คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : [SF] Heal me baby (KrisHo) - first part
Heal me baby
Pairing : Kris x Suho ft. Baekhyun , Luhan
Writer : Gornhai
Rating : PG-13
First Part
ห้องสี่เหลี่ยมสีขาวสะอาดตาห้องหนึ่งในโรงพยาบาลใจกลางเมืองหลวงกำลังเต็มไปด้วยบรรยากาศสุดแสนจะน่าเบื่อหน่ายสำหรับคนที่นอนแหม็บอยู่บนเตียง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนไข้สุดหล่อคนนี้กำลังนอนทำหน้าเซ็งอยู่เป็นแน่
“เฮ้อ .......” ถอนหายใจเบาๆแล้วก็ใช้แขนข้างที่ไม่ได้เข้าเฝือกยันกายให้เอนไปบนหมอนในท่ากึ่งนอนกึ่งนั่ง เวลาที่ต้องอยู่คนเดียวอย่างนี้บวกกับสภาพที่เป็นอยู่นั้น มันน่าเบื่อกว่าตอนที่มีสาวๆมารุมหน้าล้อมหลังอย่างตอนอยู่มหาวิทยาลัยเป็นไหนๆ ร่างสูงคว้ารีโมทโทรทัศน์ขึ้นมากดไปยังหน้าจอตรงหน้าอย่างเสียไม่ได้
ใบหน้าคมคายที่ฉายแววเซ็งจัดกลับตาเป็นประกายขึ้นมาทันที เกิร์ลกรุ๊ปชื่อดังวงหนึ่งกำลังโชว์ลีลาแดนซ์อันสุดเซ็กซี่และน่ารักเกินใครอยู่บนเวทีในรายการไลฟ์โชว์รายการหนึ่ง
“น้องดาซมของพี่ นางฟ้าชัดๆสิให้ตาย ...” รอยยิ้มน้อยๆผุดขึ้นที่ใบหน้า ก่อนที่เจ้าตัวจะนั่งกำรีโมทอยู่อย่างนั้นไม่ยอมกดไปไหน
ผ่านไปไม่กี่นาทีที่การแสดงจบลง เสียงถอนหายใจก็ดังขึ้นด้วยความเสียดาย ชายหนุ่มกดเปลี่ยนช่องอีกครั้งด้วยความเบื่อหน่าย ข่าวรายวันดังกระทบเข้าไปในโสตประสาทของเขาอย่างไม่ลดละ
“น่าเบื่อ” และอีกครั้งที่กำลังจะกดให้หน้าจอนี้ดับลง แต่พอเจอบางคำเข้าก็ต้องหยุดเสียก่อน
‘อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันวาเลนไทน์ วันแห่งความรักแล้ว หนุ่มสาวชาวเกาหลีก็ต่างพากันให้ความสำคัญกับของขวัญชิ้นพิเศษ แม้กระทั่งเสื้อผ้าที่จะสวมใส่ไปเดทกับคู่รักของตน .. ดังเช่นที่ย่าน …… ’
เสียงใสของสาวสวยในจอรายงานไปเรื่อยๆพร้อมกับภาพหนุ่มสาววัยรุ่นในย่านการค้าแห่งหนึ่ง แต่ชายหนุ่มที่นั่งอยู่นอกจอกลับไม่ได้ใส่ใจฟังรายละเอียดเลย แล้วเขาก็กดปิดมันลงในทันใดด้วยความรู้สึกที่ไม่ได้มีความสุขไปด้วยกับเรื่องนี้ ใบหน้าหล่อเหลาก้มมองดูแขนซ้ายของตัวเองที่ถูกพันเป็นเฝือกไปเกือบครึ่งแขน วาเลนไทน์ปีนี้เขาต้องเดินแบกแขนเดี้ยงๆแบบนี้ไปรับช็อคโกแล็ตจากสาวๆงั้นเหรอ คิดแล้วก็อยากจะบ้า
“โอ๊ยยยย!!” เสียงร้องเพราะความเจ็บใจแผดก้องออกมาอย่างหมดความอดทน และไม่ทันจะได้หุบปากเสียก่อนประตูห้องพยาบาลก็เปิดออกพร้อมร่างของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเพื่อนรัก
“แหกปากแบบนี้อยากได้ยาสลบอีกรึไงวะคริส!!” ชายหนุ่มวัยเดียวกันตะโกนใส่จนคนบนเตียงต้องเงียบลง ผู้มาเยือนปิดประตูก่อนจะตรงเข้ามานั่งลงที่โซฟา ร่างกายที่สูงตามมาตรฐานชายเกาหลีเป๊ะในชุดนักศึกษาบวกกับเสื้อแขนยาวที่ถูกพันไว้ที่ไหล่พร้อมใบหน้ากวนๆหันมามองเขา
“มีปัญหาอะไรคริส”
“หึ .. เห็นสภาพฉันแบบนี้ก็ขึ้นเสียงข่มเลยรึไงแพคฮยอน”
“เออสิวะ แต่ต่อให้ไม่เจ็บนะ ฉันก็ใช่ว่าจะกลัวนายนะไอ้คนใจดำ” แพคฮยอนยกมือขึ้นกอดอกพลางปรายตามองคนบนเตียงอย่างแสนสมเพชเวทนา ก็อย่างที่เขาบอกนั่นแหละ คำว่า “คนใจดำ” ทำให้คนฟังเริ่มไม่ชอบใจ
ทั้งสองรู้ดีกว่าต่างหมายถึงเรื่องอะไร แต่คริสไม่ขอรับคำนี้ไว้ละกัน
“อย่ามามองแบบนี้นะเว้ย ถ้ามันไม่ได้ทำให้ฉันกลับมาเท่อย่างเดิมแล้วสามารถไปยืนรับช็อคโกแลตจากสาวๆในมหาลัยได้น่ะ ...”
“โหยไอ้นี่ .. เวลาอย่างนี้ยังมาห่วงอีกนะ อดเดทกับสาวๆบ้างคงไม่ตายหรอก แฟนก็ไม่มีไม่ใช่เหรอครับคุณคริส”
“หนอย ไอ้นี่!” ใบหน้าคมเริ่มหมดความอดทน มือข้างที่ใช้ได้จับเอารีโมทจะขว้างใส่อีกฝ่าย
“อย่านะเว้ยๆ อย่าลืมนะว่านายมีแค่พวกฉันที่คอยดูแลนะ” แพคฮยอนบอกอย่างเหนือกว่า คริสจึงลดมือลงอย่างเดิม แต่เขาก็ยังมิวายเรียกร้องสิทธิให้ตัวเองอยู่ดี
“เพราะใครล่ะ โธ่เว้ย .. ถ้าไม่ใช่เพราะนายสองคน ฉันก็คงไม่ต้องเป็นแบบนี้หรอก” คริสพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆก่อนจะหันหน้าหนีไปมองผนังห้องแทนหน้าหล่อๆของเพื่อนรัก
เห็นอย่างนี้แพคฮยอนก็อดคิดไม่ได้ว่าไอ้คนขี้เก๊กตรงหน้าเวลาที่ทำหน้านิ่งๆอยู่เงียบๆไม่โวยวายอย่างนี้ มันน่าพูดด้วยกว่าเป็นไหนๆ
“เฮ้อ .. “ ชายหนุ่มถอนหายใจพลางลุกขึ้นเดินเข้ามาตบไหล่เพื่อนเบาๆอย่างเห็นใจ
“อีกไม่นานคงหายว่ะคริส”
“กี่เดือนล่ะ..”
