ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    LOVE SICK : ชุลมุนหนุ่มกางเกงน้ำเงิน [YAOI]

    ลำดับตอนที่ #75 : 61st CHAOS - SIXES AND SEVENS

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 35.25K
      131
      6 เม.ย. 63

    61st CHAOS - SIXES AND SEVENS
     

    แล้วพวกเราก็ได้ออกเดินทางกันตอนแปดโมงครึ่งครับ รถไฟไม่เลต แต่ไอ้ปาล์มเลต (มึงยิ่งใหญ่มาจากไหนเนี่ย) แม่งก็ทำไปได้อะครับ กระโดดขึ้นตอนรถไฟออกไปแล้วนิดหนึ่งด้วยซ้ำ (มันไม่เหมือนรั้วโรงเรียนนะโว้ยไอ้นี่) เลยโดนเจ้าหน้าที่ตะโกนด่าซะลั่นสถานี ทำเอาพวกผมโคตรอาย ไม่อยากบอกใครว่านั่นเพื่อนกัน -*-

    แน่นอนว่ามาสายแล้วยังทำขายขี้หน้าแบบนี้ต้องถูกทำโทษ! เพราะพอมันตะกายขึ้นรถไฟได้ปุ๊บ ก็ถูกรุ่นพี่สันทนาการชุดเดียวกันกับที่สั่งให้ผมดมขี้เต่า (กรุณาอย่าจินตนาการซ้ำอีกครั้งครับ ลืมไปได้ก็ดี) เข้ามาล้อมวงรอบไอ้ปาล์มปั๊บ! ทันที

    "กล้วยส้ม กล้วยส้ม กล้วยส้ม! กล้วยส้ม กล้วยส้ม กล้วยส้ม! กล้วยส้ม กล้วยส้ม กล้วยส้ม! ฮ่า ๆๆๆ"  เสียงพวกผมตะโกนเชียร์ดังลั่นให้ไอ้ปาล์มถูกทำโทษนาน ๆ เพราะแม่งโคตรฮา ฮ่า ๆๆ ฮาไม่ไหวแล้ว ทำเอาพวกผมถึงกับลงไปนอนขำกลิ้งบนพื้นโบกี้ ตอนที่พี่เขาร้องเพลง แอปเปิล มะละกอ กล้วย ส้ม แต่ให้ไอ้ปาล์มเต้นหันหน้าเข้าหาพี่กะเทยตัวเบ้อเร่อ แถมยังร้องคำว่า  "กล้วยส้ม ๆๆ"  ให้มันจำใจต้องเด้งเป้าใส่เขาไม่หยุด ก๊ากกก เสื่อมจริง ๆ ณ จุดนี้ เสื่อมจนไอ้ปาล์มทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่แล้ว ยิ่งตอนที่พี่กะเทยคนนั้นเขยิบไปหามันมากขึ้น ยิ่งดูน่าสงสารเข้าไปใหญ่ ก๊ากกก เอาอีก!

    "กล้วยส้ม กล้วยส้ม กล้วยส้ม!!!"  แล้วพี่เขาก็ไม่ยอมหยุดจริง ๆ ด้วยครับ ฮ่า ๆๆ พวกผมตบมือโห่ร้องกันยกใหญ่ขณะที่ไอ้ปาล์มเริ่มวิ่งหนี (ก๊ากกก) มันหนีพี่กะเทยคนนั้นแล้ววิ่งมาหาพวกผมที่นั่งกันอยู่บริเวณท้ายโบกี้ นัยว่าจะขอความช่วยเหลือ แต่เพื่อนที่ดีอย่างพวกผมแน่นอนว่าลุกขึ้นแตกฮือ หนีกันไปคนละทิศ (รักเพื่อนมากกก) จนไอ้ปาล์มตะโกนด่าไม่เป็นภาษาซะลั่นรถไฟ (ฮ่า ๆๆๆ) แน่นอนว่าขณะที่มันหันรีหันขวางหาทางหนีให้พ้นอยู่นั้น พี่กะเทยคนนั้นก็กระโดดมาตะครุบ...

    ไอ้ปุณณ์ไว้ได้ก่อน

    ก๊ากกก ไอ้เชี่ยปุณณ์แม่งหน้าเหวอได้อีก! โคตรอยากให้ทุกคนมาเห็นหน้ามันตอนนี้เลยครับเพราะมันเหวอเกินบรรยาย ฮ่า ๆๆ พวกผม 8 คน (รวมทั้งไอ้ปาล์มผู้รอดชีวิตด้วย) ถึงกับลงไปนั่งขำกลิ้งบนพื้นรถไฟอีกรอบ ตอนพี่กะเทยคนนั้นโถมกอดไอ้ปุณณ์ ภูมิพัฒน์ไว้ทั้งตัว ท่ามกลางเสียงรัวกลองของฝ่ายสันทนาการ และเสียงกรี๊ดของประชากรชาวค่ายรวมถึงพี่สตาฟคนอื่น ๆ (นัยว่าเสียดายของ ฮ่า ๆ)

    "อยากกล้วยส้มกับน้องคนนี้มากกว่าาา"  เสียงพี่กะเทยคนนั้นรีเควสต์ แต่ไอ้ปุณณ์รีบส่ายหัวพรืดทั้งที่โดนกอดอยู่อย่างโคตรน่าสงสาร ทำเอาพวกผมขำแตกอีกรอบ ก่อนพี่สตาฟคนอื่น ๆ จะเห็นใจมัน เลยวิ่งมาช่วยกันลากพี่กะเทยคนนั้นออกไปอย่างทุลักทุเล (รอดหวุดหวิดนะมึง)

    แน่นอนว่าพอเป็นอิสระ มันก็รีบยัดตัวเองเข้าไปนั่งในสุดของเก้าอี้ทันที ฮ่า ๆๆ สงสัยแม่งกลัวมีอาฟเตอร์ช็อกอีก ส่วนผมกับพ้งอาสาช่วยไอ้ปาล์ม (ผู้ที่รอดตายเรียบร้อยแล้ว) เก็บสัมภาระบนช่องวางของที่ยังว่างอยู่บริเวณหัวขบวน จึงทำให้รู้ว่ายูริเองก็อยู่ในโบกี้นี้กับเพื่อน ๆ เธออีกสองสามคนด้วย ซึ่งที่จริงแล้วไม่ใช่เรื่องแปลกเลย เพราะพี่เขาเหมาไว้โบกี้เดียวให้ชาวค่ายโดยสารกันจากกรุงเทพฯ ถึงขอนแก่น ผมแอบมองมองเจ้าของใบหน้ายิ้มแย้มที่แสนคุ้นเคยนั่นกำลังนั่งกินขนมพลางคุยกับเพื่อน ๆ อยู่ แล้วก็อดอมยิ้มตามไม่ได้ เพราะรอบตัวยูริยังมีถุงขนมเยอะแยะเหมือนเมื่อก่อนไม่มีผิด แต่ที่เปลี่ยนไปก็คงแค่ ดวงตาโตคู่นั้นไม่เคยมองผมอีก
     

    ......
     

    ผมสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านให้หายไป ก่อนจะช่วยไอ้ปาล์มโยนกระเป๋ายัดใส่ช่องว่างที่ยังเหลืออยู่ แล้วพาตัวเองกลับไปนั่งบริเวณท้ายโบกี้อย่างเก่า ไม่กี่อึดใจไอ้คุณหนูพ้งก็ควักขนมปังกับแยมสับปะรดออกมา -_- ตูละเครียด มีเพื่อนนึกอยากจะทำแซนด์วิชบนรถไฟฉึกกะฉักปู๊น ๆ เนี่ย! ผมถอนหายใจเซ็ง ๆ เพราะอยากกินแยมบลูเบอร์รี่มากกว่า (ฮา) แต่ไม่เป็นไรครับ ณ จุดนี้อะไรก็กินทั้งนั้น เพราะตั้งแต่เช้ามายังไม่ได้กินอะไรเลย หิวโว้ยยย พวกผมเปิดปาร์ตี้แซนด์วิชกันอย่างครื้นเครงบริเวณท้ายขบวนรถไฟ ก่อนรุ่นพี่สตาฟค่ายคนหนึ่งจะเดินถือกล่องจับฉลากมาทางพวกเรา

    จับฉลากอะไรวะ ผมคิดขณะควานมือในกระป๋อง พร้อมกับที่พี่สตาฟค่ายกำชับนักกำชับหนาว่าจับได้อะไรให้เงียบ ๆ ไว้ ห้ามบอกคนอื่น อืม สงสัยจะเล่นบัดดี้ค่ายมั้ง ผมแอบเดาในใจขณะเปิดกระดาษมาเจอคำว่า 'ชาวบ้าน' เขียนอยู่หรา

    มีคนชื่อ 'ชาวบ้าน' ในค่ายด้วยเหรอวะ กูงง

    สุดท้ายก็ได้รู้ว่าผมเข้าใจผิดจริง ๆ ด้วย พี่เขาไม่ได้เล่นบัดดี้ แต่พี่เค้าเล่น ปอบ ต่างหาก ฟังดูสยองพิลึกแต่ก็เลี่ยงไม่ได้ Y_Y กติกาคือตลอดเวลาที่อยู่ในค่ายห้ามไปไหนมาไหนคนเดียว เนื่องจากคนที่จับฉลากได้เป็นปอบสามารถฉีกมุมป้ายชื่อของคนที่เป็นชาวบ้าน (อย่างผม) ได้ ถ้าเห็นว่าเดินโต๋เต๋หน้าเซ่ออยู่คนเดียว (หรือบังเอิญซวยเดินไปกับคนที่เป็นปอบสองต่อสองก็โดนได้ครับ) ซึ่งพี่ ๆ จะเรียกการฉีกป้ายชื่อนี้ว่าการฆ่า (เย้ยยย น่ากลัว) และคนที่ถูกปอบฉีกป้ายชื่อก็คือคนที่ตายแล้วนั่นเอง Y_Y แล้วอย่างนี้ผมจะมีชีวิตรอดถึงจบค่ายไหมเนี่ย! ดันเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาอีก แต่ก็ไม่ต้องเป็นห่วงว่าปอบจะสบายครับ เพราะในฉลากที่จับ นอกจากมีชาวบ้านกับปอบแล้ว ยังมี หมอผี เอาไว้ฆ่าปอบ เวลาปอบทะเล่อทะล่าเดินไปไหนมาไหนคนเดียวอีก หึหึ ใครเป็นหมอผีวะ กูจะเกาะติดไม่ปล่อยเลย คิดได้ดังนั้นผมจึงหันไปมองหน้าไอ้ปุณณ์อย่างมีความหวังทันที

    "ปุณณ์ มึงได้ไรวะ"

    "หึหึ"  แต่เสียงหัวเราะมันไม่น่าไว้ใจเอาซะเลย ผมมองสายตามีพิรุธของแม่งอย่างหวาด ๆ

    "ได้ไร! สัญญา กูไม่บอกใคร"  ก็อย่างน้อยถ้ารู้ว่าปุณณ์เป็นชาวบ้านเหมือนกัน จะได้เบาใจเวลาไปไหนมาไหนกับมัน หรือถ้าแม่งเป็นปอบจะได้หนีทัน แต่ถ้าเป็นหมอผีละก็...

    กูจะได้รักมึงงงไง

    "ไม่บอก"  แป่ววว แม่งมาค่ายยังทำตัวเป็นสภานักเรียนอีกว่ะ จะตามกฎอย่างเคร่งครัดไปถึงไหน ผมเหล่มองไอ้หน้ายียวนนั่นอย่างเคือง ๆ แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าเลขาสภาฯ จะยอมเผยไต๋

    "แม่ง ปอบชัวร์ กูไม่อยู่กับมึงแน่ค่ายนี้"

    "หึ แล้วคิดว่าอยู่กับคนอื่นจะปลอดภัยเหรอ"  เออนั่นดิ ผมเริ่มขมวดคิ้วพลางคิดว่าจะกระโดดลงจากรถไฟเลยดีไหม เล่นเกมอะไรกันน่าขนลุกแบบนี้วะ แถมท่าทางต่อให้กระโดดลงไปจริง ๆ ก็คงไม่ตายอีกต่างหาก เพราะรถไฟเล่นวิ่ง 180 กม. / 3 เดือน เหอ ๆๆ ช้าไปไหน กูนึกว่าปลิวตามแรงลม

