ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    FIC EXO SCHOOL HORROR [END]

    ลำดับตอนที่ #20 : SCHOOL : CHAPTER16

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 6.16K
      29
      25 ก.ย. 56

    CHAPTER 16 

     

    ผมยืนหอบหายใจในลิฟท์ที่กำลังเคลื่อนตัวไปชั้นที่ต้องการ สภาพขาที่ตอนนี้ไม่สามารถฝืนวิ่งต่อไปได้เป็นเหตุให้ผมต้องจำใจขึ้นลิฟท์ทั้งๆที่รู้ว่าไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไรก็ตาม 

    แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าเสี่ยงเดินลงบันไดเหมือนขามา แล้วอีกอย่าง ผมเพิ่งจะเจอมาสดๆร้อนๆ มันคงจะเป็นไปได้ยากถ้ามันจะยังตามมารังควานอีก  

     

    กึก... 

     

    "..." ผมหันซ้ายหันขวามองรอบๆเมื่อสัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติ รู้สึกเหมือนพื้นสะเทือน ก่อนตัวเลขและไฟปุ่มลิฟท์จะดับลง... 

    !!! นี่อย่าบอกนะว่าลิฟท์ค้าง!? 

     

    "โอ้ยอีเหี้ยยยยยย กูจะซวยอะไรนักหนาวะ!"  

     

    ตะโกนไปท่ามกลางความมืด เรียกง่ายๆว่าโมโหกลบเกลื่อนความกลัวในใจตัวเองนั่นล่ะ ทำไมพระเจ้าไม่เข้าข้างผมเอาซะเลย นำพาแต่เรื่องเลวร้ายมาให้ผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า 

     

    ครืนนน ... 

     

    ผมทุบประตูลิฟท์อย่างบ้าคลั่ง แต่มันก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น เสียงแปลกๆเล็ดลอดออกมาจากข้างนอก  
    ความมืดทำให้ผมเริ่มกลัว ไม่กล้าแม้แต่จะลงส้นเท้าหนักๆ เพราะหากลิฟท์ตกขึ้นมาล่ะ!?  
            ไวเท่าความคิด เสียงแปลกๆดังขึ้นเรื่อยๆจนผมจับสังเกตได้ว่าเสียงนั้นดังมากจากข้างบน มันเป็นเสียงอะไรบางอย่างที่กระทบกระเทือนถึงลิฟท์ และมันทำให้พื้นสั่นทุกครั้งที่เกิดเสียง 
     

    “…” ผมยืนตัวสั่นด้วยความกลัว ควรจะทำยังไงดี…ผมควรทำยังไง ตั้งแต่มาเรียนที่นี่ลิฟท์ไม่เคยค้างเลยสักครั้ง ถึงจะค้างแต่มันก็ไม่ได้ตกอยู่ในสภาพแบบนี้ ลิฟท์กำลังจะตก… 
     
    ผมง้างประตูลิฟท์หวังให้มันเปิดออก แต่มันแทบจะไม่ได้ผลเลยเมื่อแรงที่มีนั้นไม่มากพอ เรี่ยวแรงผมหายไปตั้งแต่ในห้องสมุดแล้ว ไหนจะขาทั้งสองข้างที่ระบมจนแทบจะยืนไม่ไหวนี่อีก 

     

    "ช่วยด้วย! มีใครอยู่ข้างนอกไหม" ผมทำทุกวิถีทางให้รอดพ้นจากความมืดมิดนี้ ถึงแม้ในใจลึกๆแล้วจะรู้ว่ามีเปอร์เซนต์ไม่มากเลยที่จะมีคนอยู่ข้างนอก  

     

    "เฮ้ยยย" ลิฟท์โคลงเคลงไปมาราวกับกำลังจะร่วงในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า 

     

    ม...ไม่นะ นี่ผมต้องตายเพราะลิฟท์จริงๆนะเหรอ!?  

    มันง่ายเกินไปหน่อยมั้ย...! 

     

    'ฮี่ๆๆๆๆๆๆๆๆ' 

     

    เปรี๊ยะ! 

     

    "อ๊ะ!"  ราวกับเกิดไฟฟ้าแรงสูงขึ้นมาวูบนึง ก่อนหลอดไฟข้างบนจะแตกกระจายแล้วดับลงไปอีกครั้ง 

    เศษแก้วของมันเฉียดแผลผมไปอย่างหวุดหวิด  

     

    "ช..ช่วยด้วย! มีใครอยู่ข้างนอกมั้ย" ผมกดปุ่มขอความช่วยเหลือไปครั้งแล้วครั้งเล่า กล้องที่ติดอยู่ข้างในก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ในเมื่อไม่มีใครเฝ้าภาพวงจรปิด  

     

    ผมนั่งจนตรอกอยู่กับพื้นอย่างหมดหนทาง... 

    จะมีใครมาช่วยผมได้บ้างล่ะ? แบคฮยอน? หึ... 

    ถ้าหากว่านี่เป็นแค่ประตูห้องธรรมดาผมก็สามารถพังออกไปได้ง่ายๆโดยไม่ต้องขอความช่วยเหลือจากใครเลย แต่นี่คือลิฟท์! ลิฟท์มันง้างจากข้างในไม่ได้ ผมออกไปไม่ได้ถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากด้านนอก 

     

    แต่ใครล่ะ? ใครมันจะมาอยู่แถวนี้!? 

     

    ตก...! 

     

    นี่คือความคิดเดียวที่ผมนึกได้ตอนนี้ จุดจบมันจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากลิฟท์ร่วงดิ่งลงไปยังชั้นล่าง 

    ผมควรนั่งนิ่งๆรอความตายใช่มั้ย? ในเมื่อดิ้นรนยังไงก็ไม่มีประโยชน์ 

     

    "......."  

    รอ แค่รอเท่านั้น... 

    - 

    - 

    แต่เอาเข้าจริงๆ ผมก็นั่งนิ่งๆไม่ได้อยู่ดี ถึงแม้จะรู้ว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้ามันจะจบยังไง แต่ผมก็อดกลัวไม่ได้  

    กลัว กลัวเจ็บ กลัวว่าความตายจะเจ็บปวดกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้หลายเท่า กลัวว่าความตายจะพรากผมกับแบคฮยอนไป  

     

    กึก ! 

     

    "...."   

    อย่าเพิ่ง...ได้โปรด 

    อย่าเพิ่งตก... 

     

    - 

    - 

    - 

     

    โครมมมมม...!!! 

     

    "อั้ก!" เพียงชั่ววินาทีเท่านั้น เหมือนโลกทั้งโลกหมุนเคว้ง 

    พื้นที่ผมยืนอยู่นั้นสั่นสะเทือนราวกับแผ่นดินไหว ก่อนจะกลายเป็นแรงโน้มถ่วงดิ่งลงสู้พื้นล่างอย่างรวดเร็ว 

    ตัวผมกระแทกผนังลิฟท์ไปมาราวกับลูกแก้วในถ้วยที่กลิ้งหวุนหวินไปมาไม่หยุด  

    รู้สึกคลื่นไส้ แต่ต้องกลั้นไว้เมื่อความหวาดกลัวมีมากกว่าอะไรในตอนนี้ 

     

    ตุ๊บ!! 

