [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #1 : Shot Fic Thor x Loki : I can’t imagine my life without you.

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.02K
      45
      4 ธ.ค. 56



     

    Shot Fic Thor x Loki :

    I can’t imagine my life without you.



     

     

    สามทุ่มสิบห้านาที ปารีส.


    ท่ามกลางแสงไฟและผู้คนที่พลุกพล่านของมหานครปารีส เด็กชายคนหนึ่งกำลังเดินทอดน่องไปเรื่อยเปื่อยราวกับไม่มีจุดหมาย ฮู้ดสีเขียวถูกเจ้าตัวยกขึ้นสวมทับหัว คลุมเส้นผมสีดำขลับเอาไว้จนมิด และเพราะขนาดของฮู้ดที่ดูจะใหญ่เกินตัวเล็กน้อยมันถึงได้ตกลงมาจนเกือบจะปิดดวงตาสีมรกตอยู่รอมร่อ


    สำหรับผู้พบเห็นแล้ว การที่มีเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ออกมาเดินในเมืองคนเดียวดึกๆ ดี่นๆ โดยที่ไม่มีผู้ปกครองมาด้วยแบบนี้มันอาจจะดูเป็นเรื่องแปลกไปซักหน่อย


    แต่ทำไงได้ ก็เขาไม่อยากอยู่บ้านนี่


    ความคิดที่ทำให้เด็กชายต้องเม้มริมฝีปากจนแทบจะเป็นเส้นตรง ดวงตาสีเขียวหันมองผู้คนรอบๆ ตัว มองแสงไฟ มองรถบนถนน มองหอไอเฟลที่ตั้งอยู่ไกลๆ ก่อนจะถอนใจน้อยๆ แล้วเลือกที่จะเดินทอดน่องต่อไป


    เดินต่อไปอย่างไม่มีจุดหมาย ไม่รู้ว่าตัวเองต้องไปที่ไหน


    เด็กน้อยรู้แค่ว่าเขาไม่อยากอยู่บ้าน ไม่อยากเข้านอน เพราะทุกคืนที่ทิ้งตัวลงบนเตียงความฝันบ้าๆ กับความรู้สึกโหยหาประหลาดก็มักจะเข้ามาจู่โจมเขาเสมอ มันไม่สนุกเลยซักนิดที่จะต้องฝันเห็นการเข่นฆ่าในทุกๆ คืน มันไม่สนุกเลยซักนิดที่ต้องฝันเห็นตัวเองร้องไห้ฟูมฟาย พยายามที่จะไขว่คว้าแผ่นหลังของใครบางคนที่กำลังเดินห่างออกไปเรื่อยๆ แบบนั้น


    มันไม่สนุกเลยซักนิด


    แค่คิดถึงน้ำตาก็รื้นขึ้นมาในดวงตาสีมรกต ความรู้สึกโหยหาบางอย่างเอ่อท้นขึ้นมาจนแม้แต่ตัวเองยังต้องแปลกใจ ไม่รู้ว่ามันคืออะไร ไม่รู้ว่ามันมาจากไหน เด็กชายรู้เพียงแต่ว่าอยากจะหนีความรู้สึกนี้ไปให้ไกล


    ไม่เอาแล้ว ไม่อยากร้องไห้แล้ว ทรมานเหลือเกิน


    เสียงสะอื้นแผ่วเบาดังลอดลำคอ เด็กชายตัวน้อยได้แต่ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น น้ำตามากมายไหลออกมาอย่างที่เจ้าตัวควบคุมไม่ได้ ไหล่เล็กสะท้านเพราะแรงสะอื้น ก่อนที่ร่างทั้งร่างจะชะงักงันเมื่อได้ยินเสียงร้องเรียกที่ดังแผ่วเบา


    “โลกิ”


    โลกิ?...


