ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    LOVE SICK : ชุลมุนหนุ่มกางเกงน้ำเงิน [YAOI]

    ลำดับตอนที่ #60 : 51st CHAOS - BANG!

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 44.04K
      197
      29 มี.ค. 63


    51st CHAOS - BANG!
     

    ผมกลับมาบ้าน โยนกระเป๋าพลางเปิดคอมด้วยความเหนื่อยหน่าย

    แต่หางตาดันเหลือบเห็นพวงกุญแจที่เคยซื้อเป็นคู่กันกับยูริที่ร้าน Loft อันนั้น ห้อยอยู่บนกระเป๋านักเรียนตัวเองก่อน พวงกุญแจนั้นที่ยูริทำท่าดีใจเป็นเด็ก ๆ เมื่อเห็นและคิดเป็นนานว่าจะซื้ออันสีส้มหรือสีฟ้าดี จนสุดท้ายเธอตัดสินใจซื้อให้ตัวเองและผมคนละอัน แต่เป็นผมที่อาสาจ่ายเงินให้ เพราะรอยยิ้มเวลาดีใจของยูริน่ามองเสมอ

    ผมเพิ่งทำลายรอยยิ้มนั้นไป

    ความรู้สึกเกลียดตัวเองแล่นลามไปทั่วร่างกายผม แม้กระทั่งปลายนิ้ว ผมล้มตัวลงบนเก้าอี้หน้าคอมพิวเตอร์อย่างเหนื่อยอ่อน อยากจะนอนหลับ ๆ ไปให้พ้นจากความรู้สึกพรรค์นี้ ถ้าไม่ติดว่าดันรับปากไอ้เก่งไว้ว่าจะส่งโครงงานชีวะฯ ให้มันทาง MSN วันนี้ ผมคงได้ปิดตัวเองไปอยู่ในโลกแห่งความฝันแล้ว

    เชิญบูชาเทพได้ที่นี่ พูดว่า: ส่งงานมึงมาเดี๋ยวนี้ นี่คือการปล้น

    คิดยังไม่ทันขาดคำ พอออนไลน์ได้ปุ๊บ หน้าต่างไอ้เชี่ยเก่งก็เด้งมาทวงงานปั๊บ จนผมต้องส่ายหัวหน่ายก่อนจะเลือกกด Send file ให้มันโดยที่ไม่พิมพ์ตอบอะไร

    เชิญบูชาเทพได้ที่นี่ พูดว่า: วันนี้กูเจอเด็กมึงที่สยามด้วย

    แต่ไอ้เก่งไม่เลิกชวนคุยต่อ ซ้ำประโยคล่าสุดยังทำให้ผมตื่นตัวขึ้นมานิดหนึ่งได้อีก ผมขมวดคิ้วมุ่นมองตัวอักษรเหล่านั้นที่มันพิมพ์มา ก่อนจะตัดสินใจพิมพ์ตอบกลับไป

    โน่ พูดว่า: ใครวะ

    เชิญบูชาเทพได้ที่นี่ พูดว่า: ญี่ปุ่นคอนแวนต์แฟนมึงไง

    เก่งเจอยูริ! เจอตอนไหน ก่อนหรือหลังแยกจากผมแล้ว ผมคิดอย่างกระวนกระวายด้วยใจอยากรู้ว่าหลังแยกกับผมยูริเป็นยังไงบ้าง เธอกลับบ้านโดยสวัสดิภาพหรือเปล่า ร้องไห้เสียใจมากไหม แต่ดูท่าทางเก่งคงให้คำตอบอะไรผมเท่าที่ต้องการไม่ได้

    เชิญบูชาเทพได้ที่นี่ พูดว่า: เจอตอนค่ำๆ ก้มหน้าก้มตาว่ะ กะจะทักแต่โบกแท็กซี่หายไปเลย

    โน่ พูดว่า: อือ

    เชิญบูชาเทพได้ที่นี่ พูดว่า: เป็นไรของเมิงวะ ซึม

    เออ รู้ว่าเคยพูดคำนี้ไปแล้ว แต่จะขอพูดเป็นครั้งที่สอง ไอ้ห่านี่มันเก่งสมชื่อจริง ๆ ตั้งกล้องแอบดูกูป่าววะ

    โน่ พูดว่า: ป่าว มึงบ้าปะ กูกะลังนั่งดูเดี่ยวหก หัวเราะก๊ากๆๆอยู่ในห้องเนี่ย

    เชิญบูชาเทพได้ที่นี่ พูดว่า: ไอ้ควาย

    อ้าว แล้วแม่งด่ากูทำไม หึหึ ผมหัวเราะขำมันที่เหมือนกำลังพิมพ์อะไรต่อ แต่ไฟล์ที่ส่งให้ดันโหลดเสร็จพอดี จึงฉวยโอกาสกด Sign out จากโปรแกรมซะ เอาเป็นว่าวันนี้ขอกูพักแล้วกันนะเพื่อน

    ก็อก ก็อก ก็อก

    "โน่...โน่...โน่..."

    แต่พอปิดคอมปุ๊บ เสียงม้าเคาะประตูก็ดังเรียกผมหน้าห้องทันที ผมหันไปมองต้นเสียงหลังประตูไม้อย่างงง ๆ แป๊บหนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ ลุกไปเปิดให้ หลังประตูบานนั้นคือม้าที่มาหยุดยืนอยู่ พร้อมถุงอะไรในมือถุงหนึ่ง

    "น้องปุณณ์มาหาเมื่อกี้ บอกว่าโน่ลืมของไว้ที่เขา เลยเอามาให้" ผมขมวดคิ้วรับคำม้าอย่างงง ๆ เพราะไม่ได้ฝากอะไรไว้กับมันสักหน่อย ยิ่งตอนม้ายื่นถุงก๊อบแก๊บสีขาวมาให้ผมก็ยิ่งงงใหญ่ แต่ไม่ได้สนใจอะไรมากมาย เพราะยังมัวสงสัยว่าเจ้าของถุงหายไปไหน

    "แล้วมันไปไหนแล้วอะม้า"

    "กลับไปแล้ว"

    "อ้าวเหรอ" ผมงง ๆ เล็กน้อย แต่ก็ผงกหัวขอบคุณที่ม้าอุตส่าห์เป็นธุระให้ ดูเหมือนม้าคงสังเกตเห็นว่าผมแปลก ๆ เพราะตอนนี้สายตารู้ทันคู่นั้นเล่นมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า "อาบน้ำก่อนนอนด้วยนะโน่ อย่านอนดึก"

    "คร้าบ" ม้าก็เป็นอย่างนี้แหละ ไม่ค่อยถามแต่เป็นห่วงผมเสมอ ผมจึงต้องรีบรับปากพลางฉีกยิ้มเพื่อให้ม้าสบายใจ ก่อนที่ม้าจะเดินจากไป ปล่อยให้ผมยืนอยู่คนเดียวกับถุงใบสีขาวนั้นจากไอ้ปุณณ์อย่างงง ๆ

    ผมเดินถือถุงเข้าห้องพลางปิดประตู จนพอได้ลองสังเกตดี ๆ ถึงรู้ว่าเป็นถุงใส่กล่องขนมจากร้าน Beard Papa's เจ้าอร่อยในพารากอนนั่นเอง อืม...มันเดินไปซื้อให้ผมตั้งแต่ตอนไหนวะ ผมจ้องตากับลุงหนวดบนกล่องแล้วก็ต้องยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ และยิ่งยิ้มเข้าไปใหญ่เมื่อพบว่าภายในบรรจุชูครีมคุกกี้ของโปรดผมไว้หลายก้อน ไอ้ปุณณ์มันเก่งว่ะ รู้ได้ไงว่าชอบแบบนี้ อันที่จริงผมไม่ค่อยนิยมกินครีมนักหรอกครับ เพราะมันเลี่ยนไม่เหมาะกับลิ้นผมเท่าไหร่ แต่เศษคุกกี้ที่ติดอยู่กับแป้งชูครีมอร่อยมาก จนผมเผลอกินทีละไม่เคยต่ำกว่า 5 ก้อนสักที (นี่แหละสาเหตุที่มาของพุงผม)