เสียงทุ้มเอ่ยถามกลับเบาๆ แพคฮยอนก็เลยได้แต่เขย่าไหล่เป็นกำลังใจ
“เอาน่ะ ทำไงได้ล่ะ .. อีกอย่างนะคริส นายจะโทษจุนมยอนมันเลยก็ไม่ถูก มันเสียใจไม่แพ้กันหรอกน่ะนายก็รู้” แพคฮยอนกล่าวถึงอีกคนที่เปรียบเสมือนตัวต้นเหตุ ทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจและไม่ได้ผิดโดยตรงก็ตามที
ถึงตรงนี้คนฟังก็เงียบไป แพคฮยอนรู้ดีว่าอีกฝ่ายคงไม่ไร้เหตุผลขนาดจะโกรธเคืองกันหรอก ก็แค่เสียใจที่ต้องมาเป็นแบบนี้เท่านั้นล่ะมั้ง
“วันนี้เลิกเร็วหนิ .. รีบกลับเหอะเดี๋ยวจะค่ำ” คริสพูดไปทั้งที่ไม่มองหน้าแพคฮยอนแม้แต่น้อย ร่างสูงขยับตัวเอนลงก่อนจะดึงผ้าห่มมาคลุมกายอย่างทุลักทุเล ทำให้คนที่ยืนมองอยู่ต้องอมยิ้มแล้วช่วยดึงผ้าห่มให้อีกแรง
“เออ .. งั้นฉันกลับล่ะ”
“........”
“อ้อ พรุ่งนี้ฉันไม่ได้มารับนะเว้ย มีซ้อม” หนุ่มนักบาสบอกเหตุผลให้เพื่อนเข้าใจเขาเสียก่อน แต่คนใต้ผ้าห่มก็ยังคงไม่ตอบอะไร ทำราวกับเด็กขี้น้อยใจก็ไม่ปาน
ตอนนี้แพคฮยอนกลับไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงคนป่วยให้นอนอยู่คนเดียวอย่างเดิม
“ฮัลโหล ครับพ่อ .. พรุ่งนี้อย่าลืมมารับผมล่ะ”
และสาเหตุที่ทำให้ผู้ชายอย่างคริสต้องมาแขนหักก็ไม่ใช่เรื่องอื่นไกลอะไรเลย ก็แค่ ..
วันนั้น วันที่คิมจุนมยอนเพื่อนรักของเขามีสอนพิเศษให้นักเรียนมัธยมที่โรงเรียนแห่งหนึ่งหลังเลิกเรียน และบังเอิญว่าฝนดันตกเอาในตอนที่จะกลับ ปกติแล้วคริสที่มีรถส่วนตัวจะมีน้ำใจไปรับพากลับบ้าน แต่วันนั้นเขาดันไม่ว่างจึงให้พยอนแพคฮยอนเพื่อนอีกคนเอารถไปรับแทน แต่พอจะกลับบ้าน ขณะที่กำลังจะเรียกรถแท็กซี่ก็ดันถูกมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งขับมาเฉี่ยวชน ยังดีที่ร่างกายส่วนอื่นไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร แต่แขนของเขานี่สิ
ถึงแม้จะรู้ดีแก่ใจ แต่ก็พาลไปแล้วว่ามันเป็นเพราะใคร .. ใช่ เขามันพาล
◆◆◆◆◆◆
วันต่อมาก็ถึงเวลาที่คริสจะได้ออกจากโรงพยาบาลเสียที พ่อกับแม่ของเขามารับลูกชายคนเดียวโดยที่มีเพื่อนสนิทของลูกติดสอยห้อยตามมาด้วยอีกคน
รถทั้งคันกำลังเคลื่อนไปตามถนนของเมืองหลวงในยามสายของวันหยุด ผู้ใหญ่ทั้งสองที่นั่งอยู่ด้านหน้ากำลังสนทนาอะไรกันสักอย่าง ต่างจากสองหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างกันตรงเบาะหลังของรถ คนหนึ่งมองออกไปทางซ้าย อีกคนมองออกไปทางขวา
ตั้งแต่วันนั้นมาจุนมยอนก็เฝ้าขอโทษเขาหลายครั้ง เมื่อเช้าตอนที่มากับพ่อแม่ อีกฝ่ายก็พยายามทำดีกับเขา พยายามจะพูดดีด้วย อยากจะคุยด้วย แต่เขาก็ยังทำเมินใส่เหมือนเดิม
“นี่ .. โกรธรึไง” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นเบาๆให้ได้ยินกันสองคน มือข้างที่ใช้ได้วางอยู่บนเบาะข้างกับมือของอีกฝ่าย คริสขยับเอามือไปวางทับมือของจุนมยอนอีกที ใบหน้าข่าวผ่องหันกลับมาหาอย่างเป็นปกติ
“ฉันเนี่ยนะโกรธ ..”
“ใช่ไง รึว่างอนที่ฉันไม่พูดด้วย”
“หึ .. สำคัญตัวเองผิดล่ะ อีกอย่างนะ นายไม่ใช่รึไงที่โกรธฉันน่ะ” จุนมยอนพูดจบก็ตวัดมือตัวเองออกจากมือของคริสแล้ววางมันลงที่ตักตัวเองแทน เขารู้สึกฉุนกับคนตรงหน้าอยู่ไม่น้อย แต่ก็เอาเหอะ ถือว่าเพื่อนกัน .. ไม่อย่างนั้นจุนมยอนคงไม่ยอมรับผิดขนาดนี้หรอก
“นี่ .. รู้หรอกน่ะว่านายไม่ผิด”
“........” คนฟังไม่ตอบอะไรนอกจากหันหน้ามาทำคิ้วขมวดราวกับได้รับการอภัยที่ไม่นึกว่าจะเป็นไปได้ คริสยกยิ้มนิดๆให้กับคนที่เริ่มดีใจเข้าให้ จุนมยอนอมยิ้มนิดหน่อย
“นายไม่โกรธฉันแล้วใช่มั้ยคริส”
“เปล่า”
“อ้าว ทำไมล่ะ” จุนมยอนหุบยิ้มลงทันทีที่ได้ยิน ก่อนที่อีกฝ่ายจะยื่นหน้ามาที่หูของเขาแล้วบอกคำตอบที่มันจะทำให้เขาอยากเอามือต่อยหน้าไอ้เพื่อนคนนี้แรงๆสักหนึ่งที
“ก็ถึงนายจะไม่ผิด .. แต่นายก็คือต้นเหตุที่ทำให้ฉันเป็นแบบนี้ รู้ไว้ซะคิมจุนมยอน”
◆◆◆◆◆◆
หลังจากมาถึงที่บ้านของคริสแล้ว จุนมยอนก็ทำหน้าที่ของตัวเองในฐานะเพื่อนรักได้ดีไม่มีที่ติ ไม่นับการที่อยากไถ่โทษด้วยหรอกนะ เขาช่วยพ่อกับแม่ขนของลงจากรถโดยที่ใช้เวลาเพียงไม่นาน นอกนั้นก็หมดไปกับการนั่งคุยกันถึงเรื่องทั่วไป จนเวลาล่วงเลยมาถึงตอนเย็น จู่ๆแพคฮยอนก็โผล่มาร่วมโต๊ะอาหารเย็นด้วย และนั่นจึงทำให้มือเย็นมื้อนี้มีเสียงเฮฮาได้มากอย่างทุกครั้ง ตั้งแต่เด็กจนโตที่จุนมยอนกับแพคฮยอนจะมาที่นี่จนเคยชินไปแล้ว
หลังจากรับประทานอาหารเย็นกันเสร็จ จุนมยอนและแพคฮยอนก็พาร่างของตัวเองมากองอยู่ในห้องของคริสที่ชั้นบนของบ้าน ทั้งสองนั่งอยู่บนเตียงนอนต่างกับเจ้าของห้องตัวจริงที่นั่งนิ่งอยู่ที่เก้าอี้ตรงโต๊ะเขียนหนังสือ
“อะไรวะคริส เห็นเงียบๆตั้งแต่ตอนกินข้าวแล้ว” แพคฮยอนเอ่ยถามขณะที่จุนมยอนลอบเบ้ปากอยู่ข้างๆเพราะรู้ดีกว่าที่อีกคนถามนั้นมันมีสาเหตุมาจากอะไร อันที่จริงเขาเองก็อยากบอกแพคฮยอนเหมือนกันว่ารู้อยู่แก่ใจแล้วยังจะถามอีกทำไม คริสยักไหล่เล็กน้อยก่อนจะกระตุกยิ้มขึ้นมาจนจุนมยอนแอบขนลุก
“เปล่าหรอกน่ะ .. แต่ดูเหมือนว่าคนข้างๆนายเค้าอยากจะไถ่โทษให้ฉันเหลือเกินนะ” ว่าแล้วก็เปลี่ยนไปสบตาคนที่พูดถึงแทน แพคฮยอนเลิกคิ้วขึ้นพลางหันไปมองจุนมยอนอีกคน
“เฮ้ย .. มองฉันทำไมเล่า”
“ก็คริสมันบอกว่านายอยากไถ่โทษ โหย จุนมยอน .. เอาจริงเหรอวะ จะทำไงล่ะ จะเจ็บแทนมันว่างั้น?”
