ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    FIC EXO SCHOOL HORROR [END]

    ลำดับตอนที่ #9 : SCHOOL : CHAPTER7

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 7.12K
      25
      1 ก.ค. 56

     

    CHAPTER7

     

    เมื่อลู่หานแปะผ้าก๊อตให้เซฮุนเสร็จก็ถือเป็นอันจบการปฐมพยาบาล

    ร่างสูงขอตัวไปล้างคราบน้ำมันและแอลกอฮอล์ออกก่อนจะเดินออกมาหน้าห้องที่พวกผมยืนรออยู่ก่อนแล้ว

    “รอนานไหมฮะ” เซฮุนจงใจถามผมคนเดียวโดยทำเป็นเมินลู่หานที่อยู่ข้างๆ ผมส่ายหน้ากลับไป

    ไม่ได้อยากจะยุ่งเรื่องคนอื่นสักเท่าไรนักหรอก แต่ดูเหมือนสองคนนี้จะทำตัวแปลกๆต่อกัน

     

    เราสามคนเดินขึ้นบันไดไปชั้นหกเพื่อไปสบทบกับพวกชานยอล ผมนึกห่วงแบคฮยอนขึ้นมา

    โดนคนมือหนักๆอย่างเฮียคริสเข้าไปจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ แต่ยังดีที่มีชานยอลคอยดูแล

    ผมก็เพิ่งจะรู้ว่าร่างสูงไม่ได้เลวร้ายซักเท่าไร อย่างน้อยเขาก็ไม่เห็นแก่ตัวทิ้งเพื่อนแบบเฮียคริส

    ถึงแม้บางทีจะไม่ค่อยชอบขี้หน้าผมก็เถอะ

     

    พวกเราได้ไม่พูดอะไรกันเลยระหว่างเดินขึ้นบันไดไป อาจเป็นเพราะสองคนนั้นยังมองหน้ากันไม่ค่อยติด

    รวมถึงผมที่ไม่รู้จะพูดอะไร ผมยังไม่พร้อมจะพูดกับใครตอนนี้ และบรรยากาศน่าอึดอัดแบบนี้ก็ทำให้ผม

    หวนคิดเรื่องชั้นแปดตลอด ตอนนี้ผมสับสน ความกลัวและอะไรบางอย่างในหัวสมองมันตีกันไปหมด

    เพราะอะไรน่ะเหรอเพราะข้อความที่ถูกเขียนด้วยเลือดนั้น

    นี่เป็นเหตุผลหลักที่ผมไม่สามารถบอกเรื่องนี้กับใครได้ ผมกำลังหักหลังเพื่อนตัวเอง

     

    “ว่าไง เจอเซฮุนไหม” คยองซูวิ่งมาถามผมเสียงลนเมื่อเห็นผมขึ้นบันไดมาถึงคนแรก

    ผมไม่ตอบ เพียงแต่เบี่ยงตัวไปทางซ้ายเพื่อแหวกทางให้คยองซูเห็นเซฮุนที่อยู่ข้างหลังผม

    “เซฮุน” ร่างบางโผเข้ากอดเซฮุนแน่นด้วยความเป็นห่วง แต่ก็ไม่วายหันมากล่าวขอบคุณผม

    “ขอบคุณนายมากนะไคที่ช่วยน้องฉัน”

    “ไม่ต้องขอบคุณหรอก คนที่นายจะต้องขอบคุณควรเป็นลู่หานมากกว่า” ผมบุ้ยปากไปทางลู่หาน

    ร่างบางเชิดหน้าไม่สนใจและจูงมือน้องชายแสนรักกลับเข้ากลุ่ม

    หันไปมองลู่หานที่ยังทำหน้าเบื่อโลกไม่แพ้กัน ผมตบบ่าเขาเบาๆก่อนจะเดินตามไปบ้าง

     