    เห็นดังนั้นเลยเอื้อมมือหมายจะซัดให้เรียบหมดกล่องแก้เซ็งสักหน่อย แต่หางตาดันเหลือบเห็นกระดาษแผ่นสีส้มเล็ก ๆ แปะอยู่บนฝากล่องด้านใน ผมจึงต้องขมวดคิ้วมองโพสต์อิทที่ถูกเขียนด้วยปากกาน้ำเงินอย่างสนใจ

    'ขนมวิเศษ กินแล้วหลับฝันดี :)

    โน่ทำดีที่สุดแล้วครับ พรุ่งนี้ยิ้มกันนะ :)'

    อืม ไม่ต้องรอให้ถึงพรุ่งนี้หรอก เพราะแค่เห็นข้อความลายมือคุ้นตาก็เรียกรอยยิ้มจากผมได้ทันที หึหึ ชูครีมอร่อยขึ้นเยอะเลยแฮะ สงสัยจะเป็นชูครีมวิเศษ กินแล้วหลับฝันดีจริง ๆ =]


    ***
     

    แต่สงสัยตอนเด็ก ๆ ผมจะฟังนิทานที่ม้าเล่ามากไปหน่อย เพราะโลกแห่งความเป็นจริง ชูครีมวิเศษมันมีที่ไหน

    แน่นอนว่าไอ้ชูครีมของปุณณ์เมื่อคืนหวานจนต้องกินไปยิ้มไปก็จริง แต่พอหมดกล่องแล้วล้มตัวนอน หน้ายูริที่ผมทำใจลืมได้แค่ยี่สิบนาทีก็วนย้อนกลับมาที่เดิมใหม่ แถมไม่ยอมหายไปไหนอีกต่างหาก

    เป็นซะอย่างนั้น ผมเลยได้แต่พลิกตัวไปมาบนเตียงทั้งคืน เพราะทุกครั้งเมื่อหลับตา รอยยิ้มที่ยูริพยายามส่งให้ผมทั้งน้ำตาก็ยังคงผุดขึ้นมาเด่นชัดในความคิดทุกที ยิ่งผมพลิกตัวมากเท่าไหร่ ความรู้สึกว่ายูริเพิ่งมาร้องไห้กับอกผมเมื่อตอนเย็นก็ยิ่งย้อนกลับมาเท่านั้น

    สุดท้ายลงที่ผมนอนไม่หลับทั้งคืน หรือกระทั่งจะลุกไปล้างหน้าล้างตากลางดึกก็ยังไม่อยาก เพราะแค่เห็นหน้าตัวเองผมก็อยากหาอะไรเขวี้ยงกระจกแรง ๆ แล้ว เพราะไม่ใช่ผมหรือไง คนดี ๆ อย่างยูริถึงต้องมาร้องไห้เสียใจ ไอ้คนห่วย ๆ อย่างผมมันเป็นลูกผู้ชายที่ไหน

    ผมทำให้ทุกอย่างกลายเป็นแบบนี้

     

    ตอนเช้าผมสะโหลสะเหลไปโรงเรียนในสภาพไม่อำนวยให้สู้รบปรบมือกับใครทั้งสิ้น ก็คิดดูว่าอาการหนักขนาดตอนแวะเซเว่นก่อนขึ้นรถไฟฟ้า เสือกเจอพวกกางเกงน้ำเงินย่านอโศกดักรอปล้นเข็มโรงเรียนตั้งแต่ไก่โห่ (จะเอาไปใส่บาตรพระรึไงวะ) ขนาดมันมีกันแค่ 3 คน ผมยังถอดให้ง่าย ๆ เลย เออ อยากเอาไปกอดจูบลูบคลำหรือทำห่าอะไรก็เชิญ ไม่มีอารมณ์จะบู๊ด้วยจริง ๆ เดี๋ยวค่อยซื้อใหม่เอาก็ได้วะ ราคาไม่ถึงร้อย นี่ผมคิดถึงขนาดว่าวันหลังต้องซื้อพกไว้ทีละหลาย ๆ โหล เพราะเห็นพวกมันอยากได้กันจังไอ้เข็มโรงเรียนเนี่ย อยากรู้นักถ้าตราโรงเรียนผมเป็นรูปแมวคิตตี้ พวกมันจะยังอยากได้กันอยู่ไหม เหอะ

    หลังจากผ่านเหตุการณ์ปล้นเข็มและขึ้นไปแออัดกับคนในรถไฟฟ้าเป็นปลากระป๋องจนมาถึงโรงเรียนได้แล้ว ผมก็เดินหน้ามึนเข้ารั้วทั้งที่กระเป๋าเสื้อไม่ได้ติดเข็มอยู่ อาศัยว่ายกมือไหว้มาสเซอร์แล้วเนียน ๆ ใช้แขนปิดอกเสื้อไว้เลยรอดฉลุย จนลากขาผ่านตึกอำนวยการที่ปุณณ์มักปักหลักอยู่ทุกเช้าจนผมทักมันเป็นปกติไปแล้วนั่นละ เพียงแต่วันนี้ผม...

    ยังไม่สนิทใจที่จะทักแฮะ มันยังรู้สึกผิดยังไงอยู่ไม่รู้

    ผมเหลือบมองปุณณ์ที่ยืนถือแฟ้มเอกสารเล่มโตไว้ในมือพลางคุยกับน้องม.ต้นไปด้วย เหมือนคนกำลังยุ่งอยู่เพราะเล่นขุดเอาแว่นมาใส่ สงสัยช่วงต้นปีแบบนี้แถมยังก่อนการเลือกตั้งประธานนักเรียนคนใหม่อีก มันเลยวุ่น ๆ ละมั้ง งั้นขอเดินผ่านไปก่อนแล้วกัน คงไม่ว่าใช่ไหม ผมคิดพลางตั้งใจจะทำแบบนั้นอยู่แล้วถ้าปุณณ์ไม่ได้หันมาเห็นซะก่อน

    "โน่!"

    อืม สุดท้ายก็ต้องทักมันอยู่ดี ผิดจากเดิมตรงที่คราวนี้ปุณณ์เป็นฝ่ายทั้งโบกมือและเรียกผมจากบนตึก ท่าทางมันตกใจไม่น้อยที่เห็นผมเดินเข้าโรงเรียนตั้งแต่เช้า (แล้วตกใจทำไมวะ) ก่อนจะรีบฝากแฟ้มไว้กับน้องที่มันคุยงานค้างไว้ แล้วกระวีกระวาดลงจากตึกมาหาผมทันที แต่...

    "เชี่ยโน่! มาเช้านะมึง ตื่นเช้าหรือยังไม่นอน"  ไอ้รถเก๋งเสือกวิ่งมาทักพลางฟาดกระเป๋าลงกับหลังผมดัง บั้ก! ก่อน อูยยย นี่เหรอวิธีอรุณสวัสดิ์เพื่อนรักของมึง แล้วคนอย่างกูมาเช้านี่จะมองในแง่ดีหน่อยไม่ได้รึไง!

    ปุณณ์เมื่อเห็นผมมีเพื่อนเดินแล้วจึงชะงักฝีเท้าหยุดอยู่แค่นั้น ไม่เดินเข้ามาหาผมต่อ ก็พอเข้าใจว่ามันไม่อยากกวน ผมเลยยกมือตอบกลับไปเชิงไม่เป็นไร ไว้ค่อยเจอกันทีหลังก็ได้

    "อ้าว กูมาเป็น กขคงจฉช พวกมึงปะวะ"  ไอ้รถเก๋งสงสัยจะสังเกตเห็นท่าทางผิดปกติเหล่านั้นเลยถามขึ้นแม้ยังกอดคอผมไว้แน่นอยู่ เออ กูละอยากตอบมึงแบบนั้นจริง ๆ แต่ช่างเถอะ ที่จริงให้คุยกับปุณณ์เวลานี้ก็ไม่รู้จะคุยอะไรดี เพราะหากปุณณ์ถามถึงเรื่องเมื่อวานผมคงไม่รู้จะตอบยังไง

