ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    FIC EXO SCHOOL HORROR [END]

    ลำดับตอนที่ #23 : SCHOOL : CHAPTER19

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 6.71K
      15
      25 ก.ย. 56

    Chapter19 

     

    สิ้นประโยคที่ดังกึกก้องนั้น ผมรีบวิ่งออกมาอย่างรวดเร็ว ไม่มีทางที่นามิจะยอมเล่าเรื่องของตัวเองให้ฟังแบบเฉยๆแน่ บรรยากาศแบบนั้นผมรู้ดี นามิกำลังจะทำอะไรบางอย่าง ในขณะที่ผมหันหลังให้ห้องนั้นแล้ววิ่งลงไปข้างล่าง ระหว่างทางผมไม่ได้หันหลังกลับไปมองเลยสักนิด ได้ยินเพียงแต่เสียงที่ตามมาหลอกหลอนในหัว 

    'เธอมันตัวประหลาด!' 

     

    ประโยคแรกดังก้องเข้ามาในหัวของผม เห็นผู้หญิงหน้าตาสะสวยยืนล้อมวงอยู่กับเพื่อนอีกหลายคน สายตาเธอเต็มไปด้วยความชิงชังถูกส่งไปให้บุคคลที่อยู่ในวงล้อมนั้น  

     

    'ฉันไม่ใช่ตัวประหลาดนะ!' 

    'ทำไมจะไม่ใช่ ก็เธอทำตัวไม่ปกติเหมือนคนอื่นๆ' 

     

    เสียงชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ภาพเหตุการณ์ฉายเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ขาทั้งสองข้างหยุดวิ่งและล้มลงนั่งกุมหัวตัวเองแทน พยายามลบภาพและเสียงพวกนั้นออกจากหัวแต่มันยิ่งดังขึ้นๆ  

     

    'ครอบครัวเธอน่ะ เลี้ยงผีไว้ใช่มั้ยล่ะ ฉันแอบเห็นด้วยว่าวันนั้นเธอพึมพำอะไรไม่รู้ออกมาคนเดียว แล้วอาจารย์ยุนอาก็กรี๊ดออกมาดังลั่นเลย' 

    'ฉันไม่ได้ทำนะ มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด!' 

    'อย่ามาโกหกหน่อยเลย เธอโกรธที่อาจารย์ฉีกสมุดการบ้านเธอ เธอเลยท่องคาถาบ้าๆใส่เขา!' 

    'ไม่ใช่!' 

     

    พวกผู้หญิงที่ยืนล้อมอยู่นั้นกร่นด่าคนที่ยืนอยู่ตรงกลางวง ก่อนหนึ่งในนั้นจะผลักเธอจนล้มลงไปที่พื้น 

    'แล้วยังมีอีกนะที่บ่งบอกได้ว่าเธอเป็นตัวประหลาด...' 

    'เธอสั่งให้ผีที่บ้านเธอมาฆ่ายองมินด้วย ฉันเห็นเขาตายตาเหลือกเลย' 

    'ไม่ใช่ซะหน่อย ยองมินตายเองต่างหาก ฉันยังไม่ได้ทำอะไร...' 

     

    'อย่ามาพูดเลยไอตัวประหลาด พ่อแม่ก็ไม่มี แถมยังทำตัวพิลึกอีก' 

    'จัดการมันเลย!' 

     

    สิ้นเสียงนั้นทุกคนที่ยืนล้อมวงไว้ก็เข้ามารุมทึ้งหัวหญิงสาวทันที ทั้งตบทั้งตีราวกับเป็นแค่ของเล่นไว้ระบายเท่านั้น เธอพยายามป้องกันตัวแต่ก็สู้แรงพวกนั้นไม่ได้ จนท้ายที่สุดก็หมดสภาพ เนื้อตัวช้ำ มีเลือดไหลตรงมุมปากและหัวคิ้ว  

    หญิงสาวค่อยๆพยุงตัวเองลุกขึ้นยืนและมองพวกนั้นอย่างอาฆาต  

    'ฉันไม่ปล่อยพวกแกไว้แน่' หากแต่คนถูกคาดโทษได้แต่หัวเราะขบขันและผลักหัวหญิงสาว 

    'ทำไม จะทำอะไรพวกฉันหะ? จะเล่นของใส่หรือไง?' พูดเสร็จก็แลบลิ้นใส่และแยกย้ายกันไปที่อื่น ปล่อยให้เธอยืนปาดน้ำตาหยดแล้วหยดเล่า ก่อนจะหันไปมองข้างๆตัวเองที่มีแต่ความว่างเปล่า 

    'ฉันเริ่มจะทนไม่ไหวแล้วล่ะ สักวันพวกนั้นต้องโดนลงโทษ' 

    เสียงเบาหวิวราวกับพูดคนเดียว แต่ในความคิดหญิงสาวเธอไม่ได้พูดคนเดียว เธอพูดกับใครบางคนที่ยืนอยู่ข้างๆเธอต่างหาก..เพียงแค่มองไม่เห็นเขาเท่านั้น 

     

    "พอ...พอได้แล้ว" ผมกุมขมับตัวเองพลางเดินวนไปรอบๆอย่างบ้าคลั่ง ไม่มีวิธีไหนเลยที่จะปิดกั้นเรื่องราวเหล่านั้นที่กำลังไหลเข้ามาในหัวเรื่อยๆ ผมไม่ได้อยากรู้มันสักนิด เรื่องราวในอดีตของนามิ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนที่โดนทำร้ายร่างกายก็คือเธอนั่นเอง ดูเหมือนว่าเธอจะไม่เหมือนคนปกติทั่วไป รูปร่างสูงโย่ง ใบหน้าซูบผอมและดวงตากลมโต ออกจะโปนๆหน่อย หากแต่ผิวกลับขาวซีดราวกับมีโรคประจำตัวอย่างนั้น ไม่อยากยอมรับเลยว่าถ้าหากผมอยู่ในเหตุการณ์นั้นผมก็คงว่าเธอประหลาดเหมือนกัน ทั้งรูปร่างหน้าตาและนิสัย 

    ภาพฉายเข้ามาเรื่อยๆ ผมเห็นเหตุการณ์เป็นบางส่วนก่อนจะตัดไปอีกฉาก เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ผมเห็นว่าวันๆนามิไม่ทำอะไรเลยนอกจากอ่านหนังสือและพูดคนเดียว..เอ่อ หมายถึงพูดกับใครอีกคนที่มองไม่เห็นน่ะ ที่เห็นบ่อยที่สุดก็คือเธอถูกเพื่อนรุมแกล้งและทำร้ายบ่อยมาก เธอมักจะมีแววตาที่โกรธแค้นราวกับเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น เธอชอบท่องบทสวดอะไรบางอย่างอยู่คนเดียว เพื่อนๆและคนรอบตัวมักหาว่าเธอบ้าหรือเป็นพวกเล่นไสยศาสตร์หรือเล่นของ เธอไม่มีเพื่อน..ไม่มีเลยสักคน ไม่มีแม้แต่พ่อแม่  

     

    'นี่พวกเธอ แม่ฉันให้ตุ๊กตาเป็นของขวัญวันเกิดด้วยแหละ สวยมั้ย' ผู้หญิงคนหนึ่งหยิบตุ๊กตายัดนุ่นรูปคนออกมาจากกระเป๋าและอวดเพื่อนๆของเธอ แต่นามิที่เผอิญมาเห็นเข้าก็รีบปรี่เข้ามากระชากตุ๊กตานั้นไป 

    'ทำอะไรของเธอน่ะนามิ เอาคืนฉันมานะ!' 

    'ตุ๊กตาตัวนี้มันมีผีสิงอยู่ ฉันจะฆ่ามัน!' ไม่พูดเปล่า เธอหยิบมีดที่พกติดตัวมาทุกวันออกมาจากประเป๋าแล้วแทงตุ๊กตานั่นทันที ดึงปลายมันออกมาแล้วก็แทงลงไปอีก ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆจนปุยนุ่นของมันหลุดกระจาย 

    'อีบ้า! ตุ๊กตามันไม่มีชีวิตสักหน่อย แกทำตุ๊กตาฉันเละหมดแล้ว ฮืออ'  

    เธอไม่ได้ฟังในสิ่งที่หญิงสาวพูดเลยสักนิด ยังคงทิ่มแทงตุ๊กตาอยู่อย่างนั้น มืออันซีดเซียวหยิบมันขึ้นมาพิจารณาใกล้ๆและพูดเสียงสั่น 

    'ม..มันยังไม่ตาย มันบอกจะฆ่าทุกคนในนี้ด้วย ฉันจะกำจัดมันให้หมด!' 