    ผมกวาดสายตามองหาแบคฮยอนก็พบว่ายังมีแฟนร่างสูงอย่างชานยอลคอยดูแลอยู่ตลอด

    สภาพร่างกายยังคงบอบช้ำหลายที่ ตอนนี้เศษกระจกถูกเอาออกหมดแล้ว
    เหลือแต่รอยแผลที่กรีดกรายเป็นแนวยาวตามเนื้อตัว เลือดยังไหลประปรายบ้างเล็กน้อย

    ดูเหมือนเจ้าตัวจะหมดสติไปตั้งแต่ถูกเหวี่ยง ขณะนี้ก็ยังไม่ฟื้นจนชานยอลขมวดคิ้วแน่น

     

    ทันทีที่ละจากร่างบางมาได้ก็หันมาสนใจพวกผมที่เพิ่งเดินเข้าแทน

    “ซูโฮ?” เมื่อไม่เห็นร่างเล็กที่ไปกับผมด้วยก็ถามถึงตามประสาเพื่อน

    ผมกับลู่หานได้แต่มองหน้ากันเลิกลั่ก จะให้บอกว่ายังไงดีล่ะ

    “ว่าไง?” ร่างสูงขมวดคิ้วปมจนคนอื่นๆเริ่มสงสัยด้วย

    “ซูโฮไม่รอดเหรอ” เป็นคยองซูที่โพลงขึ้นมาหน้าตาย คาดเดาได้ถูกเผง

    “พูดงั้นได้ไงคยองซู เขาอาจจะ

    “คยองซูพูดถูก เขาไม่ไหวแล้ว”

    …..” ชานยอลเงียบ หันไปมองคนอื่นก็มีสีหน้าไม่สู้ดีเช่นกัน

    ทั้งหมดเลือกที่จะไม่ถามอะไรมากกว่านี้ ไม่มีใครอยากรู้สาเหตุอะไรทั้งนั้น

     

    “โอย..” เสียงจากข้างหลังทำให้พวกเราหันไปมองเป็นตาเดียว

    เฮียคริสที่เพิ่งฟื้นสติร้องโอดโอยด้วยความเจ็บ มือก็กุมหัวแน่นจนของเหลวสีแดงติดมือออกมา

    ร่างสูงยิ่งตกใจเข้าไปใหญ่ “นี่มันอะไรวะเนี่ยยยย!” “เลือด!

    “ก็เลือดอะดิ เลือดชั่วๆบนหัวมึงนี่แหละ” ชานยอลตะโกนข้ามหัวผม เฮียคริสได้แต่ขบฟันแน่นไม่กล้าโต้ตอบอะไร
    ทำได้แค่เดินมาหยุดอยู่ข้างลู่หานที่ตอนนี้เป็นอดีตเพื่อนกลุ่มเดียวกัน

     

    ผมนั่งชันกำแพงเฉยๆไม่คุยกับใคร เหม่อมองออกไปสุดทางเดินที่มีไฟกระพริบติดๆดับๆตามห้อง

    “เพื่อนก็ไปทีละคนๆ เราจะทำยังไงกันดี” มินซอกเบ้หน้าเหมือนจะร้องไห้

    เป็นหน้าที่ของลู่หานที่ต้องเดินเข้าไปปลอบ และเป็นอีกครั้งที่เซฮุนเบือนหน้าหนี

    “ฉันว่ามีทางเดียวแล้วแหละ” ชานยอลว่าก่อนจะหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง

    ร่างสูงกดมือถืออย่างรวดเร็วเพื่อต่อสายทันทีโดยไม่ฟังเสียงค้านของคยองซู

    “ฮัลโหล พ่อครับ ตอนนี้ผมติดอยู่ที่โรงเรียน มาช่วยผมด้วยครับ โรงเรียนนี้มันมีผี!