    สัมผัสสุดท้ายที่รู้สึกคือตัวผมกระแทกประตูลิฟท์อย่างแรงก่อนจะกระเด็นไปอีกฝั่งเพราะแรงเหวี่ยง 

     

    แทบลุกไม่ขึ้นเมื่อร่างกายทนต่อไม่ไหว อยากจะอาเจียนแต่ก็ทำไม่ได้ เมื่อหน้าอกมันจุกแน่นไปหมด  

    แขนและขาทั้งสองข้างมีรอยฝกช้ำเป็นวงกว้าง ผมจำได้ว่าล่าสุดได้เอาแขนซ้ายกันหน้าตัวเองไว้ไม่ให้กระแทกพื้น 

          เมื่อตั้งสติได้ก็พบว่าลิฟท์หยุดเคลื่อนที่ไปเสียแล้ว แต่ไฟก็ยังไม่ติด ลิฟท์ก็ยังไม่ทำงาน ประตูกก็ยังไม่เปิด 

    ถือว่าเป็นโชคดีของผมที่ลิฟท์ยังดิ่งลงไม่สุด อาจจะหยุดอยู่ที่ไหนสักชั้น  

     

    ผมกุมหน้าอกตัวเองแน่นราวกับคนกำลังจะขาดอากาศหายใจ รู้สึกถึงใจที่เต้นรัวและเร็วด้วยความตกใจ 

    มันไวมาก...เหตุการณ์มันเกิดขึ้นไวมากจนผมตั้งตัวไม่ทัน  

     

    ครืนนนน .... 

     

    "ยื่นมือมา ชานยอล!" 

     

    --SCHOOLHORROR-- 

     

    "ข..ขอบใจที่ช่วยฉัน"  

    ผมพูดไม่เต็มเสียงนัก ในเมื่อคนที่มีปากเสียงกันเมื่อครั้งที่แล้วกลับมาช่วยผมอย่างนี้ 

    ไคเป็นคนช่วยง้างประตูลิฟท์ออกและพาผมออกมา ผมไม่เข้าใจนักหรอกว่าเขาจะช่วยผมทำไม  

    แต่แค่นี้ก็เป็นบุญคุณผมท้วมท้นแล้วล่ะ  

       ไคทำเป็นไม่สนใจคำขอบคุณของผม แต่กลับวิ่งนำหน้าผมไปอย่างร้อนรนราวกับมีเรื่องเดือดร้อนอะไรมาก่อนหน้านี้ 

    "ช่วยคยองซูด้วย แบคฮยอนกำลังจะกินคยองซู!" ไคหันหลังมาตะโกนให้ผมก่อนเร่งฝีเท้าวิ่งขึ้นบันไดไป 

     

    ว..ว่าไงนะ ! แบคฮยอนจะกินคยองซู! 

     

    ผมวิ่งไล่หลังตามไป ในใจเริ่มร้อนรนอีกครั้ง แบคฮยอนก่อเรื่องอีกเหรอ... 

    และต้นเหตุมันเป็นเพราะผมอีกแล้วใช่มั้ย ไม่ว่าจะยังไงก็หนีมันไม่พ้น  

    ความผิดมันติดตัวมาตั้งแต่ผมทำให้แบคฮยอนฟื้นขึ้นมาแล้วล่ะ  

    ผมจะไม่ยอมให้คนรักฆ่าใครไปมากกว่านี้อีกแล้ว...โดยเฉพาะเพื่อนตัวเอง 

     

     

    ปัง! 

     

    "แบคฮยอน!" ภาพที่ผมเห็นหลังจากที่ผลักประตูเข้ามาดูจะผิดคาดไปนิด แบคฮยอนไม่ได้กำลังจะกินหรือกำลังทำร้ายคยองซู  

    แต่เป็นคยองซูต่างหากที่กำลังจะทุ่มเก้าอี้ในมือตัวเองใส่แบคฮยอน ในขณะที่ตัวเองมีแผลที่ต้นคอเลือดไหลไม่หยุด 

    "ชานยอลนายมาห้ามแฟนนายที ฉันกำลังจะโดนมันกินแล้วนะ!" คยองซูเหวใส่ผม มือที่ว่างอยู่ก็คอยเช็ดเลือดที่ต้นคอเป็นระยะๆราวกับไม่ค่อยรู้สึกสะทกสะท้านกับมันซักเท่าไร 

        หันไปมองแบคฮยอน ร่างบางบิดคอไปมาพร้อมด้วยดวงตาที่แดงกล่ำ ที่ใบหน้ามีร่องรอยการถูกทำร้ายที่ผมคาดว่าน่าจะเป็นเก้าอี้ที่คยองซูไว้ใช้ป้องกันตัว แต่น่าแปลกที่ไม่มีเลือดออกมาสักหยด 

     

    "หยุดเดี๋ยวนี้แบคฮยอน นายกำลังทำร้ายเพื่อนตัวเองนะรู้ตัวหรือเปล่า!" ผมสาวเท้าเข้าไปกระชากแขนคนรักให้หันหน้ามาหาตัวเอง  

    ผมไม่ได้ลืมหรอก ผมรู้ดีว่าแบคฮยอนลืมผมไปแล้ว แบคฮยอนเห็นผมเป็นแค่อาหารทั่วไป แต่มันก็อดที่จะทำแบบนี้ไม่ได้ ผมแค่หวังสักนิดว่าแบคฮยอนจะรู้สึกตัวและกลับมาเป็นเหมือนเดิม ..แต่มันคงเป็นได้แค่ฝัน 

     

    นอกจากร่างบางจะไม่ฟังผมแล้ว ยังถลาเข้ามาหาผมและหมายจะกัดต้นคอผมอีกด้วย แต่ยังดีที่ผมเอาแขนกันไว้ทัน ไม่อย่างนั้นได้เป็นหนักกว่านี้แน่ 

    "โอ้ยย" กัดฟันทนกับความเจ็บหลายต่อหลายครั้ง แต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่ผมจะทนกับมันได้  

    ทั้งเนื้อทั้งตัวผมมีแผลกี่แผลแล้วนะ? ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยโดนขนาดนี้เลย นี่มันวันอะไรกัน 

     

    โครมมม 

     

    "กรร!!"  

    "!!!" 

     

    แบคฮยอนล้มลงไปต่อหน้าต่อตา ภาพที่เห็นคือคยองซูทุ้มเก้าอี้ในห้องเหวี่ยงเข้าที่ท้ายทอยแบคฮยอนขณะที่กำลังหันหลังให้อยู่อย่างแรง  

    แต่ก็เพียงแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้นที่แบคฮยอนล้มลงไป ไม่นานก็ลุกขึ้นมาประจันหน้าคยองซูพร้อมกับแววตาที่กราดเกรี้ยวมากกว่าเดิม  

    คยองซูตัวสั่นเทิ้มด้วยความกลัวเมื่อรู้ถึงภัยที่กำลังมาเยือน แบคฮยอนทำลายข้าวของทุกอย่างที่ขวางหน้าขวางตา รวมทั้งผมที่ยืนอยู่ตรงนั้นด้วย ร่างบางเหวี่ยงผมกระเด็นไปชิดมุมห้องที่ไคยืนหลบอยูก่อนแล้ว 

    "ทำอะไรสักอย่างสิ แฟนนายกำลังจะกินคยองซูแล้วนะ!" ไคตะโกนใส่หน้าผมแข่งกับเสียงขู่กรรโชกของแบคฮยอน 

    ตอนนี้คยองซูกำลังเสียเปรียบอย่างมาก ร่างเล็กเอาแต่ถอยไปทีละก้าวๆจนแผ่นหลังชิดมุมห้อง แบคฮยอนย่างกายเข้ามาอย่างรวดเร็วและประชิดตัวในที่สุด 

    "ชานยอลนายเข้าไปห้ามเดี๋ยวนี้!" เสียงไคยังคงโหวกเหวกน่ารำคาญข้างหู  

    ดีแต่สั่งผมทำไมไม่ยอมเข้าไปช่วยเองล่ะ มายืนตะโกนอยู่อย่างนี้จะช่วยอะไรได้ไหม! 