    "ซื้อสตาร์ซอคเก้อร์มาปะวะ"  เปลี่ยนเรื่องดีกว่า ผมหันไปถามถึงผลบอลเมื่อคืนที่ลืมดูซะสนิท เพราะมัวแต่เซ็งตัวเอง สุดท้ายเลยไม่รู้ว่าปืนใหญ่ที่รักเป็นยังไง อาการโคม่าถึงขั้นไหนแล้ว แต่แค่เห็นหน้าไอ้เก๋งฉีกยิ้มเผล่ผมก็รู้ผลอัตโนมัติทันที

    "มึงอย่าอ่านเลย เดี๋ยวปวดใจ"  โห ไอ้สาดดด ทีมกูอ่อนให้หรอกมึงถึงชูคอได้อย่างนี้ เอาไว้งวดหน้ามีเอาคืนถึงโอลด์แทรฟฟอร์ดแน่ ฟันธง

    ขณะที่ผมกำลังเบื่อขี้หน้าไอ้รถเก๋งผู้กระดี๊กระด๊าเหลือเกิน (เนื่องจากผีแดงมันถล่มปืนใหญ่ผมได้ราบคาบเมื่อคืนนี้) แถมยังไม่ทันหายเซ็งดี เสียงไอ้ปาล์มก็ดังมาพร้อม ๆ กับฝีเท้าที่วิ่งชาร์ตจากด้านหลังอย่างแรงเสียก่อน

    "เฮ้ยได้ดูป่าววะเมื่อคืน! สองศูนย์! ลูกสุดท้ายเจ๋งโคตรรร"

    โอ๊ย...อะไรกันนักหนาวะพวกนี้!


    ***
     

    สรุปว่าตั้งแต่เริ่มวันมา ยังไม่มีอะไรดีเลยครับ

    เริ่มจากตอนเช้า ผมโดนโรงเรียนคู่อริปล้นเข็มโรงเรียนไป แถมพอเข้าโรงเรียนได้ยังไม่ทันเท่าไหร่ ก็เสือกถูกตอกย้ำเรื่องบอลทีมโปรดโชว์ฟอร์มห่วยสัดเมื่อคืนอีก แล้วพอเดินเข้ามาในห้องหน่อย ดันปรากฏว่าเพื่อนทุกคนนั่งหน้าดำคร่ำเครียดอ่านหนังสือกันจะเป็นจะตายเพราะหน่วยข่าวกรองบอกมาว่ามาสเซอร์นิวัฒน์จะควิซวันนี้ ฉิบหายเลยกู! เรียนก็ไม่เรียน เรื่องอ่านหนังสือไม่ต้องพูดถึง ขออนุญาตจดโพยลงต้นขาเลยแล้วกัน!

    แต่โพยก็ไม่ช่วยอะไรครับ เพราะมาสเซอร์ดันจัดที่นั่งสอบใหม่หมด โอ๊ย แค่ควิซท้ายบทจะทำให้ยุ่งยากทำไมเนี่ย แล้วผมก็ต้องหงุดหงิดเข้าไปใหญ่เมื่อที่นั่งสอบผมอยู่...ข้างมาสเซอร์

    เยี่ยม อย่าว่าแต่ดูโพย จะตดแต่ละทียังต้องคิดหนักเลยครับ T_T ถุย ชีวิต

    เอาเป็นว่าจบเรื่องตอนเช้า ผมออกจากห้องเรียนด้วยสภาพซอมบี้ยิ่งกว่าเก่า เพราะไม่ได้นอนทั้งคืนแล้วยังเจอข้อสอบมหาหินเข้าไปอีก แถมไอ้เชี่ยโอมยังทำตัวน่าหมั่นไส้ด้วยการอวดทุกคนยกใหญ่ว่ามันได้ลอกข้อสอบไอ้เก่งเกือบทั้งแผ่น เพราะเสือกดวงเฮงได้นั่งมุมอับที่มาสเซอร์ไม่ค่อยสนใจพอดี เออ เอาเข้าไป ทับถมกูกันเข้าไป หมั่นไส้โว้ย

    สุดท้ายผมเลยได้แต่เดินหงุดหงิดเข้าแคนทีนแบบเซ็ง ๆ แถมวันนี้ไม่รู้เป็นห่าอะไร ผมรู้สึกว่าแอร์เย็นกว่าปกติถึงขั้นหนาว แต่ไม่มีใครบ่นอะไรสักคำ หรือผมจะคิดไปเองวะ เพราะขนาดไอ้เคนที่ว่าขี้หนาวแล้ว มันยังไม่พูดถึงอุณหภูมิของแคนทีนวันนี้เลย เออ ผมคงคิดมากไปเองแหละ เดินไปร้านประจำเลยดีกว่า กิน ๆ เข้าไป ร่างกายจะได้อบอุ่น

    ผมเดินลากขาพาตัวเองไปร้านข้าวราดแกงเจ้าประจำ ที่เวลาไม่รู้จะกินอะไรดีก็จบชีวิตลงร้านนี้ทุกครั้ง แต่วันนี้มันปิด

    ป้าครับ! ขอบคุณมากครับที่ช่วยซ้ำเติมความโคตรซวยของผม! ขอบคุณมากเลยครับป้า!!!

    ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะเป็นบ้า โว้ยยย เอาไงกับชีวิตดีวะเนี่ย ยอมรับว่ารู้สึกเสียศูนย์ไม่น้อย เลยต้องโซซัดโซเซไปพึ่งพาไอ้โอมที่ต่อแถวหน้าร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำของมันอยู่ แม่ง มึงแดกไรวะ กูแดกด้วย

    "อะ สั่งให้กูด้วย เอาเหมือนมึงอะ"

    "เฮ้ยไรวะ ไหนว่าจะแดกข้าว"  แต่ไอ้นี่ช่วยอย่าถามมากได้ไหม ไม่มีอารมณ์จะเถียงโว้ย

    "มันปิด อย่าถามมาก แดกกะมึงนี่แหละ"

    "เออ ๆ แดกไร"  ก็กูเพิ่งบอกไปว่าเอาเหมือนมึง ไอ้ห่านี่แคะขี้หูมั่งเปล่าวะ

    "แดกเหมือนมึงอะ อะไรก็ได้เอามาเหอะ กูไปรอตรงโน้นนะ"  ผมตอบโอมอย่างเซ็ง ๆ ก่อนจะยัดบัตรเงินสดใส่มือมันแล้วปลีกตัวออกนอกแถวไปรอห่าง ๆ เพราะเกรงสายตาครหาจากคนกำลังต่อแถวอยู่ ว่าผมโผล่มาจากไหนไม่รู้จู่ ๆ ก็ฝากเพื่อนสั่งให้เฉยเลย เหอ ๆๆ ขอเลวสักวันแล้วกันครับพี่น้อง ผมเซ็งจริง ๆ

    ยืนรอแค่ไม่นานไอ้โอมก็เดินหน้าแฉล้ม ถือชามก๋วยเตี๋ยวฝาแฝดมาสองชาม กูละหมั่นไส้หน้าตาคนมีความรักจริง ๆ ไม่รู้คิดไปเองรึเปล่า แต่ผมว่าช่วงนี้หน้ามันตอแหลขึ้นเยอะ

    "อะ บัตรมึง ตังค์จะหมดแล้วนะไอ้ควาย หัดเติมซะมั่ง"  อะเหรอ เออ นี่ก็ซวยอีกเรื่อง เพราะเมื่อเช้าตอนมาโรงเรียนบัตรรถไฟฟ้าผมเพิ่งเงินหมดพอดี แล้วไหนจะต้องเติมบัตรแคนทีนอีก จนสนิทสิกู

    ผมรับชามก๋วยเตี๋ยวจากมือไอ้โอม พลางแอ่นอกให้มันยัดบัตรแคนทีนลงกระเป๋าเสื้อ โอมจึงสังเกตเห็นว่ากระเป๋าผมไม่มีเข็มโรงเรียนติด  "เฮ้ย เข็มมึงไปไหน"

    "โดนปล้นเมื่อเช้า"  ผมตอบเรียบ ๆ เหมือนไม่ใส่ใจ ซึ่งก็ไม่ได้ใส่ใจจริง ๆ แหละ แต่เพิ่งนึกออกว่าต้องซื้อเข็มใหม่ โอ๊ย นี่ก็เรื่องเสียตังค์อีกแล้ว!

