คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #19 : One heart One love :: 16
One Heart One Love
-Sixteen-
จงอินพาร่างที่เปียกปอนไปทั้งตัวกลับเข้ามาในโรงพยาบาล ดวงตาที่แสนเลื่อนลอยยังคงหลงเหลือร่องรอยของน้ำตาไว้ให้เห็น ขายาวๆก้าวไปตามทางจนมาถึงห้องพักของคยองซูในที่สุด มือหนายกขึ้นเปิดประตูบานกว้างออกช้าๆ แล้วก็ถึงกับตกใจเมื่อก้าวเข้าไปในห้อง กลับไม่พบคยองซูนอนอยู่บนเตียงนอนอีกแล้ว!
คยองซูหายไปไหน!?
ไม่ปล่อยให้ตัวเองคิดอะไรอีก ร่างสูงวิ่งออกมาตรงเคาน์เตอร์ซึ่งมีพยาบาลสองคนเฝ้าเวรอยู่ ก่อนจะร้องถามอย่างร้อนรน “คุณพยาบาลครับ! คนไข้ที่พักรักษาตัวอยู่ที่ห้องนั้นหายไปไหนแล้วล่ะครับ!?”
พยาบาลสาวมองไปตามเลขห้องที่จงอินชี้ หันมองเพื่อนของตัวเองเลิกลั่กอย่างปรึกษากันว่าจะบอกดีไหม แต่สุดท้ายแล้วพยาบาลคนนั้นก็เอ่ยตอบคนที่ยืนกระสับกระส่ายอยู่ตรงหน้าเธอ
“คุณคยองซูถูกพาเข้าห้องฉุกเฉินด่วนค่ะ”
“คยองซูเป็นอะไรครับ?!?”
“ค...คือ...”
“อึกอักอะไรอยู่เล่า!!”
จงอินตวาด ตอนนี้เขาคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้อีกต่อไป มือที่กำเข้าหากันเริ่มสั่น ไหล่กว้างไหวไปตามแรงอารมณ์ พยาบาลคนนั้นหน้าถอดสีจนเพื่อนข้างๆเธอต้องเป็นคนตอบคำถามนั้นแทน แม้ว่าจะแอบกลัวจงอินอยู่เหมือนกันก็ตาม
“คุณคยองซูเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวกะทันหันค่ะ ตอนที่ดิฉันกับเพื่อนเข้าไปดูคุณคยองซูในห้องตามที่เขากดปุ่มเรียกพยาบาล ก็เห็นว่าเขานอนขดตัวอยู่ที่พื้น แถมหน้าก็ซีดมาก แล้วพอเขาสลบไปทางเราจึงรีบพาส่งเข้าห้องฉุกเฉินไปเลยค่ะ”
ภาวะหัวใจล้มเหลวกะทันหัน...
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!?
“ห้องฉุกเฉินไปทางไหน!?” จงอินกระชากเสียง พยาบาลคนเดิมกับที่ตอบคำถามเมื่อกี้จึงรีบตอบ
“ลงไปชั้น 5 นะคะ ห้องฉุกเฉินอยู่ตรงสุดทางเดิน”
จงอินพยักหน้ารับแล้วรีบวิ่งออกไปจากตรงนั้นทันที หัวใจเต้นถี่รัวเนื่องจากทั้งเหนื่อย และทั้งเป็นห่วงคยองซู ร่างสูงวิ่งไปตามที่พยาบาลสาวบอก มองซ้ายมองขวากับทางแยกที่แบ่งเป็นสี่แยก หมุนตัวหันหลังแล้วก็พบกับจุดหมายที่ตัวเองต้องการ ขายาวๆหยุดยืนนิ่งอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน เหงื่อเม็ดเล็กผุดพรายไปทั่วใบหน้าแต่จงอินก็ไม่ได้สนใจ เขาสนแค่อย่างเดียวคือคนที่อยู่ในห้องนี้ต่างหาก...