    ชานยอลเปิดรับโพงให้ดังทั่วกันพร้อมกับพูดรัวโดยไม่รอให้ปลายสายพูดก่อน

    ฮัลโหล? ชานยอลหรอลูก ทำไมยังไม่กลับบ้านอีก แล้วนี่เสียงอะไร ทำไมพ่อไม่ได้ยินเสียงลูก

    ….” พวกเรามองหน้ากันงงๆเมื่อผู้เป็นพ่อสื่อสารไม่เข้าใจ

    “พ่อครับ ได้ยินผมไหม!” ร่างสูงตะโกนกรอกโทรศัพท์

    นั่นใครน่ะ ทำไมใช้เบอร์ลูกผมโทรมา แล้วทำไมไม่ยอมพูด?

    ชานยอลหน้าตึง ก็เมื่อกี้เขาพูดไปแล้วนี่ ทำไมยังไม่ได้ยิน

    “พ่อ!

    เสียงซ่าอะไรเนี่ย แล้วชานยอลอยู่ไหน ฮัลโหลๆ

    “พ่อ!

     

    ติ๊ด

     

    หน้าจอดับไปเฉยๆโดยที่ไม่มีใครกดปุ่มอะไร ชานยอลทำยังไงก็ไม่ติด

    “แม่งเป็นอะไรอีกวะ” ร่างสูงเคาะมือถือแรงๆสองสามทีด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะจบด้วยการขว้างทิ้ง

     

    “ทำไมพ่อไม่ได้ยินเสียงฉัน”

    “ไม่รู้สิ มือถือนายไม่ดีหรือเปล่า”

    ผมก้มมองไอโฟนที่แตกกระจายไม่เหลือชิ้นดี

    ทุกชิ้นส่วนของมันหลุดออกมาหมดจนเหลือแค่กรอบหน้าจอร้าวๆ

     

    ‘rrrrrrrrr

     

    …..!!

    ‘rrrrrrrrr

     

    ทันใดนั้นเสียงริงโทนจากมือถือก็ดังขึ้น แต่ที่ทุกคนตกใจไม่ใช่เพราะเสียงเพลงของมัน

    แต่เพราะมันดังมาจากไอโฟนของชานยอลที่แตกกระจายแล้วต่างหาก

     

    หน้าจอขึ้นเบอร์ 1313131313

     

    ชานยอลกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ค่อยๆยื่นมืออันสั่นเทาหยิบเศษหน้าจอนั่นขึ้นมา

    ผมเหลือบมองซิมและแบตที่กระจายอยู่ข้างๆแล้วก็ต้องเสียวสันหลังวาบ

     

    “ฮ..ฮัลโหล” ร่างสูงกรอกเสียงลงไป พวกเราค่อยๆก้าวออกห่างโดยอัติโนมัติ

    ‘….’ ไม่มีเสียงตอบกลับมา

    “ฮัลโหล” ร่างสูงกรอกเสียงลงไปอีก คราวนี้ดังกว่าเดิม

     

    หืม…~ หืม ~…หือออ~’

     

    !!!!” 

     

    “เหี้ยแม่ง ชัดเลย!”  “ตัดสายดิวะ!” เฮียคริสตะคอกใส่ชานยอลที่ยังถือไอโฟนทำตัวไม่ถูกอยู่อย่างนั้น

     

    หืม…~ หืม ~…หือออ~’

     

    เพลงยังดังเข้ามาในสายเรื่อยๆจนชานยอลหลับตาปี๋ทำทียื่นไอโฟนในมือไปทางคนอื่นๆ

     

    “อย่าเอามาทางกูนะเว้ย!” เฮียคริสผลักมือร่างสูงไปไกลๆด้วยความกลัว

     

    “ตัดสายดิวะ!

    “ไม่ได้ กูทำไม่ได้” ชานยอลพร่ำเหมือนคนบ้า มือก็ลนลานถืออยู่อย่างนั้น

    ผมเห็นอย่างนั้นจึงสะบัดมือร่างสูงแรงๆจนไอโฟนกระเด็นหลุดมือ

     

    เพล้งง!