    แล้วอีกอย่าง ผมก็เข้าไปห้ามแล้วเมื่อกี้ แต่ผลที่ได้มันก็เป็นอย่างที่เห็น จะให้ผมทำยังไงล่ะ ผมเคยห้ามเขาได้ที่ไหนกัน ไม่ว่าแบคฮยอนจะทำอะไรผมก็มาช้าเกินไปเสมอ  

    "นายก็เข้าไปช่วยเพื่อนดิวะ!! จะมายืนตะโกนให้ได้อะไรขึ้นมา" ผมตะคอกกลับไปอย่างเหลืออด แต่ไคกลับยิ่งถอยกรูดไปชิดกำแพงอย่างหวั่นๆ 

    "ก็ใครจะกล้าเสี่ยงล่ะ" ผมเค้นยิ้มกับคำตอบของเขา  

    "ทีนายยังไม่กล้าไปช่วยเพื่อนตัวเองเลย เรื่องแค่นี้นายก็ทำไม่ได้"  

    "นายมันก็แค่ไอขี้ขลาดตัวนึง!"  

    - 

    - 

    "ใช่! ฉันมันขี้ขลาด แล้วไงล่ะ--" 

    "--ฉันไม่เหมือนนายนี่ นายกล้าหาญและเก่งกาจ เพราะงั้นนายก็จัดการมันซะสิ จัดการแบคฮยอนซะ!" 

    "..." 

    ผมหันมองไคเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเบนสายตามาที่คนรัก...ไม่สิ อดีตคนรักมากกว่า คนรักของผมไม่ใช่ซอมบี้ 

    "ฉ..ฉันต้องทำยังไงบ้าง" ผมถามน้ำเสียงแหบพร่า รู้สึกน้ำลายมันเหือดแห้งไปหมด  

    "ฆ่าแบคฮยอน!" ไคพูดเสียงเรียบแต่มันกลับทำให้ผมเบิกตากว้าง 

    "ม..ไม่ ฉันทำไม่ได้ ฉันฆ่าแบคฮยอนไม่ได้!"  

    "มันจำเป็นนะชานยอล ถ้าหากว่านายเก็บแบคฮยอนไว้ ยังไงสักวันหมอนั่นก็ต้องกินนาย"  

    "ไม่!" 

    ผมตวาดลั่น ร่างกายสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัว กลัวความจริง ไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น  

    ผมรักเขา ผมฆ่าเขาไม่ได้! ถึงแม้จะรู้ว่าแบคฮยอนเป็นตัวอะไร แต่ผมก็ทำมันไม่ได้! 

    ไคซัดหมัดหนักใส่ผมหนึ่งทีจนหน้าคว่ำ ใบหน้าหมอนั่นเรียบนิ่งราวกับไม่รู้สึกอะไร  

    "ยอมรับความจริงสักทีชานยอล เลิกทำตัวเป็นพระเอกได้แล้ว แบคฮยอนเป็นซอมบี้!" 

    ยังไม่ทันทีผมจะลุกขึ้นมาเถียงร่างสูงก็ตรงเข้ามาซัดหมัดใส่ผมอีกครั้งและอีกครั้ง หน้าชาไปทั้งแถบราวกับโดนน้ำแข็งสาดหน้า ร่างกายมันแทบไม่รับรู้อะไรอีก 

    แต่ใครจะยอมโดนต่อยเป็นฝ่ายเดียวกันล่ะ ผมถีบหน้าท้องคู่กรณีอย่างแรงและพลิกเกมให้กลับมาอยู่เหนือกว่าได้ ผมรัวหมัดใส่ไม่ยั้งและออกแรงยิ่งกว่าที่มันทำกับผม 

    "รู้อะไรไหมชานยอล ฉันมันเลวกว่าที่นายคิดไว้นะ"  

    "..."  

    "หมายความว่าไง?" 

    ผมขมวดคิ้วยุ่งกับประโยคแปลกๆของไค ถึงแม้ปากจะยังพูดกันได้ แต่เราสองคนยังคงแลกหมัดกันอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้ผมกำลังได้เปรียบ ถ้าไม่ติดว่าขาทั้งสองข้างกำลังบาดเจ็บผมคงกระทืบมันให้แหลกคาตีนไปแล้ว 

    "ฉันน่ะ..." 

     

    ปัง! 

     

    "!!!" ผมหันไปทางต้นเสียงทันทีโดยไม่รอให้ไคพูดจบ  

    คยองซูหอบหายใจมองร่างตรงหน้าที่กำลังอ้าปากค้างเตรียมจะกัดตนเองอีกรอบ หากแต่ร่างบางได้ชักปืนยิงลำตัวของแบคฮยอนเสียก่อนที่กำลังจะได้ฝังเขียวลงไป 

       ราวกับหัวใจผมกำลังโดนบีบให้แหลกสลาย มองภาพคนรักที่ชะงักค้างโดยที่ไม่มีเลือดไม่ออกมาเลยสักหยด กระสุนทะลุลำตัวไปข้างหลังและตกพื้นในที่สุด  

    คยองซูยืนมองผลงานตัวเองด้วยใจที่ลุ้นระทึก ไม่มีใครขยับตัวไปไหนทั้งนั้น ทุกคนยังอยู่ที่เดิม ยังอยู่ท่าเดิม ทุกสายตาจับจ้องไปที่ร่างของแบคฮยอนที่มีท่าทีแน่นิ่งไปเสียเฉยๆ 

     

    แบคฮยอนตายงั้นเหรอ..ไม่จริง!!! 

     

    "...." ทว่าผมกลับคิดผิดถนัด แบคฮยอนกลับมาขยับได้อีกครั้ง และไม่ได้ใส่ใจกับแผลที่โดนยิงเลยสักนิด  

    ผมวิ่งตรงไปกอดแบคฮยอนจากด้านหลัง ร่างบางขู่และพยายามสะบัดผมให้หลุดออกจากตัว แต่มันไม่ใช่ง่ายๆ  

    ผมไม่ยอมปล่อยและไม่ยอมไปไหนทั้งนั้น น้ำตามากมายไหลรินออกมาชุ่มเสื้อนักเรียนแบคฮยอน ร่างบางชะงักกึกและยืนนิ่ง 

    "ฮึก..อย่า..อย่าฆ่าคนอีกเลยนะแบคฮยอน นายเป็นคน นายไม่ใช่ซอมบี้ นายรู้สึกได้ใช่ไหม"  

    "..." เสียงรอบข้างเงียบลงอัติโนมัติ มีเพียงเสียงผมที่ดังก้องไปทั้งห้อง 

    แบคฮยอนดวงตาแข็งกราวจ้องมองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมายโดยไม่หันมามองผมเลยด้วยซ้ำ 

    "ฉันขอโทษที่ทำให้นายเป็นแบบนี้ ฉันผิดเอง ฉันจะรับผิดชอบทุกอย่าง ขอแค่นายกลับมาจำฉันได้เหมือนเดิมนะแบคฮยอน--" 

    "--นายไม่จำเป็นต้องกลับมาเป็นคนเหมือนเดิมก็ได้ แต่ขอแค่นายกลับมารักฉันเหมือนเดิมก็พอ ถึงแม้สมองจะว่างเปล่าและจำอะไรไม่ได้ แต่ตรงนี้..." มือหนาวางทาบที่อกข้างซ้ายของแบคฮยอนอย่างแผ่วเบา 

    "ตรงนี้มันยังคงรับรู้ได้ใช่มั้ย..ฮึก"  

    "..." แววตาร่างบางอ่อนลงและกระพริบตาอย่างเชื่องช้า มีน้ำหล่อเลี้ยงดวงตาจนม่านตาข้างในเริ่มกลับกลายเป็นสีน้ำตาล .. 

    ...น้ำตาหยดแรกของแบคฮยอนไหลรินลงมา 

     

    "ไม่มีประโยชน์ชานยอล..."  