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ... แต่ก็ยังไม่มีวี่แววของหมอเลยแม้แต่นิด
จงอินเริ่มกระสับกระส่ายหนักกกว่าเก่า เขาเดินไปเดินมาเผื่อว่าจะช่วยให้หายเครียด แต่เปล่าเลย... การทำอย่างนั้นยิ่งทำให้เขาร้อนรนและเป็นห่วงคยองซูแทบบ้ามากกว่าเดิม
อย่าเป็นอะไรไปเลยนะคยองซู
จงอินเงยหน้ามองเพดานสีขาวด้านบน ถอนหายใจออกมาหนักๆด้วยความเครียด ก่อนจะยกมือขึ้นมาเสยผมตัวเองขึ้น
จงอินมองบานประตูตรงหน้าราวกับจะมองมันให้ทะลุไปถึงข้างในได้... อยากรู้ว่าคยองซูจะเป็นยังไงบ้างแล้ว
ก่อนที่จงอินจะถอนหายใจออกมาอีกรอบ คุณหมอท่าทางเคร่งเครียดคนหนึ่งก็เดินออกมาจากห้องฉุกเฉินพอดี ร่างสูงพุ่งตัวเข้าหาคุณหมออย่างรวดเร็วแล้วยิงคำถามที่ตัวเองกังวลมานานกับคุณหมอ
“คยองซูเป็นยังไงบ้างครับ!?”
“คุณเป็นญาติของคนไข้ใช่ไหมครับ?” คุณหมอยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ประปรายอยู่บนใบหน้า พร้อมกับถามจงอินด้วยท่าทางสุขุม
“ใช่แล้วครับ!”
“คุณคยองซูเป็นโรคหัวใจครับ”
ราวกับโลกหยุดหมุนชั่วขณะ... จงอินยืนนิ่ง หูมันอื้อไปหมด สมองหยุดสั่งการ ส่วนหัวใจก็บีบรัดแน่นคล้ายต้องการทรมานเขาให้เจ็บเจียนตายไปเลยทีเดียว
“ตอนนี้หัวใจของคุณคยองซูอ่อนแอมากเลยนะครับ”
“…”
“หมอคิดว่าคุณคยองซูต้องรีบผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจด่วน... หัวใจของเขาตอนนี้มันอ่อนแอมาก... ถ้าเขาไม่ยอมผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ... เขาคงอยู่ได้อีกไม่เกินสองอาทิตย์แน่นอนครับ”
“…”
“และเท่าที่ตรวจมาหมอคิดว่า... คุณคยองซูรู้นานแล้วนะครับว่าตัวเองเป็นโรคหัวใจ ทั้งๆที่หมอเพิ่งตรวจพบวันนี้เอง... หมอก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ถึงไม่ยอมบอกคนรอบตัว แต่ทางที่ดีคือคุณต้องทำให้เขายอมผ่าตัดนะครับ”
“…”
“เพราะถ้าเขาไม่ยอม... นั่นหมายถึงเขาต้องการจะตาย”
“…!”
“หมอพูดได้เท่านี้ล่ะครับ... อย่าลืมที่หมอบอกล่ะ... ทำยังไงก็ได้ให้คุณคยองซูยอมผ่าตัด... ลาล่ะครับ”
พูดจบคุณหมอก็รีบขอตัวไปรักษาคนไข้คนอื่นต่อทันที จงอินไม่แม้แต่จะโค้งลาคุณหมอ ตอนนี้เขาไม่ได้ยินเสียงรอบข้างอีกเลยตั้งแต่ที่คุณหมอบอกว่าคยองซูรู้นานแล้วว่าตัวเองเป็นโรคหัวใจ แต่ไม่ยอมบอกให้ใครรู้
คยองซูจะทำแบบนั้นไปทำไม?