    "เอ้ย ๆๆ พวกมึงได้ไรกันวะ ไหนเอามาดูหน่อยดิ๊"  แล้วยิ่งมีไอ้ห่านี่อยู่ในค่าย ก็ยิ่งเพิ่มความน่าสะพรึงให้ชีวิตเข้าไปอีก! ผมหันไปมองหน้าไอ้โอมที่เจ๋อปีนที่นั่งมาทางด้านหลัง แล้วก็ต้องรีบขยำฉลากที่เพิ่งจับได้ปาออกนอกตัวขบวนทันที

    "ไม่บอกโว้ย"  บอกให้โง่ดิ

    แต่ไอ้โอมแค่หัวเราะหึหึ ก่อนจะทำหน้าเจ้าเล่ห์กลับมา  "อ้อเรอะ อย่าให้กูรู้แล้วกัน หึหึหึ"  เหี้ยยย

    บางทีการมีไอ้โอมเป็นเพื่อนก็เหนื่อยกว่าที่คิดนะเนี่ย

     

    ***
     

    หลังจากพวกเราชาวค่ายและพี่ ๆ สตาฟ ได้กระทำการสันทนาการระดับโลกมาตลอดทางบนรถไฟแล้ว (พี่เขาเรียกอย่างงั้นอะครับ ผมแค่เรียกตามจริง ๆ นะ) จนเวลาผ่านไปพักใหญ่มาก ๆ (ก็ยังไม่หยุดสักที) ขณะผมชักสงสัยว่าน้ำที่พวกพี่เขาตุนไว้ในกระติกอาจจะไม่ใช่น้ำเปล่า แต่เป็นกระทิงแดงเอ็กซ์ตร้า 300 อยู่นั่นเอง พี่เขาก็บอกให้พวกผมพักผ่อนตามอัธยาศัยได้สักที เย้! (ก็นึกว่าจะเหนื่อยกันไม่เป็นซะแล้ว) แต่อย่าหวังว่ามากับไอ้โอมแล้วจะได้พักผ่อนซะให้ยาก เพราะพอคล้อยหลังพี่ ๆ ปุ๊บ มันก็...

    ควักไพ่ออกมาปั๊บ!

    ให้มันได้อย่างงี้เซ่ อยู่บนรถไฟยังจะเล่นไพ่อีก! ผมโบกกะโหลกแม่งหนึ่งทีถ้วน ก่อนจะขอเป็นคนแจกไพ่เอง (ฮา) ไม่ได้หรอกครับ แม่งสันดานชั่ว ขืนให้ไพ่อยู่ในมือมันมีหวังเสร็จหมา เสียตังค์ทั้งวงแหง

    แล้วเราก็เล่นไพ่กันอย่างเสียงดังโคตรน่ารำคาญและเยาะเย้ยกฎหมาย เพราะไอ้ปาล์มเป็นคนบอกเองว่าตำรวจจับไม่ได้ เพราะรถไฟกำลังวิ่งอยู่ กว่าตำรวจจะตามมาจับทัน เราก็แล่นผ่านท้องถิ่นที่สถานีนั้นดูแลแล้ว เป็นไงล่ะเพื่อนกู มากด้วยประสบการณ์ ฉลาดในเรื่องโง่ ๆ จริง ๆ

    เราขุดไพ่ทุกชนิดมาเล่นเท่าที่พื้นที่เล็ก ๆ จะอำนวย ตั้งแต่ป๊อกเด้ง โป๊กเกอร์ กบดำกบแดง เก้าเก รัมมี่ สลาฟ ยันอีแก่กินน้ำ แต่อีแก่กินน้ำนี่ฮาสุด! เพราะไอ้เอิ้นโดนกินน้ำตลอดดด ตลอดจริง ๆ กินจนมันปวดเยี่ยวแบบทนไม่ไหว แถมห้องน้ำดันเต็ม เลยต้องไปยืนฉี่ตรงประตูรถไฟ! ฮ่า ๆๆๆ

    โคตรโชคดีที่ตอนนั้นเรากำลังแล่นผ่านทุ่งหญ้าที่เป็นป่า ๆ อยู่พอดี ไม่ใช่ตลาดหรือชุมชน ไม่งั้นคงได้มีคนดื่มด่ำประสบการณ์อวดหนอนชาเขียวพ่นน้ำสู่สายตาประชาชีก็คราวนี้ละวะ ฮ่า ๆ

    แต่พอผมพูดแบบนั้น ไอ้พ้งกับไอ้นันท์ที่เดินไปฉี่เป็นเพื่อนเอิ้นถึงกับรีบแก้ต่างให้ บอกว่าไม่ใช่หนอนชาเขียวพ่นน้ำ แต่เป็นมังกรพ่นไฟต่างหาก เฮ้ย ขนาดนั้นเลยว่ะ! แล้วก็เป็นเพราะผมทำหน้าอยากรู้มากไปหน่อย เลยโดนไอ้ปุณณ์บ้องหัวเข้าให้สองทีถ้วน (สาดดด) แล้วทำไมบ้องกูคนเดียวล่ะวะ ไอ้โอม ไอ้ปาล์ม ไอ้โจ๊ก ก็ทำหน้าอยากรู้เหมือนกันนะเฮ้ย!

    แน่นอนว่าพวกเราเฮฮากันอยู่ท้ายโบกี้พักใหญ่ จนได้เพื่อนร่วมค่ายที่มาจากโรงเรียนอื่นขอแจมวงบ่อนด้วยกันหลายคน ก่อนรถไฟจะเทียบชานชาลาขอนแก่นในเวลาเกือบ 5 โมงเย็น

     

    พี่ ๆ เรียกชาวค่ายรวมกันหน้าสถานีรถไฟทันทีที่ไปถึง ก่อนจะส่งตัวพวกเราขึ้นรถสองแถวเพื่อมุ่งไปยังโรงเรียนที่พักอาศัยเป็นเวลา 3 วัน 2 คืน ใช่ครับ ฟังไม่ผิดหรอก เราจะไปนอนกันที่ โรงเรียน ไม่ใช่ โรงแรม Y_Y

    แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรขนาดนั้นครับ เพราะโรงเรียนที่ใช้นอนถึงจะเทียบไม่ได้กับโรงเรียนในกรุงเทพฯ (โดยเฉพาะโรงเรียนเอกชนอย่างพวกผม) แต่มันก็ไม่ได้แร้นแค้นมากมายอะไร อย่างน้อยก็มีน้ำ ไฟ สัญญาณโทรศัพท์ให้โทรกลับไปหาอาป๊ากับม้านั่นแหละน่า (ว่าแต่ห้องอาบน้ำอยู่ไหนวะเนี่ย)

