คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : [SF] Gift Voucher (ChanKai) - ending part
Gift Voucher
Pairing : Chanyeol x Kai ft. Sehun , Kyungsoo
Writer : Gornhai
Rating : PG-13
Ending Part
ชานยอลเดินกลับมาหลังจากที่หายเข้าไปหลังเวทีไม่นานนัก ในมือมีซองกระดาษติดมาด้วยทำให้จงอินสงสัย
“เป็นไง” เขานึกว่านี่เป็นการถามอย่างห่วงใยที่สุดแล้วแต่สิ่งที่ได้กลับมาคือความไม่สนใจอะไรเลยของอีกฝ่าย ใบหน้านั้นเมินตึงพลางเดินนำเขาออกไปเพื่อนจะกลับบ้าน
“เฮ้ นี่! อาจารย์ อาจารย์!” จงอินตะโกนเรียกหลังจากที่ลุกขึ้นเดินตามอย่างรวดเร็วให้ทันแผ่นหลังนั่น เขาไม่เข้าใจว่าคราวนี้เป็นอะไรอีก สงสัยว่าจะไม่ได้รางวัลใหญ่
.. ถ้าได้ก็แปลกล่ะ
“นี่ หยุดเดินซะทีสิ” หลังจากที่เดินตามจนแทบจะวิ่งตาม จู่ๆคนตัวสูงกว่าก็หยุดเดินเอาดื้อๆ
“ไม่ได้รางวัลล่ะสิ” จงอินถาม
“ใครบอกว่าไม่ได้” ชานยอลตอบเสียงแผ่วก่อนจะหันกลับมา แล้วยื่นซองกระดาษในมือให้จงอิน
“นี่ไงล่ะ รางวัลดินเนอร์กับคู่รักน่ะ” จงอินทำหน้างง แต่ก็รับซองนั่นมาก่อนจะเปิดดูด้านในแล้วอ่านมันอยู่สักพัก
“สุดยอด .. ” เขาครางออกมาเบาๆเมื่อเห็นรายการอาหารที่เป็นการโฆษณาไปในตัวของภัตตาคารหรูแห่งหนึ่ง ชานยอลเห็นท่าทางคนตรงหน้าก็เกิดหัวเสียขึ้นมาทันที
“เหอะ .. แล้วรู้มั้ยว่าพนักงานคนนั้นหล่อนว่ายังไงอีกบ้าง ‘ยินดีด้วยอีกทีนะคะ คืนนี้ขอให้มีความสุขกับแฟนนะคะ เห็นเธอนั่งรอคุณนานแล้ว’ ” เสียงทุ้มเอ่ยเลียนแบบพนักงานสาวคนเมื่อกี้ คนฟังเงยหน้าขึ้นพลางยิ้มแห้งๆให้เมื่อรู้หมายถึงตัวเอง
“แล้วผมผิดมั้ยเนี่ยที่เค้าเข้าใจว่าเป็นแฟนอาจารย์น่ะ”
“ไม่ผิดหรอก ไม่ผิดเลย” พยางค์หลังถูกลากเสียงเสียยืดยาว อย่างนี้คนฟังไม่รู้ทันก็โง่แล้ว
“พูดงี้นี่ด่ากันเลยดีกว่ามั้ย” เป็นจงอินบ้างที่อารมณ์เสีย คนอะไรไม่มีคำขอบคุณแล้วยังจะมาว่าให้กันอีกทั้งที่เขาอุตส่าห์พามาแท้ๆ ทีตอนอ้อนวอนน่ะขอร้องเขาอย่างกับอะไรดี
“นี่อาจารย์ ผมจะบอกอะไรให้นะ ..”
“ฉันเป็นอาจารย์ เพราะงั้นอย่ามาสอน”
“ผมแค่จะบอกว่าอาจารย์น่ะ อย่าเอามาคิดให้มันแย่เลยดีกว่า”
“แต่ฉันหวังไว้มาก”
“แล้วคนที่ผิดหวังแบบอาจารย์ล่ะ มีอีกตั้งเยอะไม่ใช่เหรอ ดีเท่าไหร่ที่อาจารย์ยังได้รางวัลรอง สู้เอาเวลาไปดินเนอร์กับแฟนตัวเองดีกว่ามั้ง”
พูดถึงตรงนี้ทั้งสองก็มองหน้ากันนิ่ง จงอินเป็นฝ่ายหลบตาชานยอลก่อนที่จะเอากระดาษในมือมาอ่านอย่างเดิม แน่นอนที่มันน่าสนใจแต่เขารู้สึกว่าตัวเองเริ่มจะรู้สึกแย่แบบแปลกๆขึ้นมายังไงไม่รู้
“ฉันไม่มีแฟนหรอก” ชานยอลบอก จงอินแอบนึกในใจว่าไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกที่ชานยอลไม่มีแฟน
“แล้วมาบอกผมทำไมเล่า”
“ก็แค่บอกแล้วจะมาขึ้นเสียงทำไมล่ะ” ชานยอลแปลกใจกับท่าทางของอีกฝ่ายที่เดี๋ยวก็ผีเข้าผีออกจนเขาตามไม่ทัน
“เออ ช่างเหอะ”
“ทำไม อยากไปรึไง ถ้าอยากไปฉันยกให้เลยนะ”
“ว่าไงนะ นายจะให้ผมไปจริงๆน่ะเหรอ ให้ฟรีๆเลยใช่มั้ย”
“ก็เออไง อีกอย่างบัตรกำนัลของขวัญใบนี้นายก็เป็นคนเอามาให้ฉันไม่ใช่เหรอ” ก็จริงอย่างที่ชานยอลว่า บัตรใบนี้ก็เหมือนเป็นของเขาแต่แรก
“ไม่อ่ะ ยังไงผมก็ให้อาจารย์แล้ว เพราะงั้นก็เป็นของอาจารย์”
“เอาไปเหอะน่า ฉันไม่มีอารมณ์อยากไปหรอก”
“ก็ดี แต่อาจารย์ไม่ได้ดูรึไงที่บอกไว้ในนี้น่ะว่าเจ้าของบัตรต้องเป็นคนไปด้วย”
“โอ๊ย เรื่องมากจริงๆเลย”
“สรุปจะไปไม่ไป นี่ดูนะ ภัตตาคารนี้แพงมากแค่ไหนอาจารย์ก็รู้ ถ้าไม่ไปก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้มีโอกาสได้กินอาหารดีๆแบบนี้อีก” จู่ๆจงอินก็นึกเสียดายขึ้นมา ไหนจะค่าบัตรที่เขาไปซื้อต่อแฟนคลับมาอีก ถึงชานยอลจะมองเขาด้วยสายตาที่มองคนเห็นแก่กินแต่จงอินก็ไม่สน โอกาสมาแล้วทั้งทีรีบคว้าไว้ก็ไม่น่าเสียหายอะไร
“นะๆ ถ้าอาจารย์ไม่ไปแล้วผมจะไปยังไงเล่า”
“แต่..”