    เสียงแผ่วเบาที่ดังขึ้นราวกับกำลังร้องเรียกหาใครซักคนอยู่ เสียงที่ทำให้เด็กชายต้องหยุดร้องไห้ ก่อนจะหันซ้ายหันขวาเพื่อมองหาต้นเสียงนั้นแต่สิ่งที่พบก็กลับมีแค่สายตาประหลาดใจของคนรอบข้างที่มองมายังเขา ไม่มีวี่แววของเจ้าของเสียงเรียกประหลาดนั้นเลยซักนิด


    “โลกิ


    เสียงเรียกดังขึ้นอีกครั้ง ดูเหมือนว่านอกจากตัวเขาแล้วก็ไม่มีใครที่ได้ยินเสียงนี้เลยซักคน ผู้คนรอบตัวยังเดินขวักไขว่ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ยังคงดำเนินไปตามปกติอย่างที่มันควรจะเป็น


    แล้วเสียงนั่นมันมาจากไหน?...


    ความคิดที่ทำให้เด็กชายเริ่มจะรู้สึกกลัวขึ้นมาเป็นครั้งแรก แต่ก่อนที่จะตัดสินใจหันหลังเพื่อจะเดินกลับบ้าน ขาสองข้างก็ต้องชะงักอีกครั้งเมื่อเสียงๆ เดิมดังขึ้นอีกรอบ


    “โลกิ!


    มันไม่ใช่ชื่อเขา!


    แต่ทำไมเขาถึงได้รู้สึกว่าเสียงบ้าๆ นั่นกำลังร้องเรียกหาเขาอยู่?!


    ทำไมถึงรู้สึกคุ้นกับน้ำเสียงทุ้มนุ่มนั้น ทำไมถึงรู้สึกว่าโหยหามัน?...


    “โลกิ”


    เสียงเรียกสุดท้ายที่ทำให้เด็กชายที่ไม่ใช่แม้แต่เจ้าของชื่อนั้นต้องออกวิ่ง ขาเล็กๆ วิ่งไปตามสัญชาตญาณ ดวงตาสีเขียวก็กวาดมองหาเจ้าของเสียงเรียกอย่างหวังว่าจะพบใครซักคน


    ใครซักคนที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าเป็นใคร


    ใครซักคนที่เขาคิดถึง


    คิดถึงเหลือกเกิน


    ขาเล็กๆ สองข้างพาเจ้าของวิ่งมาจนถึงซอยแคบๆ แห่งหนึ่ง รอบกายเงียบงัน แทบจะมืดสนิท ถ้าไม่มีแสงจากรถราที่วิ่งอยู่บนถนนเส้นหลักส่องมาบ้างเป็นครั้งคราว ที่นี่ก็คงจะมืดจนมองไม่เห็นอะไรเลย


    เด็กชายมองไปรอบๆ ตัว อย่างหวังว่าจะได้พบกับใครหรืออะไรซักอย่าง ความเงียบยังคงเป็นสิ่งเดียวที่พบก่อนร่างเล็กๆ นั้นจะสะดุ้งเฮือกเมื่อมีมือใหญ่ๆ มาวางลงบนบ่า


    เด็กน้อยสะดุ้งด้วยความตกใจ สะบัดตัวให้หลุดจากมือนั้นแล้วหันขวับกลับไปมองเจ้าของมือที่ยืนอยู่ด้านหลัง ดวงตาสีเขียวเบิกกว้างเมื่อพบกับร่างสูงใหญ่ของบุรุษผมทอง เกราะโลหะสะท้อนกับแสงไฟของรถยนต์ที่วิ่งอยู่ไกลๆ ผ้าคลุมสีแดงบนบ่า และรองเท้ารูปร่างแปลกตาที่ดูจะล้ำแฟชั่นมากเกินไปถึงแม้ว่าจะอยู่ในมหานครแห่งแฟชั่นแบบนี้ก็ตาม


    เด็กชายได้แต่อ้าปากค้างกับภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า บอกไม่ถูกว่ารู้สึกกลัว รู้สึกขำ หรือรู้สึกยังไงอยู่กันแน่ ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะตะลึงจนสมองคิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ


    “โลกิ


    เสียงเรียกที่ทำให้เด็กชายได้สติขึ้นมาอีกครั้ง


    เสียงเสียงเดียวกับที่เขาวิ่งตามหาเมื่อกี้


    เสียงทุ้มนุ่มที่มาพร้อมกับรอยยิ้มกว้างและประกายอ่อนโยนในดวงตาสีฟ้าคู่นั้น


    “ผมไม่ได้ชื่อโลกิ”