    เพื่อนๆที่อยู่แถวนั้นมองหน้ากันอย่างงงๆที่เห็นเธอพูดเพ้อออกมาอย่างหวาดกลัวและระดมมีดแทงลงไปอีกครั้งจนตุ๊กตาพรุนไปทุกส่วน สีหน้าเธอดูตื่นตระหนกราวกับคนบ้า ดวงตาเหลือกโปนและหลุกหลิกไปมา มองเผินๆเธอดูเหมือนฆาตกรโรคจิตในสายตาเพื่อนๆ 

    'อย่าไปยุ่งกับมันดีกว่า ฉันว่ามันเริ่มบ้าแล้วแหละ ไปเถอะ'  

     

    "เฮือกก!" ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อภาพทั้งหมดยุบหายไปและพาผมเข้าสู่โลกปัจจุบันอีกครั้ง หันมองรอบๆเพื่อเช็คความมั่นใจว่าไม่มีอะไรอยู่ ก่อนจะรีบวิ่งเข้าห้องน้ำที่อยู่ใกล้ตัวเพื่อล้างหน้าล้างตาให้รู้สึกตื่นตัวมากขึ้น 

    มือหนาเลื่อนก๊อกไปอีกข้างเพื่อให้น้ำในท่อไหลลงมา ผมกวักน้ำมาลูบหน้าสองสามครั้งก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองกระจก 

    "!!!" 

    นามิยืนอยู่ข้างหลังผมในเงากระจก เมื่อหันหลังไปก็ไม่พบกับอะไรที่ผิดปกติ ผมหันหน้ากลับมาทางกระจกอีกครั้ง เธอจ้องเขม็งและกดหัวผมลงกับอ่างน้ำอย่างรวดเร็ว ได้กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งจนฉุนจมูก น้ำที่เคยใสกลับกลายเป็นเลือดข้นที่ไหลออกมาจากก๊อก มือขาวซีดนั่นยังคงกดหัวผมให้จมดิ่งในน้ำสีเลือด  

    "แค่กๆ" 

    ผม...หายใจไม่ออก เลือดเข้าปากเข้าจมูกจนสำลัก ไม่มีแรงแม้แต่จะสู้กับมือของมัน ยิ่งผมดึงดันที่จะเงยหน้าขึ้นมาแรงนั่นก็ยิ่งกดจนหัวผมจมมิด 

     

    'ป..ปล่อย แค่กๆ' หญิงสาวร้องขอชีวิตในขณะที่เด็กผู้ชายสองสามคนกำลังกดหัวเธอลงกับสระว่ายน้ำโดยไม่มีท่าทีว่าจะปล่อยอย่างที่พูด 

    'อะไรกันอ่อนแอชะมัด เพิ่งจะกดไปแค่นาทีเดียวเอง' ว่าพลางกระชากกลุ่มผมยาวนั่นขึ้นมาและจับกดลงไปอีก  

     

    ภาพพวกนั้นแวบเข้ามาในหัวขณะที่ผมกำลังสำลักของเหลวที่เข้ามาในปากและจมูก ได้ยินเสียงนามิที่อยู่ข้างหลังหัวเราะในลำคออย่างสะใจ 

    ทำไม...ทำแบบนี้ทำไมกัน 

    ผมหยุดดิ้นและกลั้นหายใจไม่ให้เลือดเข้ามาในตัวอีก ก่อนมือขาวซีดจะคลายจากการเกาะกุม ผมรีบผุดหัวขึ้นมาหอบหายใจทันที เกือบแล้ว...เกือบไปแล้ว 

    แต่มันยังไม่จบแค่นั้น นามิจับหัวผมเงยหน้าขึ้นมองเพดานและจ่อเข้าที่ก๊อก  

    "แค่กๆ" 

     

    'กรอกอีกๆ เอาให้เยอะๆเลย!' 

    เด็กผู้ชายกลุ่มเดิมช่วยกันจับตัวเธอและบีบปากให้อ้าออกก่อนจะกรอกน้ำเปล่าเข้าไปอย่างรวดเร็วและไม่เว้นช่วงให้เธอได้หายใจ  

    'อ่อก..แค่กๆ' หญิงสาวสำลักน้ำตาไหลเป็นสาย ดวงตาเหลือกโปนมากขึ้น 

     

    ผมลืมตาขึ้นจากภาพพวกนั้นและผลักไสเธอออกไปก่อนที่ผมจะเป็นอะไรขึ้นมาจริงๆ นามิยอมปล่อยมือแต่โดยดีและทิ้งท้ายไว้ก่อนจะหายไป 

    'มันยังไม่จบแค่นี้หรอก มึงต้องชดใช้แทนพวกมัน!' 

    "!!!" 

    ผมหอบหายใจรัว รู้สึกโล่งอกเป็นอย่างมากที่มันไม่ทำอะไรมากกว่านี้ ถึงแม้ของเหลวจำนวนมากจะเข้ามาอยู่ในตัวผมแล้วก็เถอะ แล้วมันหมายความว่ายังไงที่ว่าาผมต้องชดใช้แทนคนพวกนั้น ไม่ยุติธรรมเลยสักนิด ผมไม่ได้เป็นคนทำ ผมไม่ได้ทำร้ายเธอ ทำไมต้องมาลงที่ผมด้วย และผมก็แน่ใจได้ว่าเพื่อนๆพวกนั้นไม่ได้แกล้งเธอแค่นี้แน่ มันแรงกว่านั้น แรงถึงชีวิต...แล้วผมต้องทนรองรับไปอีกนานแค่ไหนกัน 

    ผมไม่ยอมแพ้ง่ายๆแน่ สู้มาถึงขนาดนี้ยังไงก็ต้องรอด ต้องทำอะไรสักอย่าง... ถ้าหากว่าการจบเรื่องนี้คือการเผาศพนามิจริงๆ ผมก็ต้องตามหาศพให้ได้ 

    แต่ถ้ามันไม่เจอล่ะ! ผมคงต้องเผาโรงเรียนทิ้งแล้วล่ะมั้ง! 

    "..."  

    เดี๋ยวนะ...เผา.. 

    ใช่! ถ้าเผาทั้งโรงเรียนล่ะ? ถึงแม้ว่ามันจะมีความเป็นไปได้ยากที่จะทำสำเร็จสำหรับผู้ชายตัวคนเดียวอย่างผม แต่มันก็คงดีกว่าเดินไล่เปิดหน้าศพที่ละตัวนี่จริงไหม 

    ฉับพลัน ความรู้สึกแบบเดิมๆก็กลับเข้ามาให้ห้วงความคิดผมอีกครั้ง เสียงดังอื้ออึงก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นภาพเหตุการณ์ของนามิ 

     

    'ผ.อ คะ! คุณต้องช่วยหนูนะ พวกนั้นมันรุมทำร้ายหนูทุกวัน มันเหยียบย่ำน้ำใจหนู มันเกือบฆ่าหนูตาย ฮึก...' หญิงสาวอ้อนวอนขอชายวัยกลางคนที่พ่วงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียน 

    'ฉันบอกไปหลายรอบแล้วว่าฉันช่วยอะไรเธอไม่ได้หรอก เด็กพวกนั้นเป็นลูกคนใหญ่คนโต' 

    'ถ้าคุณไม่ช่วยฉันจะแจ้งตำรวจนะ! พวกเขาทำเกินไปแล้ว' ทว่าสิ้นเสียงของเธอผู้อำนวยการก็ถลึงตาและบีบใหล่เธอแน่น  

    'อย่าบอกใครเด็ดขาดนะ เธอคิดถึงโรงเรียนฉันบ้างสิ ว่าจะเสียหายแค่ไหน!' 

    'ไม่! หนูจะบอกถ้าคุณไม่ช่วยเตือนพวกเขา พวกอาจารย์ก็ไม่ฟังหนูเลย' 

    'ลองบอกดููสิ ฉันไล่เธอออกแน่' 

    '...' เธอกลั้นสะอื้นเมื่อได้ยินคำนั้น คำว่าไล่ออกเป็นสิ่งที่เธอไม่ต้องการ ถึงแม้จะโดนแกล้งจนเจียนตายแต่เธอก็อยากเรียนให้จบ ไม่มีที่ไหนรับเธอเข้าเรียนอีกแล้วน้องจากที่นี่ 

    'ฉันไม่มีอะไรจะพูดกับเธอแล้ว ไปซะ' 

    '...' 