“ก็ .. ไม่รู้ว่ะ” พูดจบก็คิดไม่ตก จะโกรธใครล่ะ ตัวเองล่ะมั้งที่ดันมีเพื่อนแบบนี้
เมื่อทั้งห้องเริ่มเงียบ คนที่ไม่ชอบความเงียบเอาเสียเลยอย่างแพคฮยอนจึงเกิดไอเดียดีๆขึ้นมาอย่างแทบไม่ต้องคิด
“งั้นเอางี้!!!”
เมื่อดูเหมือนว่าจะมีวิธีดีๆ โจทย์และจำเลยทั้งสองก็หันขวับมาจ้องผู้หวังดีเป็นตาเดียวกัน
“ฉันว่านะคริส ให้จุนมยอนดูแลนายอย่างใกล้ชิดจนกว่าจะหาย และนายก็ต้องหายโกรธด้วยเมื่อถึงเวลานั้น” แพคฮยอนอธิบายสั้นๆพร้อมกับรอยยิ้มที่คิดว่าจะได้รับคำชมในวิธีแก้ปัญหาอันชาญฉลาดของเขา แต่ไม่เลย คนฟังทั้งสองยังคงเป็นผู้ฟังที่ดีด้วยอาการเงียบอย่างเดิม
“อ่า .. ทำไมทำหน้าแบบนั้นกันล่ะ ไม่ดีรึไงวะ”
“ดีตรงไหนแพคฮยอน ให้ฉันไปดูแลป้าแก่ๆยังสบายกว่าเป็นทาสไอ้คนขี้เก๊กแถมเอาแต่ใจอย่างงี้เลยเหอะ”
“อ้าว พูดงี้ได้ไงล่ะ ฉันเองก็ไม่ได้อยากให้เด็กเรียนอย่างนายที่เรื่องอื่นไม่ได้เรื่องมาดูแลหรอก” คริสสวนกลับทันควัน แต่ผิดคาด เพราะนั่นไม่ได้ทำให้จุนมยอนโกรธแต่กลับยิ้มออกมาแทน เห็นอย่างนั้นคริสก็เข้าใจทันที ชายหนุ่มแอบหันหน้ามาอีกทาง เขาอยากจะร้องไห้ให้กับความโง่ของตัวเองเสียจริงๆ
.. แกพลาดแล้ว คริส
“งั้นแสดงว่าไม่เอา...”
“เอาสิ!!”
ไม่ทันที่จุนมยอนจะถามจบคริสก็รีบหันกลับมาค้านเอาไว้ก่อน ราวกับคนกำลังจะพลาดโอกาสสำคัญบางอย่างไป แต่อีกคนกลับเป็นฝ่ายต้องหุบยิ้มลงให้กับความหวังลมๆแล้งๆที่หลุดลอยไปแล้ว
คนเป็นต้นความคิดมองเพื่อนรักทั้งสองสลับกันไปมาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาบ้าง
“สรุปว่าโอเค??”
จุนมยอน : “ไม่!!”
คริส : “ใช่!!”
คริสและจุนมยอนร้องออกมาพร้อมกัน พลางมองหน้ากันอย่างตกใจ และเมื่อเห็นว่าคริสยังยืนยันจะเอาให้ได้ คนอย่างจุนมยอนไม่ได้โง่หรือง่ายกับใคร แต่ครั้งนี้จะถือว่าแสดงความรับผิดชอบหน่อยละกัน
“เออ ก็แล้วแต่ว่ะ” คนตัวเล็กกว่าพูดเสียงอ่อนลงแล้วจึงหันหน้าหนีอีกฝ่ายที่นั่งอยู่ที่เดิม จุนมยอนเอนหัวตัวเองซบลงกับไหล่ของคนข้างกายแทน
“เฮ้อ .. ควรขอบใจนายใช่มั้ยวะแพคฮยอน” เสียงแผ่วเบาเอ่ยอย่างเหนื่อยอ่อนพลางหลับตาลง ชายหนุ่มที่เป็นฝ่ายให้ยืมไหล่ซบก็เบนหน้าเข้าหาจนจมูกแทบจะแนบกับแก้มขาวๆนั่นอยู่แล้ว
คริสนั่งมองคนทั้งสองพร้อมกับอดคิดไม่ได้กับทุกครั้งที่เพื่อนสองคนนี้จะมีพฤติกรรมอย่างนี้กันบ่อยๆ
แพคฮยอนอมยิ้มน้อยๆพลางเอื้อมมือมาลูบที่หลังของจุนมยอน เสื้อยืดตัวบางเลิกขึ้นเผยให้เห็นผิวขาวๆแต่คนทำกลับไม่ได้สนใจมอง .. อีกคนที่นั่งเงียบอยู่ต่างหากที่เป็นฝ่ายนั่งมองเสียเอง
“อ๊ะ .. เฮ้ย ไม่เอานะแพคฮยอน อย่านะ!!” จู่ๆจุนมยอนก็ร้องลั่นเมื่อถูกมือทั้งสองของแพคฮยอนจั๊กจี้เข้าที่เอว
“ไม่มีวันเสียล่ะจุนมยอนน้อยเอ๋ย .. ฮ่าฮ่าฮ่า” แพคฮยอนไม่ปล่อยง่ายๆราวกับเด็กที่ได้ของเล่นถูกใจ จุนมยอนหัวเราะร่วนพลางพยายามปัดมืออีกฝ่ายออกเป็นพัลวัน แต่ก็ตามไม่ทันแพคฮยอนเสียที ทั้งสองยื้อกันอยู่อย่างนั้นจนนั่งไม่ติดและล้มลงไปนอนบนเตียงแทน สองร่างกอดรัดกันอยู่เหมือนกับตอนเป็นเด็กที่ชอบแกล้งกันแบบนี้ คนแกล้งกำลังสนุกที่ได้แกล้งอีกคนที่ไม่มีทางหนี โดยที่ไม่รู้เลยว่าอีกคนหนึ่งที่ไม่ได้ร่วมด้วยนั้นจะรู้สึกต่างไปอย่างสิ้นเชิง
คริสรู้สึกขัดหูขัดตาอย่างบอกไม่ถูกเวลาที่เพื่อนรักสองคนนี้จะเล่นอะไรถึงเนื้อถึงตัวกันบ่อยๆ หรือจะเรียกว่าไอ้หนุ่มนักบาสบ้าบอคนนี้มักจะชอบมายุ่งกับเจ้าคนซื่อบื้อเองมากกว่า
ร่างสูงเริ่มทนไม่ไหวจึงลุกจากเก้าอี้แล้วทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดแม้แต่ตัวเองก็ตาม คริสใช้มือข้างที่ปกติกระชากไหล่แพคฮยอนให้ออกจากตัวจุนมยอน คนถูกดึงหยุดแล้วเงยหน้ามองด้วยความแปลกใจ จุนมยอนที่หยุดร้องแล้วก็ลุกขึ้นนั่งตามพร้อมกับสีหน้าแบบเดียวกัน
“อะไรวะ .. ฉันแกล้งจุนมยอนแค่นี้นายโกรธเหรอ”
“ขอโทษว่ะ ก็แค่กลัวมันขาดอากาศหายใจซะก่อนน่ะ” เสียงทุ้มตอบเรียบๆก่อนจะมองไปที่อีกคนด้วยสายตาที่เดาไม่ออกว่าคิดอะไร คริสเอื้อมมือข้างเดิมออกไปดึงแขนจุนมยอนให้ลุกขึ้นมา
“นายกลับบ้านไปเลยนะแพคฮยอน” คริสร้องสั่งอีกคนที่ยังหน้าเหวออยู่บนเตียงของเขา
“แล้วนั่นจะไปไหน”
“ฉันจะไปส่งจุนมยอน”
“เฮ้ย แล้วนายขับรถได้เหรอ ...”