    "โรงเรียนไหนเอาไปอีกวะ"  ไอ้โอมยังคงซักต่อขณะเราเดินมาวางจานบนโต๊ะแล้ว ตอนนี้พวกไอ้โด่ง ไอ้เก๋ง ไอ้ปาล์ม ไอ้คม และสาวกผีแดงทั้งหลาย (ทำไมเยอะจังวะ) กำลังใช้แล็ปท็อปต่อ Wi-fi เปิดรีรันลูกฟรีคิกสุดท้ายที่ปั่นเข้าประตูอาร์เซนอลไปอยู่ เออนะ พวกมึงตื่นเต้นอะไร ทำอย่างกับไม่เคยชนะ งี้แหละผีแดง ปล่อยมันได้ใจไป เดี๋ยวปืนใหญ่กูเอาจริงแล้วจะหนาววว

    แต่ดูเหมือนประเด็นลูกฟรีคิกเมื่อคืนจะตกไปทันทีที่โด่งได้ยินเสียงโอมถามผม  "พูดเรื่องไรกันวะ อย่าบอกนะเรื่องเข็ม"

    "เออดิ เชี่ยโน่แม่งอ่อน ให้เด็กโรงเรียนอื่นเอาไปได้ว่ะ"  ไอ้เชี่ยโอมได้ทีฟ้องจนผมต้องเหล่มัน ทีมึงล่ะไม่เคยเลยมั้ง ผมจำได้ว่ามันเคยโดนปล้นที่ท่าพระอาทิตย์ ทั้งที่สภาพจิตใจปกติไม่ได้เพิ่งหักอกผู้หญิงมาแบบผมสักนิด ติดแค่อีกฝ่ายยืนล้อมมันเป็นสิบคนเท่านั้นเอง

    "โหเชี่ย กูว่าแล้วไม่เห็นเข็มที่อกมัน แต่นึกว่าแม่งช็อกที่อาร์เซนอลแพ้จนลืมติด ที่ไหนได้..."  ไอ้โด่งเว้นช่วงให้ผมได้สบโอกาสเบิ้ดกะโหลกมันเบา ๆ ด้วยความรัก มึงก็เคยโดนกูจำได้! สรุปว่ามีแต่ผมนี่แหละ ที่เพิ่งมาโดนตอนอยู่ม.5

    "อ้าว ปล้นเข็มอีกแล้วเหรอวะ อะ ๆๆ เอาของกูไปดิ กูพกสำรองไว้พอดี เชี่ยแม่งโรคจิต สงสัยเอาไปชั่งกิโลขาย"  แน่นอนว่าพ้งเป็นคนดีที่สุด เพราะนอกจากไม่ว่าผมแล้ว พอรู้ว่าผมตกเป็นเหยื่อคดีปล้นเข็มโรงเรียน มันก็ควักเข็มใหม่เอี่ยมที่พกติดกระเป๋าตังค์ไว้ให้ผมอีก (สงสัยนี่จะเคยโดนมากกว่า 3 ครั้ง) ผมรับเอาเข็มจากพ้งมาติดอกเสื้อพร้อมกับไชโยสามทีในใจว่า ไม่ต้องเสียตังค์ 70 บาทแล้ววว

    "เออ มัวแต่ดีใจ ไม่เสือกแดกก๋วยเตี๋ยวซักที เส้นมึงอืดเป็นศพย่านาคแล้วสัด"  เออว่ะ จริงด้วย ผมก้มมองเส้นเล็กต้มยำในชามตัวเองแล้วก็ต้องรีบยกตะเกียบกินทันที แอบนึกขอบใจไอ้โอมนิดหน่อยที่ช่วยพูดให้สติผม แต่พอคำแรกเข้าปากก็ต้องเปลี่ยนเป็นตะโกนด่ามันลั่นโรงอาหารทันที

    "ไอ้เชี่ยโอม! มึงจะฆ่ากูเหรอ!!!"  น้ำอึกใหญ่ถูกส่งลงคออย่างเร่งด่วนเมื่อความเผ็ดลุกลามทั่วปลายลิ้นจนโคตรแสบคอหอย แต่ไอ้ห่าตัวต้นเหตุเสือกนั่งตบมือหัวเราะเอิ๊ก ๆ อย่างสาแก่ใจ(มัน)ซะงั้น!

    "ฮ่า ๆๆ ก็มึงบอกเอาเหมือนกู กูแค่บอกป้าว่าเอาเหมือนเดิม 2 ชาม แค่นี้เอง"  ไอ้ควายยย มึงมันกวนตีน! ก็รู้ตัวเองอยู่ว่าแดกเผ็ดกว่าชาวบ้านชาวเมืองเขา จะกรุณาใช้สมองถั่ว ๆ คิดหน่อยไม่ได้รึไงว่าต้องทำยังไงกับชามกูดี! โหไอ้...โว้ยยย ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาด่าไอ้เพื่อนเวรที่นั่งลอยหน้าลอยตาแดกก๋วยเตี๋ยวนรกเผ็ดสัด ๆ ตัวนี้ดี

    "เชี่ยแม่ง เอาไปแดกเลยไอ้ควาย กูไม่แดกแล้ว"  งอน ไม่กินก็ได้วะ! ผมผลักชามก๋วยเตี๋ยวยกให้เป็นผลประโยชน์แก่ไอ้เชี่ยโอมที่ท่าทางกระดี๊กระด๊าใหญ่ สงสัยจะเป็นแผนกินเบิ้ลสองชามแบบไม่ต้องจ่ายตังค์ของมัน มึงเลวได้อีกกก

    ผมเขม่นไอ้ตอแหลนั่นด้วยความไม่สบอารมณ์อย่างแรง ยิ่งเห็นมันทำหน้าระรื่นตอนสูดก๋วยเตี๋ยวจากชามผมเข้าปากทั้งที่ยังกินชามตัวเองไม่หมดแล้วยิ่งอยากโดดถีบยอดหน้าแม่ง! อย่าเผลอนะมึง กูเอาคืนแน่

    แต่ระหว่างผมกำลังมองตาขวางใส่เชี่ยโอมผู้เสวยสุขกับอดีตก๋วยเตี๋ยวของผมอยู่นั้น จู่ ๆ ก็รู้สึกถึงน้ำหนักมือใครบางคนที่กดลงบนหัวผมเองเบา ๆ เสียก่อน

    "ไม่กินข้าวเหรอโน่"  ปุณณ์? ผมหันกลับไปมองเลขาสภาฯ ที่มายืนค้ำหัวอยู่ พร้อมใบหน้าคล้ายจะดุผมตลอดเวลา (ถ้าไม่กินข้าว)

    "ก็ไอ้เชี่ยโอมสั่งก๋วยเตี๋ยวห่าไรมาให้ไม่รู้ เผ็ดสัด กูล่ะแม่ง..."  แต่ยิ่งพูดยิ่งหยาบว่ะ อืม หุบปากก่อนดีกว่า พอได้ยินผมพูดอย่างนั้นไอ้โอมเลยร้อนตัว รีบคีบลูกชิ้นไปจุ่มน้ำซุปข้าวมันไก่ของไอ้พ้ง ล้างความเผ็ดให้ทันที

    "ไอ้ห่า ขี้ฟ้องนะมึงอะ เอาไป ๆๆ เอาไปแดกกก"  มันบ่นพลางยัดลูกชิ้นใส่ปากผม เออ ทำงี้แต่แรกก็หมดเรื่อง ลูกชิ้นเอาไปล้างน้ำซุปแล้วแม้จะยังเผ็ดนิดหน่อยแต่ก็ดีกว่าเมื่อกี้เยอะ

    ปุณณ์คลี่ยิ้มพลางโยกหัวผมเล่นอีกหลายที  "งั้นกูไปกินข้าวก่อนนะ มึงก็กินเยอะ ๆ อะ"

    "เออ ๆ"  ผมโบกมือรับปากมัน ก่อนที่ปุณณ์จะหายไปสมทบกับเพื่อนคนอื่น หัวใจผมหยุดเต้นชั่วขณะ ระหว่างเหลือบตามองเพื่อนทั้งโต๊ะอยู่ ว่าจะมีใครเกิดปฏิกิริยาอะไรกับเหตุการณ์เมื่อกี้บ้าง

    แต่ทุกคนกลับทำตัวปกติ ไอ้พลพรรคปิศาจแดงยังถกเถียงเรื่องเป้าหมายทริปเปิลแชมป์ปีนี้ของมันกันอย่างออกรส (ถุย ฝันไปเหอะมึง) ไอ้พ้งไอ้เก่งไอ้เคนยังเล่น PSP ไปกินข้าวไป ส่วนไอ้โอมก็ยังตั้งหน้าตั้งตาฟาดก๋วยเตี๋ยวสองชามตรงหน้ามัน โดยไม่มีใครปริปากถามอะไรผมสักคำ คงรู้กันได้เองแล้วละมั้ง

    ก็ดีเหมือนกันนะ เพราะถ้ามีใครถามอะไรขึ้นมาตอนนี้ ผมไม่แน่ใจเลย ว่าตัวเองพร้อมจะพูดจริงหรือเปล่า


    ***
     

    เวลาผ่านไปจนถึงบ่าย ผมบอกว่าตอนเช้าโคตรซวยใช่หรือเปล่าครับ ถ้าอย่างนั้นตอนบ่ายนี่จะเรียกว่าอะไรดีวะ มหาซวยสัด ๆๆๆๆ วินาศสันตะโรเลยดีไหม!