     

    ผมคิดเรื่องบทสนทนาเมื่อครู่ไปตลอดทาง ผู้อำนวยการนั่น...มีส่วนรู้เห็นอะไรหรือเปล่านะ นามิอ้อนวอนขอทั้งน้ำตาแต่เขากลับไม่ใยดี ทำเหมือนไม่อยากจะเข้าไปยุ่งเรื่องนี้ด้วยซ้ำ ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว วันเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ผมก็ยิ่งรู้เรื่องนามิมากขึ้น มันฉายเข้ามาให้เห็นเฉยๆราวกับเป็นความทรงจำของตัวผมเอง  

    ตอนนี้ผมคงต้องจัดการขั้นเด็ดขาดเสียที ก่อนที่นามิจะทำอะไรผมอีกรอบ แต่ยิ่งวิ่งเหมือนระยะทางจะยิ่งไกลขึ้นเรื่อยๆ ทำไมงั้นเหรอ...ผมก็ไม่รู้ รู้เพียงแต่ว่าเหมือนตัวเองวิ่งวนอยู่ที่เดิม วิ่งอยู่ในทางซ้ำๆ เห็นฉากเห็นกำแพงที่เคยเดินผ่านมาเมื่อไม่กี่วินาทีที่แล้ว ทำไมกัน  

    'ไค...'  

    "!!" สองขาหยุดกึกทันทีที่ได้ยินเสียงร้องเรียก ผมมั่นใจว่านี่ไม่ใช่เสียงของผู้หญิง แต่เป็นเสียงผู้ชาย เสียงนุ่มทุ้มและคุ้นหู ถ้าจำไม่ผิดผมคิดว่าเสียงนี้คล้ายกับเสียงของ..คยองซู  

    "น..นั่นใคร!" ตะโกนออกไปอย่างกล้าๆกลัวๆ ทั้งๆที่รู้ว่าในที่นี้มีผมที่เป็น'คน'อยู่แค่คนเดียว  

    '...' ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมา อะไรกัน.. 

    ผมออกตัววิ่งอีกครั้งโดยไม่หันหลังกลับไปมอง จุดหมายปลายทางอยู่ที่ไหนยังไม่รู้ด้วยซ้ำ ขอแค่ให้ไปจากตรงนี้ก็เป็นพอ  

    ก๊อกๆๆ! 

    "..." เสียงเคาะประตูจากในห้องดังขึ้น ผมสะดุ้งเฮือกก่อนจะค่อยๆหันหน้าไปทางประตูกระจกนั่นช้าๆ 

    'สวัสดี' บุคลที่ยืนอยู่ข้างในโบกมือและแสยะยิ้มให้ผมราวกับเป็นเรื่องปกติธรรมดา 

    "!!!" นี่มัน... 

     

    ร่างของผม!!! 

     

    30%

     

    ทันทีที่เห็นบุคคลที่อยู่ข้างใน ความจำส่วนลึกของสมองก็เตือนขึ้นมาว่าผมยังมีอีกร่าง... 

    ใช่ ผมจำได้แล้ว ตอนนั้นผมโดนซอนมีเข้าสิงและยึดร่างของผมไป ถ้าอย่างนั้นผมที่เป็นผมอยู่ตอนนี้ก็เป็นแค่วิญญาณน่ะสิ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าตัวผมไม่กลับเข้าไปในร่างกายของตัวเอง มันจะเป็นอย่างหนังสยองขวัญที่ผมดูไหมนะ ที่เขาว่าถ้าแยกออกจากร่างนานๆวิญญาณนั้นก็จะหายไป  

    ผมกำลังจะเปิดประตูเข้าไปแต่มันก็ล็อคเสียได้ และดูเหมือนคนที่ล็อคจะไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากร่างของตัวเองที่ยืนยิ้มอยู่ข้างใน เราสองคนยืนอยู่ใกล้กันแค่คืบมีเพียงประตูกระจกใสกั้นกลางไว้เท่านั้น เห็นใบหน้าที่ยียวนของตัวเองก็ยิ่งโกรธ ผมทุบประตูรัวหวังจะให้มันเปิดออกแต่ก็ไม่มีประโยชน์ 

    ร่างที่อยู่ข้างในเอาฝ่ามือแตะประตูที่มีมือของผมเกาะอยู่ด้านนอก ก่อนจะลูบกระจกใสไปมาอย่างช้าๆ ยั่วโทสะผมไม่น้อย ผมกัดฟันแน่นจ้องมองร่างตัวเองที่ยังยิ้มอยู่อย่างนั้น ศรีษะของมันส่ายไปมาและผิวปากอย่างสบายอารมณ์ มือข้างที่ว่างหยิบแจกันที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาแล้วเขวี้ยงลงพื้นอย่างแรงจนเศษกระเบื้องแตกกระจาย ผมมองภาพนั้นด้วยใจที่เต้นรัว มันกำลังจะทำอะไรกันแน่ หวังว่าคงจะไม่... 

    "อย่านะ!" 

    ตะโกนห้ามไปก็เปล่าประโยชน์ ร่างสูงเหยียดยิ้มและก้มหยิบเศษแจกันนั้นขึ้นมาก่อนจะลงมือกรีดที่ข้อมือของตัวเองทันทีอย่างไม่ลังเลเหมือนครั้งก่อน  

    "โอ้ยยย!" ก้มมองข้อมือของตัวเองที่ไม่มีรอยแผลอะไรทั้งนั้นแต่กลับรู้สึกเจ็บ หากแต่ร่างของตัวเองที่อยู่ข้างในกลับมีเลือดไหลออกมาจากข้อมือที่กรีดไป มันก้มมองผลงานตัวเองแล้วเงยหน้ามามองผม  

    'มึง...ตาย!'  

    อ่านปากของมันที่จงใจออกเสียงช้าๆอย่างชัดเจน มือหนาออกแรงกดลึกมากขึ้นไปอีก ผมทนความเจ็บไม่ไหวอีกต่อไป ร้องลั่นออกมาอีกครั้ง รู้สึกเจ็บจี๊ดไปทั้งข้อมือ ยิ่งเห็นเลือดตัวเองที่ไหลทะลักออกมาจากร่างนั้นยิ่งเจ็บใจ จะทำยังไง ผมจะเข้าไปห้ามการกระทำนั้นได้ยังไง! 

    ดูเหมือนจะยังไม่สาแก่ใจ ร่างนั้นทิ้งข้อมือลง เห็นเลือดสีสดหยดลงพื้นอย่างกับน้ำก๊อก มือหนาขว้างเศษแจกันในมือทิ้งและมองหาสิ่งอื่นที่ดูจะเป็นอันตรายมากกว่านี้ เพียงไม่กี่นาทีใบหน้านั้นก็ยกยิ้มและก้มลงไปหยิบอะไรบางอยางออกมาจากใต้เก๊ะ 

    มันคือกรรไกร... 

    วัตถุแหลมคมถูกจ่อเข้าที่ลำคอของร่างสูง ผมทุบประตูอย่างบ้าคลั่ง  

    "อย่าทำแบบนั้นนะ! เปิดประตูเดี๋ยวนี้ซอนมี!" ผมตะโกนชื่อจริงออกไป ใบหน้านั้นบิดเบี้ยว 

    'กูไม่ใช่ซอนมี กูคือไค! กูคือ คิม จงอิน!' 

    "!!!  

    "แกได้ตัวแทนไปแล้วไม่ใช่หรือไง จะอะไรกับร่างของฉันอีก ไปผุดไปเกิดได้แล้ว แกโดนปลดปล่อยไปแล้ว!" ซอนมีได้ยินก็หัวเราะดังลั่น มือสั่นน้อยๆจนปลายแหลมของกรรไกรเฉียดเนื้อไปอย่างหวุดหวิด 

    'ฮ่ะๆๆ กูยังไปไหนไม่ได้หรอก'  

    "หมายความว่ายังไง แกมีอะไรต้องทำอีกงั้นเหรอ!?"  

    '...' มันไม่ตอบอะไรผมอีก ร่างสูงกำลังกระชับวัตถุในมือแน่นเตรียมกดเข้าเนื้อลงไป ผมหลับตาปี๋ด้วยความหวาดกลัว เตรียมรับมือกับความเจ็บปวดที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า  

    "..." หากแต่ทุกอย่างกลับตกอยู่ในความเงียบ ผมไม่รู้สึกเจ็บ ไม่มีเลือด ไม่มีอะไรทั้งนั้น 

    ค่อยๆลืมตาขึ้นมาและมองตรงไปข้างหน้า สิ่งแรกที่เห็นคือกรรไกรที่ตกลงสู่พื้น ผมเงยหน้ามองขึ้นไปข้างบน เห็นร่างของตัวเองถูกกระชากข้อมือโดยใครบางคน...ใครบางคนที่ได้ตายไปแล้ว! 