“แท็กซี่!!” พูดจบสั้นๆแล้วก็ดึงเอาคนที่กำมือเอาไว้ให้เดินตามออกไปจากห้องทันที โดยไม่สนเลยว่าเจ้าตัวจะยังอยู่ในอาการงุนงงไม่น้อย .. ไม่ต่างกับคนที่ถูกทิ้งไว้ในห้องตรงที่เดิม แพคฮยอนขมวดคิ้วกับตัวเองก่อนจะนึกขึ้นได้จากนั้นไม่นาน
“เออว่ะ .. ไม่เห็นแปลกตรงไหน”
แล้วช่วงเวลาที่แสนอึดอัดในรถก็หมดลงเสียที รถแท็กซี่จอดลงหน้าบ้านหลังเล็กก่อนที่คนตัวสูงกว่าจะยกมือขึ้นเป็นการห้าม
“ไม่ต้องหรอก ฉันจ่ายเอง” เสียงทุ้มเอ่ยกับอีกฝ่ายที่กำลังล้วงลงไปในกระเป๋าเพื่อจะเอาเงินค่ารถให้ คริสเป็นอย่างนี้กับจุนมยอนเสมอ ในฐานะที่บ้านเขามีอันจะกินขณะที่เพื่อนรักคนนี้มีชีวิตที่ลำบากกว่าตัวเองอยู่มาก แค่นี้มันแค่เรื่องขี้ผง ที่สำคัญวันนี้เขาเองก็เป็นคนพามาเองด้วย
“ขอบใจนะ ..”
“อืม”
“นายโกรธฉันเหรอที่ดูไม่เต็มใจจะดูแลนายน่ะ” จุนมยอนถามตรงๆ เห็นอย่างนั้นคริสก็แอบได้ใจขึ้นมาแต่ก็ได้แต่ทำหน้านิ่ง
“เปล่าหรอก ไม่ได้โกรธ”
“งั้นก็ดี .. ฉันไม่ชอบให้นายโกรธเลย ไม่ชอบให้นายเมินใส่ฉันน่ะรู้มั้ยคริส” น้ำเสียงอ่อนเมื่อยามพูดด้วยดีๆนั้นทำคริสต้องแอบคิดบางอย่างในใจ
เขาเองก็อยากจะบอกเหมือนกันว่าไม่ชอบให้อีกฝ่ายมาทำหน้าอย่างนี้ใส่นักหรอก .. รู้สึกหัวใจมันเต้นไม่ปกติ
“เออๆๆๆ ก็ไม่ได้ว่าอะไรแล้วนี่”
“จริงนะ”
“อืม .. เลิกทำหน้าแบบนี้แล้วลงไปได้แล้วจุนมยอน” คริสจงใจรีบๆตัดบทเมื่อต้องจ้องกันนานๆ งานนี้จุนมยอนเลยเริ่มหน้าบูดอีกครั้ง ที่แท้ไอ้เพื่อนคนนี้ก็ยังเอาแต่ใจไม่เปลี่ยนไปเลย แต่พอเขาจะเดินลงจากรถก็ถูกดึงเอาไว้เสียก่อน
“อะไรอีกล่ะ .. “ จุนมยอนถามอย่างเสียไม่ได้ นี่จะมาพูดอะไรอีก
“ก็แค่จะบอกว่า พรุ่งนี้อย่าสายล่ะ ฉันจะรอที่หน้าประตูด้านข้าง” มือหนาปล่อยออกทันทีที่สั่งเสร็จเรียบร้อย รอยยิ้มร้ายผุดขึ้นให้คนที่เป็นฝ่ายแพ้ต้องเบ้ปากอย่างหมั่นไส้ ก่อนที่คนในรถจะถูกเสียงดังของประตูปิดกระแทกหน้าดังลั่น
น่าแปลก .. คริสแทบไม่รู้ตัวเลยว่าอารมณ์ขุ่นมัวที่มีมาตั้งแต่อยู่ในโรงพยาบาลตอนนี้มันจะแทนที่อารมณ์ดีๆที่ได้ออกคำสั่งกับใครบางคน
◆◆◆◆◆◆
เช้าวันต่อมาจากที่ควรจะแย่สำหรับเขา แต่มันกลับสดใสอย่างบอกไม่ถูก คริสเดินตัวปลิวไปยังตึกคณะของตัวเองด้วยแขนข้างหนึ่งที่อยู่ในสภาพเข้าเฝือกเช่นเดิมโดยที่ข้างกายมีใครอีกคนแบกกะเป๋าและหนังสือจำนวนหนึ่งเดินตามต้อยๆ จุนมยอนก้าวเร็วๆเพื่อให้ตามคนข้างหน้าทัน สายตาหลายคู่จดจ้องมองคนทั้งสองอย่างเคยเช่นทุกครั้ง แต่ก็แปลกจากทุกครั้งอีกเช่นกันตรงที่คนเดินนำนั้นจะมาพร้อมกับแขนที่เข้าเฝือก และคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนซี้จะมาในฐานะที่ดูเหมือนจะเป็นเบ๊เสียมากกว่า จุนมยอนมองตามแผ่นหลังคริสโดยที่อดคิดไม่ได้ว่าใครกันแน่ที่ควรเดินตัวปลิว และใครกันแน่ที่ควรจะเดินช้าๆอย่างคนที่ป่วย
ใบหน้าหล่อเหลาเอาการหันไปแจกยิ้มละลายใจแก่สาวๆที่มองมาทางเขาเป็นตาเดียวกัน ไม่เจอกันหลายวัน สาวๆพวกนี้ยังน่ารักน่ามองในสายตาของคริสเสมอ พวกหล่อนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กันเป็นแถวต่างจากหนุ่มๆคนอื่นที่เอาแต่มองด้วยอาการนิ่งๆหรือจะเรียกว่าไม่สบอารมณ์น่าจะถูกกว่า ก็คนอย่างคริส รูปก็หล่อ พ่อก็รวย เรียนก็เก่ง เล่นดนตรีก็เท่ เรื่องกีฬาก็ไม่เป็นรองใคร .. ไม่เรียกว่าเพอร์เฟคก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้ว
“เดินเร็วๆสิจุนมยอน .. ฉันล่ะอายกับแขนตัวเองจริงๆ” ร่างสูงขยับเข้ามาใกล้พลางบอกคนข้างกาย
“จะอายทำไมเล่า ดูพวกเค้าอยากจะถามนายมากกว่านะว่าไปฟัดกับหมาที่ไหนมา”
“เฮ้ย อย่าพูดบ้าๆน่ะ”
“รู้แล้วล่ะน่ะ นี่ขนาดแขนเจ็บอยู่นะ ไม่เห็นว่าความป๊อบของนายจะลดลงเลยนี่” จุนมยอนบ่นด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่นตามแรงเดินที่หอบของเอาไว้และเร่งให้มันเร็วขึ้น .. ได้แต่คิดในใจว่าอย่าให้เขาเกิดมาป๊อบแบบนี้บ้างเถอะ