    ชีวิตผมเริ่มวุ่นวายฉิบหายตั้งแต่ตอนไอ้ฟี่วิ่งหน้าตื่นเข้ามาถึงห้องนั่นแหละ! แม่งพูดมาได้ จะเอาคำร้องขอใบลาของน้อง ๆ วงโยฯ ที่จะไปยุโรป ภายในสามโมงเย็นนี้!

    ฟี่...น้องกู (และเพื่อนกับรุ่นพี่อีกนิดหน่อยด้วย) ไปกันครึ่งร้อย มึงวิ่งมาบอกกูตอนบ่ายกว่า ๆ แล้วจะเอาภายในสองชั่วโมงเนี่ยนะ! ถ้าเป็นผู้หญิงผมคงกรี๊ดไปแล้วครับ ดีว่ายังมีสำนึกอยู่บ้าง เลยได้แต่มองหน้ากับไอ้โอมแล้วใส่เกียร์หมา เตรียมโดดเรียนโกยไปห้องชมรมทันที แต่...

    มิสพรพิศเข้ามาพร้อมกับข้อสอบโดยไม่มีการบอกพวกผมล่วงหน้า! (อยากจะกรี๊ดจริง ๆ แล้วนะเนี่ย) มิสครับ! ทำไมต้องวันนี้ครับ!!!

    ผมยืนปวดหัวเป็นไอ้บ้าอยู่นาน ไล่กดโทรศัพท์หาทั้งเพื่อนและรุ่นน้องในชมรมทุกคนให้ช่วยทำใบคำร้องแทนหน่อย ไอ้เมธฝ่ายสาราณียกรก็เสือกติดสอบเหมือนผมอีก (อะไรนักหนา บรรดามิส ๆ จะขยันไปไหน) รุ่นน้องหลายคนก็ไม่ค่อยสะดวก อันนี้ผมเข้าใจครับเพราะเป็นช่วงใกล้ปลายเทอมแล้ว หลาย ๆ ห้องเรียนเริ่มติวสอบกัน รวมถึงเทสต์เก็บคะแนนด้วย แต่ผมรู้ว่ามีคนหนึ่งไม่แคร์เรื่องพวกนั้นแน่

    จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากไอ้เชี่ยเป้อ ไอ้ห่านี่ไม่สนใจติวสอบหรือคะแนนเก็บอยู่แล้ว (ไม่ใช่ว่ามันฉลาดนะครับ มันสันดานเสียมากกว่า) แล้วผมก็คิดไม่ผิดเลยที่โทรหามัน เพราะแค่พูดไม่กี่คำมันก็ตกลงใจจะเป็นธุระให้ทันที ไม่เท่านั้นน้องน็อตยังตามออกมาช่วยอีก! (คนนี้เขาไม่ได้สันดานเสียเหมือนเชี่ยเป้อหรอกครับ เขาฉลาดแล้วของจริง) ผมละอยากโดดกอดพวกมันผ่านสัญญาณโทรศัพท์เดี๋ยวนั้นเลย!

    เป็นอันว่า เมื่อได้ผู้กู้ชีวิตแล้ว (ขนาดนั้น?) ผมก็รีบวิ่งเอาฟอร์มคำร้องทั้งหมดไปให้พวกมันทันที คุ้ยหาเอกสารเก่า ๆ ให้ดูเป็นแนวทางอีกนิดหน่อยด้วย เผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง เห็นสองคนพยักหน้ารับปากผมแข็งขันพลางผลัดกันตบบ่าบอกผมให้วางใจมัน คือกูก็วางใจน็อตอยู่อะนะ แต่เป้อ! มึงอย่าทำเสียงานนะโว้ย

    ผมมองหน้าไอ้เป้อแบบดุ ๆ เป็นการสั่งเสียครั้งสุดท้าย ก่อนจะวิ่งออกจากห้องไปเพื่อเทสต์วิชาเคมีต่อ เห็นไอ้ตี๋นั่นทำท่ากระตือรือร้นแล้วก็โล่งใจ ผมคงไว้ใจได้จริง ๆ มั้ง กระทั่งเวลาบ่ายสามโมงพอดี พวกมันก็ส่ง SMS มาบอกผมว่า

    'เรียบร้อยว่ะพี่ คนอะไรไม่รู้ เก่งจัง

    sender : เป้อ ปิ่นเกล้า'

    เย้ดดด น้องกูมันทำได้จริง ๆ ว่ะ! ทันทีที่ได้รับ SMS หลงตัวเองจากไอ้เป้อ (มันเป็นคนเม็มชื่อนี้เองครับ บอกว่าจิ๊กโก๋ดี) ผมกับไอ้โอมก็แทบกระโดดกอดกันกลางคาบภาษาอังกฤษซะให้รู้แล้วรู้รอด โอ๊ยยย ทำไมน้องผมถึงฉลาดงี้วะ! คราวที่แล้วตอนผมทำเอกสารเองยังต้องงมแทบตาย ถ้าไม่ได้ไอ้ปุณณ์ช่วยอย่าหวังจะเสร็จ แต่ทำไมไอ้พวกนี้ผ่านฉลุยกันดีจัง เอ๊ะ หรือผมโง่เองวะ (ยิ่งคิดยิ่งไม่ไว้ใจตัวเอง)

    ตอนเย็นพอมิสปล่อยกลับบ้านปุ๊บ ผมกับโอมก็รีบพุ่งออกไปห้องชมรมปั๊บ หวังจะชมไอ้สองตัวนั้นให้ลอยติดเพดานสักหน่อย แต่น่าจะรู้ว่าคนอย่างไอ้เป้อไม่ต้องรอผมมาชมหรอก มันจัดการของมันเองได้อยู่แล้ว

    "โหพี่ แล้วตรงที่ยากที่สุดน่ะนะ ต้องเป็นตอนกะตัวอักษรให้อยู่ระยะพับสองทบแล้วทับเส้นพอดีอะพี่!"  เห็นมะ กูว่าแล้วมันต้องมายืนโม้อยู่ ผมกับโอมเปิดประตูเจอเชี่ยเป้อยืนหันหลังขณะกำลังโม้น้ำลายแตกฟองให้พี่ดิวฟังเรื่องความดีความชอบของมันเมื่อรอบบ่าย

    แถมดูท่าพี่ดิวจะรู้งานอีก เพราะพอเขาเห็นพวกผมเปิดประตูเข้ามาก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ฟังเป้อโม้ต่อตาแป๋วจนไอ้เด็กพูดมากไม่ทันรู้สักนิดว่าผมเข้ามาแล้ว พอเห็นดังนั้น ผมกับโอมเลยได้ทีคลานลงกับพื้น แล้ว...

    "เนี่ย แก้ตั้งหลายรอบแน่ะพี่ ขนาดไอ้น็อตยังเบลอเลย ดีว่าผมน่ะนะ...โอ๊ย!!!"