    พวกผมใช้เวลานั่งรถสองแถวจากสถานีรถไฟกว่าจะมาถึงโรงเรียนที่ห่างไกลตัวเมืองฉิบหาย ก็เฉียดสองทุ่มได้ แต่ถึงจะดึกยังไงก็มีชาวบ้านแถวนั้นมารอคอยต้อนรับอยู่เต็มไปหมด ทำเอาคนสันดานเสียอย่างไอ้โอมที่ขนาดบ่นเมื่อยหลัง ๆ บนรถมาตลอดทาง ถึงกับหุบปากสนิท เมื่อเจอพลพรรคชาวบ้านคอยตากยุงรอต้อนรับพวกเรา ทั้งที่เป็นเวลามืดขนาดนี้แล้วก็ตาม

    ชาวบ้านต้อนรับเราด้วยข้าวต้มร้อน ๆ หอมฉุย แถมยังใส่หมูสับให้แบบไม่บันยะบันยังด้วย! (ไอ้แบบนี้ร้านอาหารในกรุงเทพฯ ไม่มีวันทำให้แหง ๆ) แน่นอนว่าพวกผมฟาดกันไปคนละสองชามใหญ่ ก่อนเสียงพี่สตาฟค่ายจะไล่เราขึ้นไปเก็บของเพื่อลงมาทำกิจกรรมต่อกัน (จะสี่ทุ่มแล้วยังให้ทำกิจกรรมอีก!)

    พวกผมเดินลากพุงโย้ ๆ ของตัวเอง (อันเนื่องมาจากข้าวต้ม ไม่ใช่โดนเสกหนังควายเข้าท้องแต่อย่างใด) ขึ้นไปบนชั้นสองของตึกเรียนที่ถูกเนรมิตเป็นห้องนอน (ตึกเรียนเขาทำด้วยไม้ และมีความสูงแค่ 2 ชั้นนี่แหละครับ) โดยแบ่งเป็นห้องนอนชายและหญิงไว้อย่างชัดเจน ผมเดินลากขาผ่านห้องนอนพวกผู้หญิง ก็เห็นยูริกำลังนั่งเก็บกระเป๋าอยู่ข้างในแต่ไม่ยอมมองตอบผมที่เดินผ่านหน้าประตู ผิดกับเพื่อนโรงเรียนเธอ (คนที่ผมยังนึกชื่อไม่ออก จำได้แค่คลับคล้ายคลับคลาว่าอยู่ชมรมดนตรีของคอนแวนต์) ที่ฉีกยิ้มกว้างปากจะแยกถึงรูหูมาให้จนผมต้องผงกหัวทักทายกลับไป

    ผมถอนหายใจยาวขณะลากขาผ่านห้องนอนผู้หญิงมาจนถึงห้องนอนผู้ชายที่อยู่ติดกัน ก่อนจะปลดเป้ใบโตจากบ่าลงไปกองไว้บนพื้นข้าง ๆ สัมภาระไอ้โอมที่มีเป้ใบเดียว ปักตราโรงเรียน และยังโคตรจะเหี่ยว

    "เหี้ย มึงเอาไรมามั่งเนี่ย"

    แต่แม่งยังมีอารมณ์ยักไหล่ใส่ผมแบบชิล ๆ อย่างโคตรกวนตีนอีก  "ก็เสื้อผ้าไง สามวัน สองคืน เสื้อสี่ กางเกงสอง ใส่ซ้ำ ๆ เอาก็ได้ หึหึหึ"  ไอ้โสโครก! แต่นี่ไม่ใช่ประเด็น

    "แล้วผ้าเช็ดตัวอะ"

    "ก็ใช้ของมึงไง ก๊ากกก"  ไอ้นี่สันดานหมาอีกแล้วครับ! ตอนไปเกาะช้างมันก็ใช้ไม้นี้ ไม่ยอมเอาผ้าเช็ดตัวไปแล้วมาใช้กับผม แถมยังเอาไปเช็ดก่อนจนเหลือแต่ผ้าเช็ดตัวเปียก ๆ มาให้เช็ดต่ออีกต่างหาก ไอ้เพื่อนชั่ว!

    "คราวนี้กูจะอาบก่อนมึง! แล้วเอาอุปกรณ์ไรมามั่ง"

    "แหม กูก็เอาแปรงสีฟันมานะ อิอิอิ"  นอกนั้นใช้ของกูอีกละสิ ไอ้สันดาน ผมเงื้อมือหมายจะโบกกะโหลกมันให้เสียงดังไปถึงบ้านดร.แหวน แต่เพื่อน ๆ คนอื่นส่งเสียงห้ามทัพไว้ได้ก่อน

    "เฮ้ย กัดเหี้ยไรกันอีกสองตัวนี้! ลงไปได้แล้ว พี่เค้าเรียกรวมข้างล่าง"  นี่ก็อีกตัว พวกกูคนโว้ยไม่ใช่หมา ผมหันไปแยกเขี้ยวใส่ไอ้พ้งกับนันท์ที่เสียสละมาแยกทัพ ขณะปุณณ์และคนอื่น ๆ ออกไปยืนรอกันหน้าห้องแล้ว (สงสัยเอือม)

    ไอ้โอมหยิบมือถือจากในเป้มายัดใส่กระเป๋ากางเกงก่อนจะรับปาก  "เออ ไปก็ไป แล้วกูต้องแขวนป้ายห่านี่ด้วยปะวะ แม่งเห็นสีแล้วอยากเขวี้ยงทิ้ง!"  ฮ่า ๆๆๆ ได้ฟังอย่างนั้นพวกผมเลยขำกันอย่างโคตรสะใจในชะตาชีวิตไอ้โอม ที่ต้องผูกคอตัวเองด้วยป้ายสีชมพูแปร๋น ดูแล้วกะเทยที่สุดในโลกา

    ไอ้ปาล์มเจ้าของป้ายสีฟ้าเลยได้ทีกัดมันใหญ่  "เอาไปด้วยดิวะ เค้าจะได้รู้ว่าคนไหนแมน คนไหนตุ๊ด ฮ่า ๆๆ"  ก๊ากกก ถึงจุด ๆ นี้อยากให้มาเห็นสีหน้าไอ้โอมกันจริง ๆ ครับ เพราะแม่งโคตรปุเลี่ยนเกินบรรยาย

    พวกผมตบมือโห่ป้ายตุ๊ดของมันอย่างสะใจขณะกำลังเดินลงบันได แต่น่าจะรู้ว่าคนอย่างโอมมันไม่เคยเชื่อง  "เออใช่ ชมพูแมน แดงตุ๊ด กูเข้าใจ"  ไหมล่ะ จนได้นะไอ้...! กูไม่ใช่คนด่ามึงเลยนะเนี่ย!

    ผมยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะโต้กลับ  "นิสัย มึงไปด่าไอ้เอิ้นทำไม แม่งโบ้ย"

    ผัวะ!

    "กูด่ามึง มึงน่ะแหละโบ้ย"  อ้าวเหรอ! ฮ่า ๆๆ ผมลูบหัวตัวเองที่เพิ่งโดนมันเสยเมื่อกี้ ก่อนพวกเราทั้งหมดจะเดินขำเสียงครื้นเครงไปยังสถานที่รวมพลซึ่งคือศาลาประชุมอเนกประสงค์ของโรงเรียน

    พวกผมก้าวมาในศาลาที่สร้างด้วยปูน มีหลังคาแต่ไม่มีกำแพง เป็นแบบเปิดโล่ง open house ต้อนรับยุงเต็มที่ ชักจะคันแล้วเนี่ย

    "เอ้า แยกกันนั่งตามสีนะคะ น้องสีเหลืองนั่งตรงนั้น สีชมพูตรงนู้น สีม่วงตรงนี้ สีฟ้าตรงถัดจากสีเหลืองไปเห็นรึเปล่าคะ ส่วนสีแดงตรงหน้าเวทีขวามือนะ!"  โอเคครับ งงว่ะ -_- ผมเกาหัวตัวเองสองทีก่อนจะมองเห็นพลพรรคคนเสื้อแดง เอ้ย ป้ายแดง (เกือบการเมืองแล้วไหมล่ะ) นั่งกันหน้าสลอนบริเวณมุมศาลามุมหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นก็แยกเลยแล้วกัน

    "เออ งั้นไปละ"  เสียงไอ้โอมร้องบอกก่อนมันจะเดินไปทางกลุ่มสีชมพูแป๋นนนของมัน (ที่ผมเห็นว่ามีสาวชมรมดนตรีคอนแวนต์คนที่ยังนึกชื่อไม่ออกสักทีนั่งอยู่ด้วย) ตามด้วยพ้งกับนันท์ที่แยกไปนั่งประจำโซนสีม่วง ส่วนปาล์มกับโจ๊กไปอยู่ตรงสีฟ้ากัน

    "อือ ไปนะ ดูแลตัวเองอะ"  ปุณณ์ที่ยังยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ไม่ยอมไปไหนสักที หันมาบอกผมด้วยน้ำเสียงเบา ๆ เหมือนคนเสียไม่ได้ พลางมองหน้าเอิ้นยิ้ม ๆ ก่อนมันและพีทจะต้องเดินไปรวมกับบรรดาพรรคพวกสีเหลือง ที่มียูรินั่งรวมอยู่

    ราวกับยิ่งตอกย้ำว่าการมีอยู่ในค่ายของพวกผม สร้างความอึดอัดให้แก่เธอจริง ๆ

    ผมถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนจะเดินลากขาตามเอิ้นไปยังโซนสีแดงของพวกเราแบบมึน ๆ เพราะไม่ค่อยรู้จักใครเท่าไหร่ แต่คงประเมินสถานการณ์ต่ำไปอะครับ เพราะลืมไปว่าตัวเองมากับผู้ยิ่งใหญ่ (ฮา)

    ก็จะใครซะอีกถ้าไม่ใช่ท่านประธานเชียร์นามเอิ้นไงล่ะ! อื้อหืม แค่โผล่มานั่งรวมสีแป๊บเดียว สาว ๆ ถึงกับส่งเสียงทักกันเกรียวกราวเลยครับ ส่วนมากคือคนเคยไปงานบอลปีที่แล้วกันทั้งนั้น ผมถึงได้รู้ว่าไอ้นี่ก็ป๊อบปูลาร์ใช่ย่อย คิด ๆ แล้วน่าโมโห เพราะไอ้เอิ้นเพิ่งจะออกไปยืนหน้าสแตนด์แค่ปีเดียว ผิดกับผมที่เดินวงโยฯ มาทุกปี แต่ดั๊นนนไม่มีใครสนใจจำ มัวแต่กรี๊ดกร๊าดไอ้ประธานเชียร์ตัวดำ ๆ เนี่ย หึ จำไว้!

    พวกผมทักทายและแลกเปลี่ยนกันแนะนำตัวพอเป็นพิธี (เลยได้รู้ว่าสีเรามี 30 คนครับ ชาย 12 ตุ๊ด 6 หญิง 12 เลขสวยมาก) แน่นอนว่าหัวหน้าสีก็คงเป็นใครไม่ได้นอกจากท่านประธานเชียร์งานบอล ผู้มีความเป็นผู้นำเป็นเลิศศศ (เห็นสาว ๆ เขาว่างั้นกันอะนะ ถุ้ย จริง ๆ แล้วสู้ประธานชมรมดนตรีอย่างผมไม่เห็นจะได้ ฮ่า ๆๆ) แต่พอถึงช่วงที่พี่สตาฟให้หัวหน้าทุกสีลุกขึ้นยืนแนะนำตัว ผมจึงได้รู้เพิ่มขึ้นว่า ฝ่ายบริหารโรงเรียนเรานี่มันแน่นอนจริง ๆ เพราะนอกจากประธานเชียร์จะได้เป็นหัวหน้าสีแดงแล้ว ไอ้เลขาสภาฯ ก็ได้เป็นหัวหน้าสีเหลืองเช่นกัน (มึงใช้หน้าตาซื้อตำแหน่งก็สารภาพมาเถอะ กูรู้ทัน)