“นะครับอาจารย์” เสียงของลูกศิษย์เอ่ยขอร้องจนคนเป็นอาจารย์ต้องยอมตกลง
◆◆◆◆◆◆
ในระหว่างที่แยกย้ายกันไปแล้วเพื่อจะเจอกันอีกทีคืนนี้ จู่ๆจงอินก็นึกขึ้นมาได้อย่างไม่น่าให้อภัยตัวเองว่าเขามีนัดกับเพื่อนอีกสองคน และแน่นอนว่ามันสำคัญมาก มากกว่าที่เขาจะเห็นแก่ตัวเป็นแน่ .. ทำไมเขาถึงเพิ่งนึกได้นะว่ามีนัด สงสัยจะเห็นแก่กินมากเกินไป
“ฮะ นายพูดจริงเหรอ”
“อืม เรื่องทั้งหมดก็เป็นแบบนี้แหละ” จงอินพูดด้วยน้ำเสียงที่ราวกับว่าฝันสลายไปกับภัตตาคารสุดหรูแห่งนั้น สองร่างที่นั่งขนาบเขาอยู่บนเตียงในงานปาร์ตี้เล็กๆในห้องต่างยิ้มกว้างขึ้นมาเมื่อนึกเรื่องดีๆออก คยองซูวางแก้วน้ำอัดลมในมือลงเพราะกลัวว่ามันจะหกก่อนจะดึงให้คนที่นั่งก้มหน้าหันมาหาเขา
“ฟังนะจงอิน เราขอบใจนายมากที่เห็นพวกเราสำคัญ แต่...” คยองซูหยุดพูดแค่นั้น ก่อนที่เซฮุนจะดึงจงอินให้หันไปทางเขาบ้าง
“แต่นายต้องไปดินเนอร์กับอาจารย์”
“ว่าไงนะ”
“นายฟังไม่ผิดหรอก โอกาสแบบนี้พี่จะพลาดได้ยังไง” จงอินได้ฟังแบบนั้นก็ลุกขึ้นยืนทันที
“นี่พวกนายหมายความว่าไง โอกาสอะไรกัน ฉันไม่ได้ต้องการเลย” จงอินรีบปฏิเสธยกใหญ่จนอีกสองคนได้แต่ทำท่าตกใจ ก่อนจะรีบปรับอาการให้เป็นปกติ
“ก็โอกาสที่นายจะได้ไปกินอาหารแพงๆที่ภัตตาคารนั่นไง” คยองซูบอก ซึ่งจงอินเองก็ได้แต่โล่งใจไปที่เพื่อนๆหมายถึงเรื่องกินนี่เอง
“แล้วนายเป็นอะไรน่ะฮะ เป็นไข้เหรอทำไมหน้าแดงแบบนั้น” เซฮุนทัก จงอินเลยรีบสวนกลับไปทันที
“จะไม่แดงได้ไงล่ะ ก็ดูพวกนายขนเอาอะไรมานักหนายังกับว่ามาปาร์ตี้กันสิบคน แล้วห้องเล็กๆแบบนี้มันก็จะไม่มีอากาศให้หายใจอยู่แล้วเนี่ย” เปลี่ยนเรื่องไปจนเจ้าของห้องได้แต่ยิ้มอย่างยอมรับผิดกับห้องสี่เหลี่ยมที่เต็มไปด้วยของกินและอะไรห้องต่องแต่งเต็มไปหมด นี่ยังดีหน่อยที่หรี่เสียงเพลงลงเพราะไม่อย่างนั้นคงได้พูดกันไม่รู้เรื่องแน่
สองสหายแอบมองหน้ากันอย่างมีเลศนัย
ล่วงเข้าเวลาเย็นมากแล้ว ชานยอลแต่งตัวอยู่ที่บ้านอย่างอารมณ์ดี ร่างสูงที่อยู่ในชุดสูทเปิดด้านหน้าอย่างไม่เป็นทางการกำลังตรวจดูสภาพตัวเองในกระจก ใบหน้าที่ไม่มีแว่นตา จริงๆแล้วก็หล่อเหลาไม่แพ้ใครที่ไหนเหมือนกัน
“ถือว่าไปกินอะไรอร่อยๆละกัน ยิ่งไม่ค่อยได้ไปไหนด้วยช่วงนี้” เสียงทุ้มเอ่ยข้ออ้างที่หาให้ตัวเอง แน่นอน ใครจะอยากไปกินข้าวกับคนประหลาดแบบนั้น เขาแทบไม่รู้ตัวเลยว่าความผิดหวังกับซานดาร่าสุดที่รักนั้นจะมลายหายไปเร็วขนาดนี้ ..
“นี่เลย ต้องแบบนี้” หลังจากที่ไขว้ผ้าพันคอสีขาวผืนเล็กให้คนตรงหน้าแล้ว สองเพื่อนซี้ก็ขยับออกมาดูผลงานตัวเองอย่างชื่นชม
“ดูดีมากเลยจงอิน”
“ใช้แล้ว ดูดีกว่าอะไรแนวๆของนายมากเลยล่ะ”
จงอินเห็นเพื่อนทั้งสองพูดแบบนั้นก็ชักไม่ไว้ใจ ก็ถึงขนาดกับบอกว่ามันแน่กว่าเสื้อผ้าปกติของเขาที่แสนจะภาคภูมิใจ แบบนี้มันก็รู้สึกไม่ค่อยแน่ใจขึ้นมาแล้วน่ะสิ เขาหันหน้าไปมองตัวเองในกระจกอีกครั้งอย่างไม่มั่นใจ กางเกงขายาวสีครีมกับเสื้อไหมพรมเส้นเล็กถักแบบถี่สีขาวที่ถูกทับด้วยผ้าพันคอผืนบางอีกที แล้วไหนจะทรงผมที่ถูกหวีไปทางเดียวกันอย่างเป็นระเบียบนั่นอีก ดูยังไงก็ไม่ใช่เขาชัดๆ
“เอ่อ ชุดสีขาวแต่ฉันไม่ขาวเลยอ่ะ ตลกอ่ะ ไม่เอาดีกว่า”
“เฮ้ยๆๆ ดีแล้วๆ อย่าถอดนะ”
“เฮ้อ .. แล้วนี่พวกนายไปเอาชุดพวกนี่มาจากไหนเนี่ย มันชุดผู้ชายรึเปล่า”
“ก็ชุดผู้ชายนี่แหละ พวกเราลงทุนไปยืมพี่อี้ชิงที่อยู่ข้างห้องมาเลยนะ นายใส่แล้วดูดีจริงๆเชื่อสิ”
“เซฮุนพูดถูก ไปดินเนอร์ .. เอ๊ย! ไปภัตตาคารหรูๆแบบนั้นเราก็ต้องดูดีไว้ก่อน ถูกมั้ยเซฮุน”
“อื้อๆๆๆ” อีกคนพยักหน้ารับคำเพื่อนรักซะจนหัวแทบจะหลุด
ยิ่งเพื่อนๆยืนยันแบบนั้นจงอินก็ปฏิเสธไม่ออก อันที่จริงแล้วเขาก็รู้สึกไม่มั่นใจจริงๆนั่นแหละ ยิ่งต้องไปกับชานยอลด้วยแล้วอีกฝ่ายคงต้องหัวเราะเขาเป็นแน่ เรื่องเห็นแก่กินได้หายไปหมดแล้ว แต่กลายเป็นว่าเขาต้องจำใจไปเสียอย่างนั้น
“เอ่อ ฉันเปลี่ยนใจแล้วว่ะ ไม่ไปไม่ได้เหรอ”
“จะบ้าเหรอ มาพูดอะไรตอนนี้เล่า”
“แต่ฉันไม่อยากไปแล้วนี่” จงอินตะโกนขึ้นมาอย่างหมดความอดทน เป็นเหตุให้คยองซูต้องรีบปรี่เข้าหาเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะหนีไปเสียก่อน
“นี่พวกนาย ทำไมต้องอยากให้ฉันไปขนาดนั้น” จงอินมองหน้าทั้งสองอย่างสงสัย แต่มีหรือที่คยองซูและเซฮุนจะหลุดอะไรให้รู้ทัน
“นายคิดมากไปรึเปล่า เอาจริงๆเลยนะ บัตรกำนัลอันนั้นนายก็เสียตังค์ซื้อ แล้วอีกอย่างถึงนายไม่ไปยังไงอาจารย์เค้าก็ไม่ไปอยู่แล้วล่ะน่า เสียดายแทนมั้ยล่ะ” เซฮุนชักแม่น้ำทั้งห้ามาเกลี้ยกล่อมคนแก่จอมดื้อดึงคนนี้ให้ยอมไปอย่างที่พวกเขาต้องการ
และสุดท้ายจงอินก็ยอมไปตามที่นัดชานยอลเอาไว้ด้วยพาหนะคู่ใจคันเก่า ซึ่งแม้มันจะดูไม่เข้ากับการแต่งกายเลย แต่สองสหายก็ช่วยอะไรไม่ได้เพราะอีกฝ่ายไม่ยอมถ้าไม่ไปเอง
“หวังว่าจะโอเคนะ” สองคนที่ยืนส่งเพื่อนคนสำคัญหน้าหอพักกำลังหวังว่าค่ำคืนวาเลนไทน์นี้จะมีเรื่องดีๆเกิดขึ้นเสียทีหลังจากที่พวกเขารอคอยมานาน