    "ถึงแม้ว่าแบคฮยอนจะจำนายได้และรักนายอีกครั้ง แต่นายไม่อาจปลุกชีพจรแบคฮยอนให้กลับมาเต้นได้" 

    "..." คยองซูพูดเสียงเรียบ ในมือยังคงถือปืนค้างอยู่อย่างนั้น 

     

    ผมรู้..ไม่ใช่ว่าผมโง่ แต่ผมแค่ไม่อยากเก็มันมาคิด ผมไม่อยากคิดถึงมัน ผมพยายามมองข้ามมันไป  

    แต่สุดท้ายก็เอาชนะความจริงไม่ได้...ความจริงที่ว่า แบคฮยอนตายไปแล้ว  

    ตายไปตั้งแต่วินาทีที่มีดปักกลางหน้าผาก ชีพจรหยุดเต้นตั้งแต่วินาทีที่ร่างบางหยุดหายใจ  

    จนกระทั่งตอนนี้ อย่างที่คยองซูบอก ผมสามารถทำให้คนรักฟื้นขึ้นมาได้.. 

    แต่มันก็ได้แค่ร่างกาย ผมไม่อาจชุบวิญญาณแบคฮยอนขึ้นมาใหม่ได้ไม่ว่าจะวิธีใดก็ตาม 

     

    แบคฮยอนในตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับศพเดินได้ ก็แค่ศพเท่านั้น 

    แต่ผมกลับยึดติดมัน ยึดติดในรูปลักษณ์แบคฮยอน ยึดติดกับทุกอย่างที่เป็นของร่างบาง  

    ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจลึกๆว่าศพไม่สามารถดำรงอยู่ได้ อีกไม่นานมันก็จะแหลกสลายกลายเป็นซาก 

    แบคฮยอนก็เช่นกัน ถึงแม้ว่ามันจะน่าดีใจแค่ไหนที่ความรักเอาชนะมันได้ แต่ความเป็นจริงไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เช่นกัน  

    ศพก็คือศพอยู่วันยังค่ำ 

    คนตายแล้วไม่มีทางฟื้นขึ้นมาใหม่เป็นรอบที่สอง 

    ยังไงแบคฮยอนก็ต้องตาย... 

    ผมควรยอมรับความจริงได้แล้วสินะ... 

     

    ต.แต่ ถึงแม้จะคิดได้อย่างนั้น ผมก็ไม่อาจทำใจได้ ผมทนดูแบคฮยอนตายไปต่อหน้าต่อตาไม่ได้จริงๆ 

     

    "ชานยอลหลบ! ฉันจะยิงมัน!" เสียงคยองซูเปรียบดั่งเพชรฆาตที่น่ากลัว ผมกอดแบคฮยอนแน่นมากกว่าเก่า 

    "ฉันบอกให้หลบไง! นายจะตายไปกับมันใช่มั้ย ได้!"  

    "..." 

    บรรยากาศรอบข้างเงียบสนิท ผมหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน แต่ก็รู้สึกอุ่นใจอย่างแปลกประหลาดเมื่อได้กอดแบคฮยอนแบบนี้ 

    หากแต่คนในอ้อมกอดผมไม่ได้เห็นดีเห็นงามด้วย ทันทีที่เห็นคยองซูเล็งปืนมาที่เราสองคนร่างบางสะบัดผมออกและวิ่งเข้าหาคยองซูอย่างเร็ว 

    "แบคฮยอนนายจะทำอะไร!"  

    ไม่มีเสียงตอบกลับมา มีเพียงแต่เสียงการต่อสู้ของทั้งคู่ที่ดุเดือด  

    คยองซูยิงแบคฮยอนรัวๆจนกระสุนหมด แต่มันทำได้แค่ยื้อเวลาให้แบคฮยอนชะงักค้างไปไมกี่นาทีเท่านั้น นั้นหมายความว่าปืนไม่สามารถทำอะไรแบคฮยอนได้ 

    ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของแบคฮยอนไม่แข็งกร้าวเหมือนครั้งก่อน แรงและพละกำลังที่มีก็ถอถอยลงไปด้วย คยองซูทุ่มโต๊ะและเก้าอี้ใส่ไม่ยั้งจนผมต้องจำใจหันหน้าหนี 

    ไม่อยากเห็นอะไรทั้งนั้น รู้ทั้งรู้ว่าคนที่ตัวเองรักกำลังโดนทำร้าย แต่กลับไปช่วยไม่ได้..ในเมื่อผมจงใจให้เป็นอย่างนั้น 

    แบคฮยอนต้องตาย...และคยองซูกำลังจะฆ่าแบคฮยอน 

    ผมควรปล่อยให้เรื่องมันดำเนินอย่างนี้ใช่มั้ย!? 

     

    "ฮึก..." ผมปล่อยน้ำตาให้ไหลรินออกมาและตัดสินใจหันหลังให้คนทั้งคู่ ไคมองผมด้วยความเวทนา 

     

    เพล้งงงง! 

    โครมมม! 

     

    "กรร!!!!"  

     

     เสียงโครมครามที่ดังกว่าทุกทีทำให้ผมและไคต้องหันไปมอง คยองซูทำกระจกหน้าต่างแตกและผลักแบคฮยอนลงไป 

    ใจผมหายวาบ.... 

     

    "คยองซูนายทำแบบนี้ทำไม!!" ผมตรงเข้าไปกระชากเสื้อที่หลุดลุ่ยของคยองซูหมายจะซัดหน้าขาวๆนั่นเต็มทน แต่ไคกลับดึงตัวผมให้ออกไป 

    "ใจเย็นชานยอล คยองซูทำถูกแล้ว นายต้องยอมรับความจริง" ร่างสูงพูดใจเย็น 

     

    ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ รู้สึกเหมือนจะล้มทั้งยืน คนรักของผมจากไปแล้ว...จกแบบไม่มีวันกลับ 

    ชะเง้อมองลงไปข้างล่าง ยิ่งทำให้ความเสียใจเพิ่มขึ้นทวีคูณ  

    ร่างของแบคฮยอนเสียบอยู่บนแหลมเหล็กของประตูรั้วชั้นล่าง ...แทงทะลุหัวใจ 

    หัวใจสดๆปักคาอยู่ปลายหัวแหลมของมัน ในขณะที่ลำตัวเสียบลึกมากกว่านั้น 

     

    นั่นทำให้ผมมั่นใจได้ว่าแบคฮยอนตายแล้วจริงๆ... 

    ยิ่งมองแววตาสีน้ำตาลเข้มที่ยังลืมถลนอยู่นั้นยิ่งทำใจไม่ได้ 

     

    ไคตบบ่าผมเบาๆราวกับต้องการปลอบใจ แต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรผมเลยสักนิด กลับยิ่งทำให้รู้สึกขุ่นมัวมากขึ้นกว่าเดิม ผมหันมองคยองซูตาขวาง 

    "สาแก่ใจนายแล้วนี่สุดท้ายก็เหลือกันอยู่แค่นี้ นายต้องการอะไรกันแน่คยองซู!" 

    "..." แววตาคยองซูนิ่งงันราวกลับเรื่องนี้ไม่ได้ส่งผลกระทำต่อจิตใจตัวเองเลยสักนิด 

    "ตอบฉันมาสิว่านายต้องการอะไร!? เรื่องมันกำลังจะจบด้วยดีอยู่แล้วถ้านายไม่ฆ่าเขา!" 

    "ไม่! มันไม่มีทางจบด้วยดีหรอกชานยอล ทุกคนต้องตาย นายได้ยินไหมว่าทุกคนต้องตาย!!!" 

    คยองซูตวาดลั่นไม่แพ้กัน มือเล็กทุบตีอกผมราวกับไร้สติ ผมรวบข้อมือนั้นไว้พูดเสียงเข้ม 

    "นายคิดผิดแล้วคยองซู เรื่องนี้มันกำลังจะจบต่างหาก อาจจะไม่กี่นาทีข้างหน้า หรืออีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า เราที่เหลืออยู่จะไม่มีใครตายทั้งนั้น ในเมื่อฉันอุตสาร์เสี่ยงตายขึ้นไปบนชั้นแปดคนเดียวเพื่อคืนสร้อยบ้านั่น!" 