    แน่นอนว่าพอได้หัวหน้าแต่ละสี เกมละลายพฤติกรรมทั้งหลายแหล่ก็ค่อย ๆ เริ่มขึ้น โดยส่วนมากเป็นเกมที่ผมเคยเล่นแล้วเกือบทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเกมฝ่ากำแพง (ให้ผู้เล่นสองสีตั้งป้อมกำแพง แล้วพยายามฝ่ากำแพงอีกฝ่ายหนึ่งเข้าไปให้ได้ สีไหนประสบความสำเร็จมากกว่าสีนั้นชนะ) เกมชิบปี้ชิบ (เต้นตามคนหัวแถว แม่งใครเสือกเอาตุ๊ดไว้หัวแถวฟะ ท่าเสื่อมมาก กูอายฉิบ) เกมเป่ายิ้งฉุบอะมีบา (ให้เป่ายิ้งฉุบกันครับ เริ่มจากสภาพปกติ ใครแพ้เป็นกระต่าย ใครชนะได้อัปเลเวลขึ้นเรื่อย ๆ เป็นไก่, ลิง, คน, ซูเปอร์แมน ตามลำดับ ตรงข้ามกับคนแพ้ต้องลดระดับลงไปเรื่อย ๆ แต่ถ้าใครเป็นกระต่ายแล้วยังจะแพ้อีกก็ไปเป็นอะมีบาโน่น แล้วทายดิครับว่าใครเป็นอะมีบายันจบการแข่งขัน ถ้าไม่ใช่ เออ ผมเอง ไม่ต้องทายถูกไวขนาดนั้นก็ได้ Y_Y แม่งดวงจะซวยไปไหน แถมพอเกมจบยังโดนให้ไปทำท่าอะมีบาโชว์ทุกคนกลางวงอีก เพราะพี่เขาบอกผมทำท่าอะมีบาน่ารัก -_-" ช่วยบ้างเหอะ! เห็นอย่างนี้ก็อายเป็นนะ! ตอนนี้คนในค่ายเลยเรียกผมโน่อะมีบาหมดเลยครับ เวรกรรม กูชื่อ โน่ เฉย ๆ ช่วยเข้าใจกันบ้างได้ไหมเนี่ย!) นอกจากนี้ก็ยังมีอีกหลายต่อหลายเกมครับ บรรยายไม่หมด รู้แต่ว่าเหนื่อยมากกก กว่าจะสันทนาการครบก็เล่นเอาหอบ (เหนื่อยพอ ๆ กับฝึกรด.ก็ไม่ปาน) แถมตอนที่พี่สตาฟสั่งให้ทุกสีนั่งประจำที่ได้ จนไอ้เรานึกว่าจะปล่อยขึ้นไปนอนแล้ว แต่พี่ผู้ชายที่เป็นพิธีกรยังจะมาแนะนำเกมต่อไปที่เขาบอกว่าเป็นเกม 'ส่งท้าย' อีก!

    "เอ้า น้อง ๆ คงเหนื่อยกันแล้วใช่มั้ยครับ! (เสียงเด็กตอบกันดังลั่นว่า  "ใช่!!!") แต่พี่จะไม่ยอมให้น้อง ๆ ได้กลับไปพักผ่อนสบาย ๆ หรอก (โห่...) แต่ไม่ต้องกลัวเหนื่อยครับ เพราะเกมนี้ขอแค่ตัวแทนสีละสองคนเท่านั้น เอาเป็นหัวหน้าสีกับใครก็ได้แล้วกัน ออกมาเลยครับ!"

    เอ่อ...หัวหน้าสีกู ไอ้เอิ้น แล้วมันจะเลือกใครล่ะ ถ้าไม่ใช่ กู ซวยจริง ๆ -_- แค่เป่ายิ้งฉุบอะมีบาก็อับอายวงศ์ตระกูลพอแล้วนะ นี่มึงจะหาความเสื่อมอะไรมาให้กูอีก! ผมเดินเกาหัวตามไอ้เอิ้นไปกลางวงสันทนาการอย่างไม่ค่อยมีอารมณ์ร่วมเท่าไหร่ แต่พอเห็นปุณณ์เดินมากับเพื่อนร่วมสีอีกคน (ใครวะไม่รู้จัก แล้วทำไมไม่พาพีทออกมาอะ โรงเรียนเดียวกันแท้ ๆ อ๋อ ไอ้พีทนั่งหลับพิงเสาศาลาไปแล้วครับ เหี้ยมาก) เอ๊ะ ในวงเล็บนั่นผมบ่นไรตั้งนาน เออนั่นแหละ เอาเป็นว่าพอเห็นไอ้ปุณณ์ออกมากับบัดดี้มัน ก็ราวกับเรียกความรู้สึกฮึกเหิมในร่างกายให้บังเกิดขึ้นมาทันที ฮะฮ้าาา เอาวะ! ท้าประลองกับสภานักเรียนซักตั้งเป็นไง ถึงการเรียนกูจะสู้ไม่ได้ แต่แข่งเกมปัญญาอ่อนแบบนี้กูเทพเว้ย!!! ผมยักคิ้วท้าทายไอ้ปุณณ์ข้างหนึ่งแต่มันกลับยักไหล่ตอบก่อนจะเมินไปทางอื่นราวกับว่าอย่างผมไม่ใช่คู่ต่อสู้มัน

    หน็อยแน่ะมึง เดี๋ยวได้เจอดี!

    "กติกาคือ ให้น้อง ๆ แต่ละคู่ ช่วยกันใช้อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งในร่างกาย ประคองลูกปิงปองพวกนี้จากตะกร้าตรงหน้าพี่ ไปให้ถึงถังหน้าพี่แว่นโน่น เข้าใจรึเปล่าครับ และเพื่อไม่เป็นการลำเอียง พี่จะให้น้อง ๆ จับฉลากว่าคู่ไหนได้ใช้อวัยวะใดแล้วกันนะ"

    ผมตบยุงที่แขนขณะพี่เขากำลังอธิบายกติกาอยู่ พอเงยหน้าอีกทีก็พบกล่องฉลาก (กล่องเดิมกับตอนจับฉลากปอบนั่นละครับ เห็นแล้วขนลุกเลย) กำลังยื่นให้พวกเราเลือกจับไล่มาทีละคู่ สีฟ้าได้ใช้หน้าผาก สีชมพูใช้แก้ม สีเหลือง(ไอ้ปุณณ์)ใช้ลำตัว (ยากว่ะ) สีม่วงใช้หัวไหล่ (นี่ก็ยาก) ส่วนฉลากใบสุดท้ายที่เหลือเป็นของพวกผม ทำเอาใจเต้นตึกตัก เพราะกลัวจะได้อะไรยาก ๆ แบบสีไอ้ปุณณ์กับสีม่วงมัน แต่พวกผมได้...

    ใช้ปาก!

