ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC EXO] Just A Beat (KaiBaek)

    ลำดับตอนที่ #18 : ◆ Just A Beat - Special Part

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.7K
      12
      2 ก.ย. 56










    Just A Beat    Special part  

     


     

     

    หลังจากที่ตามหากันจนเจอแล้ว จงอินก็พาแพคฮยอนมาส่งที่บ้านในตอนที่ฟ้ามืดลง

                    ประตูแคบๆของตึกสองชั้นที่เบียดอยู่ระหว่างอาคารหลายหลังถูกเปิดเข้าไปข้างใน ไฟในบ้านสว่างขึ้นมาหลังจากที่มือเล็กๆเอื้อมไปกดสวิตซ์


    “ขะ ขอบใจนะ นายกลับดีๆล่ะ” คนที่เนื้อตัวมอมแมมไปหมดนั้นเอาแต่ก้มๆเงยๆไม่กล้าสบตามาตรงๆ จงอินถอนหายใจเฮือกใหญ่กับอาการแปลกๆแบบนั้นของแพคฮยอน

    ร่างสูงนึกย้อนไปก่อนหน้านี้ที่เขาเผลอจูบอีกฝ่ายไป และแน่นอนว่าจะให้คนอวดดีแบบนี้มาเชิดหน้าใส่แบบทุกทีก็คงเป็นไปได้ยาก เขากำลังนึกว่าสุดท้ายแล้วตัวเองก็คงต้องเป็นฝ่ายวิ่งตามต่อไปอยู่ดีสินะ

    “นายยิ้มอะไรน่ะจงอิน”

    “เปล่า”

    “งั้นก็กลับได้แล้ว”

    “ทีงี้ไล่กันเลยนะ แล้วเมื่อกี้อะไร ร้องไห้อย่างกับเด็ก กอดฉันซะแน่นอีก” จงอินเอ่ยอย่างจงใจจนแพคฮยอนต้องทำหน้าไม่ถูกไปใหญ่ คนฟังหมดทางจึงต้องยอมเชิดหน้าแดงๆของตัวเองขึ้น

    “เออ! ก็มันอยากเจอไง มันคิดถึงไง”

    “ว่าไงนะ อีกทีซิ”

    “โอ๊ย นายโรคจิตรึไง โธ่เอ๊ย .. คนอุตส่าห์ตามหาเกือบทั้งวัน ยังจะมาแหย่เล่นอีก”

    “ไม่ได้แหย่ แค่ชอบเวลาที่นายบอกว่าคิดถึงฉัน อยากเจอฉัน” ใบหน้าของคนที่ยิ้มน้อยๆพูดตรงเสียจนคนที่เอาแต่โวยวายต้อง
    เป็นฝ่ายแพ้อีกครั้ง แพคฮยอนรู้สึกขัดใจทุกทีเลยเวลาที่จงอินทำให้เขาต้องเป็นแบบนี้


    “อ่ะ อืม .. รู้แล้ว ฉันเหนื่อยแล้ว นายกลับไปสิ” เจ้าของบ้านเอ่ยปากไล่คนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง จงอินยกยิ้มอีกครั้งด้วยความพอใจ

    “ไล่อีกแล้วนะ แล้วคิดว่าฉันไม่เหนื่อยเหรอ ตามหานายตั้งนานแน่ะ น้ำสักแก้วยังไม่ได้กินเลย”

    “งั้น....”

    “เฮ้อ กลับก็กลับ คนอะไรใจดำชะมัด” จงอินตัดพ้อแล้วทำท่าจะเดินออกไป แต่แค่ก้าวเดียวก็เป็นไปอย่างที่คิดไว้ ชายเสื้อ
    ด้านหลังของเขาถูกดึงเอาไว้เบาๆ เมื่อหันไปก็ต้องพบคนหน้างอที่ยอมให้อยู่ต่อจนได้

     

    หลังจากที่ไล่อีกฝ่ายไปอาบน้ำล้างตัวให้สะอาดแล้ว แขกที่ไม่ขออนุญาตก็ทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงเล็กๆในห้องนอน จงอินนั่งรอแพคฮยอนอาบน้ำพลางมองไปรอบๆห้อง ทุกอย่างยังเป็นเหมือนเดิมตั้งแต่วันนั้นที่เขาเคยเข้ามา ใบหน้าคมระบายยิ้มเมื่อนึกได้ว่า
    ต่อไปคงได้เจอกันบ่อยๆ ครั้งแรกเลยที่เขารู้สึกว่าการที่หัวใจพองโตมันเป็นอย่างนี้นี่เอง


    สายตาของคนมีความสุขต้องชะงักไปเมื่อสะดุดเข้ากับบางอย่างที่มุมห้อง ตุ๊กตาหมียักษ์สีชมพูที่เขามองว่ามันช่างน่าเกลียดอะไรอย่างนี้ ประตูห้องน้ำเปิดออกพร้อมกับที่แพคฮยอนเดินออกมาพอดี เขาอยู่ในชุดลำลองสบายๆอย่างทุกทีเวลาจะนอน เมื่อโยนผ้าเช็ดตัวออกไปพาดไว้ที่เก้าอี้ตัวหนึ่งแล้วก็ต้องแปลกใจกับคนที่นั่งหันข้างให้เขาซึ่งเอาแต่ทำหน้าเหมือนไม่พอใจอะไร

    “เป็นอะไร ......”

    “นี่ยังเก็บไว้อีกเหรอไอ้ตุ๊กตาบ้านี่” จงอินถามขึ้น แพคฮยอนมองตามสายตานั้นก็พบว่ากำลังจ้องเจ้าตุ๊กตาหมีอยู่นี่เอง

    “อ่ะ อ๋อ ก็จะให้ทำไงล่ะ มันก็นั่งอยู่ของมันแบบนั้น นายเป็นอะไร”

    “ไม่ชอบ”

    “เออนะ คนอย่างนายชอบตุ๊กตาหมีก็แปลกแล้วล่ะ”

    “ไม่ใช่แบบนั้น แค่ไม่ชอบเพราะคนให้” จงอินเอ่ยสั้นๆแต่ดูจริงจัง คนที่ยืนอยู่จึงไม่รู้จะตอบอะไร เขาเริ่มรู้สึกตะหงิดๆขึ้นมาแล้วสิ นี่อย่าบอกนะว่า .....

    แพคฮยอนเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าถูกจงอินหึงแม้กระทั่งกับตุ๊กตาหมี แก้มขาวๆเริ่มเปลี่ยนสีก่อนจะทำหน้าตึงเข้าไว้เหมือนไม่ได้คิดอะไร

    “โอ๊ย อย่าไปสนใจเลยน่า แค่ตุ๊กตา นายนี่ท่าจะบ้า”

    “นี่ไม่ได้ฟังเลยใช่มั้ยว่าไม่ได้สนตุ๊กตา แต่สนคนให้”

    “คุณชานยอลน่ะเหรอ จะเกลียดอะไรเค้านักหนา”

    “มันชอบนายแน่ๆ ไม่งั้นจะซื้อไอ้นี่มาให้ทำไม อย่าคิดว่าฉันดูไม่ออกนะ” จงอินยังคงส่งสายตาเอาจริงเอาจังมาให้

    “เดี๋ยวๆๆ นายจะคิดไปฉันไม่ว่านะ แต่จริงๆแล้วเค้าไม่ได้คิดแบบนั้นกับฉันซะหน่อย”

    “แล้วรู้ได้ไง”

    “รู้สิ”

    “เฮอะ .. ทำรู้ไปเหอะ ทีกับฉันล่ะกว่าจะรู้ว่าฉันคิดยังไง” จงอินพูดไปแล้วจบด้วยการตัดพ้อกับเรื่องระหว่างกันที่ผ่านมา
    แพคฮยอนยืนนิ่งไปกับคนที่เบนหน้าหลบเขา ให้ตายเหอะ .. คิดว่าตัวเองว้าวุ่นอยู่คนเดียวรึไง

     

    เจ้าของห้องนั่งลงข้างกับคนที่เอาแต่ทำหน้ามึนตึง

    “สรุปว่า นายหึง ....”

    “เออ รู้แล้วก็ทำตัวดีๆหน่อยล่ะ” จงอินยกมือขึ้นเสยผมลวกๆเหมือนกลายเป็นคนแบบนี้เพราะอีกฝ่ายแท้ๆ แพคฮยอนแอบยิ้มก่อนจะยื่นหน้ามาใกล้เพราะอยากให้หันมาคุยกันดีๆ

    “ไม่เอาน่า ...”

    “หึ”

    กลิ่นหอมๆจากเนื้อตัวที่กลับมาสะอาดกำลังใกล้เข้ามาทุกที แรงเบียดแบบไม่ตั้งใจของแพคฮยอนทำเอาจงอินยั้งใจไว้ไม่อยู่อีกครั้ง  เขาหันหน้ากลับมาหาคนข้างแล้วรั้งร่างนั้นไว้จนตัวชิดกัน

    “เฮ้ย ...”