    "คยองซู!"  

    ร่างนั้นดูไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไรนักที่เพื่อนตัวเองมาขัดขวาง แต่ก็ยอมหยุดการกระทำแต่โดยดี ผมเห็นแค่ด้านหลังก็มั่นใจว่าเป็นคยองซูแน่นอน ทรงผมแบบนี้ สีผมแบบนี้ รูปร่างแบบนี้ ไม่เปลี่ยนไปเลย ถึงแม้จะไม่ยอมหันหน้ามาแต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็บอกอยู่แล้วว่านี่คือคนที่เพิ่งจะถูกเพื่อนตัวเองผลักตกตึกลงไป 

    ถ้าถามว่ากลัวไหม ตอบได้เลยว่ากลัว แต่ผมตกใจเสียมากกว่า ไม่คิดว่าวิญญาณคยองซูจะมาแบบนี้ พวกนี้ต้องการอะไรกันแน่ ทั้งๆที่คิดว่าเรื่องจะจบไปแล้วเสียอีก 

    คยองซูกับซอนมีในร่างของผมยืนเถียงกันอยู่ข้างใน แต่ครั้งนี้ผมได้ยินมันชัดเจน! 

    'พอได้แล้วซอนมี ปล่อยให้เรื่องมันจบด้วยตัวเองเถอะ' 

    'แต่ฉันยังไปไม่ได้ นายไม่เป็นฉันนายไม่รู้หรอกว่ามันทรมาณขนาดไหน ไหนบอกว่าจะแก้แค้นให้ฉันไง!' ซอนมีตวาดเสียงดัง ผมไม่สนว่าใบหน้าของเธอจะบิดเบี้ยวด้วยความโกรธแค่ไหน ผมสนร่างของตัวเองมากกว่า รอยแผลฉีกที่ข้อมือยังคงมีเลือดไหลหยดเป็นทาง พื้นตรงส่วนนั้นเจิ่งนองไปด้วยเลือดของผมคนเดียว ความรู้สึกเจ็บที่ข้อมือยังไม่หายไป มันฝังลึกเสียจนต้องกัดฟันทุกครั้งเพื่ออดทนกับบาดแผล 

    'เธอก็เห็นอยู่นี่ว่านามิกำลังจัดการด้วยตัวเอง เราไม่มีประโยชน์กับเธอแล้ว เพราะฉะนั้นก็ปล่อยวางแล้วไปพร้อมๆกันเถอะ' 

    'แต่...' ซอนมีทำทีจะพูดขัดอีกครั้งแต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา  

     

    นี่มันเรื่องอะไรกัน ผมไม่เข้าใจ หมายความว่ายังไงที่สองคนนี้พูด ผมต้องการจะรู้ ทำไมคยองซูถึงมาอยู่ที่นี่ แล้วมาช่วยผมทำไม ทั้งๆที่ตัวเองเป็นตัวแทนคนต่อไป ผมเคาะกระจกอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ได้โวยวายอะไรออกมา เจตนาแค่อยากรู้เรื่องทั้งหมดเท่านั้น คยองซูที่หันหลังอยู่ชะงักกึก 

    "คยองซู ที่พูดหมายความว่ายังไง..!" 

    '...' ร่างเล็กยืนนิ่ง ไม่ยอมหันมาเผชิญหน้ากับผม ผมจึงเห็นเขาแค่แผ่นหลังเท่านั้น 

    "พูดมาสิ! นายจะฆ่าฉันไม่ใช่หรือไง นายเป็นตัวแทนไม่ใช่หรือไง!"  

    จากการพูดดีๆเริ่มกลายเป็นตะคอก น้ำเสียงสั่นเครือไปด้วยความกลัว รู้สึกไม่มั่นใจอะไรบางอย่าง และลางสังหรณ์ผมมักจะถูกเสมอ มันมีอะไรมากกว่าที่ผมรู้ใช่มั้ย... 

    "ฉันบอกว่าให้พูดมา! หันมามองหน้าฉันสิ! หันหน้ามา!" 

    ได้ยินผมตะคอกไปอย่างนั้น คยองซูตัวสั่นน้อยๆ ก่อนจะตัดสินใจค่อยๆหันหน้ามา 

    ไม่สิ..หมุนคอตัวเองมามากกว่า...! 

    "!!!" 

     
     

    "ซอนมี...นี่ซอนมีใช่ไหม" คยองซูพูดน้ำเสียงขาดห้วง  

    "..."   

    "เธอจำเราได้ใช่ไหม ปล่อยเราไปเถอะนะ เรายังไม่อยากตาย"   

    "ไม่! นายไม่เข้าใจ คยองซู"   

    "นายกำลังเข้าใจผิด!!"  

    "เข้าใจผิดเรื่องอะไร?" คยองซูเงยหน้ามองเพื่อนตนเองที่อยู่ในร่างของไค 

    "ฉัน..ฉันบอกไม่ได้ ฉันกลัวว่านายจะรับความจริงกับเรื่องนี้ไม่ได้" ซอนมีแววตาไหววูบ 

    "ทำไม! ฉันมันมีอะไรงั้นเหรอ บอกฉันมาซิซอนมี มันมีเรื่องอะไรน่ากลัวกว่าเรื่องนี้อีกงั้นเหรอ!" 

    "..." ซอนมีเงียบ ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากบอก เขาพยายามจะบอกให้คยองซูรู้ตั้งแต่แรก แต่ไม่รู้ว่าทำไมพอมาเผชิญหน้ากันกลับไม่กล้าที่จะเอ่ยความจริงไปเสียอย่างนั้น กลัว กลัวว่าเพื่อนอย่างคยองซูจะรับมันไม่ได้ ใครได้ยินก็ต้องตกใจกันทั้งนั้น  

    "ตอบมาสิ! ถ้ามันออกมาจากปากเธอฉันเชื่ออยู่แล้ว ฉันสัญญาว่าจะยอมรับในสิ่งที่ได้ฟัง" 

    "นายสัญญาแล้วนะคยองซู ไม่ว่าจะยังไงนายต้องเชื่อฉันนะ..."  

    "อ...อืม" 

    "..." ซอนมีเข้าประชิดตัวคยองซูก่อนจะตัดสินใจบอกควมจริงบางอย่างออกไปด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา 

    "คยองซู...นาย..." 

    "...ตายไปแล้ว!" 

    "!!!" คนฟังเบิกตากว้างและส่ายหน้ารัวทั้งน้ำตา 

    "ไม่! ไม่จริง มันจะเป็นไปได้ยังไง แล้วที่ผ่านมาล่ะ!" 

    "นายไม่รู้ตัวเองเลย นายตายไปตั้งแต่ห้าปีที่แล้ว ตายไปตั้งแต่ตกระเบียงพร้อมกับกาฮีวันนั้น!" 

    "ไม่จริง! ฉันไม่เชื่อ!!!" คยองซูกรี๊ดลั่นและผลักซอนมีออกไปไกลๆตัว 

    "ไหนนายบอกว่านายจะเชื่อฉันไง นายบอกว่าจะยอมรับความจริง" 

    "ฮือออ แกโกหก ฉันยังไม่ตายสักหน่อย ที่ผ่านมาฉันยังคุยกับทุกคนอยู่เลย" 

    คยองซูร้องไห้ฟูมฟายจนซอนมีนึกสงสารจับใจ มือหนาในร่างของไคคว้าเพื่อนตัวเล็กเข้ามากอด แต่สิ่งที่ได้รับกลับมากลับกลายเป็นการผลักไสจากคนตัวเล็ก  

    "ถ้านายไม่เชื่อฉันจะพิสูจน์ให้นายเองว่านายเป็นผี...ไม่ใช่คน!"  

    พูดจบก็คว้าข้อมือคยองซูให้เดินตามตนออกมา คยองซูขัดขืนอยู่ท่าเดียวแต่ผลสุดท้ายก็ต้องอ่อนแรงลงเพราะความจริงที่สะเทือนใจเขามากที่สุด การกระทำต่อจากนี้ทำให้คยองซูตกใจจนกรี๊ดลั่น 

    ตุ๊บ! 