โต๊ะมุมหนึ่งใต้ตึกคณะมีเพียงสองร่างที่นั่งตรงข้ามกันเท่านั้น คนตัวเล็กกว่าก้มหน้าเขียนรายงานบางอย่างไปเรื่อยๆอย่างไม่รีบร้อน ส่วนอีกคนนั่งนิ่งๆมองอยู่อย่างเดียวเพราะทำอะไรไม่ค่อยได้หรือไม่มีอะไรทำก็ไม่รู้
“แพคฮยอนบอกว่านายเลิกกับน้องอึนนาอะไรนั่นแล้วเหรอจุนมยอน”
“อ่ะ อืม .. ก็อย่างที่รู้นั่นแหละ”
“หึ คบกันนานจังนะ ตั้งสองเดือน” คริสหัวเราะสั้นๆในลำคอเหมือนกำลังเยาะเย้ยจุนมยอนที่ไม่เอาไหนกับเรื่องแบบนี้ ซึ่งอีกฝ่ายก็รู้ดีจึงไม่ได้ต่อว่าอะไร มือที่จับปากกาอยู่นั้นหยุดเขียนแล้วเงยหน้าขึ้นมองคนนั่งตรงข้าม
“ช่างเหอะ ฉันมันก็งี้แหละ” ว่าแล้วจุนมยอนก็ถอนหายใจเบาๆ ยิ่งมีอาการเหมือนเศร้าๆแบบนี้คนมองก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา
“ทำไมวะ นายก็ไม่ได้ชอบเค้าไม่ใช่รึไง แค่คบไปงั้น”
“ก็ .. อาจจะอย่างนั้นล่ะมั้ง ฉันก็ไม่ได้คิดมากอะไรหรอก” พูดจบก็ก้มหน้าเขียนงานตัวเองต่อไป เลยไม่ทันสังเกตว่าอีกคนจะลอบยิ้มออกมาอย่างพออกพอใจที่ได้ยินคำตอบ
คริสกำลังคิดถึงผู้หญิงคนนั้นที่คงปลื้มเพื่อนของเขามากจนมาสารภาพว่าชอบและอยากคบด้วย และคนอย่างคิมจุนมยอนก็คงได้แต่ยืนหน้าแดงแล้วปฎิเสธไปไม่เป็น ต่อมาทั้งสองก็คบกัน และก็คบกันประสาอะไรไม่รู้ ฝ่ายหญิงมาขอบอกเลิกเอาดื้อๆ เจ้าหล่อนเป็นคนแรกที่จุนมยอนคบด้วย และจุนมยอนก็เป็นคนแรกอีกเช่นกันที่มีแฟน ต่างจากตัวคริสเองและแพคฮยอนที่ได้แต่กิ๊กกั๊กไปเรื่อย แต่ไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตน เลยโสดสนิทอยู่อย่างนี้
“เอาน่ะจุนมยอน .. ถึงนายจะไม่หล่อเท่าฉันนะ”
“...........”
“แต่นายก็..”
แก้มขาวๆเงยขึ้นมองเพื่อรอฟังว่าอีกคนจะพูดอะไร จุนมยอนไม่ได้พอใจนักหรอกนะที่มาหาว่าเขาไม่หล่อ
“ก็อะไร .. แหม ได้ทีหลอกด่ากันเลยนะคริส”
“ตรงไหนไม่ทราบ”
“...........”
“ก็ถึงนายไม่หล่อ .. แต่น่ารักเกินใครเลย รู้ตัวบ้างรึเปล่า”
คำพูดปกติที่คนเป็นเพื่อนพูดกัน มันก็ใช่จะแปลกอะไรหรอกนะ แต่จุนมยอนต่างหากที่รู้สึกว่าตัวเองใจเต้นแปลกๆ เช่นเดียวกับอีกคนที่พักหลังมาเขารู้สึกว่าจะคุมตัวเองไม่อยู่เอาเสียเลยเวลาที่พูอะไรออกไป
จุนมยอนรีบก้มหน้าก้มตาเขียนงานตัวเองต่อไป ทิ้งให้คริสนั่งมองอยู่อย่างนั้น ชายหนุ่มลอบถอนหายใจเบาๆเวลาที่อยู่ด้วยกัน แล้วเขานึกไปถึงที่คุยโทรศัพท์กับแพคฮยอนเมื่อคืนนี้ขึ้นมาอีกครั้ง
“นายคิดเองเหรอวะว่าฉันจะดีขึ้นที่มีจุนมยอนมาดูแล”
“ก็เออสิวะ มีคนอยู่ใกล้ๆตลอดไง”
“ปกติก็อยู่ใกล้ตลอดอยู่แล้วนี่”
“เฮ้อ .. เอาวะ นายไม่เคยได้ยินรึไง เกี่ยวกับทฤษฎีแห่งการบำบัดของสีน่ะ”
“อะไร .. จะเล่นอะไรพยอนแพคฮยอน”
“นายก็รู้ แต่ฉันจะบอกให้ก็ได้ อย่างเช่นสีเขียวทำให้รู้สึกผ่อนคลาย มีสมาธิ สีแดงทำให้กระปรี้กระเปร่า ตื่นเต้น ส่วนเหลืองก็ช่วยดึงความอ่อนโยนในใจออกมา และสีที่หมายถึงสุขภาพล่ะก็ ต้องยกให้ชมพูเลย”
ที่แพคฮยอนอธิบายมานั้นคริสเข้าใจดี แต่แม้ว่าอีกฝ่ายจะช่วยแถลงไข มันก็ไม่ตรงกับประเด็นที่เขาอยากรู้อยู่ดี
“แล้วมันเกี่ยวกับ...”
“พอๆๆ เลิกถามได้แล้ว เดี๋ยวนายก็รู้เองแหละ”
.. รู้อะไรวะแพคฮยอน
◆◆◆◆◆◆
“ทำอะไรน่ะ ...” จุนมยอนสะดุ้งนิดๆเมื่อข้างกายรู้สึกได้ถึงไออุ่นขณะนั่งเรียนอยู่
“ชู่ว! เบาๆสิ .. ขอพิงหน่อยเหอะ ฉันเจ็บแขนน่ะ” คริสพูดขณะที่ตัวเองจะแนบศีรษะลงที่ไหล่มนของอีกฝ่าย ข้ออ้างสั้นๆที่สมเหตุสมผลถูกยกมาใช้ ใบหน้าคมหลับตาลงเมื่อสัมผัสนุ่มๆที่ตัวอีกฝ่ายจะแผ่กระจายไปทั้งความรู้สึกของเขา จุนมยอนมองคริสก่อนจะถามอย่างเป็นห่วง
“ถ้าเจ็บแขน งั้นเรากลับกันมั้ย”
“ไม่ต้องหรอก”
“ไม่ได้นะคริส นายเจ็บไม่ใช่เหรอ..”