“ขอทางหน่อยครับ”
เสียงของใครบางคนดึงจงอินให้กลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง เขาหันไปตามเสียงเรียกก็พบกับบุรุษพยาบาลตัวสูงกำลังเข็นรถเข็นให้ร่างบางที่แสนคุ้นเคยสำหรับจงอินออกมาจากห้องนั้น จงอินไม่รอช้ารีบถลาไปนั่งยองๆคุยกับคยองซูทันที
ดวงหน้าหวานซีดขาวราวกับกระดาษ ริมฝีปากที่เคยมีเลือดฝาดก็ซีดลงอย่างเห็นได้ชัด คยองซูก้มหน้าลงเมื่อพบว่าจงอินมานั่งยองๆคุยกับตัวเอง เบนสายตาไปทางอื่นเพื่อจะได้ไม่ต้องสบสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามมากมายของจงอิน
คยองซูเม้มริมฝีปาก จิกมือที่วางอยู่บนตักแน่น รู้สึกร้อนๆที่ขอบตาขึ้นมาอีกครั้งเมื่อจู่ๆมือหนาก็ลากไล้ไปตามข้างแก้มอย่างอ่อนโยน
“เดี๋ยวผมเข็นเขากลับห้องเองครับ ไม่ต้องห่วง” จงอินพูดกับบุรุษพยาบาลข้างหลังร่างบาง เขาพยักหน้าหงึกหงักแล้วเดินออกไปทันที
“ฉันจะยังไม่พูดเรื่องที่นายถูกส่งเข้าห้องฉุกเฉินหรอกนะ... ไว้นายพร้อมเมื่อไรค่อยเล่าให้ฉันฟังแล้วกัน”
เสียงที่เจือด้วยอบอุ่นอ่อนโยนลอยไปมาในโสตประสาท คยองซูเงยหน้าเพื่อจะได้มองอีกคนได้ชัดๆ วงแขนเล็กโอบรอบตัวจงอินไว้แน่นพร้อมกับหยดน้ำอุ่นๆที่ไหลลงมาบนไหล่หนา... คยองซูไม่พูดอะไรแต่กลับกระชับกอดแน่นขึ้นกว่าเดิม
จังหวะหัวใจที่เต้นช้าลงๆแล้วก็กลับมาเต้นเป็นปกติเหมือนเดิมทำให้จงอินรู้ว่าคยองซูต้องทรมานมากแน่ๆ... เพราะขนาดเขาไม่ได้เป็นโรคหัวใจเอง เขายังรู้สึกเจ็บที่หัวใจราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นของใครสักคนบีบมันไว้แน่นเลย
ดวงตาที่เคยทอประกายสดใสถูกกลบด้วยหยาดน้ำตามากมายหลายสิบหยด... ริมฝีปากสั่นเครือที่กระซิบเป็นคำพูดข้างหูของจงอินแม้ว่าร่างสูงจะฟังไม่รู้เรื่อง ตอกย้ำถึงความเจ็บปวดของคนตัวเล็กที่กำลังส่งผ่านจากตัวเองมาถึงจงอิน
เขาไม่อยากผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ...เขาไม่สนว่าเขาจะต้องตาย
เขารู้แค่ว่าถ้าตัวเองยอมผ่าตัด ความเป็นไปได้ที่จะรอดกับตายมันก็ครึ่งต่อครึ่ง... และถึงแม้เขาจะรอด... เขาก็ต้องนอนโรงพยาบาลไปตลอดชีวิตเพระร่างกายของเขาอ่อนแอเกินไป... แม้ว่าหมอจะบอกว่าหัวใจที่จะถูกผ่าตัดแลกเปลี่ยนให้กับเขาจะเข้ากับร่างกายของเขาได้... แต่หัวใจดวงใหม่ก็ใช่ว่ามันต้องการจะอยู่ในร่างกายของเขาซักหน่อย
...ถ้าหัวใจกับร่างกายมันเข้าหากันได้ทั้งที่มันไม่ต้องการ สุดท้ายผลเสียก็จะตกมาอยู่ที่เขาคนเดียวทั้งนั้น
ร่างกายของใคร... คนนั้นก็เป็นของเจ้าของมันได้เพียงคนเดียว...
หัวใจก็เหมือนกัน...
...ถ้าให้มันไปอยู่กับร่างกายที่ไม่ใช่เจ้าของเดิม... บังคับให้ตายมันก็คงไม่มีวันยอมรับร่างกายใหม่ได้หรอก
“จงอิน...” คยองซูพูดคล้ายกระซิบ
“ถ้าวันหนึ่งฉันตายไป จงอินจะทำยังไง”
จงอินมองตรงไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย... ไร้คำตอบใดๆ...ไร้ความรู้สึกอะไรทั้งนั้น...