    “เอ่อ .. ขอจูบอีกได้มั้ย” สายตานิ่งๆที่แฝงไว้ด้วยการอ้อนขอทำเอาคนฟังต้องถึงกับทำหน้าไม่ถูก แพคฮยอนพยักหน้าช้าๆแล้วยอมให้จงอินแนบริมฝีปากลงมา

    ที่ผ่านมาเคยจูบกันในเวลาที่เป็นใจเท่าไหร่ แต่ครั้งนี้พวกเขากลับไม่ต้องรีบร้อนอะไรแค่ปล่อยไปตามหัวใจ อ้อมแขนแกร่งรั้งร่างอีกคนเอาไว้ขณะที่ใบหน้ายังอิงแอบแนบชิด แพคฮยอนจับไหล่ของจงอินเอาไว้ไม่ยอมปล่อย เขาหายใจไม่ค่อยสะดวกแต่อีกฝ่าย
    ก็ยังเว้นจังหวะให้เล็กน้อย

     

    “อื๊อ ....”

    แพคฮยอนแอบตกใจเมื่อลิ้นอุ่นๆนั้นพยายามจะดันเข้ามาในปากของเขา จงอินใช้มือข้างหนึ่งประคองใบหน้านั้นไว้แล้วเบียดจูบให้อีกคนต้องเผยอปากออก แพคฮยอนเพิ่งรู้ก็วันนี้เองว่าประสบการณ์รักของเขาที่ผ่านมานั้นมันช่างด้อยค่าเสียจริงๆ ลิ้นร้อนชอนไชเข้ามาเกี่ยวลิ้นด้วยกัน จงอินควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้เลย เขาอยากจูบหนักๆให้แพคฮยอนต้องละลายอยู่ในอ้อมแขนของเขาเสียเลยด้วยซ้ำ

    “อืม ...”

    เสียงครางอือของอีกคนนั้นเหมือนจะทนไม่ไหว เป็นครั้งแรกที่แพคฮยอนถูกจงอินจูบแบบนี้ มันลึกล้ำหอมหวานจนแผ่ซ่านไป
    ทั้งตัว เหมือนกำลังจะขาดอากาศแต่พอสูดหายใจได้นิดหน่อยก็กลับเป็นการยอมให้อีกคนรุกล้ำเข้ามาอย่างเอาแต่ใจ


    จงอินยังไม่ยอมผละจูบออกจากคนที่เขากอดเอาไว้ แพคฮยอนเริ่มคิดอะไรไม่ออกแล้ว ร่างกายเอนลู่ไปตามอีกคนโดยไม่รู้ตัว แต่แค่เพียงแผ่นหลังสัมผัสกับที่นอนเท่านั้นดวงตาทั้งคู่ก็กระพริบขึ้น จงอินเผลอทับตัวเองให้กดแพคฮยอนลงมาจนได้  ใบหน้าคม
    จดจ้องคนใต้ร่างที่นอนนิ่งพร้อมสบตากัน เขาโน้มหน้าลงไปหาอีกครั้งแล้วแต่เมื่อเห็นสายตาที่มองมาแบบนั้นก็ต้องใช้แขนดันตัวเองขึ้นไว้


    “เฮ้อ .......”

    “นะ นาย จะทำเหรอ” แพคฮยอนถามออกมาด้วยความซื่อ

    “ทำหน้าแบบนั้น ใครจะทำลงกันเล่า”

    “ขอโทษ .. คือ ฉันรู้ว่ามันยาก หมายถึง เอ่อ ฉันเป็นผู้ชาย....”

    “ไม่ใช่แบบนั้น ก็นายเล่นทำหน้าเหมือนจะร้องไห้แบบนั้น ใครจะทำลง” จงอินเอ่ยกับคนใต้ร่างที่เขาดูก็รู้ว่าคงกลัวอยู่ไม่น้อย
    นี่ถ้าไม่ได้รู้จักกันมาก่อนเขาคงคิดว่าคนอวดดีแบบนี้คงจะมีประสบการณ์มาจนเคยชินไปแล้ว แต่ไม่สิ อาจจะกับแค่ผู้หญิงแต่นี่เขาเป็นผู้ชาย แต่ก็ไม่อีกนั่นแหละ เพราะแค่จูบยังไม่ได้เรื่องซะขนาดนั้น


    จงอินผละออกจากแพคฮยอนแล้วนั่งลง แพคฮยอนก็รีบดันตัวเองขึ้นนั่งเช่นเดียวกัน เห็นอีกคนทำหน้าหมดอารมณ์แบบนั้นเจ้าของห้องจึงรู้สึกผิดขึ้นมาอย่างปิดไม่มิด ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเก็บอาการประหม่าเอาไว้แล้วเอ่ยแย้งขึ้น

    “ใครร้องไห้ ไม่มีซะหน่อย เรื่องแค่นี้”

    “เฮอะ .. อวดดีไม่เข้าเรื่อง” จงอินจับได้ตลอดกับคนที่ชอบแสร้งทำเป็นว่าตัวเองเก่งนักเก่งหนา เขาไม่อยากจะบอกเลยว่า
    กับแค่จูบยังไปไม่เป็นซะขนาดนั้น
    แล้วที่สั่นๆตอนถูกกอดลงมาเนี่ยคิดว่าดูไม่ออกเหรอ
     

    “ขอโทษ ....” แพคฮยอนพูดพลางก้มหน้าลง จงอินก็เพิ่งรู้ว่าแพคฮยอนก็แคร์เขาเหมือนกัน ถึงอย่างนั้นก็ต้องแอบพอใจแบบไม่ให้อีกฝ่ายรู้

    “เอาเหอะ ไว้พร้อมเมื่อไหร่ จะทำจนไม่ว่างทำอย่างอื่นเลยล่ะ”

    ได้ยินแบบนั้นคนฟังก็หน้าแดงขึ้นมา แพคฮยอนอยากจะโวยวายแต่ก็คงไม่ช่วยอะไร เขาคว้าเอาหมอนขึ้นตีคนหน้าด้านหน้าทนด้วยความหมั่นไส้

    “โอ๊ยๆๆ นี่มันเจ็บนะ”

    “นายมันนิสัยไม่ดีเลยว่ะ ชอบแกล้งฉันตลอด” คนตัวเล็กกว่ายังไม่ฟาดหมอนลงไป จงอินหงุดหงิดเล็กน้อยก่อนจะหันมารับเอาหมอนใบใหญ่ไว้แล้วออกแรงดึงเข้ามาหาตัว

    “อ๊ะ ....” แพคฮยอนเอนตัวไปกับหมอนแล้วถูกจงอินรวบกอดเอาไว้ เสียงเอะอะโวยวายหายไปแล้ว จงอินประคองใบหน้านั้นให้มองตากันอยู่ครู่หนึ่ง เขาไม่พูดอะไรเช่นเดียวกับคนที่นั่งนิ่งให้กอดโดยไม่ขัดขืน

    “ไม่เหนื่อยรึไง”

    “กะ ก็ เหนื่อยน่ะสิ”

    “งั้นก็หยุดโวยวายได้แล้ว”

    “หยุดแล้วนี่ไง”

    “หึหึ .. ดีมาก เป็นเด็กดีนะเจ้าลูกหมา”

    “อะ ไอ้ .....” แพคฮยอนอ้าปากจะเอาคืนกับประโยคที่ถือว่าดูหมิ่นคนอย่างเขา แต่จงอินกลับไม่ได้อยู่ในอารมณ์จะทะเลาะด้วย ใบหน้านิ่งๆเคลื่อนเข้ามาใกล้แล้วเอ่ยอย่างแผ่วเบา

    “ดึกมากแล้ว นายคงเหนื่อย”

    “................”

    “ฉันกลับก่อนนะ”

    “อ่ะ อืม ...”

     

    จงอินแนบริมฝีปากลงไปที่หน้าผากของแพคฮยอนช้าๆ

     

    “ฝันดีนะ”

     

     

    แล้วคืนนี้ .. เราอาจจะฝันถึงกัน

     

     


     

    เช้าสดใสในรั้วมหาวิทยาลัยได้กลับมาอีกครั้งแล้ว เปิดเทอมมาได้หลายสัปดาห์หลังจากที่ปิดไปนาน เด็กเอกบริหารเดินสวนผ่านกันไปมาอย่างเร่งรีบ เด็กปีหนึ่งหลายคนเดินก้มหน้าหอบตำรากันผ่านไปเป็นแถว ตอนนี้พวกเขาทุกคนกำลังนั่งอยู่กันพร้อมหน้าที่โต๊ะมุมหนึ่งใต้ตึกคณะ

     

    “ขยันกันจังนะน้องๆ” มินซอกเอ่ยขึ้นขณะที่มองตามกลุ่มเด็กใหม่อย่างชื่นชม เด็กหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งโบกมือให้เขาเพราะรู้จักกันในวันรับน้องสัปดาห์ก่อน

    “อะแฮ่ม!” ลู่หานจงใจกระแอมดังๆให้คนข้างกายต้องหันมามอง

    “เป็นไรไป มีอะไรติดคอรึไง” มินซอกถามเหมือนไม่อยากจะใส่ใจ

    “ซ้อมไว้ เพราะสงสัยจะมีก้าง ...”