    "..." ร่างทั้งร่างถูกโยนลงมาจากชั้นสูงสุดของตึก ตกมาอยู่ที่สนามหญ้าข้างอาคาร หากเป็นคนอื่นเขาคงจะแน่นิ่งไปตั้งแต่วินาทีแรกแล้ว แต่กลับคยองซู... 

    ใบหน้าหวานลืมตาโพลงเผยให้เห็นลูกตาที่ขาวโพลนไร้ซึ่งตาดำ ค่อยๆยันตัวเองลุกขึ้นมาและบิดกายเล็กน้อยราวกับเรื่องเมื่อครู่เป็นแค่การตกจากเตียงนอนเท่านั้น  

    เขาเชื่อแล้ว ตอนนี้เขาเชื่อแล้ว ว่าเขาได้ตายไปแล้วจริงๆ!! 


     

              40%

    ผมก้าวผงะถอยหลังทันทีที่เห็นรูปหน้าคยองซู ไม่ใช่ว่าน่าเกลียดน่ากลัวอะไร แต่แค่...ไม่มีตาดำ ทุกอย่างยังคงเป็นเหมือนเดิม แต่ติดที่ลูกตาขาวโพลนเท่านั้น ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่คือคยองซูจริงๆ  

    คยองซูหันมองผมนิ่งๆ ไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกมาจากปาก มือเล็กเอื้อมไปปลดล็อคประตูให้ผมเข้ามา ก่อนตัวเองจะพูดเตือนสติกับเพื่อนตัวเองโดยไม่หันมาสนใจผมอีกเลย ดูเหมือนกับว่าคยองซูจงใจที่จะไม่ยุ่งกับผม 

    'ซอนมี ฉันบอกให้จบไง คืนร่างไป' คยองซูพูดเสียงเรียบ ซอนมีเม้มปากแน่น 

    'แต่ถ้าฉันไม่ฆ่ามัน ฉันจะเป็นอิสระได้ยังไง!' 

    'เธอไม่เห็นเหตุการณ์เมื่อกี้หรือไง! ปล่อยให้นามิจัดการเองเถอะ เธอเป็นคนเลือกเอง เธอไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้แล้ว หมดหน้าที่แล้ว..ไปเถอะ' 

    'ไปเถอะซอนมี ถือว่าฉันขอ..' ชั่ววูบคยองซูหันมาทางผมเหมือนอยากจะบอกอะไรบางอย่าง ซอนมีกำมือแน่นจนเนื้อตัวสั่นเทิ้ม แต่เพียงไม่นานมันก็ต้องคลายออกพร้อมกับอารมณ์ที่เย็นลง เธอเงยหน้ามามองผมและเดินเข้ามาใกล้ๆ ไม่มีเหตุผลอะไรให้ผมต้องเดินหนีอีกแล้วในเมื่อร่างของตัวเองอยู่ตรงหน้า 

    ซอนมีหันหน้ากลับไปหาคยองซูที่ยืนอยู่ข้างหลังอีกครั้งก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่  

    'แค่เพราะคยองซูขอ..ฉันถึงปล่อยแกไป' 

    '...' ร่างสูงกัดฟันพูดต่อหน้าผม 

    'แต่ฉันเชื่อว่ายังไงแกก็ไม่รอด ถึงฉันไม่ทำ นามิก็ต้องทำอยู่ดี แก ไม่ รอด แน่!' 

    กระซิบลอดไรฟันอย่างใกล้ชิด ซอนมีเดินทะลุตัวผมไปอย่างเร็วไว ความรู้สึกเหมือนโลกหมุนเคว้งอีกครั้ง หูอื้อ ตาลาย และเวียนหัว เพียงไม่กี่นาทีผมก็กลับมาเป็นตัวเองได้อีกครั้ง สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือกลิ่นคาวของเลือด ยกข้อมือตัวเองขึ้นมาดูก็พบว่ามีเลือดไหลเป็นทางยาว มันเจ็บยิ่งกว่าตอนเป็นแค่วิญญาณเสียอีก 

    หันมองคยองซูที่มีท่าทีอึกอักตั้งแต่เมื่อกี้ ร่างเล็กกำชายเสื้อที่เปื้อนไปด้วยเลือดของตัวเองแน่นแล้วคลายออกอยู่อย่างนั้นสลับกันไปมา ผมเห็นอย่างนั้นจึงต้องเป็นคนเอ่ยปากออกมาเสียเอง 

    "มีอะไรจะพูดกับฉันหรือเปล่า..." 

    ผมเอามือไขว้หลังไว้ บางทีบาดแผลฉกรรจ์นั่นอาจดูไม่ค่อยน่ามองเท่าไรสำหรับคยองซู ร่างเล็กเม้มปากแน่นก่อนจะกระพริบตาหนึ่งทีแล้วกลับมาเป็นดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยอีกครั้ง น้ำใสๆเอ่อล้นออกมาเปื้อนใบหน้า  

    'ฉัน...ขอโทษ'  

    'ขอโทษสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมา ถึงแม้เรื่องนี้นายก็ผิด แต่ถ้าไม่มีฉันสักคนเรื่องก็คงไม่เกิด' 

    'ถ้าหากฉันรู้ตัวเองเร็วกว่านี้ ฉันก็คงไม่ต้องมาพัวพันกับเรื่องสยองขวัญเหมือนพวกนาย' 

    '...' คยองซูไม่คิดจะเช็ดน้ำตาของตัวเอง ร่างเล็กยังคงพร่ำเพ้ออยู่อย่างนั้น 

    'ฮึก...ถ้าฉันไม่รู้ความจริงว่าตัวเองตายไปแล้ว ตอนนี้ฉันก็คงไม่ยอมง่ายๆหรอก ไม่นายก็ฉันที่ต้องตายกันไปข้าง เรานิสัยคล้ายๆกันนะไค ต้องการเอาชีวิตรอดไม่ว่าจะทำยังไงก็ตาม' 

    'ฉันต้องไปแล้ว แต่ก่อนไปฉันขอให้นายโชคดีนะ นายรู้แล้วใช่มั้ยว่าเรื่องมันเป็นยังไง ความจริงเปิดเผยแล้วว่าฉันตายไปตั้งแต่ตอนนั้น มันทำให้รู้ว่านายอยู่คนเดียวมาตลอด จนกระทั่งตอนนี้นายก็อยู่คนเดียว ฉันไม่ใช่ตัวแทนที่นามิเลือก' คยองซูพูดรัว ยังไงผมก็ไม่เข้าใจอยู่ดี หมายความว่ายังไงที่ว่านามิเลือก... 

    "แล้วซอนมี..?" ผมเว้นช่วงเป็นเชิงถาม 

    'ซอนมีมีหน้าที่ฆ่าตัวแทน แต่ในเมื่อมันบอกให้เห็นกันอยู่แล้วว่านามิไม่ต้องการตัวช่วย เธอจัดการของเธอเอง แล้วเพื่อนฉันจะอยู่ไปทำไมล่ะจริงไหม' 

    'แล้วอีกอย่าง ตอนนี้นามิก็ไม่ได้จองจำซอนมีแล้วด้วย จะมีโอกาสหนีตอนไหนได้อีกละนอกจากตอนนี้ ส่วนายน่ะ..จะทำอะไรก็รีบๆทำซะนะ ถ้าอยากจบเรื่องนี้จริงๆต้องกำจัดให้หมด! ไม่อย่างนั้นนายก็จะเป็นเหมือนซอนมี รู้ใช่มั้ยว่ามันหมายความว่ายังไง' 

    "..." ทำไมงั้นเหรอ? จะว่าอะไรไหมถ้าผมจะบอกว่าไม่เข้าใจ คยองซูให้ผมจบเรื่องนี้ แต่ถ้าพลาดผมก็จะตาย ผมเข้าใจไม่ผิดใช่มั้ย? 

     

    คยองซูตัดสินใจเดินเฉียดไหล่ไคออกไปจากห้องแล้วทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง ทิ้งอดีตทั้งหมดที่ตัวเองก่อขึ้นมาเอง ทุกสิ่งทุกอย่างเขาสร้างมาเพื่อหลอกตัวเองทั้งนั้น น่าตลกสิ้นดี ตายทั้งๆที่ไม่รู้ตัว... 