คยองซูหลับตาลงเมื่อจงอินยังไม่ยอมตอบคำถาม ความเหนื่อยและความเจ็บปวดจากการที่หัวใจมันบีบรัดแน่นจนแทบหายใจไม่ออกทำให้คยองซูเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว
หลับไหลไปด้วยความเหนื่อยอ่อน...โดยที่ยังไม่ได้ฟังคำตอบของจงอินเลย
ร่างสูงขยับตัวเล็กน้อยแล้วพูดเสียงแผ่ว... ไม่หวังให้คยองซูได้ยินและไม่หวังให้มันเกิดขึ้นแน่ๆ... ไม่ว่าจะเขาหรือคยองซูก็ตาม
“ถ้านายตาย... ฉันก็จะตายตามนายไป... คยองซู”
----------------------------------------
จงแดถอนหายใจยาวก่อนจะไขกุญแจบ้านเข้าไป มองฝ่าความมืดไปก็พบว่ามินซอกยังนอนอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน
นี่มินซอกนอนรอเขาหรอ...
จงแดย่องเบาๆและไม่ยอมเปิดไฟเพื่อจะได้ไม่เป็นการรบกวนคนที่นอนอยู่บนโซฟา เขาทิ้งตัวนั่งลงข้างมินซอก เอื้อมมือลูบผมอีกฝ่ายให้อย่างแผ่วเบา... ดวงตาที่ทอดมองมินซอกอย่างอบอุ่นทำให้คนที่แกล้งหลับแต่ยังแอบลืมตามองเขาเล็กน้อยรู้สึกอยากจะลุกขึ้นแล้วกอดอีกคนไว้แน่น
แต่นั่นก็แค่ความคิดชั่ววูบเท่านั้น...
ความเจ็บทางร่างกายและหัวใจที่จงแดทิ้งไว้ให้เขาเผชิญหน้ากับมันคนเดียวถูกสร้างเป็นกำแพงบางๆกั้นระหว่างทิฐิกับความรัก
ถ้าถามว่ามินซอกยังรักจงแดอยู่ไหม... เขาสามารถตอบได้อย่างเต็มปากว่ารัก... แต่ถ้าถามว่าจะยอมอภัยให้จงแดไหม...
ขอตอบได้เลยว่าเขายังไม่แน่ใจ
มืออันแสนเย็นเฉียบของมินซอกถูกอีกคนดึงไปจับไว้แน่น ก่อนประทับริมฝีปากลงบนหลังมืออย่างแผ่วเบา หัวใจที่เต้นถี่ระรัวทำให้มินซอกรู้สึกกลัวขึ้นมาว่าจงแดจะได้ยิน... กลัวว่ากำแพงทิฐิที่แสนแข็งแรงจะถูกความอ่อนโยนนี้ทำลายให้เหลือเพียงแต่ตอ
“ฉันขอโทษกับทุกเรื่องเลยนะ” จงแดก้มลงกระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงที่ไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้ยินแบบนี้ “ขอโทษที่ไปจับนายมาขังไว้ในบ้านของตัวเอง”
มินซอกนึกย้อนไปถึงตอนที่ชานยอลเดินหนีไปตามที่มีคุณยายคนหนึ่งเดินมาบอกว่าซูโฮเรียกให้ไปหา ตอนแรกเขาก็ว่าจะห้ามนะ แต่พอเห็นว่าชานยอลรีบร้อนขนาดนั้นเลยไม่คิดจะรั้งอะไรต่อ และไม่กี่นาทีต่อมาร่างที่แสนคุ้นเคยของใครบางคนก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า... ประกบปากเขาไว้ด้วยผ้าชุบยานอนหลับทำให้มินซอกไม่มีสติและเผลอหลับไป... มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่มาอยู่บ้านของจงแดแล้ว.. แถมยังโดนมัดไว้ด้วยเชือกอีกต่างหาก... ทั้งเขาและจงแดไม่ได้พูดอะไรกันจนกระทั่งจงแดกำลังจะออกจากบ้านเมื่อตอนช่วงหัวค่ำ จงแดแกะเชือกออกให้และขอร้อง... ว่าอย่าพยายามออกจากบ้าน... อย่าคิดหนี... และอย่าเกลียดเขา... ก่อนที่จงแดจะขับรถออกไปทันที
อย่าเกลียดเขา...
คำพูดนี้ก้องอยู่ในสมองจนกระทั่งถึงตอนนี้ มินซอกพยายามจะลบมันออกไปแต่ก็ทำไม่ได้
เพราะคำพูดนั้นมันไม่ได้ฝังอยู่ในสมอง...แต่มันตอกลึกอยู่ในหัวใจ
“ขอโทษที่ทำร้ายนายไปวันนั้น... ขอโทษที่หนีหน้านาย... หนีความผิดที่ฉันตั้งใจทำมันลงไป... หนีความจริงที่ว่าฉันรักนาย”
ฉันรักนาย....