◆◆◆◆◆◆
คู่รักอีกเก้าคู่ที่ได้รางวัลเดียวกันนั่งอยู่ตามโต๊ะที่จัดเอาไว้ให้โดยทีมงานของบริษัทและภัตตาคารหรูแห่งนี้ ตึกระฟ้าที่หุ้มไปด้วยกระจกแวววาวหากมองจากที่นั่งอยู่ลงไปก็สามารถเห็นเมืองแทบทั้งเมืองได้เลย
7.17 PM นาฬิกาดิจิตอลข้างผนังบอกเวลาอย่างนั้น
คู่รักจำเป็นที่ต่างจากคนอื่นๆกำลังนั่งมองหน้ากันอยู่คนละฟากของโต๊ะ กุกลาบแดงหนึ่งดอกที่อยู่ในแจกันขนาดเล็กเป็นดั่งตัวแทนของความรักที่เป็นหนึ่งเดียว .. แต่มันเกี่ยวอะไรกับพวกเขาไหมเนี่ย
สายตานิ่งๆกำลังมองคนตรงหน้าอย่างไม่วางตา ชานยอลอดนึกไม่ได้ว่าจงอินที่พอแต่งตัวดีๆหน่อยก็น่าดูอยู่ไม่น้อย ขณะเดียวกันคนที่ถูกมองก็แอบนึกไปว่าอาจารย์โรคจิตคนนี้พอไม่ใส่แว่นแล้วแต่งตัวแบบนี้ก็ดูดีขึ้นเยอะเหมือนกัน
บรรยากาศที่เหมาะกับคืนวันวาเลนไทน์แบบนี้มันทำให้จงอินรู้สึกว่าไม่ได้เป็นอย่างที่นึกเลย ย้อนกลับไปเมื่อตอนกลางวันที่เอาแต่โลภมากอยากจะกิน แล้วดูตอนนี้สิ เขาได้แต่นั่งนิ่งจนแทบทำอะไรไม่ถูก ชานยอลเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องเต็มใจมาด้วย ทีเมื่อตอนกลางวันยังอารมณ์ไม่ดีออกขนาดนั้น
บริกรหนุ่มรินไวน์แดงลงในแก้วทรงสูงของทั้งสองคนอย่างมืออาชีพ ตามด้วยอาหารเลิศรสที่ทยอยวางลงที่โต๊ะตรงหน้าเขาทั้งสอง เสียงเพลงคลาสสิคหวานๆดังคลอเบาๆเพิ่มบรรยากาศให้สวยงามมากยิ่งขึ้น
“ขอให้ดินเนอร์ในค่ำคืนแห่งความรักอย่างมีความสุขนะครับ” เสียงของชายหนุ่มกล่าวบอกอย่างสุภาพก่อนจะขอตัวเดินออกไป ชานยอลเห็นว่าคู่รักที่โต๊ะอื่นนั้นแอบมองมาที่พวกเขา ก็น่าอยู่หรอก ผู้ชายมากันสองคนแบบนี้ใครจะไม่มองล่ะ พวกเขาพลาดจริงๆสิให้ตาย
“เอ่อ อาจารย์ ผมขอโทษนะที่บังคับให้มา คือจริงๆแล้ว ..”
“จริงๆอะไร”
“จริงๆแล้วผมว่า ผมกลับดีกว่า” ว่าแล้วก็ทำท่าจะลุกขึ้นเอาดื้อๆจนชานยอลต้องดึงมือเอาไว้ จงอินก้มมองมือตัวเองที่ถูกจับโดยอีกฝ่ายก่อนที่คนจับจะรีบปล่อยมันออก
จงอินตามเดิมเมื่อถูกขอร้อง ชานยอลเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมจะต้องเรียกให้อยู่ต่อด้วย ราวกับว่าบรรยากาศพาไป แต่ใจคนเรามันไม่ได้ง่ายอย่างบรรยากาศนี่สิ เพราะที่เป็นอยู่นี่คือความรู้สึกในก้นบึ้งต่างหาก
... ไม่น่ามาเล้ย
จงอินแอบสมน้ำหน้าตัวเองที่อยากมาดีนัก สุดท้ายก็ไม่เหมาะกับเขาจริงๆนั่นแหละ แล้วไอ้ที่มองมากันเนี่ยจะมองอะไรนักหนาก็ไม่รู้ คนเราก็อายเป็นนะ
“นายแต่งตัวแบบมีรสนิยมเป็นด้วยเหรอ” เหมือนพูดแทงใจดำ จงอินทำหน้าไม่ถูกเพราะเสียความมั่นใจไปเยอะเลยทีเดียวที่ถูกทักแบบนี้
“ก็ ก็ไม่เชิง ทำไมล่ะ .. แปลกเหรอ” ใบหน้าของคนพูดยิ่งน่ามองมากขึ้นเมื่อแสงไฟสีส้มอ่อนจากดวงไฟประดับขนาดเล็กส่องมากระทบ เส้นผมที่หวีปัดมาอีกข้างกับพวงแก้มเนียนๆแบบนั้นบางทีคนมองก็จ้องเพลินจนไม่รู้ตัว
.. เฮ้ย เลิกบ้าได้แล้วชานยอล
บอกตัวเองทุกครั้งที่คิดอะไรแปลกๆอย่างไม่น่าเป็นไปได้
แก้วไวน์ถูกยกขึ้นดื่มรวดเดียวหมดเล่นเอาคนที่มองอยู่ไม่เชื่อสายตา
“โห ..นี่รวดเดียวหมดแบบนี้แสดงว่าคอแข็งใช่เล่น” ว่าไปพลางจิ้มอาหารตรงหน้าเข้าปากไปด้วย
“ก็ไม่เชิงอีกนั่นแหละ” จงอินพูดกลบเกลื่อนทั้งที่ความจริงแล้วเขาไม่ค่อยดื่มเครื่องดื่มจำพวกนี้เท่าไหร่นักหรอก แต่ที่ทำไปเพราะมือมันไปเองต่างหาก
“งั้นเหรอ ว่าแต่นายเป็นไรไป ดูแปลกๆนะวันนี้”
.. ก็จะให้พูดอะไรเล่า
จงอินอึดอัดจนแทบจะกินอะไรไม่ลง นี่มันดินเนอร์หรืออะไรกันแน่ ทำไมเขาต้องเป็นแบบนี้ด้วย อาหารแต่ละจานตรงหน้าที่เมื่อกลางวันแค่เห็นชื่อก็น้ำลายหกแล้ว แต่ตอนนี้มันกลับไม่ได้ทำให้รู้สึกอยากจะกินขึ้นมาเลย และก่อนที่อกจะระเบิดเขาก็ขอตัวไปห้องน้ำทิ้งให้ชานยอลได้แต่มองตาม และเมื่อจงอินไปแล้วกลับกลายเป็นว่าตัวเองต่างหากที่ถอนหายใจออกมายืดยาว มือหนาวางช้อนส้อมลงบนจานที่เต็มไปด้วยอาหารพลางเอนตัวพิงเก้าอี้
... ไม่ๆๆๆๆๆ เป็นอะไรวะ แกเป็นอะไรอีกชานยอล
ชายหนุ่มคงลืมไปแล้วว่าตอนนี้ซานดาร่าของเขากำลังดินเนอร์สองต่อสองอยู่กับใครก็ไม่รู้ ทั้งที่เขาควรจะเสียใจกับที่หวังมามากมาย แต่สุดท้ายในหัวก็ไม่พ้นเด็กโง่ตรงหน้าที่ตอนนี้ไปเข้าห้องน้ำอยู่
ทางด้านคนที่ขอตัวออกมาก็แอบคิดว่าจะหนีกลับดีหรือไม่ แต่เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปเรียนก็ต้องเจอว่าอีกอยู่ดี นี่เขาจะเอาไงดี ไม่น่ามาเลยจริงๆ ไม่น่าไปยุ่งกับคนๆนี้เลย จงอินบอกตัวเองก่อนออกจากห้องน้ำมาว่าสงบสติได้แล้ว .. สงสัยว่าเขาคงจะเป็นไข้
“เอาล่ะ แก้วนี้ดื่มให้แด่ความโสดของอาจารย์นะครับ” ว่าแล้วก็ยกรวดเดียวอีกจนหมด และต่อให้เป็นแค่ไวน์แต่เล่นยกไปหลายแก้วแบบนี้ก็เห็นทีจะไม่เป็นผู้เป็นคนได้เหมือนกัน ก็ตั้งแต่กลับมาจากห้องน้ำจงอินก็เล่นดื่มไปเยอะแบบนี้ชานยอลเลยเริ่มจะเป็นห่วงขึ้นมาจริงๆเสียแล้ว
“จงอิน นายดื่มมากไปแล้วนะ”