    “ก้าง อะไรของนายเนี่ย พูดอย่างกับกำลังกินปลา”

    “ก็ก้างอ่ะ .. ก้างขวางคอ” ลู่หานบอกตรงๆโดยไม่ได้แคร์เลยว่าอีกคนจะทำหน้าแบบไหน มินซอกหันหน้าหนีเพราะเบื่อเต็มทีกับคนพูดไม่รู้เรื่อง ถึงอย่างนั้นมันก็ทำให้เขาต้องกลบเกลื่อนใบหน้าตัวเองทุกที

     

    จงอินทำหน้าหน่ายๆเพื่อนรักไม่ต่างกับแพคฮยอนและคยองซูที่ได้แต่แอบยิ้ม ส่วนเซฮุนที่กำลังฟุบหน้าอยู่ที่โต๊ะก็สะกิดคยองซูให้ก้มลงมาหา ทั้งสองพูดอะไรบางอย่างที่ได้ยินกันอยู่สองคน

    แพคฮยอนละสายตาจากเพื่อนๆทุกคนแล้วก้มหน้าอยู่กับกระดาษผลสอบที่ปรินท์ออกมาจากคอมพิวเตอร์ แต่ละตัวมันออกมาดีเกินคาด นั่นหมายถึงว่าผ่านอย่างเฉียดฉิว คนข้างกายที่ดูไม่ยี่หระอะไรจึงยื่นหน้ามาก้มดูกระดาษแผ่นนั้นด้วย

    “ไม่ดีใจเหรอ ไม่ติดซักตัวเลยนะ เก่งมากเลยแพคฮยอน” จงอินพูดขึ้น แต่คนฟังกลับเบ้ปากมาให้ด้วยความหมั่นไส้

    “เฮอะ .. ดีใจจนจะลอยแล้วเนี่ย แค่ผ่านก็บุญแล้ว ใครจะเก่งแบบนายล่ะ”

    “แน่นอน .. แต่นายก็ต้องขอบใจฉันนะที่ช่วยติวให้จนผ่าน”

    “น้อยๆหน่อย นายติวให้ฉันกี่ครั้งกัน”

    “ถ้างั้น ต่อไปคงต้องเพิ่มชั่วโมงให้มากกว่าเก่า” จงอินพูดอย่างจริงจังก่อนที่แพคฮยอนจะรีบหันหน้าขึ้นมองด้วยสายตาขอร้อง

    “จงอินอ่า .. แค่นี้ฉันก็เหนื่อยจะแย่แล้ว สมองฉันรับได้แค่นี้แหละ”

    “ไม่ได้หรอก เกิดแย่ลงกว่าเดิมจะทำไง” จงอินปั้นหน้านิ่งไม่ยอมอ่อนข้อให้คนที่เขาต้องดูแลให้ผลการเรียนรอดไปเรื่อยๆ แพคฮยอนทำหน้าหนักใจกับชะตากรรมที่เขาแสนจะเกลียดนี้เหลือเกิน พวกเขากำลังพูดต่อรองกันไปมาอยู่สองคน ท่ามกลางสายตาของเพื่อนๆที่แอบมองมาไม่ให้รู้ตัว

     

    คนทั้งสี่ที่อยู่ในฐานะผู้รับรู้และคอยเตือนเพื่อนรักมาเสมอ พวกเขาโล่งใจที่สุดท้ายแล้วระหว่างคนทั้งสองก็เป็นไปในทางที่ดี
    นึกถึงตอนที่ต่างฝ่ายต่างปากไม่ตรงกับใจ ไหนจะเรื่องเหตุการณ์วุ่นๆที่กว่าจะลงตัวก็เล่นเอาจะเป็นจะตายกันไปพักใหญ่ นึกถึงช่วงนั้นแล้วก็เหนื่อยแทนเหลือเกิน

    แม้ระหว่างกันมันจะชัดเจนขนาดนี้แล้ว แต่พอพวกเขาถามออกไปกี่ครั้งๆก็ไม่เคยได้คำตอบเลยว่ากำลังคบกันอยู่ หรือจะรู้กันอยู่แค่สองคนนะ .. พวกปากแข็ง




     

    “หนอย ... ทีฉันเหล่สาวหน่อยล่ะทำมาไม่พอใจ ทีตัวเองล่ะ กับน้องปีหนึ่งคนสวยก็ช่วยเค้าติวอยู่นั่น ชอบเค้าก็บอกมาเหอะไอ้คนขี้โกหก”

    แพคฮยอนบ่นอย่างอารมณ์เสียเป็นที่สุดในบ่ายวันหนึ่ง มือบางบีบกล่องนมที่ดูดจนหมดแล้วโยนลงถังขยะที่ห่างออกไปในมุมหนึ่งของโรงอาหาร คยองซูอยากจะบอกว่าแพคฮยอนคิดมากเกินไป ซึ่งต่างกับเซฮุนที่ไม่ได้สนใจอะไรเพราะชินแล้วกับการเอะอะโวยวายของเพื่อนรายนี้ ดวงตานิ่งๆเหลือบมองข้างกายที่ห่างออกไป

    “อย่าไปหึงเค้าเลยแพคฮยอน มานู่นแล้วไง ...”

    “ใครบอกกูหึง ไปก่อนล่ะ ไม่อยากเห็นหน้า” แพคฮยอนรีบวิ่งออกไปอีกทาง ทิ้งให้เพื่อนของเขาต้องตอบคำถามจงอินว่าตัวเองหายไปไหนแล้ว

     

    ชายหนุ่มเดินฮึดฮัดออกมายังบริเวณหลังมหาวิทยาลัยที่เป็นสวนริมน้ำ เขาเดินเหยียบพื้นหญ้าลงไปแล้วทิ้งตัวลงนั่งอยู่คนเดียวเพราะรอบข้างไม่มีใคร บางทีก็รู้สึกว่ากำลังถูกแกล้งอยู่ แต่ยังไงก็อดคิดเปรียบเทียบกับตัวเองไม่ได้ จงอินต้องเจอคนดีๆอีกเยอะ รุ่นน้องคนนั้นที่ทั้งสวยทั้งน่ารักก็ออกจะตรงสเป็คของอีกฝ่าย เทียบกันแล้วเขามันไม่มีอะไรดีเลย

    “เฮ้อ .....” ใบหน้าเศร้าๆก้มลงมองพื้นหญ้า อย่าให้ใครรู้นะว่าเขาเป็นเอามากขนาดนี้

    มือบางคีบบุหรี่ไว้ในมือ แพคฮยอนรู้สึกคิดถึงมันขึ้นมาเพราะพักหลังมาไม่ค่อยได้สูบเลย ควันสีเทาลอยคลุ้งอยู่รอบกาย เขาถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะสะดุ้งขึ้นเมื่อใครอีกคนนั่งลงมาข้างกัน

    “มาแอบสูบบุหรี่อยู่ตรงนี้นี่เอง”

    “จงอิน....”

    “บอกแล้วไงว่ามันไม่ดีต่อสุขภาพ เมื่อไหร่จะเลิกกันฮะ”

    “เรื่องของฉัน แล้วก็ไม่ได้แอบด้วย” แพคฮยอนทำหน้ารั้นๆอย่างไม่คิดจะฟัง เขาจงใจคาบบุหรี่ไว้โดยไม่สนใจสายตาที่มองมาอย่างเป็นห่วงเลย

    “โกรธอะไร”

    “เปล่านี่”

    “น้องคนนั้นน่ะเหรอ ก็แค่น้องเค้ามาขอให้ช่วยสอนเพราะเรียนไม่เข้าใจ ไม่มีอะไรซะหน่อย”

    “ไม่เข้าใจงั้นเหรอ ดูไม่ออกเหรอว่าเค้าชอบนายจะตาย”

    “แล้วไงล่ะ .. หรือนายหึง”

    “ปะ เปล่า ไม่ได้หึง” แพคฮยอนพยายามทำหน้าให้เรียบที่สุดพลางหลบสายตาที่มองมาอย่างอ่านใจได้ เขาเกลียดจริงๆเลยที่อีกคนจะต้องรู้ไปซะหมด แต่บางทีไอ้เรื่องที่ควรรู้กลับไม่รู้ซะบ้างเลย

     