    แล้วยังมีหน้ามาต่อสู้เพื่ออะไรงี่เง่าในคืนนี้อีก เขาจะปกป้องชีวิตตัวเองไปทำไมล่ะในเมื่อตัวเองก็ตายไปตั้งแต่แรกแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้มากลับศูนย์เปล่า ตั้งใจจะสร้างเกมนี้ขึ้นเพื่อแก้แค้นและช่วยปลดปล่อยเพื่อนแต่ตัวเองกลับต้องมารับรู้ข่าวที่น่าตกใจเสียเอง คิดแล้วก็ต้องหลับตาลงอย่างขมขื่น สมเพชตัวเองเหลือเกิน ไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วเขาด่าไค ไคเห็นแก่ตัว แล้วเขาล่ะ? จะนิยามว่าอะไรดี คำว่าโง่มันน้อยไปด้วยซ้ำ 

    คยองซูไม่ได้ติดต่อกับพ่อแม่หรือญาติมาราวๆห้าหกปีแล้ว ไม่แปลกที่จะไม่มีใครรู้เรื่องนี้เลย ไม่มีใครรับรู้ถึงความผิดปกติ คยองซูเช่าหออยู่ใกล้ๆโรงเรียน ในแต่ละวันก็แค่มาเรียนและกลับหอเท่านั้น ชีวิตวนไปมาอยู่อย่างนี้ เขาเอ่ยกับพ่อแม่เองว่าต้องการอยู่ห่างจากพวกท่าน ไม่ใช่ว่าไม่รัก แต่แค่อยากดูแลตัวเอง วันไหนเรียนจบและหางานทำได้ วันนั้นแหละคยองซูจะกลับไป..กลับไปทดแทนบุญคุณ เพราะเงินที่โอนมาให้ปีละครั้งนั้นทำให้คยองซูแทบไม่ต้องทำอะไรเลย อยู่สบายและตัวคนเดียว ไม่มีใครติดต่อ ไม่มีใครเอะใจหรือสงสัยเลย เป็นธรรมดาที่ครอบครัวไม่ได้ติดต่ออะไรมาสักครั้ง เพราะคยองซูเป็นคนบอกเองว่าไม่ต้องการแบบนั้น  

    ทุกๆวันคยองซูมีเพื่อน มีคุณครู ไม่มีอะไรให้ลำบากใจ ไม่เคยว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น...ไม่เคยเลยจริงๆ ถ้าถามว่าในเมื่อใช้ชีวิตอยู่อย่างคนปกติทั่วไปได้มาถึงห้าปี แล้วทำไมจะอยู่ต่อไม่ได้ ถ้าเป็นคนอื่นๆอาจจะเลือกที่จะหลอกตัวเองทั้งๆที่เพิ่งรู้ความจริงว่าตัวเองอยู่อีกภพหนึ่งแล้ว แต่กับคยองซู เขาทำไม่ได้หรอก 

     ที่อยู่ได้มาห้าปีเพราะจิตที่มั่นคงเท่านั้น เกิดความคิด คิดว่าตัวเองคือคน คิดว่าตัวเองไม่ได้เป็นอะไร ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนตอบสนองความคิดเขา ในเมื่อจิตมันคิดอย่างนั้นแล้ว อะไรๆก็เป็นไปอย่างที่คิดได้เสมอ 

     

    "นายจะไปไหนคยองซู" ผมรั้งมือเล็กนั้นไว้ ซึ่งมันก็ไม่ได้เป็นธาตุอากาศอย่างที่คิด ผมยังคงจับต้องได้เหมือนปกติทั่วไป  

    'ไปหาพ่อกับแม่...' พูดแค่นั้นก่อนจะร้องไห้ออกมาอีกครั้ง มือเล็กแกะมือผมออกและเดินต่อไปเรื่อยๆจนลับสายตา  

    "..." 

    "ฉันให้อภัยนายนะ ถือว่าเราไม่เคยเจอกันก็แล้วกัน"
     

       50%

    หันกลับมามองรอบๆอีกครั้ง ไม่มีอีกแล้ว ผมเหลือตัวคนเดียวจริงๆ ต่อไปนี้จะต้องสู้คนเดียวไม่ต้องแข่งขันกับใคร แต่โอกาสรอดยังมีไม่ถึงสิบเปอร์เซนต์เลยด้วยซ้ำไป มองไปทางไหนก็มีแต่ตันกับตัน 

    ผมรู้ปัญหาของนามิ แต่ผมกลับไม่รู้วิธีแก้ หรือบางทีเธออาจไม่ต้องการแบบนั้นก็ได้ เธอก็แค่คิดจะแก้แค้น ต้องการให้ใครสักคนรับรู้ถึงความเจ็บปวดของเธอที่ผ่านมา คนๆนั้นต้องรับกรรมทั้งๆที่ตัวเองไม่ได้ทำ และคนๆนั้นก็คือผมเอง ไม่แน่ผมอาจจะเป็นตัวแทนก็ได้ จริงสินะ ผมคงจะเป็นตัวแทนตั้งแต่แรกแล้วนี่ ในเมื่อคยองซูตายไปตั้งนานแล้ว มันเลือกผมมาโดยตลอด และตอนนี้คงจะเป็นเวลาที่มันต้องการ 

     

    'ฮือออออ...' 

     

    เสียงแบบนี้อีกแล้ว มันต้องการจะบอกอะไรผมอีก อยากให้ผมตายจริงๆใช่มั้ยถึงจะสาแก่ใจ ผมเงยหน้าขึ้นไปบนเพดานเพื่อมองต้นตอเสียงเหมือนครั้งก่อน แต่ครั้งนี้กลับว่างเปล่า รอบๆตัวผมไม่มีอะไรเลย 

    แล้วเสียงมันมาจากไหนกัน 

     

    'ผู้อำนวยการ....!!'  

    หญิงสาวยืนมองอย่างตกตะลึงรีบเอามือตะครุบปากแทบไม่ทัน แต่บุคคลเบื้องหน้ากลับรู้ตัวเสียแล้ว หายนะครั้งใหญ่กำลังมาเยือน 

    'เธอ..เธอเห็นอะไรเมื่อกี้หรือเปล่านามิ!!' ชายร่างท้วมเบิกตากว้าง เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความโกรธและกลัวในเวลาเดียวกัน เธอเป็นคนเดียวที่วิ่งผล่านออกมาตรงนี้และเห็นในสิ่งที่เขากำลังทำ 

    หญิงสาวส่ายหน้ารัวทั้งน้ำตาจนเส้นผมยาวๆบดบังใบหน้า  

    'หนูไม่เห็นอะไรทั้งนั้นค่ะ..ฮึก'  

    'ฉันรู้ว่าเธอเห็น! ห้ามเอาเรื่องนี้ไปบอกใครเด็ดขาด จงลืมเหตุการณ์เมื่อกี้ไปซะ คิดซะว่าเธอไม่เห็นมัน!' ผู้อำนวยการตะคอกเสียงดัง เขารู้ว่าหากเรื่องนี้ไปถึงหูคนใดคนหนึ่งเมื่อไรละก็... 

    'รับปากฉันสิ' กระซิบเสียงแผ่วแต่แฝงไปด้วยความกดดัน มือหนากดจิกเข้าที่ไหล่บางจนเธอรู้สึกเจ็บ 

    'คือ..หนู..'  

    'ฉันบอกให้รับปากว่าเธอจะไม่เอาเรื่องนี้ไปพูดที่ไหน!!'  

    'ไม่ค่ะ! หนูจะไม่รับปาก' หญิงสาวตะโกนเสียงดังใส่หน้าชายร่างท้วม 

    '...' เขากัดฟันแน่น ก้มมองแววตาที่แน่วแน่ของเธอ 

    'เธอต้องการอะไรนามิ..' 

    'ถ้าคุณไล่พวกที่รังแกหนูออกจากโรงเรียนนี้ไป หนูจะปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับตลอดกาลค่ะ' 

    'กล้าดียังไงมาต่อรองกับฉัน! ฉันไม่มีทางไล่พวกเขาออกไปแน่ ฉันไม่มีสิทธิ์ทำอย่างนั้น' 

    'ทำไมจะไม่มีคะ คุณเป็นผู้อำนวยการนะ! ถ้าคุณไม่ทำตามที่หนูบอก หนูจะบอก..โอ้ย!' 