     

    "..."  

     

    คยองซูเงียบไปชั่วอึดใจ ร่างเล็กสงบลงและหยุดประทุษร้ายผม หากแต่เปลี่ยนมาเป็นแสยะยิ้มแทน 

    ก่อนจะก้าวถอยห่างจากผมและไคที่ละก้าวๆอย่างช้าๆ  

    ไคมองหน้าผมอย่างงๆว่าคยองซูกำลังจะทำอะไรกันแน่ แต่ทว่าวัตถุที่คยองซูกำลังหยิบออกมาจากกระเป๋านั้นทำให้ผมอ้าปากค้าง 

     

    "สร้อยที่นายว่าน่ะ...หน้าตาคล้ายกับสิ่งนี้ใช่มั้ย!?" 

    "!!!" 

     

    ผมมองสร้อยเพชรในมือคยองซูด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทุกสิ่งทุกอย่างมันตีกันในหัวไปหมด 

    สร้อยเส้นนั้นมีลักษณะเหมือนกับสร้อยที่ผมเอาไปคืนทุกอย่าง... 

     

    สรุปว่าคยองซูเป็นคนขโมยมันจริงๆด้วยสินะ!! 

     

    "นาย! นายขโมยมันไปจริงๆด้วย ฉันเอามันไปคืนแล้วนายก็วิ่งไปขโมยมันกลับมาอีกใช่มั้ย!" 

    ผมชี้หน้าคยองซูด้วยมืออันสั่นเทา สิ่งที่ผมคิดไว้มันกำลังจะเป็นจริง...ผมคิดไม่ผิดใช่ไหม 

     

    "ทำไมนายทำแบบนี้คยองซู เป็นนายนี่เองที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด นายขโมยมันไปจริงๆ" 

    ไคเดินเข้ามาฝั่งผมโดนอัติโนมัติพร้อมกับพูดประโยคที่รับรู้ได้ว่ากำลังผิดหวังอย่างเห็นไดัชัด 

         คยองซูมองผมและไคนิ่งและถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาราวกับแบกโลกไว้ทั้งใบ ก่อนมือเล็กจะทำในสิ่งที่ผมทั้งสองคนไม่คาดฝัน! 

    "!!" คยองซูปล่อยสร้อยเส้นนั้นลงสู่พื้นและใช้เท้าขยี้มันอย่างไม่ปราณี จนเพชรเม็ดเล็กๆของมันหลุดออกเป็นบางส่วน  

    ผมมองการกระทำบ้าบอนั้นอย่างตะลึง สีหน้าคยองซูดูเหมือนนางร้ายที่ผมเห็นในละครเลย 

    ทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรกัน? ทั้งๆที่เป็นคนขโมยมา แต่กลับเหยียบย่ำ... 

     

    "นายรู้ไหมว่าที่บ้านฉันมีสร้อยแบบนี้เป็นสิบๆเส้นเลย...มันสวยใช่มั้ยล่ะ" 

    "..." 

    "ฉันสามารถสั่งทำมันขึ้นมาอีกกี่เส้นก็ได้..."  

     

    ผมมองอดีตเพื่อนกลุ่มเดียวกันนิ่ง มือหนากำเข้าหากันแน่นขึ้นเรื่อยๆเมื่อคยองซูเปิดปากพูดมันออกมา  

    รู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่างที่คิดว่าไม่ดี เรื่องบางเรื่องกำลังจะถูกเปิดเผย 

    ไคขบกรามแน่นมองไปที่คยองซูเช่นกัน เราทั้งคู่นิ่งเงียบตั้งใจฟังคำพูดยียวนที่ออกมาจากปากร่างเล็ก 

     

    "นายกำลังจะบอกอะไรเรา คยองซู..." ผมพูดลอดไรฟัน แต่มันก็ทำให้ได้ยิ่งทั่วทั้งห้อง 

    คยองซูส่ายหน้าแล้วยิ้มน้อยๆ มือบางแตะที่แผลเปิดเล็กน้อยราวกับบ่งบอกให้รับรู้ว่ากำลังอดทนกับบาดแผลที่แบคฮยอนทำไว้อยู่ แต่แค่ไม่ได้พูดมันออกมา 

     

    "ฉันแค่จะบอกพวกนายว่า..ฉันเป็นคนสร้างสร้อยเพชรนี้ขึ้นมาเอง--" 

    "--เมื่อตอนเย็นฉันนำมันใส่ไว้ในกระเป๋าเทาและสร้างสถานการณ์ให้ดูเหมือนว่าเทาเป็นคนขโมยมันไป แต่เทาคงอาจจะทำตกที่ไหนสักที่ นายจึงเจอมันเสียได้" 

    "!!!" 

    มือที่กำอยู่แน่นมากขึ้นไปอีก ตัวผมสั่นเทาด้วยความโกรธ หากแต่ต้องข่มอารมณ์ไว้ไม่ให้มันปะทุขึ้นมา  

    อยากจะถามออกไปตรงๆว่าทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร ทำแล้วมันได้อะไรขึ้นมา แต่ก็ทำได้เพียงเงียบใส่เท่านั้น 

     

    "เพชรนี่มันไม่ได้มีค่าอะไรเลยสักนิด พวกนายให้ความสำคัญกับมันเสียเปล่า--" 

    "--มันไม่ใช่ของผี แต่มันเป็นของฉัน เป็นสิ่งที่ฉันสร้างมันขึ้นมาเพื่อหลอกคนโง่ๆอย่างพวกนาย!" 

     

    "ไม่มีคนขโมยเพชรไปทั้งนั้น เรื่องทั้งหมดเป็นแค่เรื่องหลอกลวง วิญญาณร้ายไม่ได้มาตามทวงเพชร วิญญาณร้ายไม่ได้ต้องการเพชรคืน แต่มันต้องการตัวตายตัวแทน!!" 

     

    "อ..อะไรนะ!!"  

     

    "เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2551 มีเรื่องสยองขวัญเกิดขึ้นในโรงเรียนแห่งนี้--" 

    "--และฉันก็อยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย มันเป็นปมที่ฉันต้องจดจำไปตลอดชีวิต" 

     

    "ฉันมีเพื่อนมากมาย ฉันมีอาจารย์ที่ใจดี เราทุกคนมีความสุขและกำลังยิ้มให้กัน" 

    "แต่ว่าเย็นวันนั้นฉันกับเพื่อนทั้งกลุ่มต้องนอนค้างที่นี่เพราะรายงานหลายเล่มที่ยังไม่เสร็จ" 

    "เราไม่กลัวเพราะคิดว่าอย่างน้อยโรงเรียนนี้้ต้องมียามหรืออาจารย์บางคนเฝ้าอยู่แล้ว อย่างน้อยก็ต้องมีคนคอยดูแลตามกล้องวงจรปิดด้วย" 

    "แต่พวกเราคิดผิดถนัด มันเป็นเรื่องที่แปลกมาก...ไม่มีใครอยู่ในโรงเรียนเลยนอกจากพวกเราในคืนนั้น" 

     

    "ฮึก..." คยองซูหลั่งน้ำตาออกมาเมื่อนึกถึงวันวานเมื่อครั้งก่อน 

     

    "ภายในเวลาไม่นาน เพื่อนคนนึงก็โดนมันฆ่า.. พวกเราสติแตกกระเจิง พวกเรากลัวและเริ่มโทษกันเอง  

    บางส่วนแยกออกจากกลุ่มไปเพื่อที่จะหนีออกจากโรงเรียน แต่ผลสุดท้ายรายต่อไปที่ตายก็คือคนพวกนั้น" 

    "ฉันต้องทนดูเพื่อนโดนฆ่าตายไปทีละคนๆโดยที่ตัวเองก็เอาตัวรอดมาได้อย่างหวุดหวิดเสมอมา" 

    "จนกระทั่งใกล้เช้า เหลือเพียงแค่ฉันกับเพื่อนอีกคนที่ยังไม่ตาย..ฉันคิดว่าเรื่องมันจะจบอยู่แล้ว แต่ฉันคิดผิดถนัด--" 

    "--เพื่อนฉันโดนมันฆ่าเป็นรายสุดท้ายและถูกเลือกให้เป็นตัวตายตัวแทนคนต่อไปของมัน" 

     

    "...." 