    ภาพของคิมจงอินที่หัวเราะเบาๆอย่างอารมณ์ดีกำลังอยู่ในสายตาทั้งสี่คู่ซึ่งแอบมองมาจากพุ่มไม้ข้างๆ พวกเขาคิดในใจเป็นเสียงเดียวกันว่าผู้ชายคนนี้มันช่างน่ากลัวเสียเหลือเกิน พอใจหนักหนาเวลาที่อีกคนกำลังโกรธกำลังงอน ยิ่งรู้ว่าเค้าคิดไปไกลยิ่งอยากจะแกล้งให้คิดมากไปใหญ่ แต่พอหาเค้าไม่เจอก็มานั่งหน้าบูดอารมณ์ไม่ดีเป็นวันเป็นคืน

    “เห็นทำหน้าเฉยๆแบบนั้น มันเป็นโรคขาดความรักหรือไงนะ อยากให้เค้าสนใจตัวเองด้วยวิธีการแกล้งให้เค้าคิดมาก .. ผู้ชายคนนี้” ลู่หานกระซิบเบาๆกับเพื่อนอีกสามคนที่หลังพุ่มไม้กลุ่มหนึ่ง ไม่ได้อยากจะมาแอบดูหรอกนะ แค่บังเอิญอยากจะรู้ว่าสองคนนี้ปกติแล้วคุยกันยังไง และพวกเขาก็ได้ความว่า มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลยนอกจากเรื่องไม่เป็นเรื่องของคนปากแข็งสองคน

     

    “ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้หึง หึงทำไมล่ะ ไม่ใช่ผู้หญิงนะจะมาคิดเรื่องไม่เข้าท่า” แพคฮยอนยังคงปฏิเสธเสียงแข็ง

    “ปากแข็งจังนะ”

    “แล้วไงล่ะ ไม่เชื่อก็แล้วแต่”

    “โอเคๆ เชื่อก็เชื่อ” จงอินตัดบทสั้นๆ แต่ในใจกลับรู้สึกดีจนแทบบ้า ยิ่งแพคฮยอนสนใจเขาเท่าไหร่ก็ยิ่งสบายใจมากเท่านั้น เพราะหากวันไหนอีกฝ่ายไปสนใจคนอื่นขึ้นมา เขาคงควบคุมตัวเองไม่ได้แน่ๆ

     

    ให้ตายเหอะ .. กลายเป็นคนแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ เพราะนายคนเดียวแท้ๆเลยแพคฮยอน

     

    “รับปากสิว่าจะเลิกบุหรี่”

    “จะพยายามน่ะนะ ทำไงได้ ปากมันว่าง” แพคฮยอนยักไหล่ไม่สนใจจะฟัง เขากำลังนึกเรื่องจงอินกับรุ่นน้องคนสวยอยู่
    และโดยไม่ทันตั้งตัวบุหรี่ที่คาบเอาไว้ก็ถูกดึงออกไปจากปากทันที จงอินโยนมันลงไปในน้ำริมสนามหญ้า


    “ทำอะไรน่ะ”

    “ปากนายว่างมากใช่มั้ย งั้นลองทำอย่างอื่นบ่อยๆสิ”

    “อะไร .......”

    “นายจูบไม่เคยได้เรื่องเลย ฉันจะช่วยสอนบ่อยๆแล้วกันนะ” ว่าแล้วคนหน้าด้านหน้าทนก็ถือโอกาสโน้มหน้าลงมาจูบคนข้างกาย แพคฮยอนยกมือจะทุบลงมาแต่จงอินกลับรับกำปั้นนั้นเอาไว้ทันเสียก่อน รสจูบระหว่างกันจึงดำเนินไปโดยไม่คิดว่าจะมีใครมาเห็น

    คนทั้งสี่ที่นั่งหลบอยู่หลังพุ่มไม้นั้นกำลังจดจ้องเพื่อนของพวกเขาที่จูบกันอยู่สนามอย่างไม่มีเกรงใจ เซฮุนที่หน้าตายังดูง่วงนอนอยู่นั้นหันมามองคยองซูที่จ้องไปข้างหน้าไม่ยอมขยับ ใบหน้านั้นแดงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

    “เฮ้อ .. ตื่นเต้นขนาดนั้นเลยเหรอคยองซู”

    “ปะ เปล่านี่ แค่มองเฉยๆ”

    “โอ้โหๆมินซอก ดูดดื่มสุดๆอ่ะ นี่เพื่อนเรามันทำเรื่องแบบนี้เก่งผิดกับหน้าตาเลยนะ”

    “นี่ลู่หาน .. พอได้แล้ว”

     

    เพื่อนๆทั้งหมดอดจะหมั่นไส้ไม่ได้กับสองคนที่คบกันแต่ไม่เคยบอกว่าเป็นแฟน .. สงสัยจะเกินคำว่าแฟนแล้วล่ะมั้งนะ ~

     

     


     

    สามเดือนผ่านไป

     

    “เฮ้อ .. เสร็จซักที”

    แพคฮยอนฟุบหน้าลงกับแบบฝึกหัดที่ติวเตอร์จอมโหดบอกให้ทำภายในเวลาที่กำหนด ดวงตาของคนเหนื่อยล้ามองเพื่อนๆ
    ในคณะที่เดินสวนผ่านไปมาในตอนเย็นแบบนี้ บ้างก็กินขนมกัน บ้างก็เหมือนจะไปเที่ยวต่อกันที่ไหน แล้วทำไมหนุ่มปีสามอย่างเขาถึงต้องมานั่งทำอะไรแบบนี้ด้วย นึกถึงคนชอบบังคับที่หนีไปคุยโทรศัพท์เป็นชั่วโมงแล้วป่านนี้ยังไม่กลับมาเลย


    จงอินเดินกลับมานั่งที่โต๊ะฝั่งตรงข้ามกับคนที่ฟุบหน้าแนบอยู่กับกระดาษหลายแผ่น แพคฮยอนจ้องคนที่กลับมาด้วยสายตาหน่ายๆ

    “ทำเสร็จแล้วอ่ะ นายคุยเสร็จแล้วเหรอ”

    “อืม”

    “คริสตัลสบายดีมั้ย”

    “ถ้าเรื่องอื่นก็โอเค แต่เรื่องนั้นรู้สึกจะแย่หน่อย ตั้งแต่กลับไปยัยนั่นก็ตามง้อเฮนรี่สำเร็จ ไม่ต้องเดาก็รู้เพราะมันรักคริสตัลจะตายไป แต่เหมือนที่บ้านได้หมั้นหมายผู้หญิงของอีกครอบครัวไว้ให้แล้ว คริสตัลก็เลยโทรมาระบายใหญ่เลยว่าพ่อกับแม่ของเฮนรี่จะยอมฟังรึเปล่า”

    “อ่า .. แย่จังเลย แบบนี้ก็ต้องฝ่าฟันกันต่อไปน่ะสิ”

    “ก็ต้องแบบนั้นอยู่แล้ว แต่อย่าห่วงเลย หมอนั่นมันไม่ยอมหรอก เชื่อสิ พวกดันทุรังแบบนี้ดูออกง่ายจะตายไป” จงอินพูดจบก็เก็บของใส่กระเป๋าไปด้วย แพคฮยอนเริ่มเก็บบ้างพลางนึกในใจว่าอีกฝ่ายดูท่าจะไม่รู้ตัวสักนิดว่าไอ้พวกดันทุรังเนี่ย มันจะรวมถึงตัวเองด้วย
     

    “มองฉันแบบนั้นทำไมแพคฮยอน”

    “อ้อ.. ปะ เปล่า คิดอะไรนิดหน่อยน่ะ”

    “งั้นรีบเก็บของได้แล้ว นัดที่บ้านไว้ทุ่มนึงเดี๋ยวได้รอกันพอดี” จงอินเร่งคนที่เขาบังคับให้ไปร่วมมื้อเย็นกับที่บ้านทั้งที่ไม่ได้เนื่องในโอกาสพิเศษอะไร แพคฮยอนจำใจรับปากอย่างเสียไม่ได้

     

    “อ๊ะ .. จริงสิ ลืมสนิทเลยจงอิน วันนี้พาไปที่ผับหน่อยได้มั้ย”

    “ไหนว่าวันนี้ไม่ได้ทำงานไง”

    “เปล่าๆ อาทิตย์ที่แล้วฉันไปทำแก้วเกือบทั้งชั้นล้มลงมาหมด คุณชานยอลเค้าเลยช่วยออกค่าเสียหายให้ก่อน แล้วค่าจ้างเพิ่งออกก็เลยจะเอาไปคืนเค้าซะหน่อย จริงๆเค้าจะออกให้แหละแต่ฉันคิดว่าไม่สมควร ฉันเป็นคนทำก็ต้องเป็นคนจ่าย”

    “ทำไมไม่บอกฉัน”

    “เรื่องแค่นี้เอง ต้องบอกนายด้วยเหรอ”

    “แล้วทำไมต้องไปวันนี้”

    “ก็วันนี้เค้าอยู่ ฉันไม่อยากติดไว้นาน เกรงใจน่ะ”