    “เจ้าคือโลกิ”


    “เอ่อคือผมว่าคุณคงกำลังเข้าใจผิดอยู่” ถึงแม้จะพูดออกไปแบบนั้น แต่ดวงที่ฉายประกายสับสนก็ยังคงสบมองกับดวงตาสีฟ้าคู่ตรงหน้าอยู่อย่างนั้น คนเป็นผู้ใหญ่ค่อยๆ เดินเข้ามาชิด ให้เด็กชายต้องก้าวถอยหลังอย่างหวาดระแวง แต่ขาสองข้างก็ต้องหยุดก้าวเมื่อมือใหญ่เอื้อมมาจับที่บ่าอีกครั้ง


    สัมผัสอบอุ่นจากมือใหญ่แผ่ซ่านราวกับกำลังปลอบประโลมให้ความรู้สึกหวาดกลัวค่อยๆ จางหายไป ชายแปลกหน้านั่งคุกเข่าลงตรงหน้าของเด็กน้อยเพื่อให้ความสูงอยู่ในระดับเดียวกัน ก่อนจะระบายยิ้มกว้างขึ้นอีกนิดแล้วเอื้อมมือออกไปปลดฮู้ดที่คลุมเส้นผมสีดำขลับนั้นลง


    ดวงตาคู่สีฟ้าจ้องเข้าไปในดวงตาสีเขียวมรกตนั้น ก่อนจะเอ่ยคำพูดแผ่วเบา


    “เจ้าคือโลกิของข้า


    คำพูดเบาแสนเบาแต่กลับดังชัดเจน


    ชัดเจนจนแม้แต่คนฟังเองยังเผลอเชื่อในประโยคบอกเล่านั้น


    “ผม



    “ผมไม่ใช่” แม้ปากจะยังคงเอ่ยคำปฏิเสธ แต่น้ำตากลับไหลออกมาอย่างที่แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่เข้าใจ ส่วนที่อยู่ลึกที่สุดของจิตใต้สำนึกกำลังกรีดร้องราวกับเจ็บปวดอยู่ ความเศร้าที่ไม่รู้ที่มากำลังถาโถมให้ร่างเล็กๆ นั้นต้องสะอื้นไห้ออกมาอย่างไม่มีทางเลือก


    ทำไม?...


    มันเกิดอะไรขึ้น?


    คนตรงหน้านี่เป็นใคร แล้วทำไมเขาต้องรู้สึกเศร้ามากมายขนาดนี้ด้วย?...


    “เจ้าคือโลกิ” คำพูดย้ำที่ไม่ได้สร้างความเข้าใจให้คนฟังเลยซักนิด ก่อนที่คนพูดจะเอื้อมมือเช็ดน้ำตาให้เด็กน้อยเบาๆ แล้วส่งยิ้มอ่อนโยนให้อีกครั้ง “เจ้าคือโลกิ เจ้าชายแห่งแอสการ์ด น้องชายของข้า”


    “น้องชายของคุณ?...


    “ใช่ น้องชายแห่งธอร์”


    “ธอร์?”


    “ใช่ ข้าชื่อธอร์ เป็นพี่ชายคนเดียวของเจ้า และข้าก็มารับเจ้ากลับบ้าน” เด็กชายได้แต่มองคนพูดอยู่อย่างนั้น ไม่แน่ใจว่าตัวเองควรจะวิ่งหนี ควรจะแจ้งตำรวจ แจ้งโรงพยาบาลบ้า หรืออะไรทำนองนั้นรึเปล่า แต่ทั้งๆ ที่ควรจะทำแบบนั้น แต่อะไรบางอย่างมันก็ดึงรั้งเขาไว้ไม่ให้หันหลังวิ่งหนีไปอย่างที่ควรจะทำ


    อาจจะเป็นเพราะเขายังหยุดร้องไห้ไม่ได้


    แล้วทำไมเขาต้องร้องไห้ด้วยล่ะ?