     

    …….

     

    “แฮ่กๆ ก็แค่เนี่ย” เฮียคริสหอบหายใจ เหมือนเพิ่งพ้นภัยมายังไงยังงั้น

     

    ‘rrrrrrrrr

    ‘rrrrrrrrr

    ‘rrrrrrrrr

    ‘rrrrrrrrr

    ‘rrrrrrrrr

    ‘rrrrrrrrr

    ‘rrrrrrrrr

    ‘rrrrrrrrr

     

    !!!

     

    เสียงริงโทนของทุกคนดังขึ้นพร้อมกัน รวมถึงไอโฟนของชานยอลที่ตกอยู่บนพื้นด้วย

     

    “อย่ารับนะทุกคน!” ลู่หานตะโกนลั่น คว้ามือถือตัวเองออกมาดูพบว่าเป็นเบอร์เดียวกับที่โทรมาหาชานยอล

    “ทำไงดี”

    “โยนมันลงไป!

    ผมวิ่งตรงไปที่ช่องกระจกที่แบคฮยอนเกือบตกลงไปก่อนจะขว้างโทรศัพท์ลงไปชั้นล่างโดยไม่เสียดายสักนิด

    คนอื่นๆเห็นดังนั้นก็ขว้างลงไปบ้างเว้นเสียแต่เฮียคริสที่ถือค้างอยู่อย่างนั้น

    “แล้ว..แล้วฉันจะโทรหาคนมาช่วยยังไงล่ะ”

    “ไม่ต้องโทรแล้ว อยากตายหรือไง โยนลงไปสิวะ!

    ชานยอลชิงมือถือในมือร่างสูงมาขว้างเองอย่างรวดเร็วจนได้ยินเสียงกระทบกันอย่างแรงจากพื้นข้างล่าง

     

    ‘rrrrrrrrr

     

    ….”  พวกเรามองหน้ากันหวาดๆเมื่อเสียงริงโทนของใครสักคนยังคงดังอยู่แถวนี้

    “มีใครยังไม่โยนลงไปอีก?” ผมถามออกไป ทุกคนเงียบนั่นแปลว่าโยนลงไปหมดแล้ว

     

    “แบคฮยอน!” ชานยอลนึกได้ก็รีบวิ่งเข้าไปหาตัวเล็กที่ถูกลืมไปชั่วขณะอยู่หน้าลิฟท์

    กระเป๋ากางเกงสั่นเครือบ่งบอกว่าเจ้าของเสียงริงโทนคือมือถือของแบคฮยอนนั่นเอง

    ร่างสูงหยิบเครื่องมือสื่อสารของแบคฮยอนออกมาเพื่อเตรียมจะขว้างทิ้งแต่ก็ต้องชะงัก

    เพราะเครื่องมันดับไปเองเสียเฉยๆ ชานยอลเลยเก็บเข้ากระเป๋าตามเดิม

     

    “อยู่ไม่ได้ละ รีบไปชั้นอื่นเหอะ” คยองซูสะกิดชานยอลยิกๆให้หันมาสนใจตัวเอง

    “แต่แบคฮยอนยังไม่ฟื้น”

    “นายแบกไปก็ได้นิ” ร่างบางยังรบเร้าต่อแต่ชานยอลก็ยืนกรานว่าจะไม่ไปไหน

     

    “ฉันถามจริงๆเหอะ เราจะหนีกันไปเพื่ออะไร”

    ….” ชานยอลมองหน้าเพื่อนทีละคนเหมือนต้องการคำตอบ

    “คิดว่าจะหนีมันพ้นเหรอ” ร่างสูงตีหน้าเครียด

    “ก็หาเพชรที่ถูกขโมยไปคืนมันที่ห้องสมุดซะสิ” คยองซูพูดเสียงเรียบ

     

    “แล้วเพชรนั่นมันไปอยู่ที่ใครล่ะ!