    “ยุ่งยากจริงนะ บอกหลายครั้งแล้วว่าให้เลิกทำที่ผับนั่นก็ไม่ฟัง” จงอินพูดตำหนิแพคฮยอน แต่ถึงอย่างนั้นมือของเขาก็กลับเอื้อมออกไปจับมืออีกฝ่ายให้เดินออกไปด้วยกัน

     

    เมื่อมาถึงผับแล้วแพคฮยอนก็บอกให้จงอินรออยู่ที่รถแต่อีกคนกลับเดินลงมาด้วยแล้ว แพคฮยอนไม่ว่าอะไรนอกจากรีบเดินนำออกไปยังตัวตึกทึบๆนั่น แต่แล้วจงอินก็เรียกเขาเอาไว้ก่อน

    “มินซอกอยากคุยกับนายน่ะ .. เดี๋ยวฉันไปห้องน้ำก่อน” จงอินยื่นโทรศัพท์มือถือมาให้ก่อนจะเดินตรงเข้าไปในนั้นแทน

    “ดะ เดี๋ยวสิ....” แพคฮยอนขมวดคิ้วแต่ก็รีบหันมารับสายทันที

    “หวัดดีมินซอก ว่าไงเหรอ”

    “อ่ะ เอ่อ .. คือ ว่าจะถามนายเรื่องงานเมื่อวานนี้น่ะ” คนปลายสายนึกอยู่นานว่าจะถามเรื่องอะไรดี ก็จู่ๆไอ้เพื่อนตัวดีของเขาดันโทรมาแล้วบังคับให้คุยอะไรก็ได้กับแพคฮยอนนี่สิ เขาเลยถามวกไปวนมาทั้งที่เป็นเรื่องที่รู้อยู่แล้วเพราะไม่รู้จะถามอะไร ขณะเดียวกันคนตอบก็พูดไปแบบซื่อๆโดยไม่ได้เอะใจอะไรสักนิด มินซอกไม่รู้หรอกว่าจงอินให้เขาถ่วงเวลาไว้เพื่ออะไร แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นเมื่อเทียบกับความเป็นคิมจงอินที่เพื่อนรักอย่างเขาอดจะหน่ายใจไม่ได้

    สิบนาทีเท่านั้นที่แพคฮยอนวางสายจากมินซอก พอดีกับที่จงอินเดินกลับออกมา แพคฮยอนยื่นโทรศัพท์คืนให้แล้วรีบเดินเข้าไปในผับโดยมีอีกคนเดินตามไปห่างๆ

    ชายหนุ่มมองหาคนที่เป็นเหมือนเจ้านายของเขาซึ่งตอนนี้กำลังช่วยผู้จัดการฝึกเด็กใหม่ๆอยู่ตามเคย แพคฮยอนโบกมือให้ชานยอลที่ทำหน้าเหรอหราเล็กน้อยก่อนจะเดินหลบออกมาหาอย่างรวดเร็ว ใบหน้าหล่อๆแอบเหลือบมองคนที่ยืนห่างออกไปไกลๆ แต่เขาก็รีบก้มคุยกับคนตรงหน้าแทน

    “ว่าไงแพคฮยอน”

    “ผมเอาเงินมาคืนคุณ ขอบคุณมากนะที่ช่วยออกให้ก่อน เกรงใจจริงๆ” แพคฮยอนหยิบเงินจำนวนหนึ่งออกมาจากประเป๋าแล้วยื่นให้ ชานยอลเหลือบมองไปข้างหลังของแพคฮยอนเร็วๆอีกครั้งก่อนจะก้มมองเงินที่ยื่นมา

    “อ่ะ เอ้อ .. คะ คือ ผู้จัดการไม่ได้บอกหรอกเหรอว่าไม่ต้องจ่ายแล้ว”

    “อ้าว ทำไมล่ะครับ”

    “นายทำงานที่นี่มาหลายเดือนแล้วน่ะสิ คนที่ทำมานานหากทำข้าวของเสียหายถือว่าไม่ต้องรับผิดชอบน่ะ ทางผับพิจารณาว่ามันแค่เล็กน้อย”

    “มีแบบนี้ด้วยเหรอ” แพคฮยอนทำหน้าสงสัยกับกฎแปลกๆที่เขาเพิ่งเคยได้ยิน แล้วตอนนั้นผู้จัดการจะเอ็ดตะโรเขายกใหญ่ทำไมนะ แต่ก็แหงล่ะ ทำของเค้าเสียหายนี่นะ

    “นะ แน่สิๆๆๆ ประมาณว่าสิทธิพิเศษน่ะสิทธิพิเศษ .. เคป้ะ!

    “เหรอครับ งั้นคุณก็ได้เงินคืนแล้วใช่มั้ย”

    “ใช่แล้วๆๆ นายก็ไม่ต้องจ่ายฉันแล้วด้วย”

    “งั้นเหรอ .. โชคดีจังแฮะ”

    “ใช่ๆๆ ก็จบไปนะเรื่องนี้ เคนะ” ชานยอลลืมตาโตๆแล้วพยักหน้าขึ้นลงหลายครั้งจนแพคฮยอนต้องพยักหน้าตาม

    “ครับๆ ยังไงก็ขอบคุณมากเลย งั้นผมขอตัวก่อนนะ”

    “อืม .. บ๊ายบาย”

    ชานยอลมองตามแพคฮยอนที่เดินกลับออกไปโดยไม่ได้รู้เลยว่าคนที่มาด้วยกันจะยืนอยู่อีกมุมหนึ่ง จงอินปล่อยให้แพคฮยอนเดินออกไปรอเขาที่รถ ชานยอลยืนยิ้มแห้งๆเมื่ออีกฝ่ายกำลังตรงมาหาเขา .. อีกครั้ง

     

    ชานยอลนึกถึงก่อนหน้าที่แพคฮยอนจะเข้ามา จู่ๆคิมจงอินก็เข้ามาหาเขาแล้วถามว่าค่าแก้วที่จ่ายแทนแพคฮยอนไปนั้นมันเท่าไหร่ พอบอกค่าเสียหายทั้งหมดอีกฝ่ายก็ยื่นเงินออกมาให้ทันที เขาจำต้องรับเอาไว้พร้อมกับประโยคสั้นๆที่บอกให้เขาพูดอะไรก็ได้ที่จะไม่เป็นการเก็บค่าเสียหายจากแพคฮยอนแล้วก็ห้ามบอกว่ามีคนจ่ายแทนแล้วด้วย

     

    “ทำได้ดีมากคุณปาร์คชานยอล” จงอินพูด

    “ถ้าอยากออกแทนแฟนนาย แล้วทำไมไม่บอกเค้าไปตรงๆ นอกจากจะไม่ต้องโกหกแล้วยังเท่จะตายไป เค้าจะได้ปลื้มนายด้วยไงล่ะ” ชานยอลยืดอกแล้วพูดไปตามหลักการที่คนแฟร์ๆอย่างเขาคิดว่าถือเป็นคำแนะนำให้กับเพื่อนใหม่ แต่สิ่งที่จงอินตอบกลับเป็นเพียงสีหน้าที่ดูเหมือนกำลังยิ้มหยันมากกว่า ชานยอลชะงักไปเล็กน้อยกับปฏิกิริยาที่ไม่เป็นไปตามที่คิด

    “ถึงบอกว่าจะออกให้ เค้าก็ไม่ยอมอยู่ดี แล้วขืนรู้ว่าฉันจ่ายแทนแบบนี้มีหวังเค้าจะเกลียดฉันน่ะสิ .. นายคิดได้แค่นี้เองเหรอ”

    “หะ หา .. ว่าไงนะๆ”

    “ก็บอกว่านายคิดได้แค่นี้เหรอ” จงอินไม่ได้สนเลยว่าคนตัวสูงกว่าจะกำลังอึ้งไปอย่างที่ไม่เคยถูกใครต่อว่าแบบนี้มาก่อน ชานยอลหน้าเหวออีกครั้งกับความร้ายกาจของคนตรงหน้า .. ไม่น่าเลยจริงๆ ไม่น่ายุ่งด้วยเลย

    “ละ แล้วถ้าแพคฮยอนเค้าถามผู้จัดการ หรือเกิดทำงานไปแล้วรู้ว่ามันไม่มีกฎอะไรแบบนี้ล่ะจะทำไง นายจะไม่ความแตกหรอกเหรอ”

    “หึ .. นั่นมันก็เป็นหน้าที่ของนายแล้วล่ะนะ”

    “ฉะ ฉันเนี่ยนะ”

    “แน่นอน ทำยังไงก็ได้ไม่ให้ความแตก”

    “...........”