    ความคิดที่ยิ่งคิดก็ยิ่งสับสน ให้คนตรงหน้าที่นั่งมองอยู่ต้องหลุดหัวเราะขำ การหัวเราะที่ทำให้เด็กชายผู้ไม่ชอบถูกใครหัวเราะเยาะต้องยกมือขึ้นปาดน้ำตาทิ้งแล้วจ้องเขม่งอย่างเอาเรื่อง


    “ผมคิดว่าคุณควรจะไปพบจิตแพทย์”


    “ไม่เอาน่าโลกิ เจ้าก็รู้ว่าข้าพูดความจริง”



    “หรือเจ้าจะปฏิเสธว่าไม่เคยฝันถึงข้าเลย?” คำถามที่ทำให้เด็กน้อยชะงักงัน เด็กชายเม้มริมฝีปากแน่น ความรู้สึกสับสนเข้าจู่โจมอีกครั้งก่อนจะเอ่ยคำพูดอย่างที่บอกว่าหมดความอดทน


    “ก็ถ้ามันเป็นอย่างที่คุณพูดจริงๆ ถ้าไอ้ฝันบ้าๆ นั่นเป็นเรื่องจริง ทำไมผมถึงจำอะไรไม่ได้เลยซักอย่าง?!



    “ทำไมผมต้องมาทนฝันเห็นอะไรบ้าๆ นั่นทุกคืน ทำไมต้องทนร้องไห้กับความรู้สึกว่ากำลังจะถูกทิ้งเอาไว้ข้างหลัง ทำไมต้องรู้สึกเหมือนกับกำลังโหยหาอะไรบางอย่างทั้งๆ ที่ผมเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร?!



    “ถ้าโลกิเป็นชื่อของผมจริงๆ ทำไมผมถึงได้จำอะไรไม่ได้ซักอย่าง?...


    ทำไมผมต้องฝันเห็นแต่แผ่นหลังของคุณ?


    ราวกับระเบิดที่ถูกถอดสลักออก คำถามมากมายถูกตะโกนถามออกมาราวกับต้องการที่จะระบายทุกสิ่งทุกอย่าง แม้ว่าจะยังคงสับสน ยังคงหวาดระแวง แม้จะยังคงสะอื้นไห้ แม้ว่าคำถามสุดท้ายจะไม่ได้ถูกพูดออกไปก็ตาม


    “ผมไม่รู้ว่าแอสการ์ดคืออะไร ผมไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร”



    “แต่ถ้าความฝันพวกนั้นมันคือความทรงจำของผม



    “ถ้ามันคือความจริง ได้โปรด คืนมันมาให้ผมได้มั๊ย?” ดวงตาสีเขียวของเด็กน้อยยังคงรื้นไปด้วยหยาดน้ำใสเมื่อเอ่ยคำพูดประโยคนั้น ให้คนมองรู้สึกราวกับมีใครซักคนเอามีดมากรีดลงที่อก


    มันคงจะหนักเกินไปสำหรับเด็กตัวแค่นี้


    นี่พี่ทำร้ายเจ้ามากมายขนาดนี้เลยหรือโลกิ?


    มือใหญ่ยื่นออกไปเช็ดน้ำตาออกจากดวงตาคู่นั้น รอยยิ้มอ่อนโยนยังคงไม่จางหายไปจากใบหน้า ก่อนที่มือข้างนั้นจะเปลี่ยนไปปิดดวงตาสีเขียวของเด็กน้อยเอาไว้ ไอเวทย์บางเบาถูกส่งผ่านฝ่ามืออบอุ่น ภาพความทรงจำต่างๆ ค่อยๆ ไหลเข้าสู่การรับรู้ของผู้ที่เคยลืม