“อะไร ที่นี่ไม่ใช่มหาลัยนะ เพราะงั้นนายเลิกสอนผมได้แล้วครับอาจารย์ ..อึก” น้ำเสียงที่ดูจะแปลกๆไปเอ่ยออกมาเมื่อถูกขัดใจ พวงแก้มที่เริ่มแดงก่ำบ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังเมาเข้าจริงๆอย่างไม่ต้องสงสัย ดวงตาเชื่อมแสงมองมาพร้อมกับรอยยิ้มจนชานยอลเริ่มรู้สึกแปลกๆขึ้นมาอีก
.. สงสัยปกติไม่เคยยิ้มให้กันล่ะมั้งเลยรู้สึกแปลกๆเลยเรา
บรรยากาศที่เดี๋ยวก็อึดอัด เดี๋ยวก็รู้สึกแปลกๆ หรือบางทีก็แอบรู้สึกดี ทั้งหมดนี้มันรวมอยู่ในหัวสมองของทั้งสองคนไปแล้วอย่างไม่รู้ตัว และเวลาที่เดินผ่านไปเรื่อยๆ ไม่นานก็เริ่มมีเสียงหัวเราะ มีพูดคุย มีสบตา .. มีจับมือ
วาเลนไทน์ที่แสนธรรมดาและไม่ได้มีความพิเศษอะไรเลย แต่ใครเลยจะรู้ว่าจะมานั่งอยู่ตรงนี้กับคนๆนี้
◆◆◆◆◆◆
เวลาไม่กี่ชั่วโมงของรางวัลรองที่ได้มาจากบัตรกำนัลใบนั้นได้หมดลงไปแล้วในค่ำคืนนี้
“นี่ เดินดีๆสิ” เสียงทุ้มเอ่ยพลางพยุงคนที่เดินมาด้วยกันเอาไว้ด้วยเพราะว่ากลัวจะล้มลงไปกองเสียก่อน ชานยอลมองคนตรงหน้าอย่างไม่รู้จะทำยังไง ตอนนี้พวกเขากำลังเดินไปยังรถที่จอดเอาไว้
“นี่จงอิน นายเมาใช่มั้ย”
“ไม่เมา”
“นั่นไง เมาจริงๆด้วย”
“ไม่มาววว .. อึก” เขาได้แต่บอกว่าตัวเองไม่เมาแต่สภาพที่เป็นอยู่เด็กอนุบาลยังดูออกเลยว่าเมา ชานยอลตัดสินใจว่าจะพาไปส่งที่บ้านแต่จู่ๆคนที่ว่าเมานั้นก็เดินไปหาพาหนะคันเดิมของตนอย่างรวดเร็วทำให้เขาต้องวิ่งตามไปจนถึงที่
“เดี๋ยวฉันไปส่งที่บ้านเอง รถนายเอาไว้นี่ก่อน”
“ไม่ ผมจะกลับเอง” จงอินว่าพลางคลำหากุญแจในกระเป๋ากางเกงออกมาแล้วเสียบผิดเสียบถูกอยู่แบบนั้นจนชานยอลเหนื่อยใจ เขาชักจะเข้าใจแล้วว่าเวลาที่ตัวเองเมาคนอื่นเค้าคงจะลำบากด้วยไม่น้อย
“นี่ บอกว่าจะไปส่งไงเล่า” เสียงทุ้มพูดออกมาอย่างชักจะหมดความอดทน นี่ก็ดึกมากแล้วพรุ่งนี้เขามีสอนแต่เช้า แล้วก็เป็นคลาสที่อีกฝ่ายต้องเข้าเรียนเสียด้วยน่ะสิ จะมามัวบ้าบออยู่นี่นานคงไม่ดีแน่
แต่จงอินกลับไม่ได้ฟังอะไรเลย เขายืนพิงรถตัวเองพลางพยายามใส่กุญแจเข้าไปอย่างไม่สนใจอะไร แต่มันคงจะลำบากมากเพราะว่าเขาทำกุญแจหล่นไปบนพื้นจนได้
“บ้าจริงไอ้กุญแจ..” จงอินบ่นกับตัวเองก่อนจะก้มลงไปเก็บมันขึ้นมาอย่างทุลักทุเลในขณะที่ชานยอลได้แต่ยืนมองดูอย่างไม่มีคำจะพูด มอเตอร์ไซค์คันคู่ใจที่อายุมากแล้วเอนไปมาตามแรงที่เจ้าของมันยืนพิงจนเกือบจะล้มลงไปหากว่าชานยอลไม่เข้าไปช่วยจับเอาไว้เสียก่อน
“ฉันบอกว่าจะไปส่งนี่ไม่เข้าใจรึไงฮะ”
“ก็ผมจะกลับเองไง อาจารย์ต่างหากที่ไม่เข้าใจอะไรเลย”
“เออ งั้นก็ตามสบายแล้วกัน” ว่าแล้วก็เดินจากไปทันที ส่วนคนเมาที่จะเอาแต่กลับเองจู่ๆก็รู้สึกแย่ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกที่ถูกทิ้งแบบนี้
หรือว่าลึกๆมันแอบหวังว่าอีกฝ่ายจะอยู่ด้วยกัน
“ไอ้บ้าเอ๊ย ไอ้อาจารย์เฮงซวย” สุดท้ายก็ไม่มีแรงพอจะขี่มอไซค์คันนี้กลับเอง จงอินทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นคอนกรีตเย็นๆ ในใจก็นึกด่าว่าชานยอลไปต่างๆนานาที่เห็นแก่ตัวทิ้งกันไว้แบบนี้ แต่เขาก็ยังมีสติพอจะรู้ตัวอยู่ว่าตัวเองต่างหากที่เป็นฝ่ายผิด
ห้านาทีผ่านไป
สิบนาทีผ่านไป
ร่างสูงยืนมองเจ้าของดวงตากลมที่หลับลงไปอย่างไม่น่าเชื่อ ณ เวลานี้ชานยอลอยากจะบ้าตายเป็นที่สุด นึกไม่ออกว่าจะทำยังไงกับคนๆนี้ดี จะอุ้มไปเดี๋ยวก็ตื่นขึ้นมาโวยวายอีกจนได้ สรุปแล้วนี่เขาจะต้องทำจริงๆงั้นเหรอ
ร่างสูงนั่งลงตรงหน้าคนที่หลับไม่ได้สติ พวงแก้มนุ่มๆกับปรอยผมที่ตกลงมาปรกหน้า มองใกล้ๆแล้วราวกับถูกดึงดูดให้เข้าไปค้นหา ..
.. เฮ้ย !! นายต้องบ้าไปแล้วแน่ๆชานยอล
ถนนกลางดึกแบบนี้ไม่ค่อยมีรถสัญจรมากมายเท่าใดนัก ร่างสูงบิดคันเร่งช้าๆไปตามขอบถนนอย่างไม่เร่งรีบเพราะหากเร็วกว่านี้เขาคงถูกลมหนาวพัดเอาจนแข็งตายเป็นแน่ และที่สำคัญเกิดไอ้คุณลูกศิษย์ที่นั่งหลับซ้อนท้ายเขาอยู่ร่วงลงไปล่ะก็ เขาคงต้องรับผิดชอบทั้งในฐานะคนขับและอาจารย์ที่ปรึกษาที่พาลูกศิษย์ออกมาข้างนอกในเวลาค่ำมืดแบบนี้
.. รถดีๆมีให้นั่งก็ไม่เอา ฉันเลยต้องมาทนหนาวด้วยเลยให้ตายสิ
เรียวแขนของจงอินโอบรอบเอวชานยอลเอาไว้หลวมๆอย่างไม่ค่อยได้สติเท่าไหร่ อันที่จริงแล้วเขาก็ไม่ได้หลับหรอกเพียงแต่มึนหัวก็เท่านั้นเอง แต่พอมาเจอลมเย็นแบบนี้ก็รู้สึกดีขึ้นไม่น้อย แผ่นหลังที่เขากอดเอาไว้ทำให้ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ใบหน้าที่แนบอยู่กับหลังของชานยอลเงยขึ้นมองท้องฟ้าที่มีดาวอยู่ประปราย
.. วันนี้เหรอที่เค้าเรียกกันว่าวันวาเลนไทน์ มันพิเศษตรงไหนนะ
แต่ถึงจะคิดอย่างนั้น ความจริงแล้วก็พอจะรู้อยู่ว่ามันเป็นมาอย่างไร เพียงแต่ว่าที่ผ่านมานั้นมันไม่ได้สำคัญกับตัวเองเลยสักนิด ส่วนวันนี้ก็สรุปไม่ได้ว่ามันคืออะไร
รถมอเตอร์ไซค์คันเก่าแล่นไปเรื่อยๆตามถนนในยามค่ำคืนพร้อมกับความเย็นที่แทรกซึมผ่านเสื้อผ้าเข้ามาทุกทีที่ขี่ฝ่าลมไปข้างหน้า จงอินรู้สึกเกรงใจแต่มันก็ทนไม่ไหวแล้วนี่สิ
“อาจารย์ ..”