    “แต่ถ้าความแตกแล้วเค้ารู้เมื่อไหร่ ... คงไม่ต้องให้บอกนะว่าจะเป็นยังไง” จงอินพูดจบก็กระตุกยิ้มให้ เขาเดินกลับออกไปจากที่นี่ด้วยท่าทางสบายๆ ทิ้งให้คนที่รู้สึกว่าต่อไปคงไม่สบายได้แต่ยืนทำหน้าเหวออยู่อย่างเก่า

    “ไอ้หยา .. ให้มันได้อย่างงี้สิ คนอะไรน่ากลัวเป็นบ้า ว่าแต่ทำไมเราต้องกลัวหมอนี่ด้วยนะ แต่ก็นะ ดูแล้วไม่ขอเสี่ยงด้วยดีกว่า เห็นกลับมาดีกันกับแฟนได้หลายเดือน ยังอุตส่าห์มาใช้อำนาจอีก โอ๊ย .. ไม่เข้าใจเลยจริงๆ คนหล่อเซ็งๆๆๆ วู้ๆๆๆ”  

     



     

     

    โต๊ะอาหารกว้างของบ้านหลังใหญ่พร้อมหน้าไปด้วยสมาชิกทุกคน

    ที่หัวโต๊ะเป็นหัวหน้าครอบครัวซึ่งก็คือพ่อของจงอิน อีกด้านเป็นแม่และถัดมาคือพี่สาวทั้งสอง จงอินนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับแม่โดยมีแพคฮยอนนั่งอยู่ข้างเขา วันนี้ถือว่าเป็นอีกวันที่ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าโดยไม่ติดภาระอะไร

    “อุตส่าห์มาทานข้าวบ้านเพื่อนทั้งที .. เอาแต่จ้องทำไมล่ะ กินสิกิน” พี่ซองอินทำตาโตมาให้เพื่อนของน้องชายที่เธอชอบนักชอบหนา ท่าทางที่คนอื่นอาจมองว่าไม่น่าคบแต่เธอกลับรู้สึกว่าแบบนี้แหละเด็กผู้ชายทั่วไป จึงรู้สึกเอ็นดูเหมือนเป็นน้องชายอีกคน

    “ครับๆ” แพคฮยอนที่กำลังนั่งเกร็งอยู่จึงพยักหน้าเร็วๆแล้วคีบอาหารในจานเข้าปากคำโต แก้มป่องๆของคนซื่อทำเอาหญิงสาวยิ้มกว้างขึ้นมา

    “น่ารักจริงๆเด็กคนนี้ มาให้หยิกสักทีเหอะ”

    “เดี๋ยวเหอะยัยซองอิน นี่โต๊ะอาหารนะ” เสียงคนเป็นแม่ที่นั่งดูมานานต้องเอื้อมมือมาหยิกลูกสาวเบาๆ ไม่เข้าใจว่าจะชอบใจอะไรนักหนากับแค่เพื่อนน้องชาย

    สายตาคุณผู้หญิงของบ้านจ้องตรงมาเหมือนกำลังพินิจพิเคราะห์คนที่เธอเพิ่งจะได้เห็นชัดๆ แพคฮยอนก้มหน้าทานอาหารไปเงียบๆเพราะไม่กล้าจะเงยหน้ามอง ถึงจะได้ทำความเคารพกันมาก่อนแล้วแต่คราวนี้รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ถ้าจะเทียบแล้วพี่ซองอินเป็นคนเดียวที่เขาสนิทใจด้วยที่สุด ส่วนพี่ลีอินกับพ่อถึงจะไม่ค่อยพูดเท่าไหร่แต่ก็ยิ้มให้เขาเหมือนปกติ จะมีก็แต่แม่ของอีกฝ่ายนี่แหละชอบมองมาแปลกๆ

    “ที่บ้านทำอะไรน่ะเรา”

    “ครับ .. เอ่อ ไม่มีหรอกครับ บ้านผมไม่ได้ทำกิจการอะไร” แพคฮยอนตอบก่อนจะยิ้มให้อย่างเป็นมิตร จงอินเริ่มมองคนข้างกายที่คิดว่าจะพูดอะไรไม่ได้เรื่องกว่านี้เสียอีก เขาแอบหวั่นใจเล็กน้อยกับท่าทีของแม่ตัวเอง

    “งั้นเหรอ .. แล้วพ่อแม่ล่ะ ทำงานอะไร” แม่ของจงอินถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แพคฮยอนหายใจไม่ทั่วท้องขึ้นมาทันที เขาไม่ได้นึกด้วยซ้ำว่าจะต้องมานั่งตอบคำถามแบบนี้ ถ้าเป็นที่บ้านเพื่อนๆตัวเองก็ว่าไปอย่าง แต่นี่มันคนละเรื่องกันเลย

    “ฉันถามน่ะ ....”

    “ครับๆ คือผม .. เอ่อ ไม่มีพ่อครับ แล้วแม่ก็ทำงานเป็นนักร้องในผับที่หนึ่งน่ะครับ”

    ทุกคนไม่มีใครแปลกใจอะไรนอกจากหันมองปฏิกิริยาของแม่ตัวเองกันเท่านั้น คุณผู้หญิงที่ไม่เคยรู้มาก่อนแทบจะต้องลืมกลืนน้ำที่เธอเพิ่งยกขึ้นดื่ม ดวงตาเฉียบคมจ้องมองใบหน้าที่ยังพยายามยิ้มมาให้ จงอินมองแพคฮยอนแล้วรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เขาก้มมองมือทั้งคู่นั้นที่กำแน่นอยู่บนตักจึงรู้สึกทนไม่ได้ขึ้นมา

    “อะไรกันครับแม่ ถามอย่างกับสัมภาษณ์งานแน่ะ แค่เพื่อนผมเอง”

    “ก็เพราะเป็นเพื่อนแกน่ะสิฉันถึงต้องถาม เพื่อนสนิทแกที่มากินข้าวบ้านเราฉันก็ถามทุกคนว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร บ้านทำอะไร พ่อแม่เป็นใคร แปลกตรงไหน”

    “เอาน่ะคุณ แพคฮยอนก็ตอบหมดแล้วนี่ ทานข้าวกันต่อเถอะ” คนเป็นพ่อเอ่ยขัดขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของเพื่อนลูกชาย
    แพคฮยอนยิ้มเจื่อนๆแล้วก้มหน้าลงกับจานข้าวของตัวเอง


    “แม่ก็ทำหน้าอย่างกับสัมภาษณ์งานจริงๆแหละ .. ยิ้มหน่อยสิคะคุณแม่” ซองอินหันมายิ้มตาหยีให้แม่ตัวเองที่เธอรู้ดีว่าจริงๆแล้วไม่ได้รังเกียจรังงอนอะไรแพคฮยอนหรอก แต่แค่คงยังไม่ชินเพราะลูกชายตัวดีของเธอไม่เคยคบเพื่อนที่หากจะว่าไปก็เหมือนคนละชั้นสังคมกันแบบนี้

    “ยัยลูกคนนี้ ดูทำหน้าเข้า”

    “ฮะฮะ .. แม่อ่ะ”

    จงอินหันมาสบตาแพคฮยอนเป็นเชิงบอกว่ามันไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดหรอก

    “ว่าแต่หนูคริสตัลเป็นไงบ้างล่ะ คิดแล้วก็เสียดายนะ แกคบกับเค้ามาตั้งนาน พ่อกับแม่ก็ตั้งใจจะให้หมั้นหมายกันเป็นเรื่องเป็นราว จู่ๆมาเลิกกันแบบนี้ฉันล่ะเสียผู้ใหญ่หมด”

    “เสียอะไรกันล่ะแม่ ไม่ใช่ว่าหมั้นกันแล้วผมไปถอนหมั้นเค้าซะหน่อย แล้วนี่ก็ยังเรียนกันอยู่เลย”

    “เหอะน่ะ พูดแล้วอย่ามาเถียง ยังไงฉันก็เสียดายหนูคริสตัลอยู่ดี”

    “เลิกกันตั้งนานแล้ว ยังจะมาคิดอีกนะ” จงอินไม่วายพูดต่อ และนั่นก็ทำเอาสายตาดุๆส่งมาให้ทันที

    “จริงๆแม่แกเค้าก็ไม่ได้คิดมากหรอก เพราะก่อนหน้านี้พ่อกับแม่เห็นคนที่เหมาะกับแกแล้ว” เสียงคนเป็นพ่อเอ่ยเรียบๆ

    “ถูกที่พ่อพูด .. หนูคนนี้เค้าเป็นลูกสาวเจ้าของบริษัทส่งออกเครื่องประดับรายใหญ่ของเกาหลีเลยนะ แต่คิดว่าแกคงไม่รู้จักหรอก แต่พ่อกับแม่เคยเจอหลายครั้งแล้ว พ่อเค้าเป็นเพื่อนพ่อสมัยเรียนน่ะ แกไม่ค่อยได้เจอเพราะส่วนมากเค้าอยู่ต่างประเทศ” แม่ของจงอินพูดขึ้นโดยไม่ได้สนใจสายตาของลูกๆแต่ละคนที่ไม่เคยรู้มาก่อน แพคฮยอนได้ยินแบบนั้นก็เผลอชะงักมือที่จะหยิบแก้วน้ำขึ้น
     