    "ก๊ากกก ฮ่า ๆๆๆ"  ขำน้ำตาเล็ดว่ะ! ผมกับโอมลงไปนอนขำกลิ้งพลางยกมือแปะกันอย่างชอบใจ ทั้งที่เราทั้งคู่ยังมีขนหน้าแข้งไอ้เป้อติดมือกันคนละกระจุกอยู่ ก๊ากกก

    ไอ้เด็กหน้าตี๋ร้องอูย ๆๆ พลางล้มตัวมองซากความเสียหายของขนที่ร่วงเป็นหย่อม ๆ บริเวณหน้าขา  "เล่นไรวะพี่! โคตรเจ็บบบ"

    "ก็มึงขี้โม้ กูหมั่นไส้ นี่แน่ะ!"  ไม่ด่าเปล่า ขอตบหัวอีกทีเถอะ ผมกับโอมผลัดกับโบกหัวเหม่ง ๆ ของไอ้เป้ออย่างสนุกสนานขณะที่พี่ดิวผสมโรงขำไปด้วย

    "มันเล่าไรพี่ อย่าไปเชื่อมัน แม่งขี้โม้"

    "เหอะ กูไม่ได้ฟัง ปล่อยแม่งพล่าม"  ก๊ากกก เท่านั้นแหละ ไอ้เป้อหน้าบูดเป็นตูดน้องวินทันที  "จำไว้เลยนะ งอนแล้ว!"  อ้าว ฉิบหายอีกกู เดี๋ยววันหลังมีงานด่วนจะเรียกใช้มันไม่ได้

    "โอ๋ ๆๆ ล้อเล่นนน มึงเก่งงง อย่างอน ๆๆ เอ่เอ้ ๆ"  แต่อย่าคิดว่าวิธีปัญญาอ่อนแบบนี้จะเป็นของผมครับ ไอ้เชี่ยโอมเห็น ๆ ที่ทำท่าก๊องแก๊งอยู่หน้าไอ้เป้อมัน (ตั้งแต่มีแฟนเด็ก เอาใจเก่งขึ้นเยอะนะมึง) จนไอ้เป้อต้องหัวเราะแล้วปัดมือรุ่นพี่ปัญญาอ่อนไปมา เออกูว่าพวกมึงอะปัญญาอ่อนพอกัน

    "แล้วไอ้น็อตไปไหนอะ ไว้ว่าง ๆ จะพามึงสองตัวไปเลี้ยงหนม"

    "ช่วยพี่ฟิล์มดูโซนวงโยฯ อยู่ลานอิฐอะพี่ เดี๋ยวผมบอกมันให้"  เป้อตอบผมให้พยักหน้ารับ แต่ฟังแล้วแปลก ๆ ว่ะ

    "ไอ้น็อตช่วยไอ้ฟิล์มอยู่ลานอิฐ? แล้วมึงล่ะ! ไอ้สัดนี่อู้นัก ไปช่วยพวกนั้นเลย!"  ผมบ่นพลางเงื้อมือหมายจะตบกบาลมันซ้ำอีกรอบ แต่แม่งเสือกรู้ทัน เพราะเป้อแค่ยิ้มแหะ ๆ แล้ววิ่งปรู๊ดหายออกไปจากห้องชมรมทันที

    "แล้วจะออกไปช่วยวงเปล่าโน่"  เสียงพี่ดิวถามผมที่ชูมือเก้อ ขณะกำลังยกคูลเลอร์น้ำออกไปสวัสดิการน้อง ๆ อยู่  "ไปดิพี่ เอามา ๆ เดี๋ยวผมช่วยถือ"  ผมอาสาช่วยพี่ดิวเต็มที่ แต่ทำดีไม่ค่อยขึ้นจริง ๆ ว่ะ เพราะไอ้โอมเสือกฉุดคอเสื้อผมลงไปนั่งหงายหลังบนโซฟาแทนซะอย่างนั้น

    "ไม่ต้องกระแดะ มึงอยู่นี่รับโทรศัพท์จากสมาคมไป เขาจะโทรมาก่อนห้าโมงเย็นเรื่องส่งวงโยฯ ไปแข่ง แต่ถ้าเขาไม่โทรมามึงต้องโทรไป เข้าใจ๊!"  เออดี มอบหน้าที่สบายโคตร ๆ ให้กูเชียว แค่นอนในห้องรอโทรศัพท์เฉย ๆ เนี่ยนะ ทำไมไม่ทำเองวะ ผิดวิสัยขี้เกียจของมึงว่ะ

    ผมขมวดคิ้วมองหน้าไอ้โอมงง ๆ แล้วก็ต้องหัวเราะหึ เมื่อนึกอะไรบางอย่างออก

    "เออได้ กูนอนตากแอร์เฝ้าโทรศัพท์เอง เชิญมึงไปลำบากป้อนข้าวป้อนน้ำเด็กวงโยฯ ตามสบาย หึหึหึ"  แต่พอจบคำเท่านั้นแหละ แม่งหันมาส่งสายตาเขียวปั๊ดใส่ทันที  "เดี๋ยวกูเปลี่ยนใจแม่ง"  โห ขู่อีก เห็นดังนั้นผมเลยต้องรีบยกมือไหว้มัน  "ไปเหอะค้าบพี่โอม น้องโน่อาสารอโทรศัพท์คุณหญิงอยู่ที่นี่แหละก๊าบบบ"  ก็เพราะเดี๋ยวเกิดเปลี่ยนใจจริง ๆ ผมจะพลอยซวยอดนอนตากแอร์ไปด้วย แหะ ๆ ตัวกูเป็นขนว่ะ

    ไอ้โอมยกนิ้วชี้หน้าผมเคือง ๆ ก่อนจะเดินช่วยพี่ดิวถือคูลเลอร์น้ำออกไปขณะผมปฏิบัติภารกิจกลิ้งเล่นรอบห้องอยู่ โอยน่าเบื่อฉิบหาย บทจะมีอะไรทำก็ประเดประดังเข้ามาพร้อมกันซะหมด แต่พอบทจะว่างก็ไม่มีห่าอะไรให้จรรโลงใจเล้ยยย

    ผมเดินไปนั่งแหมะบนพื้นกลางห้องพลางคว้าเอากีตาร์โปร่งตัวที่ใครสักคนคงวางทิ้งไว้มาดีดไล่เสียง อืม เล่นเพลงไรดีวะ ผมพลิกหนังสือเพลงตรงหน้าหาอะไรทำฆ่าเวลาไปด้วย

    'เช้าไม่กลัว ไม่กลัว ก็กลัวจะไม่เช้า เช้าแค่ไหนก็ไหว'

    แต่ไม่ใช่เพลงนี้มั้ง โทรศัพท์กูดังนี่หว่า ผมยกตูดขึ้นข้างหนึ่งดึงมือถือในกระเป๋ากางเกงมากดรับทั้งที่ไม่มองเบอร์

    "อยู่ไหนอะโน่"  แต่ไม่ต้องมองก็รู้ว่าใคร

    "ห้องชมรม มึงล่ะ"

    ปุณณ์เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะถามผมเสียงเบา ๆ แทนคำตอบว่า  "ไปหาได้มั้ย"  แล้วทำไมต้องทำเสียงอย่างนั้นวะ

    "มาดิ มาเลย"  ผมอนุมัติคำขอ ก่อนปลายสายจะวางหูไป รอไม่นานนักประตูห้องชมรมก็เปิดออก  "อ้าว อยู่คนเดียวอีกแล้วเหรอ"

    "อือ คนอื่นซ้อมวงอยู่ลานอิฐ กูรอรับโทรศัพท์"  ปุณณ์พยักหน้ารับคำอธิบายนั้นก่อนจะเดินมาล้มตัวลงนั่งหน้าผม  "ก็ว่าได้ยินเสียงอยู่ แล้วนี่ทำไรวะ"

    "ขูดหินปูนมั้ง"  ก็ถามมาได้ เห็นอยู่ว่ากูแบกกีตาร์ไว้บนตัก แต่พอจบคำนั้น ผมถูกไอ้ปุณณ์ทุบหัวหนึ่งที  "กวนตีน ขนมเมื่อคืนได้กินเปล่า"  ไม่เห็นเกี่ยวกันเลยนี่หว่า ผมเลิกคิ้วมองหน้ามันแล้วยิ้มตอบ  "กินดิ อร่อยดี ขอบใจว่ะ"  เรียกรอยยิ้มปุณณ์ให้กว้างขึ้นไปอีก