“ยังไม่ถึงหรอกน่า หนาวชะมัด”
“ก็เพราะมันหนาวไง ช่วยจอดก่อนได้มั้ย”
“โธ่เอ๊ย ก็บอกแล้วว่าให้มารถฉันก็ไม่เชื่อ” ว่าแล้วก็จอดลงตรงสวนสาธารณะข้างหน้าเพราะดูท่าอีกฝ่ายคงจะหนาวจริงๆถึงได้บอกให้จอด จงอินลงมายืนกับพื้นพร้อมกับกอดตัวเองอยู่อย่างนั้น ร่างกายสั่นเพราะความหนาวแต่ก็ไม่พูดอะไร
“ทีนี้อยากกลับไปที่รถของฉันมั้ยล่ะ” ชานยอลไม่หยุดซ้ำเติมคนที่ยืนหนาวอยู่เลยสักนิด แต่เมื่อเห็นว่าจงอินเงียบไปเขาก็ชักจะรู้สึกไม่ดีไปด้วย ร่างสูงลงจากรถมาแล้วตัดสินใจถอดเสื้อนอกของตัวเองออกแล้วยื่นให้อีกฝ่ายเอาไปใส่
“อะไร”
“ก็เสื้อไง ใส่ซะสิ เดี๋ยวก็หนาวตายพอดีหรอก ฉันไม่อยากโดนข้อหาพาลูกศิษย์มาตายข้างถนนในคืนวาเลนไทน์หรอกนะ”
“ตลกมั้ย” จงอินหันมาถามคนที่ยังมามีอารมณ์พูดเหน็บแนมกันในเวลาแบบนี้
“ก็มันจริงมั้ยล่ะ รีบรับไปสิ”
“ไม่เอา” คราวนี้ชานยอลอยากจะบ้าตายเป็นรอบที่สอง คนอุตส่าห์ยอมขี่พากลับบ้าน แล้วพอหวังดีหน่อยก็มาเรื่องมากอีก เอาใจยากชะมัด
“ฉันบอกว่าเอาไปซะ ฉันสั่งได้ยินมั้ย”
“ไม่เอาไง”
“บอกให้เอาไป อย่าดื้อ”
“ไม่”
“จงอิน..”
“ก็อาจารย์ไม่หนาวรึไงเล่า ผมจะแย่งเสื้ออาจารย์มาใส่ได้ไง” ประโยคเดียวที่ทำเอาความคิดของชานยอลเปลี่ยนไปทันที บางทีคนๆนี้ก็มีดีกว่าที่คิด
“งั้นจะเอาไง จะหนาวตายตรงนี้เหรอ ฉันไม่เป็นไรหรอก” ว่าแล้วก็คลุมเสื้อตัวใหญ่ลงไปที่ร่างของอีกฝ่ายอย่างไม่ได้ขออนุญาต จงอินทำหน้าไม่ถูกเลยได้แต่ขอบคุณ
ชานยอลเดินไปนั่งลงที่ม้านั่งตัวยาวบริเวณที่พวกเขายืนอยู่พลางเงยหน้ามองท้องฟ้า ทิ้งให้จงอินยืนอยู่อย่างนั้นโดยไม่รู้จะทำอะไร
“ยืนอยู่ทำไม นั่งก่อนก็ได้”
“ครับ”
ทั้งสองนั่งอยู่ข้างกันแต่ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาเลย จนคนตัวเล็กกว่าเป็นฝ่ายออกปากชวนกลับบ้าน
“ไม่ ฉันยังไม่อยากกลับ” ชานยอลเอ่ยเอาแต่ใจบ้าง แต่จงอินก็รู้ดี
“แกล้งผมเหรอ”
“เปล่าหนิ” ร่างสูงไม่สนใจฟังพลางนั่งสบายอารมณ์อยู่อย่างนั้น จงอินลุกขึ้นยืนอีกครั้งแต่ถูกดึงให้นั่งลงตามเดิม
เขาอยากบอกกับชานยอลเหลือเกินว่าอย่าทำอะไรแบบนี้จะได้ไหม บางทีหัวใจคนเรามันก็ไม่ควรเอามาล้อเล่นกันหรอกนะ .. ไม่รู้ว่าคิดอะไรอย่างนี้เป็นตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือตั้งแต่ที่รู้จักคนๆนี้มา
“นาย เคยมีแฟนรึเปล่า” เป็นชานยอลที่ถามออกมาทำเอาจงอินใจเต้นกับคำถามอย่างง่ายดาย
“ถามทำไม”
“ก็แค่...” กำลังจะพูด แต่ทำไมมันลำบากเหลือเกิน
“แค่อะไร” จงอินขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิมเมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายจะมาเล่นตลกอะไรอีก ดวงตาใสซื่อจ้องมองเสียจนคนที่จะพูดนั้นพูดไม่ออกเสียแล้ว
“ช่างเหอะๆ กลับก็กลับ วันนี้นี่วุ่นวายจริงๆ” พูดแบบไม่เคลียร์แล้วลุกเดินไปยังรถทำให้จงอินต้องตามไปถามให้รู้เรื่อง
“อะไรกัน วุ่นวายเพราะอาจารย์เองไม่ใช่รึไงกันเล่า”
“ก็ถ้านายยอมให้ไปส่งป่านนี้ก็ถึงบ้านแล้ว”
“ก็ผมบอกว่าจะขี่มอไซค์ผมกลับเองไง”
“นั่นไง ก็นายมันดื้อไงจงอิน”
“ก็แล้วใครใช้ให้อาจารย์มาส่งด้วยล่ะ”
“แล้วดูตัวเองแล้วเหรอถึงมาว่าคนอื่น สภาพเมาไม่รู้เรื่องแบบนั้นถ้าฉันไม่พากลับคงกลายเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาที่ถูกชาวบ้านตราหน้าว่าเลวที่สุดเลยก็ได้”
ทั้งสองเถียงกันไปมาจนฝ่ายที่เงียบไปคือจงอิน ชานยอลหอบหายใจเข้าออกเพราะเหนื่อยกับการต่อล้อต่อเถียงกับคนที่ไม่มีเหตุผล
“แล้วใครให้คุณมาเป็นที่ปรึกษาผมล่ะ” จงอินหลุดปากออกมาอย่างไม่มีเหตุผลอย่างเก่า ชานยอลนึกไม่ถึงเลยว่าจะได้ยินอะไรที่แสนงี่เง่าแบบนี้
“ฉันก็ไม่อยากเป็นหรอก”
“งั้นก็ไม่ต้องเป็นสิ”
“เออ ไม่เป็นก็ไม่เป็น” ชานยอลปวดหัวกับคนตรงหน้าเสียเหลือเกิน เขาหันหลังให้เพราะไม่อยากจะทะเลาะกันอีก บรรยากาศแปลกๆได้เข้ามาเยือนอีกครั้ง
“ผิดหวังเรื่องดาร่ามากล่ะสิ” จงอินพูดออกไปอย่างไม่ตั้งใจ ตอนนี้เขารู้สึกง่วงมากจนไม่อยากจะยืนอยู่แบบนี้แล้ว แต่ทำไมไม่รู้เหมือนกันปากมันถึงได้พลอยเอ่ยหาเรื่องออกไปอย่างนั้น แต่ถึงอย่างไรชานยอลก็มีความอดทนพอจะไม่เก็บมาใส่ใจ