    ใบหน้าหันไปตามแรงตบ เธอไม่คิดเลยว่าคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้บริหารโรงเรียนจะทำได้ถึงขนาดนี้ รอยแดงรูปฝ่ามือเป็นเครื่องย้ำเตือนได้ดีว่าเธอโดนอะไรมาเมื่อครู่ ดวงตาโปนโตเหลือบมองคนตรงหน้าอย่างตกใจ ร่างท้วมก้มมองมืออันสั่นเทาของตัวเอง เขาไม่คิดว่าจะทำกับเธอแบบนั้น มันเป็นอารมณ์ชั่ววูบ 

    'ฉัน...' ไม่สามารถพูดอะไรออกมาอีกเมื่อหญิงสาวร้องสะอื้นด้วยความเจ็บ เขาขบกรามแน่นและเปลี่ยนท่าทีทันใด 

    'นี่เป็นแค่การเตือน ถ้าขืนเธอยังดื้อดึงอีก ฉันจะฆ่าเธอ และปล่อยให้เธอตายอย่างทรมาณ!' 

     

     

    ฆ่า...งั้นเหรอ!? 

     

    ตุ๊บ! 

    "โอ้ยย!"  ร่างทั้งร่างล้มลงกับพื้นเมื่อข้อเท้าถูกกระชากลงมา เมื่อขาวๆที่เห็นเส้นเลือดฝอยชัดเจนลากผมเข้ามาในห้องอีกครั้ง ก่อนนามิจะปรากฏกายขึ้นมาให้เห็นด้วยรูปร่างที่ไม่เหมือนเดิม มันเหมือนอวัยวะแต่ละส่วนจะดู..เบี้ยว ผมอธิบายไม่ถูก แต่ผมคิดว่ามันไม่ค่อยเหมือนกับนามิเมื่อหลายปีก่อนสักเท่าไร แต่ที่เห็นชัดเจนคือรอยอะไรบางบางอย่างที่เป็นเส้นตรงที่คอ แขนทั้งสองข้าง และขา  

    เธอตรงเข้ามาบีบคอผมอย่างแรงและยกมันขึ้นมาจนตัวลอย เท้าทั้งสองข้างเริ่มไม่ติดพื้น  

    "อึก.." อึดอัดมาก..หายใจไม่ออก 

     

    เสียงอะไรบางอย่างที่เคลื่อนไหวอยู่ข้างหลังทำให้ผมต้องเหลียวกลับไปมอง เห็นสายไฟที่ต่อกับโปรเจ็คเตอร์ข้างบนกำลังเคลื่อนไหว มันค่อยๆเลื้อยตัวเองตามผนังมาหาผม นามิแสยะยิ้มและคลายมือตัวเองออกปล่อยให้สายไฟรับหน้าที่ต่อโดยการพันรอบๆแล้วรัดแน่น  

    "ห..หายใจ ไม่ออก!" มือที่ว่างอยู่พยายามแกะสายไฟที่มีมากกว่าหนึ่งเส้นออก แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ 

     

     

    'ผ้าพันคออะไรของแกเนี่ย เก่าชะมัด ฮ่าๆๆๆ' ผู้ชายคนหนึ่งทักขึ้นเมื่อเธอเดินเข้ามาในห้องเรียน ทำให้คนอื่นๆหันมองตามเป็นตาเดียว หญิงสาวรู้สึกเสียหน้าจึงรีบวิ่งออกไปจากห้อง แต่เพื่อนๆที่นึกอะไรสนุกๆได้ก็รีบกักตัวเธอไว้ซะก่อน 

    'จะรีบไปไหนล่ะ มาเล่นสนุกกันต้อนรับหน้าหนาวหน่อยเป็นไง' 

    'อ..อย่านะ ไม่งั้นฉันจะสาปแช่งพวกแกจริงๆด้วย' พูดเพื่อป้องกันตัวเองเสียมากกว่า พวกเขาชินแล้วกับคำขู่แบบนี้ แต่ไม่เห็นจะมีครั้งไหนที่มีอันเป็นไปสักครั้ง 

    'อ๋อเหรอ กลัวตายล่ะ' หนึ่งในนั้นทำเสียงล้อเลียนและจับผ้าพันคอสีซีดของเธอลากออกมาตรงสนามหญ้า หญิงสาวเอี่ยวตัวไปตามแรงดึงของผ้าพันคอ พวกเขาไม่ได้สนใจเลยด้วยซ้ำว่ามันอันตรายขนาดไหนที่ทำแบบนี้ บางทีมันอาจรัดแน่นเกินไปจนหายใจไม่ออกก็ได้  

    'ปล่อยนะ!' เธอดิ้นมากขึ้นเมื่อรู้ว่าพวกนั้นกำลังจะทำอะไร พวกนั้นดึงปลายผ้าพันคอเธอผูกเข้ากับกิ่งไม้สูง ก่อนจะปั้นก้อนหิมะแล้วปาใส่ตัวเธอไม่ยั้ง ยิ่งดิ้นก็ยิ่งหายใจไม่ออก มือเธอสั้นเกินไปที่จะเอื้อมไปแกะปมของมัน พวกเขาเล่นกับตัวเธออย่างสนุกสนานจนเลยเวลาเข้าเรียนมามาก  

    'ไปกันเถอะ ปล่อยไว้งี้แหละเดี๋ยวก็ลงได้เอง' ความคิดง่ายๆของพวกผู้ชายทำให้เธอโกรธ พวกนั้นเล่นกันแรงเกินไป ลำพังตัวเล็กๆอย่างเธอจะลงจากตรงนี้ได้ยังไง  

    'ฮึกก ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยด้วย!' 

     

     

    "ช่วยด้วย!" เผลอพูดไปตามประโยคที่แวบเข้ามาในหัว ถึงแม้จะรู้ว่าไม่มีประโยชน์ก็ตาม นามิยืนมองผมอยู่อย่างนั้น สายไฟค่อยๆดึงตัวผมขึ้นไปเรื่อยๆจนลอยเคว้งเหนือหัวของเธอ ทำได้เพียงตีขาไปมากลางอากาศ 

    'มึงจะทำอะไรกูได้ คิดจะเผาร่างกูหรือไง! แน่จริงก็หาศพกูให้ได้สิ! หึหึหึ' 

     

    "ฉ..ฉันไม่ได้ทำอะไรให้แก ทำไมต้องมาลงที่ฉันด้วย! ทำไมไม่ไปแก้แค้นพวกนั้นล่ะ"  

     

    'พวกมันตายเรียบไม่เหลือแล้ว ตายเพราะรถชน...แค่รถชนเท่านั้น! แต่กูยังต้องทนทรมาณอยู่ที่นี่แม้แต่ตอนตายก็ไม่เว้น มันไม่สาสมกันเลยสักนิด!' 

    "แล้วทำไมต้องมาลงที่ฉัน...ล่ะ...อึก!" สายไฟรัดแน่นขึ้นจนเนื้อตัวผมเกรงตามไปด้วย มือเท้าเริ่มงอเข้าหากัน 

    'เพราะกูเลือกมึงไง! มึงคือตัวแทนของกู กูเห็นมึงตั้งแต่ก้าวเข้ามาในโรงเรียนนี้ก้าวแรกแล้ว กูได้กลิ่นอายแห่งความชั่วร้ายรอบๆตัวมึง มีแต่ความชิงชัง มึงมันไม่เหมือนคนอื่น' 

     

    "ไม่เห็นจะเกี่ยวกันเลย ยังไงกูก็ไม่ได้ทำ!" ผมที่เริ่มจะทนไม่ไหวขึ้นเสียงใส่ เรียกได้ว่าตะคอกเลยด้วยซ้ำ พร้อมกับสรรพนามที่บ่งบอกว่าโมโหแค่ไหน ทันใดนั้นก็เกิดลมพายุหมุนวนรอบห้อง สายไฟคลายออกจนตัวผมร่วงลงมาที่พื้น 

    "โอ้ยย" เพราะความสูงที่ค่อนข้างมากทำให้ร่างกายบอบช้ำมากกว่าเดิมเมื่อตกลงมา รู้สึกแสบไหม้รอบๆคอราวกับจะขาดออกจากกันอยู่รอมร่อ เมื่อเงยหน้ามาดูอีกทีมันก็ไปเสียแล้ว  

    ผมไม่คิดอะไรอีกแล้ว จุดประสงค์เดียวตอนนี้คือห้องสมุด สองขาวิ่งออกไปจากตรงนี้อย่างไม่ลังเล ไม่มีการหันกลับไปมอง ไม่มีความหวาดกลัว มีแต่ความโกรธที่พลุ่งพล่าน ไม่สนแล้วว่าจะเป็นผีหรือคน ผมทนไม่ไหวอีกต่อไป  

    ตึกๆๆ 

    "..." ในมือกำไฟแช็กไว้แน่นเมื่อเดินมาถึงหน้าห้องสมุดที่เปิดค้างไว้ เดาว่าคงจะเป็นชานยอลที่เข้ามาคืนเพชรเพราะตนเป็นคนบอกเอง แต่สุดท้ายเรื่องก็ไม่จบอย่างที่คิดเพราะจริงๆแล้วเป็นแค่เรื่องที่กุขึ้นมาจากคยองซูเท่านั้น พอนึกถึงคนนี้แล้วน้ำตาก็พาลจะไหลออกมาเสียดื้อๆ แววตาเศร้าสร้อยเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วยังไงจางหายไป 

    สูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อเพิ่มกำลังใจให้กับตัวเอง ผมไม่จำเป็นต้องเดินตามหาศพ แค่เผามันทั้งหมดจะดูง่ายกว่า เริ่มจากห้องสมุดเป็นที่แรก ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงพาลนึกถึงห้องนี้เป็นห้องแรก  

     

    ตุ๊บ! 