    ….”  ทุกคนเงียบรวมถึงคยองซูด้วยเมื่อชานยอลตะคอกใส่

    มันก็จริง ผมนึกย้อนกลับไปเมื่อตอนเย็น ต้นเหตุเรื่องสยองขวัญทั้งหมดนี่ก็เพราะมีคนขโมยเพชรไป

    แต่จนป่านนี้หายไปทีละคนๆจนเหลือแค่แปดคน เราก็ยังหาคนขโมยเพชรไม่ได้ทั้งๆที่มันมีอยู่กันแค่นี้

    มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ ใช่ แปลก  ผมคิดค้านตั้งแต่คยองซูเล่าให้ผมฟังตั้งแต่แรกแล้ว

    “ถ้าสุดท้ายความจริงแล้วไม่มีใครขโมยเพชรไปล่ะ แล้วถ้ามีคนขโมยไปจริงๆทำไมมันต้องตามฆ่าพวกเราทั้งหมดด้วย”

     

    บ้าไปกันใหญ่แล้ว นี่มันตลกร้ายชัดๆ!

     

    “แล้วความจริงทั้งหมดมันคืออะไรกันแน่ คยองซู” 

    ชานยอลเน้นประโยคไปทางคยองซูเสียงดังฟังชัดจนร่างบางสะดุ้ง

    “หะ..แล้วทำไมต้องมาถามฉันด้วยล่ะ!” คนตัวเล็กหน้าซีดพลางก้าวถอยทีละก้าว

    “นายมีอะไรปิดบังเราอยู่หรือเปล่า!” ร่างสูงบีบแขนคยองซูแน่นจนร้องโอดโอยด้วยความเจ็บ

     

    ผมมองสองคนนี้อย่างไม่เข้าใจ นี่มันอะไรกัน ชานยอลคิดอะไรอยู่กันแน่

    ทำไมถึงหันมาสงสัยกันเองแบบนี้ แววตาที่โกรธเคืองนั้นพยายามจะคาดคั้นเอาคำตอบให้ได้

    “ฉันไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้นนะ เรื่องเมื่อห้าปีที่แล้วฉันก็เล่าให้พวกนายฟังไปตั้งนานแล้วนี่”

    คยองซูตะคอกกลับไปบ้างพลางสะบัดแขนให้หลุดจากการเกาะกุม ผมและคนอื่นเพียงแต่ยืนดูนิ่งๆ

     

    “หึ ถ้าอย่างนั้นก็บอกมาสิว่านายไปรู้เรื่องเมื่อห้าปีที่แล้วมาจากไหน”

    ….” ร่างบางสะอึก

    “ใครเป็นคนบอกนายว่ามีเพชรอยู่ในห้องสมุด”

    “ใครเป็นคนบอกนายว่ามันตามฆ่าหมดทุกคนโดยไม่เหลือ”

    “ใครเป็นคนบอกนายว่าสุดท้ายเพชรมันกลับไปอยู่ที่เดิมในวันรุ่งขึ้น”

    “มีแต่นายเท่านั้นแหละที่เอาเรื่องนี้มาเล่าให้เราฟังตอนพวกเราเข้าโรงเรียนมาใหม่ๆ”

    “มีแต่นายที่คอยเตือนให้พวกเราไม่เข้าไปยุ่งบนชั้นแปด”

    “แล้วนายเคยเห็นเพชรที่ว่านี้หรือเปล่า”

     

    “ค...คือ” คยองซูนิ่งงันราวกับไม่มีอะไรจะพูด ร่างบางถูกชานยอลต้อนจนหลังชิดติดกำแพงโดยไม่รู้ตัว

     

    “พวกเราจะเชื่อนายได้ยังไงว่าเรื่องสยองขวัญนี้มันเกิดขึ้นเพราะเพชรจริงๆ”

     

     

     

     

    พรึ่บ!