    เย้! ง่ายโคตรรร ผมเผลอกำมือร้อง  "เยส!"  อย่างดีใจ แต่เพิ่งสังเกตว่าสีหน้าเอิ้นดูช็อกสนิท

    "เฮ้ย เป็นไรวะ"  หรือมันเหนื่อย

    "อ๋อ เปล่า ๆ"  เอิ้นบอกปัดผมพลางปาดเหงื่อเม็ดเล็กบนขมับ ร้อนอะไรวะเนี่ย ดึก ๆ แบบนี้กูออกจะหนาว  "มึงดีใจเหรอ"  แต่มันยังมีหน้ามาถามอะไรผมแปลก ๆ

    "เอ้า ก็ต้องดีใจสิวะ ใช้ปากง่ายออก ดีกว่าสีเหลืองกับสีม่วงตั้งเยอะ หรือมึงว่าไง"  เพราะเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าตัวเองคิดอะไรผิดไปรึเปล่า ไอ้เอิ้นถึงได้ทำหน้าเหยเกแบบนี้ แต่พอถามกลับไป มันดันรีบส่ายหัวยิกตอบมา  "ปล...เปล่า ไม่ว่าไงอะ มึงว่าดีกูก็ว่าดี แหะ ๆ"  เออ ประหลาดจริงเว้ย ผมขมวดคิ้วมองมันแต่ไม่มีเวลาให้คิดไรแล้ว เพราะพวกพี่ ๆ กำลังจะเป่านกหวีดเริ่มเกม

    ปี๊ดดด!

    เสียงกลองสันทนาการและกองเชียร์ดังลั่นอาคารพร้อม ๆ กับเสียงนกหวีด กระตุ้นให้พวกผมยิ่งวุ่นวายใช้ปากคาบลูกปิงปองขึ้นมาอย่างไว โดยมีเอิ้นงับไว้ด้านหนึ่ง และผมช่วยงับอีกด้านหนึ่ง ก่อนเราจะค่อย ๆ ประคองกันให้ไปถึงถังที่วางห่างจากตะกร้า 20 เมตรโดยประมาณ

    ว่าแต่สาว ๆ ในค่ายกับพวกรุ่นพี่เขาจะกรี๊ดกร๊าดอะไรนักหนาวะ! ยิ่งเวลาผมกับเอิ้นช่วยกันงับลูกปิงปองขึ้นมา เสียงกรี๊ดยิ่งดังแสบแก้วหูเป็นพิเศษ (หน้าที่โว้ย) -_-" อะไรกัน พวกผู้หญิงนี่ชอบคิดอกุศลอยู่เรื่อย ทั้ง ๆ ที่ตัวเองเป็นคนสั่งให้พวกผมทำเองแท้ ๆ ยังจะมีหน้ามาคิดลึกอีก โว้ะ! ผมแอบหงุดหงิดพลางสบตาขำ ๆ กับเอิ้น ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาช่วยกันงับลูกบอลต่อไป

    "จะหมดเวลาแล้ว สิบ! เก้า! แปด! เจ็ด!"

    เหยยย แต่แม่งทำไมของกูง่ายกว่าของไอ้ปุณณ์ตั้งเยอะ แต่ลูกปิงปองในถังสีเหลืองเสือกเยอะกว่าสีแดงอีกวะ! ไม่ได้การแล้ว เสียหมาแย่! ผมกับเอิ้นที่โคตรกลัวว่าถ้าแพ้จะโดนปุณณ์เยาะเย้ย ประณามหยามเหยียด รีบพร้อมใจกันเร่งสปีดเพื่อไม่ให้เสียหน้าทันที เราแข่งกับเสียงพี่สตาฟที่นับเวลาถอยหลังน้อยลงเรื่อย ๆ ด้วยใจระทึก

    รีบหน่อยวะ! ผมกับเอิ้นช่วยกันคาบลูกบอลในตะกร้าแล้ววิ่งมาหาถังอย่างรีบร้อน ทำให้ลูกปิงปองในปากค่อนข้างหมิ่นเหม่จนดูเอียงกะเทเร่อย่างน่าหวาดเสียว เป็นสาเหตุให้ตอนนี้ปากของผมกับเอิ้นเริ่มอยู่ในตำแหน่งที่ใกล้กันมากขึ้นทุกที ๆ

    อีกนิดจะถึงแล้ว จะถึงแล้ว จะถึง...ถึงแล้ววว บิงโก!!! ผมกับเอิ้นรีบปล่อยปิงปองลูกสุดท้ายสู่จุดหมายอย่างรีบร้อนเพราะมันก็จวนจะหล่นแหล่ไม่หล่นแหล่อยู่แล้วเป็นทุนเดิม แน่นอนว่าพอถึงเส้นชัยพวกผมก็รีบปล่อยมันลงถัง พร้อม ๆ กับเสียงนกหวีดจบการแข่งขัน และริมฝีปากเอิ้นกับผมที่แตะโดนกันแผ่ว ๆ

    ...เอ่อ

    เราสองคนยืนมองหน้ากันเงียบ ๆ ครู่หนึ่ง ทั้งที่เกมจบลงแล้ว และรอบข้างมีแต่เสียงโวยวาย ผมรู้ว่าคงไม่มีใครสนใจหรอกว่าเมื่อกี้ระหว่างผมกับเอิ้นจะมีอะไรเกิดขึ้น เพราะทุกคนมัวแต่ใจจดใจจ่อกับการลุ้นทีมสีตัวเอง และโห่ร้องแสดงความดีใจเมื่อเวลาหมดแทบทั้งนั้น หรือถ้าจะให้พูดกันจริง ๆ ก็คือ ผมตกใจกับอุบัติเหตุเมื่อครู่นิดหน่อย แต่หากถามว่าใส่ใจหรือเก็บมาเป็นอารมณ์ไหม ก็ตอบได้เลยว่า ไม่ ตอนนี้มีเรื่องอื่นน่าสนใจกว่าเยอะ

    "ผู้ชนะคือสีชมพูครับ!!! รองลงมาคือสีแดง! ส่วนที่สามเป็นสีเหลือง!"  ก็นี่ไงล่ะครับเรื่องที่น่าสนใจมากกว่า! เยสสส ในที่สุดผมก็ชนะไอ้ปุณณ์จนได้ วะฮ่าฮ่าฮ่า!!! สะใจจริงโว้ย ผมกระโดดไปมาเป็นลิง เช่นเดียวกับกองเชียร์คนอื่น ๆ ที่ส่งเสียงกรี๊ดแข่งกับลำโพงตัวใหญ่ แถมยังมีการวิ่งไปเยาะเย้ยสีอื่นกันอีกต่างหาก! ฮ่าฮ่า ยอมน้อยหน้าที่ไหนล่ะครับคนสีนี้!