คำสั้นๆที่มินซอกอยากได้ยินมันออกจากปากของผู้ชายคนนี้มาโดยตลอด... วันนี้เขาได้รับมันแล้ว
“ขอโทษที่บอกไปว่าฉันไม่ได้รู้สึกอะไรกับนายเลย... ขอโทษที่บอกนายว่าที่ฉันทำลงไปทั้งหมดก็เพียงเพราะความใคร่”
“…”
“ที่ฉันทำลงไปแบบนั้น... เพราะฉันหวงนาย”
“…”
“เพราะฉันรักนาย... เพราะฉันต้องการเป็นเจ้าของนายเแค่เพียงคนเดียว”
คำสารภาพทั้งหมดพรั่งพรูออกมาอย่างไม่คิดปิดบัง...และไม่มีแม้แต่ความลังเลใจใดๆทั้งสิ้น... หัวใจที่ปิดตายมานานแล้วพองโตราวกับลูกโป่ง... ล่องลอยไปมาบนปุยเมฆ... ความตื้นตันส่งผลให้น้ำตาไหลลงมาตามหางตาของมินซอกช้าๆ
“น...นาย...”
เสียงของจงแดดูตกใจเมื่อมือหนารู้สึกถึงน้ำตาบริเวณแก้มของอีกคน ดวงตาวูบไหวคล้ายสายน้ำที่นิ่งสงบแต่กำลังถูกพายุห่าใหญ่โถมเข้าใส่เต็มแรง... มินซอกรู้ความในใจของเขาหมดแล้ว
แต่...มินซอกจะยอมอภัยให้เขาไหม?
นั่นเป็นสิ่งเดียวที่จงแดกลัว... ความรู้สึกและคำพูดของมินซอกมีอิทธิพลต่อหัวใจของเขามากมายจนไม่อาจบรรยายได้
“ฉันไม่รู้หรอก”
จู่ๆมินซอกก็เอ่ยแทรกความเงียบขึ้นมา ดวงตาที่ไม่ว่าจะมองเมื่อไรเขาก็หลงรักรื้นไปด้วยน้ำตา... ภาพตรงหน้าทำให้จงแดอยากเอื้อมมือไปปาดน้ำตาออกให้ แต่เขายังไม่มีสิทธิ์นั้น
“ฉันไม่รู้หรอกว่าที่นายพูดมาทั้งหมดเป็นความจริงหรือเปล่า”
“…”
“แต่ขอให้นายรู้ไว้ว่าสิ่งที่ฉันจะพูดต่อจากนี้...เป็นความรู้สึกที่ออกมาจากใจของฉันทั้งหมด”
“…”
“นายจำวันแรกที่ฉันเข้าไปขอคบนายในผับได้ใช่ไหม?”
จงแดทำท่านึกชั่วครู่แล้วก็พยักหน้าหงึกหงัก
“นั่นน่ะ... ฉันต้องใช้ความกล้ามากเลยรู้ไหมกว่าจะเข้าไปคุยกับนายได้... ฉันแอบชอบนายมาตั้งนานแล้ว...จะเรียกว่าตั้งแต่ที่พบนายครั้งแรกเลยก็ได้มั้ง.. แต่ก็อย่างที่นายรู้ ด้วยนิสัยไม่ค่อยยอมใครของฉันทำให้สิ่งที่ฉันแสดงออกมันเหมือนกับว่าฉันแค่อยากคบนายเล่นๆ”
“…”
“ทั้งที่จริงๆตอนนั้นฉันทั้งประหม่าทั้งกลัวนายจะหัวเราะจนแทบบ้าเลยนะ” มินซอกหัวเราะแห้งๆ หลุบตาลงต่ำแล้วเอ่ยต่อ “ความสัมพันธ์ของเราดำเนินไปเรื่อยๆโดยที่มีแค่ฉันคนเดียวที่แสดงออกว่ารักนายมากขึ้นทุกวันๆ... ส่วนนาย...นายไม่เคยแม้แต่จะดูแลฉันหรือพูดคำว่ารักให้ฉันฟังเลยสักครั้ง...แต่ก็ไม่รู้เพราะสาเหตุอะไรเหมือนกันนะที่ทำให้ฉันตัดใจจากนายไม่ลงสักทีทั้งที่นายก็ดูท่าว่าจะไม่ได้ชอบฉันเลย”
“…”
“เราคบกันเกือบจะถึงหนึ่งปีแล้ว...แต่นายกลับพังทุกอย่างลงในคืนเดียว ความสัมพันธ์ทางกายที่นายบอกว่ามันเป็นเพียงแค่ความใคร่ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความรัก... รู้ไหมว่าฉันเจ็บแค่ไหนกับคำพูดของนาย”
คำถามที่ไม่ได้ต้องการคำตอบ...