    “พ่อกับแม่ล้อเล่นเหรอครับ นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กนะ” จงอินถามอย่างจริงจัง

    “นั่นสิคะ” ลีอินพูดขึ้นบ้างหลังจากที่เงียบอยู่นาน

    “อ้าว .. ก็แกยังไม่มีใครที่คบอยู่ไม่ใช่เหรอจงอิน ลองรู้จักเค้าหน่อยจะเป็นไรไป”

    “แล้วแม่รู้ได้ไงว่าผมไม่มีคนที่คบอยู่” เสียงของลูกชายคนเล็กเอ่ยขึ้นเสียงดังฟังชัด เล่นเอาพ่อแม่และพี่สาวต้องมองที่เขาเป็นตาเดียวกัน แพคฮยอนใจเต้นโครมครามพลางกำมือที่ตักเอาไว้แน่น

    “ว่าไงนะ ใครๆๆ พี่รู้จักมั้ย” ซองอินถามตาลุกวาว

    “นั่นสิ พี่เคยเจอรึเปล่า” ลีอินถามขึ้นบ้าง

    “แล้วสวยมั้ย ลูกเต้าเหล่าใคร บอกแม่มานะจงอิน”

    “ฮะฮะ .. ไอ้ลูกคนนี้ รวดเร็วได้พ่อมันจริงๆ”

     

    บรรยากาศเปลี่ยนไปถนัดตาเมื่อทุกคำถามเป็นการแตกประเด็นออกมาเพราะอยากรู้เกี่ยวกับว่าที่สะใภ้คนใหม่ของบ้าน คราวที่แล้วเป็นคริสตัลที่ทั้งสวยทั้งฉลาด ที่บ้านก็รู้จักกันดี คราวนี้ทุกคนก็เชื่อเหลือเกินว่าคนอย่างจงอินคงต้องคว้าผู้หญิงที่ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันมาเป็นแฟนแน่ๆ

    แพคฮยอนรู้สึกแย่ลงไปใหญ่เมื่อได้ยินแต่ละคำถามของคนในครอบครัวจงอิน เขาไม่รู้หรอกว่าอีกฝ่ายจะตอบออกไปว่ายังไง แต่ถึงอย่างนั้นก็แอบหวั่นใจไม่น้อยหากจงอินบอกไปตามตรง ใจดวงน้อยเต้นไม่เป็นส่ำผิดกับคนข้างกายที่นั่งทำหน้าสบายๆไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรเลย

    แพคฮยอนสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อมือของเขาที่กำแน่นเอาไว้จะถูกมือของจงอินเอื้อมมากุมไว้ที่ใต้โต๊ะ

    “เค้าเป็นใคร ไว้เดี๋ยวผมจะบอกทีหลัง .. ว่าแต่ นี่ทุกคนคิดว่าผมต้องมีแฟนสวยเหรอ ฮะฮะ” จงอินพูดขึ้น แพคฮยอนขยับมือเหมือนจะบอกว่าใครใช้ให้พูดแบบนั้น ซึ่งคนที่ไม่ได้สนใจก็แค่บีบมือตอบเบาๆ ทุกคนทำหน้าแปลกๆที่ได้ยินอย่างนั้น

    “โหย .. ประโยคคนดีชะมัดนะน้องฉัน คนอย่างนายคบคนไม่สมบูรณ์แบบนี่ใช่เหรอ” ซองอินทำหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อ

    “ไม่สวยแล้วน่ารักมั้ย” ลีอินยังถามไม่เลิก

    “ครับ ก็น่ารักในแบบของเค้าน่ะนะ”

    “เป็นคนเรียบร้อยล่ะสิ” พ่อถามบ้าง

    “เปล่าเลยครับ ออกจะชอบโวยวาย แต่ก็รู้กาลเทศะขึ้นเยอะตั้งแต่คบกันมา”

    “แล้วลูกเต้าเหล่าใคร นี่แกยังไม่ตอบฉันเลยนะ” แม่ส่งสายตาหงุดหงิดมาให้เพราะความอยากรู้จะแย่

    “โถ่แม่ครับ .. จะลูกใครก็ช่างเถอะ ผมมันรวย ยังไงก็เลี้ยงเค้าได้แล้วกัน”

                     จงอินพูดสั้นๆในแบบที่ทุกคนแทบไม่อยากเชื่อมากกว่าเดิมว่าจะได้ยินอะไรแบบนี้ พี่สาวทั้งสองกำลังคิดว่าน้องชายต้องกินยาผิดขวดมาแน่ๆ


    “นี่สรุปว่าวันนี้พ่อกับแม่จะรู้มั้ย”

    “ไว้เดี๋ยวก็รู้เองแหละครับแม่”

     

     

    มือที่กุมกันอยู่ใต้โต๊ะอาหารยังคงไม่ปล่อยจากกัน

    “แพคฮยอน ร้อนเหรอ ทำไมหน้าแดงๆแบบนั้นล่ะ” ซองอินเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง

    “อ๋อ .. ปะ เปล่าครับ ผมไม่ค่อยสบายมากกว่า”

    “งั้นเหรอ งั้นรีบกินข้าวเร็วๆจงอินจะได้รีบไปส่งที่บ้าน เดี๋ยวเป็นไข้แล้วไปเรียนไม่ได้จะแย่เอานะ”

    “ขอบคุณครับ”

    “เดี๋ยวๆ ในเมื่อจงอินไม่บอก งั้น .. แพคฮยอน นายต้องรู้แน่ๆเลย บอกมานะจงอินคบใครอยู่” พี่สาวคนสวยยังถามไม่เลิก
    แพคฮยอนทำหน้าเลิกลั่กพลางปฎิเสธว่าไม่รู้เหมือนกัน ซองอินเบ้มาให้น้องชายอย่างหมั่นไส้ที่คงจะบังคับเพื่อนเอาไว้แล้วว่าไม่ให้พูด


    พ่อกับแม่ทำหน้าหน่ายใจกับลูกชายจอมดื้อที่บทจะเป็นเอามากก็เป็นขึ้นมา ส่วนพี่สาวคนโตก็เอาแต่พูดอยู่กับคนที่นั่งข้างกับเขาไม่ยอมหยุด มีเพียงพี่สาวคนรองเท่านั้นที่จ้องมายังตัวเขา จงอินสบตากลับพลางเลิกคิ้วให้เป็นเชิงถาม แต่แล้วสายตาแหลมคมภายใต้แว่นกรอบบางก็หลบไปอีกทางเหมือนไม่มีอะไร จงอินรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆแต่ก็คิดว่าคงไม่มีอะไรหรอก

     

    หลังจากที่น้องชายออกไปส่งเพื่อนแล้ว ในห้องนั่งเล่นจึงเหลือเพียงพี่สาวทั้งสองที่นั่งอยู่ตรงข้ามกัน

    “ยิ้มอะไรของเธอน่ะลีอิน” ใบหน้าสวยคมถามน้องสาวที่นั่งยิ้มแปลกๆจนเธอสงสัย

    “ตลกเด็กสองคนนั้นน่ะพี่ซองอิน”

    “หือ .. อะไรของเธอ”

    “ก็พี่ไม่รู้สึกบ้างเหรอ”

    “รู้สึกอะไร”

    “ช่างเหอะ .. ฮึฮึ” ว่าแล้วร่างเพรียวบางก็ยืนขึ้นพลางเดินขึ้นบันไดเพื่อกลับเข้าห้อง ทิ้งให้พี่สาวที่อยากจะรู้จนทนไม่ไหวต้องรีบวิ่งตามไป

    “นี่ยัยลีอิน .. มีอะไรบอกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ!