     

    "ซึ่งวิญญาณจะต้องถูกจองจำไว้ในโรงเรียนนี้เป็นเวลาห้าปีเต็มและรอเวลาหาคนมาแทนตัวเอง ซึ่งก็คือวันนี้..วันที่ 17 พฤษภาคม วันนี้เป็นวันครบรอบห้าปีพอดี..." 

    "เมื่อใดที่มันได้ตัวแทนไปและทุกคนที่เหลือตาย นั่นล่ะ..เรื่องทั้งหมดจะจบลงและรอจนกว่าเวลาจะครบห้าปี" 

    "...เป็นลูกโซ่ต่อไปไม่มีหยุด ไม่มีใครรู้สาเหตุ ไม่มีใครรู้วิธีแก้ปัญหา" 

     

    "..." 

     

    "นายโกหก!" ไคตะโกนใส่หน้าคยองซู เรื่องที่ผมได้ยินมันยากที่จะให้เชื่อเหลือเกิน  

    ทุกอย่างมันดู...แฟนตาซี ใช่ ผมคิดว่าอย่างนั้น ใครจะเชื่อกันล่ะ ตัวตายตัวแทน? 

     

    "ฉันอยู่มาก่อนพวกนายทำไมจะไม่รู้!  ไม่แปลกใจหรือไงว่าทำไมวันนี้นักเรียนและอาจารย์กลับบ้านเร็วกว่าปกติ ทำไมมีใครอยู่ในโรงเรียนนอกจากพวกเรา ภารโรงหรือแม่บ้านไปไหน?,,ถ้าไม่ใช่เพราะหนีกลับไปก่อนก็ตายไปก่อนแล้ว มีไม่มากนักหรอกคนที่ทันเรื่องเมื่อห้าปีที่แล้ว เพราะนักเรียนรุ่นพวกนั้นตายหมดแล้ว ...จะเหลือก็เพียงแค่ฉัน--" 

    "--ฉันรอดตายมาได้อย่างน่าอัศจรรย์เพราะอะไรบางอย่าง และแน่นอนว่าฉันไม่ใช่ตัวแทนของมัน ฉันไม่ได้ถูกกำหนด..." 

     

    นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าคยองซูดูเป็นตัวของตัวเอง.. 

    คยองซูมีแววตาที่มุ่งมั่นและเข้มแข็ง พร้อมที่จะยืนหยัดได้ทุกเมื่อด้วยลำแข้งของตัวเอง 

    ผิดกับคยองซูที่พวกผมรู้จัก เขาคนนั้นเป็นคนขี้อายและอารมณ์ดีเสมอๆ อ่อนโยนจนบางครั้งก็ดูเหมือนอ่อนแอ เพื่อนคนนี้ช่างเบาะบาง  

    แต่ใครจะคิดว่าคยองซูคนนั้นเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา เหลือเพียงคยองซูที่เจ้าคิดเจ้าแค้น  

     

    "นายรู้นี่ว่าเมื่อครบห้าปีแล้วจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แล้วทำไมถึงไม่หนีล่ะ? ทำไมถึงทำตัวเป็นคนโง่วิ่งหนีอะไรที่ตัวเองเคยเจอมาแล้ว" ผมถามเสียงสั่น พอจะกระจ่างอะไรขึ้นมาได้บ้าง 

    คยองซูกำมือแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้นมา ใบหน้าหวานบัดนี้ขึ้นสีอย่างโกรธจัด  

    "ก็เพราะว่าฉันต้องการแก้แค้นให้เพื่อนยังไงล่ะ เพื่อนฉันต้องจองจำอยู่ในโรงเรียนนี้มานานห้าปี ห้าปีเต็มๆเชียวนะ!"  

    "..." 

    "ฮึก..." ร่างเล็กกุมหน้าตัวเองแล้วปล่อยโฮออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เราทุกคนย่อมมีด้านที่อ่อนแอของตัวเอง 

    ผมเห็นไคอยากจะเข้าไปปลอบ แต่ก็ไม่สามารถทำได้เมื่อเทียบกับความผิดทั้งหมดที่คยองซูปั่นหัวพวกเรา 

     

    "แล้วนามิ คิมูระล่ะคยองซู นามิเกี่ยวอะไรด้วย? ไหนจะข้อความที่บันไดหนีไฟนั้นอีก นายรู้ใช่ไหมคยองซู!?" 

    ไครัวคำถามใส่ร่างเล็กที่กลั้นสะอื้นเต็มที่ คยองซูเงยหน้าขึ้นมาด้วยดวงตาแดงกล่ำจากการร้องไห้ 

     

    "นามิคือต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด นามิทำให้เกิดลูกโซ่ นามิทำให้เรื่องทุกอย่างต้องวนแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า นามิฆ่าคนรุ่นก่อนๆและจองจำในโรงเรียน ให้วิญญาณพวกนั้นคอยหาตัวตายตัวแทนในทุกๆห้าปี" 

     

     

    ผมขมวดคิ้วแน่นเมื่อไม่เข้าใจคำว่า'นามิ'ของคยองซู เขาคือใครกัน? แล้วทำไมเขาต้องทำแบบนี้ด้วย? 

     

    และก็ยิ่งขมวดคิ้วแน่นเข้าไปอีกเมื่อได้ยินไคตั้งคำถามอีกครั้ง 

     

     

     

    "ข้อความบนกำแพงล่ะ? เสียงที่ฉันได้ยินบนห้องสมุด..." 

     

     

     

    "...." ถึงแม้จะไม่เข้าใจในบทสนทนาของทั้งคู่ แต่ผมก็ใจจดใจจ่อกับคำตอบไม่ต่างกับไค 

     

     

     

    - 

     

    - 

     

    - 

     

    "ฉันเป็นคนเขียนมันขึ้นมาเองแหละ!" 

     
     
    70% 


    (ต่อ)

     

     

    "!!!" 

    "ทำไมนายทำแบบนี้!"  

    ผมทำได้เพียงยืนเงียบมองทั้งคู่เท่านั้น รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนนอกไปชั่วขณะ ไม่เข้าใจว่าสองคนนี้พูดถึงอะไรกัน แต่มันคงเป็นเรื่องไม่ดีแน่ 

    ไคถลาเข้าไปเขย่าตัวคยองซู ใบหน้าบิดเบี้ยวราวกับโกรธแค้นมาหลายปี ทั้งๆที่ผมไม่เคยเห็นเขาโมโหขนาดนี้ 

    ข้อความนั่นมันมีอะไรกัน? แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ 

        คยองซูผลักไคให้ออกห่างจากตัวเองและสบถคำหยาบออกมา ร่างบางจัดชายเสื้อที่หลุดลุ่ยให้เข้าที่และมองพวกผมทั้งสองคนที่มีอาการบ่งบอกว่าพร้อมจะต่อยเขาได้ทุกเมื่อ 

    "ฉันเขียนเพื่อให้เรื่องทุกอย่างมันง่ายขึ้น รอจนกว่าคนที่โง่พอจะมาเจอและทำตามอย่างว่าง่าย.." 