“เอาน่า .. อย่าขยับสิ ฉันขอพิงแค่นี้เอง เดี๋ยวก็หายเจ็บแล้วล่ะน่ะ” คริสเซ้าซี้เบาๆอย่างเคย และนั่นก็ทำให้จุนมยอนเงียบลงไปแต่โดยดี
.. อย่างนี้นี่เอง แพคฮยอนมันถึงชอบมายุ่งด้วยนัก
คริสคิดไปตามความคิดที่เขาเข้าใจว่าถูกไปเสียหมด ทั้งที่ความจริงแล้วคนที่คิดอย่างนี้ก็มีแต่ตัวเขาเองนั่นแหละ
แรงขยับของร่างเล็กเวลาที่เขียนหนังสือนั้นทำให้คริสยิ่งรู้สึกเคลิ้มไปมากกว่าเดิม กลิ่นหอมอ่อนๆจากตัวอีกฝ่ายชวนให้เขาอยากจะดึงเอาคนๆนี้มาสูดดมความหอมให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย
.. โธ่เอ๋ย แล้วนาทีนี้ จุนมยอนผู้ไม่ประสาก็ตามไม่ทันเพื่อนสนิทอย่างคริสอยู่ดี
◆◆◆◆◆◆
แล้ววันนั้นทั้งวันก็ผ่านไปโดยที่คริสเป็นฝ่ายอกคำสั่งต่างๆนานากับจุนมยอนเพื่อให้เอื้อกับอาการเจ็บที่แขนของเขา คนทั้งสองตัวติดกันแทบทุกเวลาที่ไปไหน ไม่ว่าจะโรงอาหาร ห้องน้ำ ห้องสมุด หรือแม้แต่ไปนั่งดูแพคฮยอนซ้อมบาสในตอนเย็นก็ตามที
วันต่อมาก็เป็นเช่นเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยน จะเปลี่ยนไปก็แค่คนเจ็บที่ดูจะอารมณ์ดีถึงดีมากจนอีกคนเริ่มจะสงสัย
“นี่ .. ดูนายจะอารมณ์ดีเหลือเกินนะคริส มีอะไรรึเปล่า” จุนมยอนถามขณะที่มานั่งกินข้าวเที่ยงกันสองคนเพราะแพคฮยอนหายไปซ้อมบาสในช่วงที่ใกล้มีแข่งอีกตามเคย
“ก็งั้นๆแหละ แค่อยากอารมณ์ดีบ้างไม่ได้รึไง” ว่าแล้วก็ใช้มือข้างเดิมตักอาหารที่จุนมยอนไปซื้อมาให้เข้าปากไปโดยไม่สนใจเรื่องอื่น
“ก็ดีแล้ว .. งั้นเดี๋ยวมานะ” จุนมยอนบอกก่อนจะลุกออกไปซื้อน้ำ แต่ก่อนจะได้เดินออกไป ใครบางคนก็โผล่มาหาเขาทั้งสอง
“โทษนะ แพคฮยอนไม่อยู่เหรอ” ใบหน้าหล่อของคนรูปร่างสูงโปร่งเอ่ยถามอย่างมีมารยาท คนฟังทั้งสองมองหน้ากันก่อนที่จุนมยอนจะเป็นฝ่ายตอบออกไป
“เค้าไปซ้อมบาสน่ะ ช่วงนี้ใกล้แข่งแล้ว .. นายชื่อลู่หานใช่มั้ย”
“ใช่แล้ว ผมลู่หาน คุณจำได้”
“อื้ม ก็น่าจะนะ .. ว่าแต่มีอะไรด่วนมั้ยล่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอก งั้นไว้เจอกันใหม่แล้วกันนะ” ว่าแล้วชายหนุ่มก็เดินจากไปพร้อมสีหน้าผิดหวังที่แม้จะยิ้มเอาไว้ก็ตามที จุนมยอนมองหน้าคริสอีกครั้งก่อนที่จะออกไปซื้อน้ำอย่างที่ตั้งใจไว้
เขาใช้เวลาแค่ไม่นานในการเดินไปและรอซื้อจนกระทั่งเดินกลับมาหาคริสที่โต๊ะ
ภาพที่เห็นทำเอาเขาไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง สาวปีเดียวกันคนหนึ่งกับเพื่อนของหล่อนอีกสองคนมาอยู่ที่โต๊ะของพวกเขาได้ยังไง
“นายเจ็บแบบนี้ไม่โทรบอกฉันเลยนะคริส” ริมฝีปากที่เคลือบด้วยลิปกลอสสีแดงเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงขณะที่ก้มไปหาชายหนุ่มจนหน้าแทบจะชิดกันอยู่แล้ว คริสกำลังอึกอักอยู่เพราะไม่นึกว่าจะมาเจอกันที่นี่ตอนนี้ แต่พอเขาเห็นว่าอีกคนยืนถือขวดน้ำเอาไว้พลางมองมาก็เปลี่ยนท่าทีเป็นอีกแบบ
“โธ่ยูมิ.. ผมเพิ่งออกจากโรงพยาบาลเอง ไม่ได้บอกใครเลย”
“งั้นเหรอ น่าสงสารจังเลยเนอะ” หล่อนพูดไปก่อนจะค่อยๆแนบตัวเองลงมาจนตอนนี้นั่งอยู่บนตักของคริสแล้ว จุนมยอนที่ยืนมองอยู่รู้สึกเหมือนมีไฟสุมในอก เขาอยากจะเอาขวดน้ำปาใส่แม่พวกนี้ให้ออกไปจากตรงนี้เหลือเกิน แล้วดูสิ ไอ้เพื่อนรักหน้าเท่าหม้อก็ไม่เจียมเลยว่าแขนตัวเองเจ็บอยู่
โอ๊ย !! คิมจุนมยอนหงุดหงิด
และไม่ทันที่คริสจะได้ยั่วโมโหจุนมยอนไปมากกว่านี้ สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ในเมื่อยูมิไม่ยอมออกไปง่ายๆ จุนมยอนก็ไม่รอเวลาอีกต่อไป
ทำไมเขาจะดูไม่ออกว่าไอ้คนอวดดีกำลังเจ็บแขนอยู่ไม่น้อยที่ถูกยัยคนเซ็กซี่นั่งเบียดอยู่แบบไม่รู้ประสาเอาเสียเลย ชายหนุ่มคิดแล้วก็เดินเบียดเพื่อนของหล่อนอีกสองคนเข้ามาจนถึงโต๊ะ
“โทษนะครับ .. เพื่อนผมเจ็บแขนอยู่ กรุณาลุกออกไปโดยด่วน” น้ำเสียงจริงจังและท่าทางที่บอกว่าไม่พอใจทำเอาสาวเจ้าทำตามแต่โดยดี และเพื่อไม่ให้มีการขัดแย้งกันขึ้นคริสก็พยักหน้าให้อีกครั้งเป็นเชิงว่าไว้เจอกัน ได้ผล ยูมิและเพื่อนของหล่อนจึงยอมจากไปโดยที่ไม่ลืมจะฝากรอยจูบไว้ที่แก้มของคริสอีกด้วย
จุนมยอนยืนทำหน้าบูดใส่คริสอยู่อย่างนั้น
“ใครใช้ให้แม่นั่นนั่งตักนาย”
“.. ทำไม หวงเอาไว้ให้ตัวเองเหรอจุนมยอน” เหมือนราดน้ำมันใส่กองไฟ จุนมยอนแทบจะระเบิดที่ถูกคำพูดกำกวมแบบนี้โถมเข้าใส่ ผิดจากคริสที่พอจะมีสติขึ้นมาเลยตีสีหน้าเรียบเฉยเอาไว้อย่างเดิม ชายหนุ่มรีบเปลี่ยนเรื่องก่อนที่จะได้เบี่ยงประเด็นไปมากกว่านี้
“โค้กล่ะ” เสียงทุ้มเอ่ยถาม เมื่อเห็นว่าเครื่องดื่มประจำของตัวเองจะกลายเป็นขวดน้ำเปล่าแทน
“น้ำอัดลมไม่ดีต่อสุขภาพนะ” จุนมยอนตอบหลังจากที่ตั้งสติได้แล้วเช่นกัน
“แต่ฉัน...”