     

     



     

    ระหว่างทางที่จงอินขับรถออกมาเพื่อจะไปส่งแพคฮยอนที่บ้าน คนที่บังคับพวงมาลัยไปเรื่อยๆกำลังสังเกตได้ว่าคนข้างกายดูเหมือนกำลังคิดอะไร

    “คิดอะไรอยู่น่ะ”

    “ฮะ .. ฉันเหรอ เปล่านี่ ไม่มี”

    “หัดโกหกให้เนียนก่อนนะแล้วค่อยมาโกหกฉัน” จงอินพูดตรงๆอย่างทุกที เพราะจริงๆแล้วแพคฮยอนโกหกไม่เก่งเอาเสียเลย ทุกครั้งที่เขายอมก็เพราะอีกฝ่ายมักจะใช้วิธีโวยวายเถียงไปแบบข้างๆคูๆ ซึ่งครั้งนี้กลับแปลกไป แก้มขาวๆกำลังขยับเหมือนกำลังบ่นอะไรอยู่คนเดียว

    “บ่นอะไรน่ะ อย่าคิดว่าไม่ได้ยินนะ”

    “ได้ยินก็เรื่องของนายสิ .. แหม ที่โต๊ะอาหารน่ะอะไรนะ เป็นคนชอบโวยวายครับ แต่เดี๋ยวนี้ก็เริ่มรู้กาลเทศะมากขึ้น
    นี่หลอกด่าฉันงั้นเหรอ” แพคฮยอนทำเสียงเลียนแบบจงอินที่เอ่ยถึงเขาก่อนหน้านี้ คนฟังหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง


    “ไม่ใช่แบบนั้น”

    “ไม่จริงง่ะ”

    “เฮ้อ .. พอเลยอย่าไร้สาระ บอกมานะคิดมากอะไรอยู่”

                    “ปะ เปล่านี่ แค่หมั่นไส้นายอย่างที่บอกไปไง” แพคฮยอนยังคงปากแข็งอย่างเคย แต่พอจงอินเงียบเขาก็เริ่มรู้แล้วว่าไม่ใช่เวลามาล้อเล่น

    “เออๆๆก็ได้ .. ก็ ไม่ได้อะไรหรอก แค่รู้สึกผิดน่ะ”

    “ทำไม”

    “ก็ ครอบครัวนายเข้าใจว่าคนที่นายคบต้องดีไม่ใช่เหรอ แล้วฉันไม่ใช่เลย .. ไม่ใช่ตั้งแต่เรื่องแรกแล้ว หมายถึง เอ่อ
    ไม่ใช่ผู้หญิงน่ะ” แพคฮยอนถอนหายใจอย่างหมดท่า เขาเพิ่งเคยรู้สึกเป็นกังวลอย่างนี้ก็ครั้งแรกนี่แหละ


    “คิดมาก...”

    “ไม่ใช่นะ .. นายเองก็ด้วย ตัวนายเองคบกับฉันคิดว่าดีแล้วเหรอ”

    “แล้วอะไรคือไม่ดี”

    “ก็ฉัน...”

    “เอาอะไรมาตัดสินว่าการที่ฉันคบกับนายแล้วมันไม่ดี”

    “............”

    “ขอร้องล่ะ อย่าบอกอีกเลยนะว่าเราไม่ควรคบกัน” จงอินพูดโดยที่สายตายังจดจ้องไปยังถนนตรงหน้า แพคฮยอนหันมามองแววตาคู่นั้นที่ยังคงนิ่งไม่หวั่นไหว

    “ถ้าถึงวันที่เราต้องแยกจากกันจริงๆ คงเป็นฉันเองที่ทนไม่ได้” ประโยคสั้นๆแต่กลับย้ำชัดกำลังทำให้ใจคนฟังสั่นไหว
    แพคฮยอนไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมจงอินถึงได้ชอบพูดอะไรแบบนี้ มันทำให้เขาไปไหนไม่รอดทุกทีเลย


     

    “ไม่ใช่แค่นายคนเดียวหรอก .. ฉันเองก็ทนไม่ได้เหมือนกัน”





     

     

    รถคันเดิมจอดลงที่เดิม จงอินยืนมองคนๆเดิมที่โบกมือให้เขาแล้วเดินไปตามถนน หัวใจของชายหนุ่มเต้นรัวอย่างเอาแต่ใจ
    สองขาเริ่มขยับไปตามทาง


    “แพคฮยอน เดี๋ยวก่อน!” จงอินตะโกนเรียกคนตัวเล็กกว่าหันกลับมาอย่างสงสัย แพคฮยอนขมวดคิ้วที่จู่ๆจงอินก็มายืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ท่าทางเหมือนจะกวนประสาทอะไรอีกทำเอาต้องเอ่ยดักไว้ก่อน

    “นี่ บอกไว้ก่อนนะ ถ้าแกล้งฉันอีกนายโดนต่อยแน่”

    “โหดจังนะพ่อคุณ”

    “นายก็รู้ว่าหมัดฉันมันหนักแค่ไหน” แพคฮยอนเชิดหน้าวางท่าเหมือนกับว่าตัวเองก็ใช่ย่อย จงอินนึกในใจว่าถ้ายังปากดีอีกเดี๋ยวจะจับจูบให้ซ่าไม่ออกไปเลย

    “กล้าต่อยฉันเหรอ”

    “ทำไมจะไม่กล้า เคยมาแล้วนี่”

    “งั้นก็เอาสิ”

    “อย่าท้านะ คนยิ่งง่วงๆอยู่”

    “ฮะฮะ ...” จงอินยังคงลอยหน้าลอยตากวนโมโห แพคฮยอนทนไม่ไหวจึงกำหมัดแล้วชกออกไป แต่มือข้างหนึ่งกับรับกำปั้นของเขาเอาไว้แล้วดึงเข้าหาจนตัวชิดกัน

    “เฮ้ย ....อ๊ะ!!

     

    จุ๊บ !!

     

    จงอินขโมยหอมแก้มแพคฮยอนฟอดใหญ่ก่อนจะรีบถอนตัวออกมาเพราะหมัดต่อไปเขาอาจจะไม่รอด ร่างสูงเดินห่างออกมาจากคนที่เอาแต่ยืนหน้างอเพราะทำอะไรไม่ถูก

    “เจอกันพรุ่งนี้นะแพคฮยอน”

    “อะ..ไอ้บ้า!” แพคฮยอนทำได้แค่ยืนฮึดอัดอยู่คนเดียวแล้วมองคนชอบแกล้งที่เดินห่างออกไปและขึ้นรถไปแล้ว





     

    ชายหนุ่มกำสายเป้ที่พาดไหล่เอาไว้แน่น ริมฝีปากที่เบะลงอย่างคนไม่พอใจค่อยๆเหยียดออกเป็นรอยยิ้ม





                   

    “อืม.. เจอกันพรุ่งนี้”

     

     






     

                   ใช่แล้ว ถึงวันพรุ่งนี้หรือวันข้างหน้าจะเป็นเช่นไร .. พวกเขาก็ยังไม่คิดจะปล่อยมือจากกันอยู่ดี

















     

     

     The complete of : Just A Beat 

    KaiBaek

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ไม่รู้ว่าพาร์ทสเปจะถูกใจกันอีกมั้ยนะคะ เป็นพาร์ทสเปเชียลที่ไม่มีอะไรเลยแค่อยากให้อิ่มกว่าเดิมเล็กน้อยอ่ะค่ะ (เล็กน้อยมากจริงๆ) อย่างว่าล่ะค่ะ บางทีเรื่องนี้มันก็ต้องคงคอนเซปท์กันไว้หน่อย เป็นสไตล์ของมันจริงๆนะ ^^


    อะไรคือคุณพระเอกพาแฟนไปให้คนที่บ้านรู้จักแต่ไม่บอกว่าเป็นแฟน ==* (จริงๆอยากบอกนะ แต่คงเห็นแก่แพคฮยอนที่ยังไม่พร้อม) 
    นอกจากพระนายของเรื่องที่เราๆทั้งดุด่าว่ากล่าวแถมฟาดไปหลายที(?) ก็ขอบอกเลยว่าตัวประกอบไม่กี่คนที่อาจเป็นแนวดาษดื่น แต่กลับมีความหมายมากกับฟิคเรื่องนี้ เขียนจบแล้วแบบเพิ่งรู้ว่าเรื่องนี้ไม่มีไม่ได้เลยจริงๆค่ะ รักมากเลยแต่ละคนในเรื่อง .. โดยเฉพาะปาร์คชานยอล หืม??? 5555555
     

    จบแล้วนะคะ ขอบคุณมากๆเลยที่ติดตามกันมา เป็นคนไม่ถนัดเขียนฟิคแนวSchool Life มันเลยออกมาเป็นแบบนี้แล ....
    ใครที่แอบขอ
    NCมาจริงๆอยากจัดให้นะคะ แต่คิดว่าไม่ดีกว่า มันจะหลุดคอนเซปท์ของเรื่องจริงๆ อิอิ เอาไว้ในภาค2ดีกว่า .. อุ๊บส์!
    ไม่อยากหลุดปาก เด๋วผิดสัญญา  คือถ้ามีคงตอนโตๆทำงานกันแล้ว อึนนิดๆ ดราม่าหน่อยๆ หรือไม่หน่อย  ยาวล่ะจ้าทีนี้ เนื้อเรื่องคงแนวเดิมแต่ดราม่าขึ้น โตขึ้น .. จริงๆพล็อตมาเต็มแต่ไม่รู้จะมีแรงเขียนมั้ยเลยไม่อยากสัญญา (นี่ขนาดบอกว่าไม่อยากหลุดปากนะ) TvT 

     

     

    หมดแรงทอล์คอีกแล้ว

     

    อีกทีนะคะ .. ขอบคุณมากจริงๆ .. จริงๆนะ ((_ _))

     

    เจอกันเรื่องหน้าค่ะ TvT *โบกผ้าเช็ดหน้า

     

    #จอบ #ใจกระตุก





    ปล.ใครอยากเก็บรวมเล่ม จิ้มๆนะจ๊ะ http://writer.dek-d.com/gorn-dbsk/story/viewlongc.php?id=912130&chapter=19










    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×