    ผมกระโดดวิ่งไปกอดกับเพื่อนในสี (ดีใจเว่อร์มากเหมือนบอลไทยได้แชมป์โลกอะ) เช่นเดียวกับทุกคนในค่ายที่ต่างส่งเสียงเอะอะโวยวายอยู่พักใหญ่ ไม่นานนักผมก็เริ่มสังเกตว่าไอ้เอิ้นมันเงียบไป เพราะถึงแม้ริมฝีปากมันจะยิ้มแย้มกับเพื่อนคนอื่น แต่นัยน์ตาคู่นั้นกลับดูแปลก ๆ

    "เป็นไรวะเอิ้น ไม่ดีใจเหรอ"  ผมปลีกตัวจากวงใหญ่ (ที่ตอนนี้เริ่มเต้นเพลงสันทนาการตามใจชอบปิดท้ายก่อนขึ้นนอนอีกแล้วครับ ไม่เหนื่อยมั่งรึไง) มาแตะบ่าเอิ้นเบา ๆ ผลที่ได้รับคือเจ้าตัวสะดุ้งหนัก เหมือนว่าหัวใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

    "เอ่อ โน่ เมื่อกี้กูขอโทษนะ กูไม่ได้ตั้งใจ"  หา? อะไรของมันวะ อ๋อ...ห่า...

    ผมยอมรับว่าเกือบลืมเรื่องฉากสุดท้ายในเกมไปแล้ว เพราะอันที่จริงมันไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตอะไร ผมรู้ว่าอุบัติเหตุก็คืออุบัติเหตุ แล้วของแค่นี้ก็จิ๊บจ๊อยมาก ตราบใดที่มันเป็นเรื่องไม่ตั้งใจ

    "ไรวะ! มึงยังคิดมากอยู่อีก เห็นกูเป็นผู้หญิงรึไง ห่า...กูไม่คิดไรหรอก ช่างเห้อะ! ไป ๆๆ ไปเต้นกัน มึงปล่อยอีชาลีเต้นคนเดียวมันเหงาแย่ ฮ่า ๆๆ"  ผมจึงพูดอ้างอิงไปถึงกะเทยคนหนึ่งในสีที่ปลื้มเอิ้นม้ากมากครับ มันชื่อชาลี (ชื่อตามบัตรประชาชน สุชาติ) เป็นเด็กโรงเรียนชายล้วนแถวโรงเรียนผมนี่ละ แต่กางเกงน้ำตาล อีชาลีนี่ติดใจไอ้เอิ้นขนาดหนักถึงขั้นจะกิน จะขี้ จะเยี่ยว เป็นต้องเรียกหาหัวหน้าสีให้มาดูแล (ทั้งที่ไซส์อีชาลีนี่ออกแนวบึก ถึกทนกว่าเอิ้นตั้งเยอะ) เอิ้นก็หนีมันบ้างบางโอกาส แต่จริง ๆ ชาลีมันก็ตลกดี พวกผมเลยชอบเล่นกับมันครับ

    แน่นอนว่าพูดจาเป็นศิราณีแบบนี้ ถ้าเป็นเวลาปกติเอิ้นคงทุบหัวผมแก้เขินไปแล้ว (รึเปล่าวะ ฮ่า ๆ) ผิดกับครั้งนี้ที่มันเงียบ ใช้เพียงดวงตาคมกริบคู่นั้นมองตรงมา จนผมไม่สามารถหลบสายตาได้ต่อไป

    "มึงไม่คิดแต่กูคิดนะ มึงก็รู้ว่ากูคิดยังไงกับมึง"  เสียงทุ้มของเอิ้นเตือนผมเบา ๆ แต่ฟังดูจริงจังราวกับหินผา อันที่จริงถ้าไม่เตือนก็ว่าจะทำลืม ๆ ไปแล้วนะ แต่มาพูดถึงอีกแบบนี้หมายความว่าไงวะ ผมสบดวงตาจริงจังคู่นั้น แล้วอดไม่ได้ที่จะเผลอถอนหายใจออกมา

    "คือเอิ้น ตั้งแต่วันแรกที่กูรู้จักมึงจนถึงวันนี้กูก็ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยนะ กูยังคิดว่ามึงเป็นเพื่อนเหมือนเดิม แล้วก็จะคิดแบบนี้ตลอดไปด้วย"  ผมรู้ว่าคำพูดเหล่านั้นคงไม่สามารถทำให้คนฟังรู้สึกดีขึ้นได้ แต่ความรู้สึกผมเป็นอย่างนี้จริง ๆ ผมจึงรีบเปลี่ยนเป็นฉีกยิ้มกว้างพลางตบบ่ามันแรง ๆ สองสามทีอย่างที่ชอบทำ

    "ทำไมทำหน้างั้นว้า เป็นเพื่อนกันดีจะตาย หนุกดีออก อย่างเมื่อกี้ถ้าเป็นคนอื่นกูต่อยปากแตกไปแล้ว แต่เห็นมึงเป็นเพื่อนนะเนี่ยถึงบอกไม่ต้องคิดมาก ชิล ๆ ไป จะจูบกูอีกกี่ทีกูก็คิดกับมึงแบบเดิมแหละ ไม่ได้โกรธไม่ได้เกลียดอะไรทั้งนั้น เข้าใจนะ!"

    ผมพูดกึ่งจริงกึ่งเล่นให้อีกฝ่ายหลุดขำได้นิดหนึ่ง แต่ทำไมตัวเองถึงเสียวสันหลังวูบแบบนี้วะ ผมขมวดคิ้วเป็นปมหลังพูดประโยคเมื่อกี้จบ ก่อนจะหันไปเพื่อพบกับ...

    ปุณณ์ ภูมิพัฒน์ ที่มายืนนิ่งอยู่ ก่อนจะมองทั้งเอิ้นและผมด้วยสายตาเอาเรื่อง แล้วจากไป

    เดี๋ยวนะ...มึงได้ฟังครบจริงรึเปล่าเนี่ย!!!
     

     

    TBC.

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×