    "ให้มันตามฆ่าพวกที่เหลือเพราะความเห็นแก่ตัวของตัวเอง คนจะได้เหลือน้อยลงเรื่อยๆ ฉันสามารถกำจัดพวกนายให้ตายไปทีละคนๆโดยไม่ต้องทำอะไรเลย" 

     

    คยองซูเหลือบมองไคในขณะที่พูด แววตาหยามเหยียดทำให้ไคกระอักกระอ่วน 

     

    "และแผนของฉันก็ได้ผล นายกับเทาทำตามที่ข้อความนั้นบอก พวกนายทำให้เพื่อนๆตายด้วยน้ำมือของตัวเอง โดยไม่ได้คิดเลยว่าผลสุดท้ายนายจะรอดอย่างที่ข้อความนั่นบอกหรือไม่--" 

    "--พวกนายมันโง่ ยอมให้ฉันใช้เป็นเครื่องมือ สุดท้ายก็เหลือแค่นายสองคน..แต่อีกไม่นานหรอก ฉันจะรอดูพวกนายฆ่ากันเองและตายในที่สุด!" 

     

    ไคร้องไห้และกุมขมับตัวเองอย่างจนใจ ผมก็จะจับใจความของมันได้อยู่หรอก ขนาดตัวเองไม่ได้ยุ่งกับเรื่องนี้ยังรู้สึกไม่ดีเลย.. ไม่คิดเลยว่าเพื่อนจะทำกันแบบนี้ ไคและเทาทำมันลงไปได้ยังไง 

    ผมส่ายหน้าและส่งแววตาสมเพชไปให้ร่างสูง หากแต่ไคไม่ได้เหลือบตามามองผมเลยสักนิด 

     

    "พอเถอะคยองซู อย่าให้ความแค้นครอบงำตัวเองเลย เรามาช่วยกันตามหาศพนามิแล้วเผาทิ้งดีกว่าไหม เรื่องจะได้จบ และจะไม่เกิดลูกโซ่อีกต่อไป เพื่อนนายจะได้ไม่ตายเปล่า และพวกเราก็จะไม่มีใครตายอีก" 

    ไคพูดอย่างใจเย็น เห็นได้ชัดว่าไคหวาดกลัวแค่ไหน หมอนี่มันขี้ขลาดอย่างที่ผมคิดจริงๆ ความเลวของตัวเองที่ถูกประจารไม่ได้ทำให้มันสำนึกเลยสินะ ถึงแม้คำพูดจะออกมาดูดีก็เถอะ แต่ลึกๆแล้วนายปราถนาที่จะเอาตัวรอดใช่มั้ยล่ะ 

    "ไม่มีทาง นายคิดว่าทำได้ก็เชิญเลย ที่ฉันหาศพตอนนั้นก็เพื่อฆ่าเวลาเท่านั้นแหละ ถึงแม้ในใจจะหวังว่าให้มันเจอขึ้นมาจริงๆก็ตาม แต่ฉันรู้ว่ามันไม่มีประโยชน์หรอก นามิไม่ปล่อยเอาไว้แน่ ไหนจะตัวตายตัวแทนที่ถูกกำหนดมาตั้งแต่แรกอีก" 

    "เข้าใจไหมไคว่าเรื่องมันไม่จบแค่นี้! ภายในคืนนี้ทุกคนต้องตาย มันถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว ไม่มีใครเอาตัวรอดได้ในเมื่อโรงเรียนเป็นของมัน!" 

    ผมอยากจะตะโกนออกไปเสียตอนนี้ว่าให้คยองซูหยุดพูดเสียที! 

    จะตอกย้ำกันไปถึงไหน ทำไมทุกคนต้องตายด้วย มันไม่มีทางเลือกเลยงั้นเหรอ!? 

    แล้วตัวตายตัวแทนล่ะ? หนึ่งในพวกเราจะต้องมีคนนึงที่โชคร้ายใช่ไหม 

     

    "ไม่จริง! ทีครั้งที่แล้วนายยังรอดได้เลย ทำไมผีถึงปล่อยนายไปล่ะ? ทำไมถึงไม่ฆ่านาย!?" 

    คยองซูเค้นยิ้มกับคำถามของไค และเดินวนพวกผมทั้งสองคนช้าๆ 

    "..." 

    "ที่ฉันรอดมาได้เพราะผีมันคิดว่าตายหมดทุกคนแล้วต่างหาก!"  

    "มันคิดว่ามันได้ฆ่าทุกคนและฆ่าตัวแทนเป็นคนสุดท้ายแล้ว มันไม่รู้ว่าฉันยังอยู่..." 

    "...อย่าถามว่าฉันทำได้ยังไง เพราะยังไงฉันก็ไม่บอกพวกนายแน่ๆ" 

    "ฉันจะรอพวกนายตายไปทีละคนอย่างใจเย็น และใช้วิธีเดิมตบตามัน..ก็แค่นั้น" 

     

    "..." 

     

    "นายมันบ้าไปแล้วคยองซู ทำไมนายทำแบบนี้"  

    ไคตะคอกเสียงดังจนน้ำเสียงแหบแห้งและขาดช่วง ใบหน้าดูเคร่งเครียดและพร้อมที่จะต่อยคยองซูได้ทุกเมื่อ 

    "แล้วนายล่ะไค ไม่ใช่นายหรอกเหรอที่ตามฆ่าทุกคน นายหน้ามืดทำตามคำที่ฉันบอก คอยฆ่าเพื่อนๆให้คนมันเหลือน้อยมากขึ้นโดยที่ฉันไม่ต้องทำอะไรเลย ถ้าไม่ใช่เพราะความเห็นแก่ตัวของทุกคนเรื่องก็คงไม่บานปลายขนาดนี้!" 

     

    "นายและเทาพยายามฆ่าเพื่อนตัวเอง เพียงเพราะต้องการมีชีวิตอยู่ -- บอกชานยอลสิไค ว่านายฆ่าแบคฮยอน ฆ่าครั้งแล้วครั้งเล่า" 

     

    อึก..  

     

    ตัวผมกระตุกวูบเมื่อถูกพาดพิง ไคหน้าซีดเผือดและยืนนิ่ง  

    น้ำตาที่เหือดแห้งไปแล้วค่อยๆก่อรวมกันและหยดออกมาอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน 

    มันเป็นน้ำตาแห่งความโกรธแค้นและเจ็บปวด...รู้สึกเหมือนถูกหักหลัง 

     

    "ไค...นาย..."  

     

    นี่ใช่ไหมที่แบคฮยอนกำลังจะบอกผมครั้งที่แล้ว ที่แบคฮยอนอยู่ในสภาพแบบนั้นก็เพราะไคใช่ไหม 

    ทำไมผมถึงมองข้ามคนใกล้ตัวไปแบบนี้...ทั้งๆที่รู้เมื่อกี้ว่าไคจำเป็นต้องทำตามข้อความที่เขียน 

    แต่ไม่คิดว่าแบคฮยอนจะเป็นผู้โชคร้ายหนึ่งในนั้นด้วย! 

     

    "ฉัน.." ไคตื่นตัวและหลบสายตาผม การกระทำแบบนี้ทำให้ผมอารมณ์ขึ้นเข้าไปอีก  

    นี่นายไม่คิดจะรับผิดชอบเลยใช่ไหม! 

     

    "หึ.." คยองซูหัวเราะอย่างขมขื่น เรียกง่ายๆว่ากำลังสมเพชเราสองคนอยู่นั่นเอง  

    ร่างบางยกมือปาดน้ำตาที่เหลือบนใบหน้าออกและกลับมาแสดงอาการเข้มแข็งอีกครั้ง 

     

    "นายรู้ไหมว่าเพื่อนฉันเมื่อห้าปีที่แล้วก็เป็นแบบนี้ ทุกคนฆ่ากันเอง ทุกคนทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองรอด แต่ท้ายที่สุดไม่ว่าใครจะฆ่า มันก็ตายกันหมด เหลือแค่ฉัน..." 