“กลับเหอะ” ร่างสูงเอ่ยก่อนจะเดินตรงไปยังรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดเอาไว้โดยไม่ได้สังเกตว่าอีกคนได้แต่ยืนทำหน้าผิดหวังเพราะเรื่องอะไรสักอย่าง
.. ไม่น่ามาเลยจริงๆ แย่ว่ะ
จงอินสมน้ำหน้าตัวเองหลายครั้งแล้วที่อยากมานักหนา ถ้าไม่มาป่านนี้ก็คงนั่งเฮฮาบ้าบอกันที่ห้องของคยองซูไปแล้ว ไม่ใช่จะต้องมีมัวคิดอะไรในใจที่มันน่าอึดอัดใจสิ้นดีในตอนนี้
“มัวยืนทำอะไรอยู่ ขึ้นมาสิ” ชานยอลเร่งเมื่อเห็นว่าอีกคนเอาแต่ยืนอยู่กับที่ไม่ขึ้นมาเสียที
“อาจารย์พูดดีๆไม่เป็นรึไง” จงอินถามด้วยเสียงที่อ่อนลงจากเมื่อครู่
“เฮ้อ .. นายยังไม่สร่างเมาแน่ๆจงอิน” เขาเดาไปว่าอย่างนั้นเพราะร้อยวันพันปีไม่เคยมาพูดอะไรแบบนี้กับเขาเลย เจอหน้ากันก็มีแต่ทะเลาะกันตลอด หรือเขาเองที่ผิดที่ชอบไปหาเรื่องข้องแวะกับลูกศิษย์คนนี้บ่อยๆอย่างไม่มีเหตุผล
“นายเกลียดฉันมากใช่ไหม” เป็นชานยอลที่ถามกลับบ้าง บางทีคนเป็นอาจารย์ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องรู้ไปทุกเรื่องหรอกนะ ..เพราะบางทีหัวใจตัวเองยังไม่รู้เลย
“ผมต่างหากที่ควรจะถาม ก็ไม่ได้มีแค่ผมที่ทำตัวไม่ดีแต่ทำไมอาจารย์ต้องคอยต่อว่าแต่ผมตลอด ถ้าไม่ใช่เพราะไม่ชอบผมแล้วเพราะอะไรล่ะ” จงอินถามในสิ่งที่ค้างคาใจมานาน ชานยอลนึกไม่ถึงว่าจะถูกถามแบบนี้
.. นายไม่รู้จริงๆเหรอจงอิน ฉันเอง ก็ไม่รู้เหมือนกัน
“ก็ .. เพราะนายมันชอบทำผิดระเบียบไม่พอยังไม่ให้ความเคารพฉันอีก ทีนี้เข้าใจรึยัง” ชานยอลบอกเหตุผลให้ฟังทั้งที่บางเหตุผลเขาเลือกที่จะไม่บอกไป
“ก็อาจารย์ชอบทำให้ผมไม่เคารพ”
“เหอะ ฉันคงเป็นที่ปรึกษาที่แย่มาก”
“...ไม่หรอก ผมไม่ดีเอง ผมไม่ได้อยากเคารพอาจารย์”
“ทำไม”
“ก็ไม่อยากได้อาจารย์เป็นที่ปรึกษา”
“งั้นพรุ่งนี้ไปทำเรื่องขอย้ายห้องเลยไป” พูดจบก็ดับเครื่องแล้วลงจากรถทันทีด้วยความโมโห ร่างสูงเดินหนีอีกฝ่ายไปดื้อๆอย่างไม่สนใจอะไรอีกแล้ว จงอินตกใจที่จู่ๆก็ถูกทิ้งไว้อีกครั้ง เขาตะโกนเรียกชานยอลที่เดินห่างออกไปไม่ไกลนัก
“อาจารย์...”
คนที่เดินจากมาก็รู้สึกแย่ไม่แพ้กัน ไม่เข้าใจตัวกับหลายอย่างที่ทำลงไปในวันนี้เลย แล้วที่ผ่านมาก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน หรือพระเจ้าจงใจให้เป็นวันนี้ .. ตลอดเวลาที่ชีวิตไม่เคยมีใครเข้ามา แต่ละวันมีเพียงการสอนกับการเฝ้ามองผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่เคยพูดคุยด้วยเลย ความรักแบบนั้นที่ตัวเองรู้จักมันอาจไม่ใช่เลยก็ได้
แล้วตอนนี้หวังอะไร .. บ้าเอ๊ย!
“คุณมันเป็นอาจารย์ที่แย่ที่สุดเลย!” เสียงตะโกนตามหลังมายังดังเข้าหูร่างสูงอยู่เรื่อยๆ
“จำไว้นะปาร์คชานยอล”
“คุณมันแย่มาก” จงอินเดินตามอย่างไม่ลดละ
“นี่ ถึงคุณจะไม่ใช่ที่ปรึกษาที่ดีเท่าไหร่นะ แต่ว่า .. ” เสียงที่ตะโกนอยู่นั้นเบาลงจนคนที่แอบตั้งใจฟังอยู่นั้นต้องเดินช้าลง ถ้าชานยอลจะหันกลับมาเสียหน่อยคงได้พบคนที่ยืนก้มหน้ามองแต่พื้น
“คะ คุณช่วยเป็น .. ที่ปรึกษาเรื่องหัวใจให้ผมหน่อยได้ไหม”
ประโยคเดียว ที่ทำให้ชานยอลต้องหยุดเดิน
ประโยคเดียว ที่จงอินพูดออกไป
ประโยคเลี่ยนๆในละครทีวีที่ไม่นึกว่าบังเอิญจะจำได้
ประโยคเดียว .. ที่ทำให้ทุกอย่างกระจ่างแจ้งขึ้นมาหลังจากที่ต่างฝ่ายต่างค้นหาอะไรบางอย่างท่ามกลางความสับสบที่ท่วมท้นในจิตใจ
จงอินยืนมองแผ่นหลังของคนที่หยุดเดินด้วยหัวใจตุ้มๆต่อมๆ เขาไม่เคยเป็นแบบนี้ให้ตายสิ ไม่เคยขอร้องใครหรือรอคำตอบจากใคร แผ่นหลังกว้างที่ยังไม่หันหน้ากลับมาทำเอาคนที่ยืนรออยู่อยากหายตัวไปตอนนี้เพราะความอาย แต่หารู้ไม่ว่าคนฟังกำลังยิ้มอยู่กับตัวเองอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ขออีกรอบ”
“ว่าไงนะ”
“ฉันอยากฟังอีกรอบ พอดีไม่ได้ยิน”
“โธ่เว้ย .. ผมบอกว่าอาจารย์ช่วยมาเป็นที่ปรึกษาหัวใจให้ผมหน่อยได้ม้ายยยยยย” จงอินตะโกนออกไปยาวไปขนาดนั้นถ้าคราวนี้บอกว่าไม่ได้ยินอีกล่ะก็เขาจะวิ่งไปตะโกนใส่หูเลยคอยดู
ชานยอลยิ่งได้ฟังก็ยิ่งพอใจ ส่วนคำตอบน่ะเหรอ ..