    ภาพที่เคยวิ่งเล่นกันตอนเด็กๆ


    ภาพที่ถูกท่านพ่อลงโทษเพราะเล่นซนจนก่อเรื่องวุ่นวาย


    ภาพกองหนังสือมากมายที่เคยอ่าน


    ภาพของขวัญที่พี่ชายเคยให้


    ภาพรอยยิ้มของท่านแม่


    ภาพงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของเจ้าชายแห่งแอสการ์ด


    ภาพชายหนุ่มสองคนที่ยืนเคียงคู่กัน ยิ้มและหัวเราะไปด้วยกัน


    ภาพของพี่ในวันแรกที่ได้รับค้อนมาถือไว้ในมือ


    แล้วภาพทั้งหมดก็ถูกกระชากกลับ ก่อนทุกอย่างก็กลายเป็นสีดำราวกับหนังที่ถูกตัดจบ


    มือใหญ่ค่อยๆ ผละออกจากดวงตาคู่สีเขียว ให้เด็กชายได้ลืมตาขึ้นช้าๆ เพื่อมองหน้าของคนที่โหยหายิ่งกว่าสิ่งใด


    “ธอร์


    เสียงเล็กๆ เอ่ยเป็นคำเรียก ให้ผู้ที่ถูกเรียกต้องคว้าตัวเจ้าของเสียงนั้นเข้ามากอด อ้อมแขนแข็งแรงกอดกระชับร่างเล็กๆ นั้นไว้กับอกราวกับกลัวว่าจะหายไปไหน ใบหน้าที่ไม่เคยแสดงความอ่อนแอให้ใครเห็นบัดนี้ซบลงกับไหล่ของน้องชายที่กำลังสะอื้นไห้


    “กลับบ้านนะโลกิ”



    “พี่มารับเจ้ากลับบ้าน


     



    End or TBC?...

     

     

    ***********************************************************************

     

    สวัสดีค่า ( . . ) *โค้งคำนับ

    แนะนำตัวกันก่อนดีกว่าเนอะ :)

     

    ไอวิชเป็นไรเตอร์หน้าใหม่ (สำหรับฟิคธอร์กิ) ค่ะ

    ปกติไม่เคยเขียนฟิคคู่นี้เลย และก็ห่างหายจากการเขียนฟิคทุกๆ คู่ ไปนานมากกกกกก (เติมก.ไก่เข้าไปอีกล้านตัว)

    พอกลับมาเขียนฟิคอีกรอบ มันก็เลยรู้สึกเหมือนเริ่มต้นเขียนฟิคครั้งแรกอีกครั้งเลยแฮะ ^^

     

    แรงบันดาลใจของฟิคเรื่องนี้มาจากตอนที่โลกิตายแล้วธอร์ทนคิดถึงน้องไม่ไหว(?) เลยให้น้องไปเกิดเป็นมนุษย์ค่ะ

    โลกิน้อยเลยเกิดเป็นเด็กมนุษย์ธรรมดาๆ ที่จำอดีตไม่ได้เลย

    ไอวิชก็เลยนึกครึ้มอกครึ้มใจอยากเห็นพี่ธอร์เป็นโชตะค่อนขึ้นมา เลยเขียนฟิคมันซะเลย ฮ่าๆๆๆๆๆ


    และเพราะว่าเป็นครั้งแรกที่เขียนฟิคคู่นี้ ภาษาที่ใช้เลยอาจจะแปลกๆ ไปบ้าง

    หมายถึง อาจจะแปลกสำหรับคู่นี้ (เอ๊ะ! ยังไง?)

    แต่ภาษาฟิคของไอวิชก็มักจะเป็นแบบนี้แล ให้เปลี่ยนแนวก็คงจะยาก TT^TT

    ถ้าอ่านแล้วไม่อิน หรือรู้สึกว่ามันไม่เข้ากับคู่ หรือไม่สมู้ทประการใด ก็ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ TT.TT

     

    ขอบคุณที่หลงเข้ามาอ่าน และ พบกันใหม่เรื่องหน้า (ถ้าได้พบกัน) ค่ะ

    ไอวิชรักคนอ่านเน้อ ^^

     

    ปล.ถึงคนอ่านที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี (ที่อาจจะหลงเข้ามาอ่าน) ไอวิชกลับมาแล้วนะคะ และ ไอวิชจะกลับมาค่ะ :)

    ในหลายๆ ความหมายอ่ะนะ ฮ่าๆ :p

     





     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×