     

    หนังสือจากชั้นใดชั้นหนึ่งกลิ้งตกลงมาตรงปลายเท้าผม ผมไม่คิดที่จะก้มลงเก็บเลยด้วยซ้ำ กลับก้าวข้ามมันไปอย่างไม่ใยดี ทุกวินาทีมันมีค่าเกินกว่าจะเก็บมัน  

    มือหนากดไฟแช็กสองสามทีก่อนจะจุดเข้าทีหนังสือทีละเล่มๆ แต่ผมไม่มีเวลามากขนาดนััน ผมใช้แรงผลักชั้นหนังสือให้ล้มลงทุกชั้นและรวบรวมสิ่งของทั้งหมดที่มีอยู่รอบๆห้องมารวมกัน จากนั้นก็จุดเปลวเพลิงทันที ผมไม่รู้ว่าร่างของเธออยู่ที่ไหน อาจจะบนฝ้าเพดานหรือซอกมุมไหนในห้องนี้ แต่ผมก็เผารวมไปแล้ว เปลวไฟสีเหลืองส้มค่อยๆแผดเผาเป็นวงกว้าง เกิดควันสีเทาที่เริ่มคละคลุ้งเต็มห้อง หันมองผลงานตัวเองครั้งสุดท้าย ก่อนจะเปิดประตูออกไป หากแต่... 

    กึก... 

    ประตู...ล็อค! 

     

    ได้ยังไงกัน! ผมจำได้ว่ายังไม่ได้ปิดประตูเลยด้วยซ้ำ แล้วมันปิดตอนไหนทำไมผมไม่ได้ยินเสียงเลย 

     

    อากาศรอบๆห้องตอนนี้ถูกแทนที่ด้วยควันสีขุ่นมัวที่เกิดจากการเผาไหม้ภายในห้อง ไฟลามไปเรื่อยๆโดยไม่มีท่าทีว่าจะหยุด นี่ผมทำอะไรลงไป ผมกำลังเผาตัวเอง... 

    หันมองอีกทีนามิก็อยู่หน้าห้องเสียแล้ว เธอยืนอยู่ข้างนอกพร้อมกับมีดในมือ มือขาวซีดจับมีดขูดลากไปมาตามประตูกระจก เกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าดขึ้นเบาๆจนแสบแก้วหู มันช่างเป็นท่าทางที่ดูน่าขนลุกเสียจริง ภาพมีดตรงหน้าทำให้เหตุการณ์บางอย่างแวบเข้ามาในหัวอีกครั้ง 

     

     

    'อย่า...หนูกลัวแล้ว ปล่อยหนูไปเถอะ ฮืออ'  

    ภาพของหญิงสาวที่กำลังวิ่งหนีอะไบางอย่างสุดชีวิต ใบหน้าเธอซีดเป็นเท่าตัว เธอหนีไปหลบอยู่ใต้โต๊ะของห้องเรียนห้องหนึ่ง  

     

    ภาพของขาทั้งสองข้างที่กำลังเดินอย่างเยือกเย็น เห็นมือข้างๆลำตัวกำลังถือมีดปลายแหลมคมอยู่ มันใส่กางเกงขายาวที่คุ้นตา ไม่เห็นใบหน้าและลำตัว เห็นแค่ขาทั้งสองข้างตอนเดินเท่านั้น แต่มองแค่แวบแรกก็รู้แล้วว่าไม่ได้มาดีอย่างแน่นอน  

     

    มือหยาบกร้านเปิดประตูห้องเรียนที่หญิงสาวซ่อนอยู่ข้างใน เผยให้เห็นสีหน้าที่ตกใจสุดขีดของหญิงสาว 

    'กรี๊ดดดดดดดดดดดด'  

     

    ฉึก! 

    ฉึก! 

    ฉึก! 

     

    ตามด้วยเสียงฟาดฟันมากมายที่ไม่ได้เกิดแค่ครั้งเดียว ราวกับฟันลงไปหลายๆครั้ง  

     

    เคร้ง!   มีดหล่นลงพื้นพร้อมกับคราบเลือดสีแดงฉานที่กระเซ็นเต็มพนังห้อง 

     

     

     

    "!!!" ความร้อนระอุภายในห้องทำให้ผมกลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง รู้สึกเหมือนหน้าชาเมื่อรู้สาเหตุการตายของเธอ นามิหายไปอีกแล้ว ทิ้งไว้แค่มีดที่ตกหล่นอยู่หน้าห้องเท่านั้น ผมคว้าเก้าอี้แถวๆนั้นขว้างใส่ประตูทันที 

    เพล้งงง 

    "..." ยืนหอบได้สักพักก็ต้องหยิบมีดเล่มนั้นขึ้นมาพิจารณา ผมจำได้แม่นว่าเป็นมีดเล่มเดียวกับที่เห็นในภาพเหตุการณ์เมื่อกี้ มันอยู่ในมือของบุคคลปริศนาที่ฆ่านามิ  

     

    ตึกๆ  

    ชายคนหนึ่งสวมผ้าปิดปากสีดำ นัยน์ตาเรียบนิ่ง กำลังเดินในท่าทีเดิมๆ 

    'มันจะมาฆ่าชั้น!' เสียงของหญิงสาวที่พึมพำกับตัวเองราวกับท่องบทสวด เธอพูดประโยคนี้ซ้ำไปซ้ำมาราวกับเสียสติ มือเล็กยีหัวตัวเองด้วยความกลัวปนวิตกจริต นั่งชันเข่ามองรอบๆตัวอย่างระแวง 

    'มันจะมาฆ่าชั้น!' 

    'ไม่ ฉันไม่เห็นอะไรทั้งนั้น' 

    เธอพูดประโยคแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมา 

     

    ฉึก!  

     

    ตุบ! 

    อะไรบางอย่างกลิ้งมาชนกับบานประตู เมื่อเพ่งดูดีๆก็คือขาคนนั่นเอง... 

    ขาสดๆที่เพิ่งถูกฟันได้ไม่นานมีเลือดไหลชุ่ม หยดตามพื้น 

     

     

    เคร้งงง 

    มือไม้อ่อนทันทีจนของที่อยู่ในมือหล่นลงพื้น ภาพขาสดๆติดอยู่ในหัว นี่มันอะไรกันแน่ นั่นขาของใคร แล้วคนที่ถือมีดคือใคร! ทำไมเรื่องถึงกลายเป็นแบบนี้! 

     

    'นี่เป็นแค่การเตือน ถ้าขืนเธอยังดื้อดึงอีก ฉันจะฆ่าเธอ และปล่อยให้เธอตายอย่างทรมาณ!' 

     

    ประโยคซ้ำๆวนเข้ามาในห้วงความคิด ทำไมเวลามองมีดเล่มนี้ผมถึงต้องนึกถึงคำพูดนั้นด้วย ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมต้องนึกถึงคนๆนั้น 

     

     

    ผู้อำนวยการ...

     

    100%

    ครบแล้ว ๆ ><' ไรท์ยังไม่รับประกันว่าตอนหน้าจบหรือยัง แต่จะพยายามให้จบ 55555
    ยังงงกันอยู่ใช่ปะ บอกไว้ก่อนเรื่องนี้จบไม่สวยนะเออ อาจจะจบแบบกวนตีนๆ 55555

    เดี๋ยวภายในเดือนนี้ไรท์จะเปิดพรีฟิคแล้วนะ ใครจะเอาบ้างง *ขอคำนวนราคาแปป* ;__;
    ฝากแท็ก #ฟิคสคฮร หน่อยน้า ในเฟสก็ได้ 



      

    THE★ FARRY
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×