     

    "..."  

     

    ใครก็ได้บอกทีว่าเรื่องนี้มันไม่จริง ทุกอย่างเป็นแค่ความฝัน ทำไมเรื่องถึงกลับตาลปัตรไปหมดแบบนี้ 

    ผมไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว อยากจะหายๆไปจากตรงนี้  

     

    ผมมองวัตถุสีดำขลับในมือคยองซูแล้วกลืนน้ำลายอึกใหญ่ .. 

    ทำแบบนี้มันถูกไหมนะ..ผมควรจะทำมันดีไหม 

     

    แต่แล้วผมก็ต้องพ่ายแพ้อารมณ์ของตัวเอง ความแค้นและความเจ็บปวดทำให้ผมกล้าที่จะทำทุกอย่าง 

    คยองซูกับไคทำให้แบคฮยอนต้องตาย พวกเขาต้องชดใช้! 

     

    "เฮ้ย! นายกำลังจะทำอะไรน่ะชานยอล"  

    ผมกระชากปืนมาจากมือบางของคยองซู ก่อนจะจ่อเข้าที่ลำตัวร่างบาง 

    "..."  

    ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง คยองซูยกมือทั้งสองขึ้นช้าๆ ใบหน้าซีดลงอย่างเห็นได้ชัด 

     

    "ยิงมันเลยชานยอล หมอนั่นฆ่าคนรักนาย!" 

    "หุบปากซะไค นายก็เหมือนกัน ถ้าฉันจัดการคยองซูเสร็จแล้วนายจะเป็นรายต่อไป" 

    "..."  

     

    ร่างสูงเงียบปากอัตโนมัติ ผมได้ยินเสียงหัวใจคยองซูที่เต้นแรงจนแทบจะระเบิดออกมา..รวมทั้งหัวใจของผมด้วย 

    ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยจับปืนเลยด้วยซ้ำ ผมไม่เคยฆ่าคน เพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องที่โหดร้ายมาก  

    ไม่คิดว่าจะต้องมีวันนี้ ความผิดทั้งหมดที่คยองซูทำมันได้หล่อหลอมให้ผมตัดสินใจแบบนี้ 

    ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าความรู้สึกของคนที่แค้นมันเป็นยังไง ..มันเป็นแบบนี้เองสินะ 

     

    รู้สึกโกรธเกลียดคนตรงหน้ามากกว่าอะไร 

    ลืม ลืมว่าเคยมีเพื่อนแบบนี้ ลืมว่าคยองซูคือเพื่อนในกลุ่มที่รู้จักกันมาหลายปี 

    อยากเอาคืนให้สาสม อยากทำทุกอย่างที่คยองซูเคยทำกับแบคฮยอน 

     

    อย่างนี้เขาเรียกว่าแค้นหรือเปล่านะ? 

     

    [END CHANYOLE PART] 

     

    --SCHOOLHORROR-- 

     

    ต้นเหตุของเรื่องนี้คืออะไร... 

    แล้วจุดจบของเรื่องนี้เป็นยังไง.. 

    ใครเป็นคนที่จุดชนวนมันขึ้นมา แล้วใครเป็นคนทำให้เรื่องมันบานปลาย... 

     

    ถ้าคยองซูไม่เขียนข้อความนั้น เทาก็คงไม่ขึงลวดไว้กลางบันได  

    เทาก็คงไม่เอาเชือกรัดคอมินซอก เทาก็คงไม่เผาเซฮุน  

    ไคก็คงไม่ฆ่าคริส ไคก็คงไม่ผลักแบคฮยอน ไคก็คงไม่เอามีดแทงแบคฮยอน  

    แล้วถ้าไม่ใช่เพราะความเห็นแก่ตัวของชานยอล ไม่ใช่เพราะความรักความหลงที่ทำให้คนเราทำในสิ่งที่ไม่คาดฝัน หวังจะยื้อคนๆนั้นให้อยู่กับตัวเองตลอดไป โดยไม่คำนึงถึงผิดชอบชั่วดี แบคฮยอนก็คงจะไม่เป็นอย่างนี้  

     

          ชายหนุ่มร่างท้วมยกมือขึ้นเป็นเชิงให้สัญญาณว่าพอก่อน จงอินจึงหยุดเล่าและเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม 

    "ฉันอยากรู้ว่า สุดท้ายแล้วใครเป็นตัวตายตัวแทนของมัน" เขาไม่อาจฟังต่อไปได้เมื่อความสงสัยใครรู้้มันมีมากขึ้นเรื่อยๆจนอดที่จะขัดจังหวะถามไม่ได้ 

         จงอินหัวเราะขึ้นจมูกนิดๆก่อนจะส่ายหน้า  

    "อย่าเพิ่งขัดสิครับ ผมยังเล่าไม่จบเลย คุณต้องรอจนกว่าจะถึงตอนนั้น" 

    ผู้อำนวยการนิ่วหน้าไม่พอใจ เมื่อเด็กหนุ่มแผนสูงไม่ยอมตอบคำถามที่ต้องการ 

    "ถ้าอย่างนั้นก็รีบๆเล่ามาเลยสิ ฉันพอจะรู้แล้วว่าต่อจากนี้จะทำยังไงกับนายดี" 

    "ทำอะไรครับ? จะจับผมเข้าคุกเหมือนคนอื่นๆใช่ไหม?" จงอินยิ้มน้อยๆอย่างคนปลงตก 

    "เปล่า...เดี๋ยวนายก็รู้" "เล่าต่อสิ" เขารบเร้า  

    "..." 

    "ก็อย่างที่บอกนั่นแหละครับ พวกเราทำให้เรื่องมันยุ่งยากมากขึ้นกว่าเดิม เพราะความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น" 

    "..." 

    จงอินพูดน้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย คนฟังได้แต่พยักหน้าตาม  

    เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าเรื่องที่เด็กหนุ่มเล่ามาทั้งหมดเป็นเรื่องจริง เพราะมันดูจะเกินความคาดหมายเขามากไปหน่อย แต่ในเมื่อมันเป็นไปแล้ว ก็แก้ไขอะไรไม่ได้ 

     

    จงอินไม่ได้เล่าให้เขาฟังทั้งหมด เล่าแค่เหตุการณ์ที่ตัวเองได้พบเจอมากับตัวเองเท่านั้น 

    แต่ยังไงซะ ใจความมันอยู่ที่ว่า 'ใครเป็นตัวตายตัวแทน' นี่ล่ะ 

     

    ว่าแต่ว่า..ถ้าจงอินรอดมาอยู่ตรงนี้ได้ จงอินก็ไม่ใช่ตัวแทนของมันน่ะสิ 

    ถ้าอย่างนั้น...คนที่เป็นตัวตายตัวแทนของมัน คือใครล่ะ!? 

     

    --TBC--


    ครบ100%แล้ว >< ตอนนี้มันยาวจริงๆนะบอกตรง
    ไรต์ไม่ได้อยากซีอะไรกับคอมเมนต์เท่าไร แต่รู้สึกได้เลยว่ามันน้อยลงมากๆ

    เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่แต่งได้ยาวมาถึงขนาดนี้ แล้วก็มั่นใจแน่นอนว่าต้องแต่งจนจบแน่ๆ
    เพราะได้กำลังใจจากรีดเดอร์ และคอมเมนต์ รวมทั้งแท็ก #ฟิคสคฮร ในทวิตด้วย
    แต่ตอนนี้บอกได้เลยว่าเริ่มเหนื่อยแล้วแหละ เพิ่งจะดราม่า&เสียความรู้สึกกับข่าวแซะเด็กดาวมา
    อยากจะบ้าตาย ;_____;  สุดท้ายก็ขอบคุณรีดเดอร์ที่น่ารักๆและยังติดตามกันอีกครั้งค่ะ ^^


    THE★ FARRY
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×