     

    ทันใดนั้นไฟทั้งชั้นที่เคยติดๆดับๆกลับกลายเป็นดับสนิท

    ความมืดครอบคลุมไปรอบๆ เกิดเสียงเคลื่อนไหวบางอย่างใกล้ตัวผม

    ผมรีบควานหาคนอื่นๆให้เข้ามาอยู่ด้วยกันให้อุ่นใจแต่ก็ทำได้แค่คว้าแขนใครบางคนมาเกาะไว้

    เป็นแขนป้อมๆของมินซอกที่อยู่ข้างผม มินซอกก็ไม่ได้ว่าอะไร

    กลับยิ่งเข้ามาใกล้ผมมากขึ้นด้วยซ้ำเพราะความกลัว

    กลิ่นสาปที่คุ้นจมูกโชยคลุ้งอยู่ใกล้ๆ บางทีผมก็ได้กลิ่นคาวเหมือนเลือด

    ผมรู้สึกถึงสัมผัสอะไรบางอย่างจากข้างหลัง มันเบาหวิวและสากเหมือน..เส้นผม

     

    “พวกนาย” ผมพูดเสียงแผ่วหวังให้เพื่อนๆตอบรับกลับมา แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไร

    พยายามเพ่งมองในความมืดก็ไม่เห็นแม้แต่มือของตัวเอง

     

    !!!

     

    ขนลุกขึ้นมาเฉยๆ สัญชาติญาณมันบอกว่าให้หนีไปจากตรงนี้

     

    ฉับพลันผมได้ยินเสียงเคลื่อนไหวแปลกๆจากข้างหลัง ความรู้สึกมันสั่งให้ผมเอี่ยวตัวหนีอย่างรวดเร็ว

    การกระทำไปไว้กว่าความคิด ผมเบี่ยงตัวหลบอะไรสักอย่างที่จิตใต้สำนึกมันสัมผัสได้

     

    “โอ้ยย!

     

    ทันทีที่ผมเบี่ยงตัวก็รู้สึกเจ็บแปลบที่แขนข้างขวา มันเหมือนเป็นของมีคมอะไรสักอย่างที่เฉียดตัวผมไป

    เสียงร้องนั้นผมจำได้ดี มันเป็นเสียงของเฮียคริสที่น่าจะยืนอยู่ตรงข้ามผมตอนนี้

     

    ตุบ!

    “ช..ช่วยด้วย”

     

    เสียงร้องในตอนนี้ไม่ใช่เสียงของเฮียคริส แต่เป็นคนข้างๆผมที่ตอนนี้ได้หลุดจากการเกาะกุมจากผมไปแล้ว

    ตามมาด้วยเสียงลากอะไรบางอย่างที่ไกลออกไป ผมควานหามินซอกไปทั่วแต่ก็ไม่พบ

     

    ความมืดมันทำให้ทุกอย่างดูน่าระแวงไปหมด ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ใครอยู่ตรงไหนบ้าง

    มันเหมือนผมอยู่ตัวคนเดียวท่ามกลางความมืด มินซอกที่เคยเกาะแขนกับผมก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

    ผมสับสนและมึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อกี้ผมจำได้ว่ามีอะไรคลอเคลียอยู่ข้างหลัง
    แล้วก็รู้สึกถึงของมีคมที่บาดแขนขวาผมนิดหน่อย ตามด้วยเสียงร้องโอดโอยของฮียคริสและมินซอกที่ร้องให้ช่วย

     

    มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

     

     

     

    พรึบ!