    "แล้วฝันดีมั้ย"

    "ดูตากูเดะ"  แรคคูนซิตีขนาดนี้ยังกล้าถาม ไอ้ปุณณ์หัวเราะฮ่า ๆ ขณะที่ผมขำเบา ๆ แล้วนั่งเกากีตาร์เป็นเพลงมั่วต่อ

    ระหว่างเราเงียบไปพักหนึ่ง เหลือเพียงเสียงกีตาร์เท่านั้นที่ดังในห้อง ผมรู้สึกอึดอัดขึ้นมาอย่างประหลาดเมื่อสัมผัสได้ว่าปุณณ์มองผมนานเกิน 5 นาทีแล้ว ทั้งที่ผมไม่ได้สบสายตามันเลย

    ไม่รู้สิ คงเป็นเพราะผมรู้ละมั้ง ว่าปุณณ์ถ่อมาถึงนี่ทำไม

    "เมื่อวานที่มึงโทรมา กูเป็นห่วงมากนะ รู้ใช่รึเปล่า"  อืม นี่ไง ผมรู้ รู้ว่าทำให้ปุณณ์ไม่สบายใจ แต่ทุกอย่างก็บอกผมว่าผมจะแบกความรู้สึกพวกนั้นไปหาปุณณ์ไม่ได้ เป็นเพราะผมเพิ่งทำให้ยูริร้องไห้และเดียวดายกลับไป ผมเองก็ไม่สมควรจะมีใครมาปลอบใจเช่นเดียวกัน

    ผมไม่ได้ตอบคำถามนั้น จึงกลายเป็นช่วงเวลาที่เราสองคนต่างเงียบในห้องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ แม้กระทั่งเสียงกีตาร์จากปลายนิ้วผมก็หายไป เพราะรู้สึกราวกับตัวเองถูกดูดพลังทั้งหมดไปแล้ว

    เราเงียบจนได้ยินแม้เสียงลมจากแอร์ที่ให้ความเย็นอยู่ ผมเม้มริมฝีปากแน่นก่อนปุณณ์จะพูดอีกประโยคออกมา  "มีอะไรที่กูต้องรู้บ้างมั้ย"

    ผมเงยหน้ามองตอบดวงตาคมที่เต็มด้วยความหวาดหวั่นคู่นั้น เพราะไม่เคยเห็นปุณณ์เป็นอย่างนี้มาก่อน ใบหน้าปุณณ์ราวกับอ้อนวอนผมอะไรบางอย่าง ที่ยังไม่เข้าใจ

    ดวงตาคู่นั้นทำให้ผมปฏิเสธคำตอบไม่ได้ แต่กว่าคำพูดจะถูกแค่นออกมาก็ยากลำบากเหลือเกิน  "กูไปบอกเลิกยูริมา บอกเขาว่าคงคบต่อไม่ได้ แล้วเขาก็ร้องไห้..."  ผมค่อย ๆ เล่าโดยไม่สบนัยน์ตาคู่นั้นอีก พื้นห้องที่มองอยู่ดูเวิ้งว้างจนหนาวเหน็บ  "กู...ไม่รู้ดิ กูไม่อยากเห็นเขาร้องไห้ มันทำให้กูเกลียดตัวเอง"

    "โน่คิดดีแล้วจริงหรือเปล่า"  แต่ด้วยคำนั้นทำให้ผมต้องกลับไปมองหน้าปุณณ์ทันที คราวนี้เป็นปุณณ์เองที่ไม่สบตาผม  "โน่คิดเรื่องยูริดีแล้วจริงเหรอ"

    "ทำไมปุณณ์พูดงั้น"  ผมส่งเสียงหนัก ๆ กลับไปหาคนตรงหน้า ที่ดูมีอะไรในใจมากมายจนเดาไม่ออก

    "..."  ปุณณ์ไม่ตอบผม แต่ใบหน้าด้านข้างที่เห็นนั้นดูเศร้าหมองจนต้องเอื้อมมือแตะไหล่มันให้หันมาสบตาผมใหม่  "ปุณณ์"  ผมเรียกชื่อนั้นอีกครั้งเบา ๆ อีกฝ่ายจึงได้ส่งยิ้มฝืน ๆ มาให้

    "ไม่รู้ดิ กูคงคิดมากไปเอง ฮะ ๆๆ"  แต่เสียงหัวเราะที่ได้ยินกลับฟังดูไม่สดชื่นเอาเสียเลย ผมมองใบหน้าหมองที่หลบตาผมอีกครั้ง มองปุณณ์ทำทีเป็นเปิดหนังสือเพลง ไม่มองผมอีก

    ท่าทางผิดปกติเหล่านั้นเรียกให้ผมส่ายหัวหน่าย ก่อนจะเกาอินโทรกีตาร์เพลงหนึ่งที่ยังคงจำได้ดีขึ้นมา

    ฉันดีใจที่มีเธอ

    ปุณณ์มองหน้าผมด้วยความตกใจ แทบจะทันทีที่อินโทรเพลงนี้ดัง ผมยิ้มให้ท่าทางแบบนั้นของมัน ก่อนจะพูดต่อขณะเกากีตาร์ไป  "กูคิดดีแล้วเรื่องยูริ เพราะถึงจะคบกันต่อ กูก็คงรักเขาไม่ได้"

    "รู้ได้ไง มึงเสียใจขนาดนั้น จริง ๆ อาจจะรักยูริก็ได้ ใครจะรู้"  เสียงทุ้มที่ได้ยินตัดพ้อเป็นเด็ก ๆ นำให้ผมหัวเราะหึหึ ก่อนจะพูดต่อ

    "ก็รักมึงไปแล้วนี่หว่า"  อืม ท่อนนี้เกายากเหมือนกันแฮะ ปุณณ์มันก็เก่งใช่เล่นนี่หว่า

    "อะไรนะ?"  โห...จะตะโกนเสียงดังหาแมวที่ไหนไม่ทราบ ผมเหลือบตามองไอ้หล่อที่นั่งหน้าเหวออยู่ ก่อนจะแกล้งทำเป็นเกากีตาร์ต่อ ไม่สนใจคำถามมัน

    "โน่ เมื่อกี้พูดว่าอะไรครับ ขอฟังอีกรอบได้ไหมอะ นะโน่ นะ ๆๆ"  ว่าแต่ไอ้คนเล่นบทโศกเมื่อกี้มันหายไปไหนแล้ววะ ผมหัวสั่นหัวคลอนทั้งที่มือยังเกากีตาร์เพราะไอ้ปุณณ์เล่นเขย่าตัวผมด้วยความแรงวัดได้ 8 ริกเตอร์โดยประมาณ

    "พูดไร กูเปล่าาา หึหึหึหึ"  ผมโบ้ยทั้งที่ยังถูกเขย่าอยู่ โว้ยยย คนจะเล่นกีตาร์มึงยุ่งอะไรนักหนาเนี้ย! ตอนนี้ผมเปลี่ยนไปดีดคอร์ดเพลงน้องเปิ้ลน่ารัก ของพาราด็อกซ์ ที่บังเอิญเปิดเจอเรียบร้อยแล้วครับ

    "โน่! บอกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ ถ้าไม่พูดนะ กูจะ..."  มันจะทำอะไรวะ จะฆ่ากูเปล่าวะ เมื่อเช้าเพิ่งอ่านหนังสือพิมพ์ลงข่าวผัวหึงโหด ใช้ปืนยิงเมียดับ ขึ้นหน้าหนึ่งไทยรัฐด้วย เอ๊ะ แล้วระหว่างเราใครเป็นผัวเป็นเมียวะ เออช่างเถอะ ปุณณ์คงไม่ทำแบบนั้นมั้งงง

    ผมหยุดดีดพลางเหล่มองมันอย่างกลัว ๆ เพราะเกรงว่าเดี๋ยวมีงอนอีกรึเปล่า แต่ปุณณ์กลับยิ้มกว้างแล้วดึงผมไปกอดแน่นจนแทบไม่มีอากาศหายใจ  "กูจะกอดมึงให้แน่นที่สุดเลยยย"  เฮ้อ โล่ง ผมหัวเราะขำก่อนจะดึงมือออกจากกีตาร์มาตบบ่าตอบมันเบา ๆ