ร่างสูงหันหน้ากลับมาหลังจากที่ปรับให้ดูนิ่งขรึมอย่างเดิม ระยะห่างที่ไกลกันหากแต่จงอินก็ยังมองเห็นใบหน้านั้นได้ชัดเจน และเมื่อคนตอบไม่ยอมตอบเสียทีก็เล่นเอาความมั่นใจของอีกคนหายไปหมด จงอินยืนกอดตัวเองที่สวมเสื้อนอกตัวใหญ่ของชานยอลเอาไว้แน่น ผ่านไปนานแล้วที่อีกฝ่ายเอาแต่ยืนนิ่ง
.. เห็นเป็นเรื่องตลกใช่มั้ย ได้
คราวนี้ฝ่ายที่ไม่ทนแล้วคือจงอิน เขาหันกลับอย่างรวดเร็วเพื่อจะเดินหนีไปให้ไกลจากไอ้คนเฮงซวยที่กล้ามาล้อเล่นกับความรู้สึกของเขา
“เออ”
คำๆเดียวที่จงอินได้ยินชัดเจนยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด คำพยางค์เดียวสั้นๆง่ายๆแบบนี้แต่กลับทำให้หัวใจคนฟังกำลังพองโต
ทำไมชานยอลชอบหาเรื่องจงอินตลอดเวลา แล้วทำไมจงอินถึงชอบทำตัวผิดระเบียบอยู่เรื่อย แล้วถ้า .. เหตุผลทั้งสองเป็นเหตุผลเดียวกัน
ล้อขนาดเล็กแล่นไปตามถนนในยามค่ำคืนอีกครั้ง จงอินกอดเอวเจ้าของเสื้อตัวใหญ่ที่เขายังสวมใส่มันเอาไว้ ใบหน้าที่แนบอยู่กับแผ่นหลังกว้างได้แต่อมยิ้มกับตัวเองเหมือนคนบ้าที่ทั้งสับสนทั้งสุขใจ ร่างกายมันเหมือนจะลอยได้ยังไงยังงั้น ไม่ต่างอะไรกับคนที่ทำหน้าที่ขี่มอเตอร์ไซค์อยู่ตอนนี้ เพราะได้อ้อมกอดของคนซ้อนเขาจึงลืมหนาวไปเสียสนิท
สุดท้ายก็แพ้ใจตัวเองทั้งสองคนนั่นแหละ
สำหรับวาเลนไทน์คืนนี้ควรจะต้องขอบคุณอะไร โชคชะตา .. หรือแค่บัตรกำนัลของขวัญใบนั้นเพียงใบเดียว
◆◆◆◆◆◆
เช้าวันจันทร์ที่สดใสมาพร้อมกับเสียงดังของนักศึกษาปีเดิมกับคลาสเดิมที่แสนน่าเบื่อ
“นี่ งานนี้ชัวร์ร้อยเปอร์เซ็นต์” เซฮุนกระซิบเข้าที่หูของคยองซูหลังจากที่อาจารย์ชานยอลกำลังเริ่มสาธยายเนื้อหาในตำราบทใหม่ให้ทุกคนฟัง และแน่นอนที่ปกติแล้วไม่นานนักการบรรยายก็ต้องสะดุดนิดหน่อยเพราะจะมีคนมาสายบางคนเดินเอื่อยๆเข้ามาประจำ เพียงแต่วันนี้ที่ต่างไปคือเขาคนนั้นตั้งใจเดินไปนั่งที่อย่างไม่ชักช้าเหมือนที่เคยเป็น และหากจะสังเกตอีกหน่อย ผู้ที่กำลังสอนก็ไม่ได้สนใจจะต่อว่าเลยสักนิด
“หวัดดีจงอิน” สองเสียงเอ่ยขึ้นทักทายคนมาใหม่ที่นั่งลงข้างพวกเขา
“อืม” จงอินรับคำด้วยใบหน้าเซื่องซึมอย่างทุกทีก่อนก้มหยิบเอาของในกระเป๋าออกมาวางไว้ที่โต๊ะ
“เมื่อคืนเป็นไง”
“เป็นไงอะไร” จงอินหันขวับมาถามเมื่อเห็นว่าใบหน้าทั้งสองมองเขาด้วยความอยากรู้เสียเหลือเกิน
“อ้าว ก็อาหารอร่อยมั้ยไง” คยองซูพูด
“ก็งั้นๆแหละ”
.. คำตอบเป็นแบบที่คนถามนึกเอาไว้ไม่มีผิด .. กลบเกลื่อน
เซฮุนที่นั่งตรงกลางหันหน้ามากระซิบคยองซูโดยปล่อยให้อีกคนนั่งเรียนไป
“นายว่ามันชัวร์มั้ยวะ”
“นายเองไม่ใช่เหรอที่บอกว่าชัวร์ จะมาถามฉันแล้วฉันจะรู้เหรอ” คยองซูว่าเพื่อนรักที่ดูจะงี่เง่าในบางเรื่องเสียจริงๆ
“ก็เมื่อเช้าที่โทรหาแม่ตอนอยู่ห้องนาย เค้าบอกว่าเมื่อคืนเห็นอาจารย์ขี่รถจงอินไปส่งถึงบ้านนี่”
“นั่นไง ชัวร์ป้าบ!”
“เฮ้ !! ตรงนั้นน่ะคุยอะไรกันอีก” อีกแล้วที่ชานยอลตะโกนขึ้นมาถาม อีกแล้วที่จงอินเองก็ไม่ได้แปลกใจอะไรนักเพราะคงจะเป็นใครไม่ได้ถ้าไม่ใช่สองสหายข้างกายเขา
และก็อีกแล้วที่เซฮุนลุกขึ้นยืนทำเอาคยองซูอยากจะบ้าตายเป็นรอบที่สอง คราวนี้เพื่อนรักเขาจะทำบ้าอะไรอีก งานนั้นรอดมาได้เพราะบังเอิญได้จงอินมาหันเหความสนใจของอาจารย์หรอกนะ แล้วงานนี้ล่ะ
“นายบ้าอีกแล้วนะเซฮุน อยากตายรึไงวะ” คยองซูกัดฟันพูดเบาๆพลางกระตุกชายเสื้อเพื่อนรักที่ไม่ได้ฟังเขาเลยให้นั่งลงแบบเดิม แต่ก็ไม่ได้ผลเหมือนเดิมอยู่ดีทำเอาเขาอยากจะบ้าตายอีกแล้ว
“ว่าไงเซฮุน วันนี้จะถามอะไรอีกล่ะ” ชานยอลถามลูกศิษย์ตัวดี พลางนึกว่าถ้างานนี้มีกวนขึ้นมาอีกล่ะก็ เขาได้ใช้ให้เซฮุนไปทำรายงานส่งแน่ๆรวมทั้งคยองซูด้วย
ทุกสายตาจดจ้องมาที่คนเจ้าปัญหา ใบหน้าน่ารักแสร้งตีหน้าสงสัยอย่างที่ควรจะเป็นก่อนจะเอ่ยคำถามออกไปดังๆ
“อาจารย์กับจงอินคบกันอยู่เหรอครับ”
“อ่ะ ......” อาจารย์หนุ่มที่อ้าปากเตรียมจะสั่งงานให้เสียเดี๋ยวนั้นกลับต้องได้แต่ยืนค้าง ทุกคนจ้องมาที่เขาเป็นตาเดียวกัน ก่อนจะหันขึ้นไปมองอีกคนที่นั่งนิ่งอย่างกับก้อนหิน จงอินรู้สึกว่าหน้าตัวเองคงเปลี่ยนเป็นสีแดงไปแล้ว คยองซูและเซฮุนเองเมื่อเห็นว่าอาจารย์เอาแต่ยืนอึ้งก็ผิดคาด นี่อย่าบอกนะว่ายอมรับตรงๆเสียแล้ว
“พะ พวกนายพูดอะไรกันน่ะฮะ ฉันจะไปยุ่งกับคนแบบนั้นได้ยังไง” ชานยอลเอ่ยเสียงดังฟังชัด ทุกคนทำหน้าเหวอปนคลางแคลงใจในความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง มันคงจะจริงอย่างที่อาจารย์บอกหากว่าอีกฝ่ายที่ถูกกล่าวหาจะพูดออกมาอย่างเดียวกัน แต่คิมจงอินกลับลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกจากห้องไปเสียดื้อๆ
ปฏิกิริยาของปาร์คชานยอลไม่ได้เป็นอย่างที่ควรอีกครั้ง เขามองตามด้วยสายตาที่เป็นเดือดเป็นร้อนแต่ก็ยังยืนทำหน้าที่ของอาจารย์อยู่อย่างเก่า ถึงอย่างนั้นก็ไม่เหมือนเก่าอยู่ดี ท่าทีกระสับกระส่ายแบบนั้นนักศึกษาทุกคนเห็นแล้วก็ตกลงใจได้ว่ามันชัดเจนยิ่งกว่าอะไรดี
“ยิ้มอะไรกันน่ะ”