     

    ไฟติดขึ้นอีกครั้ง ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่สลัวๆแต่ก็สามารถทำให้ผมมองเห็นได้ทุกอย่าง

    ภาพแรกที่ผมเห็นคือเฮียคริสกุมท้องด้วยความเจ็บ หน้าท้องของเขามีมีดปักคาอยู่

    ผมมองภาพนั้นอย่างตะลึง คิดๆดูแล้วจากตำแหน่งที่ร่างสูงโดนมีดปักมันตรงกับกลางหลังผมเต็มๆ

    ถ้าตอนนั้นผมเอี่ยวตัวหลบไม่ทัน คนที่โดนแทงก็คงจะเป็นผม..ไม่ใช่เฮียคริส

     

    ละจากภาพน่ากลัวนั้นมาได้ผมก็กวาดสายตามองเพื่อนๆ ทุกอย่างดูเป็นปกติ ยกเว้นแต่มินซอกที่หายไป

     

    กับรอยเลือดตามบันได

     

    “มินซอก!” ลู่หานตะโกนลั่น ยิ่งมองตามรอยเลือดนั้นหน้าก็ยิ่งซีด หวังว่าคงจะไม่ใช่เลือดของเขาหรอกนะ

    “ฉันจะไปตามเขา” ร่างสูงวิ่งตามรอยเลือดไปทันทีโดยไม่ฟังเสียงค้านของทุกคน

     

    ผมรีบวิ่งเข้าไปดูอาการเฮียคริสพลางดึงมีดออกให้ เลือดไหลทะลักออกมาไม่หยุด

    เหตุการณ์นี้ทำให้ผมนึกถึงอี้ชิง เขาดูเหมือนร่างสูงตอนนี้เลย แล้วเฮียคริสจะเป็นแบบอี้ชิงไหมนะ

    “อดทนไว้นะเฮีย” ผมพูดให้ร่างสูงใจเย็น แต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้ผล

    เฮียคริสพยายามจะพูดอะไรออกมาแต่ก็ทำไม่ได้ ใบหน้าที่ซีดเซียว เนื้อตัวที่เย็นเฉียบ

    ร่างสูงละมือหนาจากหน้าท้องมาเกาะแขนผมแน่น เลือดที่ติดมือมาด้วยในตอนนี้ก็เปรอะแขนผมเช่นกัน

    “ช่วยด้วย” เป็นคำแรกที่เฮียคริสเปล่งออกมาได้ ผมได้แต่กระสับกระส่ายอยู่อย่างนั้น

    จะให้ทำยังไงล่ะ พาเขาไปห้องพยาบาลอย่างนั้นเหรอ แล้วใครจะทำแผล?

     

    “นายดูแลแบคฮยอนกับคริสไว้นะ ฉันจะไปตามลู่หานกับมินซอก”

    ชานยอลลากคยองซูลงบันไดไปตามรอยเลือด เซฮุนเห็นดังนั้นจึงวิ่งตามลงไปบ้าง

    ปล่อยให้ผมอยู่กับคนเจ็บทั้งสอง

     

     

    --SCHOOL HORROR—

     

    ลู่หานวิ่งตามรอยเลือดด้วยใจที่ร้อนรน

    ขอแค่ตามหามินซอกให้เจอ แค่นั้น..

     

    อีกครั้งที่เขาปล่อยให้คนรักต้องตกอยู่ในอันตราย

    อีกครั้งที่เขาประมาทและไม่ระวังตัว

     

    ถ้าเขาคอยเกาะมินซอกไว้ตอนนั้น ร่างบางก็คงไม่หายไปไหน

     

    ลู่หานพาร่างตัวเองมาหยุดที่หน้าห้องเรียนห้องหนึ่ง รอยเลือดพาเขามาที่นี่ แล้วมาหยุดอยู่ตรงนี้

    เขาวิ่งเข้าไปในห้องโดยไม่ลังเล และก็ได้พบกับคนที่รักพร้อมกับมีดในมือ

     

    ใช่ เขาจำมีดนั้นได้แม่น มันเป็นด้ามเดียวกันที่ผีสาวถือในห้องนั้น

     

    “มินซอก นายจะทำอะไร”

    ร่างสูงสาวเท้าหมายจะเข้าไปหาคนรักที่อยู่ริมห้องแต่ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงร้องห้าม

     

    “อย่าเข้ามานะลู่หาน!” มินซอกพูดเสียงสั่นเทาจนมีดในมือสั่นไปด้วย

     

    “ทำไม

     

    “ฉันบอกว่าอย่าเข้ามาไง ฮืออ” ร่างบางร้องไห้ออกมากะทันหันจนเขาใจเสีย

    “มีอะไร ทำไมไม่ให้ฉันเขาใกล้นาย”

     

     

    “เพราะฉันกำลังจะฆ่านาย!