“อย่าเรื่องมากน่ะคริส” พูดจบก็นั่งลงที่เดิมทันที มือบางเปิดฝาขวดน้ำออกยกขึ้นดื่มแล้ววางไว้บนโต๊ะ แต่ขวดของคริสที่นอนอยู่มันดันกลิ้งไปชนให้ขวดของจุนมยอนล้มลงไปเสียอย่างนั้น น้ำเปล่าในขวดไหลออกมาจนจุนมยอนแทบจะลุกหนีไม่ทัน
“อ่า .. เก้าอี้เปียกหมดแล้ว”
“ก็มานั่งนี่สิ” คริสบอกก่อนที่มือจะเอื้อมไปดึงจานอาหารของอีกฝ่ายให้มาอยู่ฝั่งเขา จุนมยอนหอบเอากระเป๋าและหนังสือมาวางไว้ที่ปลายเก้าตัวยาวด้านของคริสแล้วเดินมานั่งลงบ้าง
“อ่ะ ฉันให้ขวดของฉันแทน”
“ช่างเหอะ .. เดี๋ยวไปซื้อใหม่” พอจะลุกออกไปอีกครั้ง มือของตัวเองก็ถูกอีกฝ่ายดึงเอาไว้เสียก่อน
“ไม่ต้องหรอก กินนี่แหละ”
“ ... อืม ก็ได้” จุนมยอนทำตามที่คริสบอก ก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องยอมเหมือนกัน ก็แค่ไม่อยากเถียงด้วยล่ะมั้ง
คนตัวเล็กกว่าก้มหน้าก้มตาทานอาหารในจานของตัวเองไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังถูกคนข้างๆมองอยู่
คริสลอบมองอีกฝ่ายอยู่อย่างนั้น พอถูกมองกลับมาบ้างก็แสร้งหันหนีแล้วตักอาหารเข้าปากตัวเอง แต่จุนมยอนหันกลับเขาก็หันมามองอีกที เป็นอย่างนี้จนรู้ตัวเอาเมื่อถูกตะโกนใส่หน้าดังๆ
“เฮ้ย!! มองอะไรเนี่ย แล้วไม่กินรึไงข้าวน่ะ” จุนมยอนว่าหลังจากที่เขาจัดการกับจานของตัวเองเรียบร้อยแล้ว
“อ่ะ เออ .. รู้แล้วล่ะน่า” คริสเป็นฝ่ายยอมบ้างในครั้งนี้ ร่างสูงยิ้มกับตัวเองพลางตักอาหารในจานเข้าปากต่อไปอย่างไม่รีบร้อนนัก จุนมยอนเอื้อมมาดึงเอาขวดน้ำที่คริสยกให้ขึ้นมาดื่มก่อนจะวางมันลง
และสักพักขณะที่นั่งรออีกฝ่ายเขาก็เปิดเอากล่องขนมสีชมพูออกมาจากกระเป๋า จุนมยอนนั่งกินป๊อกกี้รสสตรอเบอร์รี่รอไปพลาง แก้มขาวผ่องกับปรอยผมสีดำขลับรับกับใบหน้าได้รูป ยิ่งยามที่มองใกล้ๆยิ่งรู้สึกเหมือนถูกดึงดูดเข้าหากว่าเก่า
คริสวางช้อนลงแล้วยกขวดน้ำขึ้นดื่มต่อจากจุนมยอน จุนมยอนหันกลับมาเห็นเข้าพอดีจึงนึกถึงบางอย่างขึ้นมา
“เหมือนในหนังเรื่องนั้นที่เราดูเลยเนอะ” เขาเอ่ยเบาๆถึงหนังเรื่องหนึ่งที่มีฉากจูบทางอ้อมผ่านขวดน้ำ เขากำลังขอความเห็นด้วยจากเพื่อนรัก แต่คริสกลับส่ายหน้าว่าเขาคิดตรงกันข้าม
“แค่นี้ไม่เรียกว่าจูบหรอกน่ะ หนังมันหลอกเด็ก”
“ทำไมพูดแบบนั้นล่ะ เรื่องนี้ออกจะสนุกนะ”
“ฉันแค่หมายถึงเฉพาะจุดนี้ .. จูบน่ะเค้าไม่ทำกันแบบนี้หรอก” ว่าแล้วก็ยกยิ้มอย่างเหนือกว่า จุนมยอนเบ้ปากให้กับท่าทีที่แสดงออกถึงความช่ำชองที่เจ้าตัวแสนจะภูมิใจ
มือบางจับแท่งขนมขึ้นกัดไปตามยาวอีกครั้ง จุนมยอนกัดไปเรื่อยๆจนเหลือแค่ปลายของมันไม่กี่เซ็น
“จูบน่ะ .. เค้าทำกันแบบนี้ต่างหากล่ะ”
จู่ๆคริสก็เอื้อมมือข้างเดียวไปด้านหลังจุนมยอนแล้วค่อยๆรั้งท้ายทอยของนั้นให้หันมาทางเขาแล้วก้มลงตรงริมฝีปากได้รูปที่คาบแท่งขนมสั้นๆเอาไว้
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว ทำเอาจุนมยอนแทบหยุดหายใจ
ลมหายใจอุ่นๆสัมผัสถึงกันเช่นเดียวกับเรียวปากทั้งสองที่เกือบจะแนบกันอยู่แล้ว เสียงหักของแท่งขนมดังขึ้นเบาๆให้รู้สึกตัว
คริสผละออกจากจุนมยอนพลางกลืนขนมที่เค้าใช้ปากแย่งอีกฝ่ายมาลงคอไปราวกับเป็นเรื่องปกติ ทิ้งให้คนที่ถูกปล้นของโปรดแท่งสั้นๆนั้นได้แต่มีอาการนิ่งค้างไม่หาย จุนมยอนรู้สึกได้ถึงขนมในปาก จากที่ก่อนหน้านี้มันสั้นแล้ว ตอนนี้เขาแทบจะกลืนมันลงไปโดยไม่ต้องเคี้ยวได้เลย
ใครจะกล้ารับประกันล่ะ ว่าเมื่อกี้นี้คริสไม่ได้ขโมยจูบจุนมยอนไปอย่างที่บอกเอาไว้
ใบหน้าคมกระตุกยิ้มอย่างคุมตัวเองไม่อยู่ ส่วนคนที่เขามองว่าซื่อบื้อมาตลอดตอนนี้เลยเอาแต่ตวัดสายตาน่ากลัวมาให้ จุนมยอนพยายามวางท่าทีให้ปกติอย่างเดิม ขืนเผลอไปพูดอะไรขึ้นอีกมันคงจะแย่กว่านี้แน่ๆ
.. แล้ว จุนมยอนผู้น่าสงสาร ก็พ่ายแพ้กับผู้ชายคนนี้อีกทีแล้วมั้ยล่ะ
◆◆◆◆◆◆
น่าแปลกนักที่คริสจะมานั่งอ้อยอิ่งรอใครบางคนทำงานกลุ่มจนพลบค่ำ ร่างสูงนั่งอยู่ที่เดิมใต้ตึกคณะของตัวเอง มีนักศึกษาอยู่ประปรายแต่จนแล้วจนรอดจุนมยอนก็ไม่ลงมาจากชั้นบนเสียที ชายหนุ่มก้มดูเวลาที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือไปเรื่อยๆ ไอ้การต้องมานั่งอยู่ในสภาพแขนเดี้ยงแบบนี้มันก็น่าอายเสียจริงๆสิให้ตาย
“วู้ววว! ว่าไงเพื่อนยาก มานั่งรอสาวที่ไหนอยู่ล่ะเนี่ย” พยอนแพคฮยอนเพื่อนรักเพื่อนแค้นโผล่ใบหน้ากวนๆมาทำให้คริสเสียอารมณ์ได้เวลาพอดิบพอดีราวกับรู้งาน
“เหอะ สาวที่ไหนล่ะ” คริสพูดประชดคนตรงหน้าที่นั่งลงฝั่งตรงข้ามเขาอีกที แพคฮยอนยิ้มร้ายจนคริสอดจะกลัวๆไม่ได้
“ยิ้มอะไรวะ”
“ก็ถ้าให้เดานะ .. สาวที่ชื่อคิมจุนมยอนล่ะสิ”
“.............” เหมือนถูกแทงใจดำ คนฟังไม่ได้ปฎิเสธไปอย่างที่ควร แต่กลับทำหน้านิ่งไม่ยอมตอบเสียอย่างนั้น แพคฮยอนจับอาการแปลกๆแบบนี้ได้อีกมากเลยปล่อยเลยตามเลย