“อาจารย์คะ เมื่อกี้บอกจะให้เราทำแบบทดสอบสิบห้านาทีไม่ใช่เหรอคะ ได้เวลาแล้วนะคะ” หนึ่งในนั้นเอ่ยถามขึ้นราวกับไม่ได้มีเจตนาอะไรแฝง ทุกคนพยักหน้าไปตามๆกัน ชานยอลหน้าตึงเล็กน้อยแต่ก็ยังคงไว้ซึ่งอาการฟอร์มจัด
“อืม งั้นให้เวลาสิบห้านาที ถ้ากลับมาแล้วใครยังทำไม่เสร็จล่ะน่าดู” ว่าแล้วก็เดินช้าๆออกจากห้องไป เมื่อร่างของอาจารย์หายไปแล้วทุกคนในห้องก็เริ่มซุบซิบกันขึ้นมาทันใด ไม่เว้นแม้แต่สองเพื่อนรักที่ยิ้มกว้างราวกับถูกรางวัล
“จะขอบคุณความใสซื่อของนายดีมั้ยนะเซฮุน กล้าถามออกไปได้นะแบบนั้น”
“คยองซูอ่า .. ก็มันอยากรู้นี่นา”
“เออๆ นี่ก็คงไม่ต้องอยากแล้วล่ะมั้ง ชัดขนาดนั้น”
“นั่นสินะ อาจารย์เองก็ฟอร์มจัดชะมัด ป่านนี้ไม่รู้จงอินหนีไปไหนแล้ว”
“อย่าห่วงเลย พนันกันได้ว่าอาจารย์คงวิ่งพล่านไปทั่วมหาลัยแน่”
เป็นอย่างที่คยองซูบอกไว้จริงๆ ตั้งแต่ออกจากห้องมาตอนนี้ชานยอลก็วิ่งหาจงอินจนรอบตึกแล้ว สุดท้ายก็มาพบว่าเด็กไม่เอาไหนที่เขาชอบว่าแบบนั้นบ่อยๆจะกำลังนั่งหงอยอยู่คนเดียวที่ม้านั่งหลังตึก
“อะ แฮ่ม .. หนีออกมาแบบนี้เดี๋ยวก็ถูกหักคะแนนหรอก” ชานยอลว่าพลางนั่งลงข้างกัน จงอินหันหน้าหนีพลางขยับตัวออกแต่ถูกมือนั้นดึงเอาไว้เสียก่อน จงอินพยายามขืนตัวทั้งที่ยังซ่อนใบหน้าตัวเองเอาไว้ไม่ยอมหันมาหา
“อย่ามาจับผมนะ”
“อะไรกันเล่า ทีเมื่อคืนยังซ้อนท้ายกอดฉันจนถึงบ้านแน่ะ”
“อย่าพูดนะ .. ผะ ผมแค่หนาวแล้วก็ง่วง”
“เหรอ งั้นตอนนี้ฉันก็หนาว ขอพิงหน่อยสิ” ชานยอลเอนศีรษะลงที่ไหล่ของลูกศิษย์ แก้มนิ่มนั้นอยู่ที่ปลายจมูกของเขาแค่นี้เอง นี่ถ้าใครมาเห็นเข้าคงได้เป็นเรื่องแน่ที่อาจารย์อย่างเขามาทำแบบนี้กับเด็ก
“อาจารย์มายุ่งกับผมทำไม ออกไปนะ”
“ชอบไล่จังนะ”
“ผะ ผม ไม่ได้ไล่ ก็บอกเองไม่ใช่เหรอว่าคนอย่างผม .. คนอย่างผม ....”
“อย่างนายทำไม”
“ก็เมื่อกี้ไง อายคนอื่นใช่มั้ย จริงๆแล้วก็ไม่ได้อยากยุ่งกับผมไม่ใช่เหรอ” จงอินตัดพ้อแล้วดันชานยอลให้ออกห่าง แต่อาจารย์หนุ่มกลับเป็นฝ่ายจับมือนั้นเอาไว้เสียเอง เขารั้งร่างนั้นให้หันมาหาแล้วเชยคางจงอินขึ้น
“ปล่อยนะ ..”
“ดูทำหน้าเข้าสิ เสียใจที่ฉันพูดแบบนั้นเหรอ”
“เปล่า”
“ปากแข็ง”
“ไม่ใช่”
“เมื่อกี้ขอโทษนะ ไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้น คือ ฉันก็แค่ ...”
“ช่างเถอะครับ อาจารย์พูดไม่ผิดหรอก ผมเองก็ขอโทษสำหรับเรื่องเมื่อคืน คิดซะว่าผมไม่ได้พูดแล้วกัน”
“ใช้ไม่ได้เลยนะ พูดอะไรเอาไว้ก็รับผิดชอบด้วยสิ”
“อาจารย์ ....”
“มาทำให้ฉันเป็นแบบนี้แล้ว จะหนีไปดื้อๆมันขี้โกงนะคิมจงอิน” สายตาเว้าวอนอย่างที่คงฟังไม่เคยเห็นกำลังจ้องมองลงมาที่ดวงตาของเขา
จงอินไร้ซึ่งคำพูดใดๆ และโดยไม่ทันตั้งตัว จู่ๆก็ถูกอาจารย์ก้มลงมาขโมยจูบเบาๆที่ริมฝีปากของเขา ดวงตาใสซื่อช้อนมองคนอายุมากกว่าก่อนที่สัมผัสอ่อนนุ่มนั้นจะแนบลงมาหาอีกครั้งโดยไม่ขออนุญาต ชานยอลปล่อยให้ปลายจมูกคลอเคลียกับพวกแก้มนั้นขณะที่ลิ้นของเขาจะค่อยๆรุกล้ำเข้าไปมากขึ้น
“อืม .....”
จงอินกำเสื้อชานยอลไว้แน่นเพราะรู้สึกจะขาดใจไปกับสัมผัสอ่อนนุ่มที่ร้อนรุ่มราวกับจะช่วงชิงลมหายใจของเขาไป แก้มเนียนเปลี่ยนเป็นสีชมพูจนคนมองเริ่มได้ใจ
ปาร์คชานยอลรู้สึกปั่นป่วนในหัวใจ เมื่อสุดท้ายแล้วเขาก็พบว่าตัวเองหลงเสน่ห์เด็กคนนี้มาเป็นปี จนวันนี้ที่จนมุมเข้าจนได้
กระซิบแผ่วดังแว่วที่ข้างใบหู แก้มนิ่มที่ถูกหอมไปหลายฟอดกลับมาแดงเป็นลูกตำลึงอีกครั้ง
“คงต้องอดทนจนกว่านายจะเรียนจบสินะ”
“อาจารย์ วะ.. ว่าไงนะครับ ทนอะไร”
“ปะ เปล่าๆ ไม่ได้พูดอะไรนี่”
“งั้นเหรอ...” จงอินขมวดคิ้วอย่างใสซื่อเพราะไม่ค่อยเข้าใจที่อาจารย์พูดเท่าไหร่ และมันก็ช่างดูน่ารักเหลือเกินในสายตาคนมอง ชานยอลมองอาการแบบนั้นสายตาละห้อย เขาเผลอก้มหน้าเข้าหาจงอินอีกครั้งโดยไม่ฟังคำคัดค้านนั้นเลย
.. แล้วที่เขาบอกว่าจะทน มันจะได้นานแค่ไหนกันน้า ~
ครึ่งชั่วโมงแล้วที่นักศึกษาทั้งห้องนั่งคอยอาจารย์ของพวกเขา
“คยองซูๆ ฉันอยากไปห้องน้ำอ่ะ”
“งืมๆ ไปเหอะๆ ฉันง่วงแล้วเนี่ย”
“แต่ถ้าอาจารย์กลับมา ...”
“โหยยยยย ไม่กลับมาแล้วมั้งป่านเนี้ย!”
สองเพื่อนรักมองหน้ากันก่อนจะหลุดยิ้มออกมา พวกเขาไม่นึกเลยว่าวาเลนไทน์ปีนี้จะมีเรื่องดีๆเกิดขึ้นระหว่างคนสองคนที่ดูจะไม่ชอบหน้า ทั้งที่ความจริงแล้วก็ยอมรับจนได้ว่าแอบใจตรงกันมานานแล้ว ~
.
.
.
END [Gift Voucher for ChanKai]
งืออออ จบแล้ว อยากให้น่ารักกว่านี้นะแต่เขียนได้แค่นี้จริงๆ คู่นี้มันบ้ากันทั้งคู่เลยมั้ยเนี่ย แต่น่าร้ากน้า ลูกศิษย์ของอาจารย์ชานยอล ... อาจารย์ติ่งดาร่าด้วย อิอิ ธีมเฉลยคือ ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอดแท้จริงแล้วลึกๆแอบชอบกันอยู่นั่นเอง เพื่อนซี้ทั้งคู่ของนายเอกก็น่ารักอ่ะ ใสๆแต่ก็กวนๆ
และ .. เผื่อ ว่า อยาก งุ้งงิ้งให้ไรต์เตอร์ได้แอบไปส่อง แท็กนี้นะจ๊ะ #ficGiftVoucher
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ จากใจเลย ((_ _)) ... บั๊บบาย เจอกันอีกทีเรื่องยาวหน้าเลยจ้า !!
ความคิดเห็น