     

    !!!

     

    คำพูดของคนรักทำให้เขาแทบล้มทั้งยืน มันเกิดอะไรขึ้น

    “นายหนีไปซะ ฉันจะบังคับมันเอง” มินซอกตะโกนใส่ร่างสูงข้ามห้อง

    “นายหมายถึงอะไร? นายจะบังคับอะไร?”

    “ฉันไม่เป็นตัวของตัวเอง นายเข้าใจไหม!”  “เพราะฉะนั้นหนีไปซะ ก่อนที่มือของฉันจะถูกบังคับให้แทงนาย”

     

    “ไม่ ฉันไม่หนี ฉันจะช่วยนาย” ลู่หานวิ่งเข้ามาประชิดตัวคนรักและยื้อแย่งมีดจากมือ

    มินซอกส่ายหน้ารัวก่อนจะผลักร่างสูงให้ออกไป “ฉันบอกให้หนีไปไง!

     

    “ไม่!” ลู่หานยืนกรานอยู่อย่างนั้น

     

    “ฉันจะบังคับมันไม่ไหวแล้วนะ”

     

    มินซอกพยายามจะวิ่งหนีออกไปจากห้องเพื่อให้ไปไกลจากลู่หาน

    แต่ร่างสูงกลับกอดเขาไว้แน่น “ขอร้องล่ะ นายทิ้งมีดซะ”

     

    “ไม่ ฉันทำไม่ได้ ฉันบังคับมือไม่ได้”

     

    ฉึก!

     

    “ลู่หาน!” ร่างบางร้องเสียงหลงเมื่อมือของตัวเองพุ่งเข้าไปแทงแขนร่างสูง

    “ฉ..ฉันไม่เป็นไร นายต้องทิ้งมีดซะ” ลู่หานกัดฟันแน่น ข่มความเจ็บปวดไม่ให้แสดงอาการออกมา

     

    “ฉันทำไม่ได้ ฮืออออ”

     

    “นายต้องทำได้ นายบังคับมันได้ เชื่อฉันนะ”

    ลู่หานกระชับอ้อมกอดให้แน่นยิ่งขึ้นในขณะที่มินซอกพยายามจะผลักเขาออกไป

    ร่างสูงกดหน้าผากของตัวเองให้แตะกับหน้าผากมนของมินซอกพลางกระซิบเสียงแผ่ว

    “ฉันรักนายนะ เราต้องรอด เข้าใจไหม เราต้องรอด”

    ร่างบางหลับตา เม้มปากแน่น พยายามบังคับใจตัวเองเพื่อสู้กับแรงที่มือข้างขวา

     

    มืออันสั่นเทากำมีดแน่นและเลื่อนเข้ามาจ่อท้ายทอยของร่างสูง แต่ลู่หานก็ไม่มีท่าทีว่าจะขยับหนีไปไหน

     

    เขาเชื่อใจมินซอก เขาเชื่อว่ามินซอกต้องบังคับมันได้

     

    “มไม่ไหว ฉันทำไม่ได้ลู่หาน”

    ร่างบางสะอื้นหนักหน่วงเมื่อรู้ตัวว่ามีดในมือของตนเองได้เลื่อนไปจ่อเข้าที่คอหอยลู่หานซะแล้ว

     

    “ทำได้ นายทำได้” ร่างสูงพูดกรอกหูคนรักให้รู้สึกตัว

     

    !!!!

     

    ฉึก!




    TBC

     

    THE★ FARRY
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×