    ปุณณ์กระชับกอดผมแน่นพลางพูดต่อ  "มึงรู้ปะว่าเมื่อคืนกูนอนไม่ได้ทั้งคืน กูกลัวไปหมดอะโน่ กูกลัวว่ามึงจะคิดได้ว่าจริง ๆ แล้วคนที่มึงรักเป็นยูริ ไม่ใช่กู กูกลัวว่าทั้งหมดจะเป็นความผิดพลาดในการตัดสินใจของมึง กูกลัวว่ามึงจะตื่นมาตอนเช้าแล้วบอกกูว่ามึงเลือกยูริ กูกลัวจนกูแทบทำอะไรไม่ได้ เพราะสำหรับกู กูคิดดีที่สุดแล้วว่าคนที่กูรักหลังจากนี้ต้องเป็นมึงเท่านั้น ได้ยินมั้ยโน่ กูรักใครไม่ได้แล้วถ้าไม่ใช่มึง"  ปุณณ์พ่นความรู้สึกในใจออกมาทั้งหมดพร้อมอ้อมแขนแนบแน่นจนผมต้องกอดกลับ เพื่อให้รู้ว่าผมเองก็ไม่ได้คิดต่างจากปุณณ์เท่าไหร่ ผมกอดพลางโขกหัวตัวเองลงกับคนตรงหน้าเบา ๆ ก่อนจะค่อยผลักร่างอีกฝ่ายออกมา

    "ปุณณ์ มึงฟังนะ"  ผมสบดวงตาคมคู่นั้น หวังให้มันเห็นความจริงจากนัยน์ตาผม แต่สิ่งที่เห็นกลายเป็นดวงตาปุณณ์มองตอบมาราวกับจะอ้อนวอน ซึ่งไม่จำเป็นเลย ผมไม่เคยคิดทำให้คนตรงหน้าเสียใจอยู่แล้ว

    "กูได้ยินอย่างนี้กูน้อยใจนะ กูไม่เคยทำให้มึงเชื่อเลยใช่มั้ยว่ากูคิดยังไง"  ถึงตรงนี้ไอ้หน้าหล่ออ้าปากจะเถียง แต่มึงรอไปก่อน ขอกูพูดให้จบ  "ทั้งเรื่องของมึง แล้วก็เรื่องของยูริ เป็นเรื่องที่กูคิดมาดีแล้วพอ ๆ กัน กูรักยูริมาก แต่มึงก็รู้ว่ารักที่กูมีให้ยูริมันไม่เหมือนที่กูมีให้มึง ยูริเป็นเพื่อนที่ดีกับกูมาก เขาเคยอดทนกับกูมาทุกอย่าง แต่กูกลับทำให้เขาเสียใจ"  ผมเว้นวรรคไปช่วงหนึ่งเมื่อภาพใบหน้าเปื้อนน้ำตาของยูริกลับมาในความคิดอีกครั้ง  "กูเกลียดตัวเองที่ทำให้คนอื่นต้องเสียใจ ไม่รู้ดิ...เขาทำอะไรให้กูตั้งหลายอย่าง แต่กูนอกจากจะตอบแทนเขาไม่ได้แล้ว กูยัง..."

    ถึงตรงนี้ริมฝีปากนุ่มของปุณณ์เลื่อนมาประทับกางกั้นคำพูดผม ราวกับไม่อยากฟังต่อ ผมยอมให้ปุณณ์ขโมยคำพูดทั้งหมดไป เพราะคนตรงหน้าทำให้ผมรู้สึกสบายใจเหลือเกิน

    "ไม่พูดต่อนะ โน่ทำดีที่สุดแล้ว รู้มั้ยครับ"  ปุณณ์กระซิบให้กำลังใจผม ก่อนจะคลี่ยิ้มที่ทำให้อุ่นไปถึงหัวใจ

    "โน่ไม่รู้หรอกว่าตัวเองวิเศษแค่ไหน โน่เป็นสิ่งมหัศจรรย์ในชีวิตผมนะ"  เข้าใจยอนี่! ผมยิ้มรับคำอวยจากปุณณ์ ก่อนริมฝีปากบางคู่นั้นจะทาบทับลงมาอีก ครั้งนี้ผมปล่อยให้อีกฝ่ายได้ทำตามใจ เพราะช่างน่าแปลกที่แค่สัมผัสเดียวจากปุณณ์กลับเรียกเอาพลังและกำลังทั้งหมดกลับคืนมา จูบนี้เปรียบดั่งรางวัลการันตีว่า สิ่งที่ผมทำลงไปนั้นถูกต้องแล้ว

    ปุณณ์เองก็เป็นสิ่งมหัศจรรย์ในชีวิตผมเช่นกัน =]

    เราสองคนผลัดกันจูบอย่างโหยหาในความรักจากอีกฝ่าย จูบของปุณณ์ราวกับต้องการส่งต่อความรู้สึกทั้งหมดที่มีผ่านปลายลิ้นนี้ เลยกลายเป็นหน้าที่ของผมที่ต้องตอบโต้กลับ เพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าสิ่งที่อัดแน่นในใจผมนั้น ไม่แตกต่างกันเลย

    จูบของเราร้อนขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อไม่มีใครเป็นฝ่ายยอมจำนนก่อน ริมฝีปากปุณณ์ทาบลงมาซ้ำ ๆ ย้ำ ๆ พร้อมปลายลิ้นอุ่นที่ทั้งออดอ้อนและซุกซนไม่แพ้มือเจ้าของ ผมตีมือปุณณ์ทั้งที่เรายังจูบกันอยู่ เมื่อมือข้างหนึ่งเริ่มรุกรานมาในเสื้อนักเรียนผมโดยพลการ ปุณณ์ส่งเสียงหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ก่อนจะใช้มือข้างนั้นเลื่อนมาจับใบหน้าผมให้เอียงรับรสจูบหวาน ๆ ได้ลึกล้ำยิ่งขึ้น

    เราสองคนเบียดร่างกายเข้าหากันแม้จะมีกีตาร์คั่นกลาง เป็นเวลานานจนแทบไม่เหลืออากาศหายใจ เมื่อคนตรงหน้าผมไม่มีทีท่าจะยอมหยุด ซ้ำยังชักจูงจนผมเคลิบเคลิ้มกับการกระทำนั้นไปด้วย แต่หากยิ่งปล่อยให้นาน เราก็ยิ่งต่างควบคุมตัวเองได้ยากขึ้นทุกที ผมค่อย ๆ ยกมือข้างหนึ่ง หมายจะดันอีกฝ่ายให้ถอนริมฝีปากออก แต่ไม่ไวกว่าประตูห้องชมรมที่ถูกเปิด พร้อมเสียงแหลมเล็กซึ่งผมคุ้นเคยดีเสียงหนึ่ง

    "โน่...ปุณณ์..."

    ยูริ!


    TBC.

     

    Postscript : ยาวมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ยาวกว่าของเก่าเยอะมากกกกกกกกกกกกกกกกก (มาจากไหนนักหนาวะ งง) เขียนแล้วลบหลายรอบ แต่ไป ๆ มา ๆ ก็ตัดสินใจเอาลงทุกฉาก ถือเป็นการคืนกำไรให้ผู้อ่านที่ใจดีอุตส่าห์รอ ร๊อ รอ ให้ได้อ่านกันจุใจ (เหรอ? หรือขี้เกียจอ่านอะ? บอกได้นะ) ตอนหน้าคงไม่ยาวเท่าตอนนี้แล้วล่ะ... โอ๊ย คนอ่านเขาเตือนมึงแล้วใช่มั้ยว่าทำอะไรกันในห้องชมรมให้ระวังคนอื่นมาเห็น ทำไมไม่ฟังห๊า!!!!!!!!!!!! จะเป็นลม....

     

    ปล. ช่วงตอบคอมเม้น ขอรวบรวมลมปราณ (แรง ๆ) ก่อน

    ปปล. งานเข้าเยอะมาก ต่อช้าอย่าว่ากันนะจ๊ะ ธีสิสก็ต้องปั่น เพื่อนแม่เอางานมาให้แปลอีก กรี๊ดดดดด T___T

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×