“นู่นไง มานั่นแล้ว” แพคฮยอนชี้มือไปยังร่างเล็กที่วิ่งกระหืดกระหอบตรงมาหาพวกเขา จุนมยอนหอบเอากระเป๋าและหนังสือของตัวเองมาหยุดที่หน้าคนทั้งสอง คริสที่ไม่พูดอะไรและท่าทีที่ดูไม่พอใจกับการที่ต้องรอนานทำให้จุนมยอนหน้าเจื่อนไปโดยปริยาย แพคฮยอนมองเพื่อนรักสลับกันไปมาโดยไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป เขาลุกขึ้นไปอุ้มเอาหนังสือทั้งหมดในมือจุนมยอนออกมาถือเอาไว้เองก่อนจะเดินนำลิ่วออกไปตามทาง
“นายโกรธเหรอคริส ฉันขอโทษ” จุนมยอนกล่าวจากใจ และทุกครั้งคริสก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายแคร์ตัวเองมากแค่ไหน
“ฉันยกโทษให้ กลับเถอะ” ร่างสูงประคองแขนตัวเองขึ้นแล้วลุกเดินตามอีกคนไป ทิ้งให้จุนมยอนรีบก้มเอากระเป๋าของตัวเองจากโต๊ะแล้วเดินตามออกไปบ้าง
ที่ป้ายรถเมล์อย่างเมื่อวานที่กลับด้วยกัน เพียงแต่วันนี้แพคฮยอนเป็นฝ่ายจะกลับอีกทาง
“อ้าว .. นายไม่กลับเหรอ” จุนมยอนถาม พร้อมกับคริสที่เลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ
“เออน่ะ ไม่อยากจะบอกว่าคืนนี้ต้องซ้อมบาสอีก” พอบอกถึงเหตุผล คนฟังก็ไม่แปลกใจอีกเลย
ของทั้งหมดที่ช่วยจุนมยอนถือ ตอนนี้แพคฮยอนเลยจำใจต้องยกให้เพื่อนแบกมันเอาไว้อีกเช่นเคย เขาก็แค่แอบหวังไว้ว่าไอ้เพื่อนเจ้าเล่ห์อีกคนจะมีน้ำใจช่วยบ้างก็เท่านั้น
แพคฮยอนโบกมือให้จุนมยอนและคริสที่ขึ้นรถไปแล้ว ก่อนที่รอยยิ้มมาดหมายจะปรากฏออกมาบนใบหน้า เขาก็แค่จะรอดูให้แน่ใจอะไรบางอย่างต่อไปก็เท่านั้น
.. โทษนะเว้ยที่โกหก รับรองว่าพวกนายไม่โกรธฉันแน่
แม้ว่าการซ้อมบาสตอนกลางคืนจะเป็นเรื่องปกติของแพคฮยอน แต่คราวนี้เขาไม่ได้มีซ้อมอย่างที่บอกเสียด้วยสิ และยืนอยู่ได้ไม่นานรถเมล์สายเดียวกับที่พวกจุนมยอนขึ้นคันต่อมาก็ถูกเขาโบกขึ้นเป็นไปที่เรียบร้อย
แรงเบียดเสียดของคนที่มากกว่าปกติในวันนี้ทำให้สองร่างต้องยืนแนบกันอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายในรถ คริสพยายามอดทนรอให้กลับมาขับรถได้ดังเดิม แม้ว่าหากจะให้ที่บ้านมารับก็สามารถทำได้ แต่ทำไมเขาไม่ทำกันนะ .. นั่นสิ ขืนทำแบบนั้นก็ไม่คุ้มค่ากับคนที่ต้องการไถ่โทษเสียหรอก
“มานี่ ฉันช่วย” คริสดึงเอากระเป๋าทั้งสองขึ้นมาพาดบ่าไว้ก่อนที่มือข้างนั้นจะยกขึ้นโหนราวบนของรถเมล์ จุนมยอนเลยอุ้มไว้แค่หนังสือไม่กี่เล่ม เขาพยายามยืนบังแขนของอีกฝ่ายเอาไว้ไม่ให้ใครมาชน แต่ไปๆมาๆกลายเป็นว่าตัวเองกลับเซเข้าหาแผ่นอกกว้างนั่นทุกที โดยเฉพาะเวลาที่รถเบรกหรือว่าทุกคนข้างๆเบียดเข้ามา ร่างสูงขืนตัวเองไว้เป็นหลักให้อีกคน แม้ว่าแขนจะเจ็บและพาดกระเป๋าไว้ข้างหนึ่งแต่มือข้างเดียวที่จับราวบนเอาไว้นั้นไม่ได้ทำให้คริสรู้สึกลำบากอะไรเลย กลับกัน เขาอยากบอกว่าคนข้างกายเสียเหลือเกินว่าห่วงตัวเองท่าจะดีกว่า ถูกเบียดจนจะแบนอยู่แล้ว
และหากการที่คริสปล่อยให้จุนมยอนถูกคนอื่นเบียดเสียขนาดนั้นโดยที่เขายังได้แค่ยืนข้างๆก็บ้าแล้ว ชายหนุ่มนึกในใจว่าไม่มีวันเสียล่ะ ร่างของคริสขยับเข้าหาจุนมยอนกว่าเก่า ก่อนจะตวัดตัวเอาแผ่นหลังกันคนอื่นออกจากคนตรงหน้าของเขา
“ระวังแขนหน่อยสิ” จุนมยอนปรามพลางเงยหน้าบอกอย่างเป็นห่วง
“ห่วงตัวเองก่อนดีมั้ยคุณคิมจุนมยอน” เสียงทุ้มเอ่ยบอกก่อนจะมองแบบตำหนิที่อีกฝ่ายเอาแต่ห่วงเขาโดยไม่ดูตัวเอง
“แต่แขนนาย..”
“แค่นี้ไกลหัวใจน่ะ” คริสบอกอย่างถือเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อย แต่พออีกฝ่ายทำหน้าเหมือนว่าไม่ได้คิดอย่างนั้น ใบหน้าคมจึงอดไม่ได้ที่จะโน้มลงไปกระซิบเบาๆ
“หรือว่านายจะทำให้มันใกล้หัวใจกว่าเดิมล่ะ”
พูดจบแล้วก็ใช่ว่าจะผละตัวเองออกมา คริสยังคงยื่นหน้าค้างไว้ข้างแก้มของจุนมยอนอยู่อย่างนั้น แค่สัมผัสเพียงผิวผ่านก็ทำให้เขาไม่อยากจะถอนตัว จุนมยอนรู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้าอย่างห้ามไม่อยู่ หลายๆอย่างพาให้คิดไปไกลจนต้องเรียกสติกลับคืนมา มือบางยกขึ้นทุบเบาๆที่อกของคริสหนึ่งที จึงทำให้อีกฝ่ายยอมเงยหน้าขึ้นจากตัวเอง
“เป็นไงล่ะ .. ตรงหัวใจพอดีมั้ย”
“หึหึ ขอคิดดูก่อนละกัน”
“เออ นายนี่ท่าจะบ้า!” พูดจบแก้มที่เริ่มเป็นสีชมพูก็รีบก้มหน้าลงทันที ไม่ใช่แค่จุนมยอนที่ดูจะบ้าไปเอง แต่คนที่ถูกหาว่าบ้าก็พอจะรู้ตัวดีว่าตัวเองคงบ้าไปแล้วจริงๆ
รถเมล์คันใหญ่เคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ แต่สำหรับสองคนไม่ได้มีบทสนทนาอะไรเกิดขึ้นอีก เรือนผมสีดำขลับคลอเคลียอยู่ใต้จมูกของคริส โดยที่เขาไม่ลืมจะแอบโน้มใบหน้าลงไปหาคนในอ้อมกอดที่ไม่รู้ตัวอะไรเลย
.
.
Tbc. Ending part
tag #ficHealmebaby
ความคิดเห็น