จงแดพยายามมองหน้ามินซอกให้ชัดๆแต่ความร้อนที่ขอบตาทำให้เขาต้องรีบเงยหน้าขึ้น... เขาจะทำตัวอ่อนแอแบบนี้ไม่ได้
อย่างน้อยก็ต่อหน้ามินซอก... เขาต้องเข้มแข็งที่สุด
“พอนายจากไปอยู่จีน... ฉันก็พยายามอย่างหนัก... ทีละนาที...ทีละชั่วโมง... ทีละวัน...ทีละสัปดาห์... หลายเดือนผ่านไปแต่ฉันก็ยังลืมนายไม่ลง และถึงฉันจะแสดงออกว่าเกลียดนายแค่ไหน แต่หัวใจกลับคอยเตือนสติฉันทุกครั้งที่ฉันโมโหเรื่องที่คล้ายๆกับสิ่งที่ฉันเคยพบเจอตอนได้อยู่กับนาย... เตือนให้ฉันยังรับรู้ว่าหัวใจยังลืมนายไม่ลง... ลืมความรักที่เคยมีต่อนายไม่ลง... แต่สิ่งที่ฉันลืมได้สนิทใจก็คือความโกรธเมื่อวันนั้น... ฉันไม่เคยจำว่าฉันเจ็บแค่ไหนกับสิ่งที่นายทำ ฉันจำแค่ว่าเราเคยได้อยู่ด้วยกัน จำแค่ว่าฉันเคยรักนายมากแค่ไหน”
“…”
“จำแค่ว่านายเคยทำอะไรที่ทำให้ฉันใจเต้นแรงบ้าง”
“…”
“ฉันจำได้แค่นั้นจริงๆ”
หมับ!
ทันทีที่มินซอกพูดจบ จงแดก็คว้าเขามากอดไว้แน่น ความอ่อนแอทั้งหมดถูกระบายออกมาผ่านน้ำตามากมาย...
น้ำตาที่ไม่เคยมีใครได้เห็น...มีแค่คนนี้เท่านั้น
แค่มินซอกเท่านั้นที่เขาทนเก็บความอ่อนแอไว้ไม่ได้จริงๆ
“ขอโทษ... ขอโทษจริงๆที่ทำร้ายนาย...จะให้ฉันพูดขอโทษสักร้อยครั้งพันครั้งก็ได้... ฉันยอม...ยอมให้นายได้ทุกอย่าง”
สองร่างกอดกันแน่น ปลดปล่อยน้ำตาที่กักเก็บมาเป็นเวลานานให้ไหลลงมาได้ตามใจ... หัวใตที่เต้นสอดประสานกันดังไปทั่วห้อง... กำแพงที่ทั้งคู่เคยสร้างไว้พังทลายลงมาอย่างแรง
คนหนึ่งลดทิฐิลง...ส่วนอีกคนก็ลดความปากแข็งลง
กำแพงพวกนั้นไม่มีผลต่อความรู้สึกของพวกเขาอีกต่อไปแล้ว ขอแค่มีคนตรงหน้า... แค่มีคนคนนี้เขาก็ไม่กลัวอะไรอีก
ต่อให้ความตายมาพรากพวกเขาออกจากกัน..
หัวใจของทั้งคู่ก็จะยึดกันไว้แบบนี้ตลอดไป
----------------------------------------
แสงแดดยามเช้าที่ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาปลุกให้ลู่หานลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก... เหยียดแขนออกคลายความเมื่อยล้าแล้วก็รู้สึกถึงศีรษะของใครสักคนที่อยู่ใกล้ๆกับเอวของเขา
“เซฮุน!”
ลู่หานร้องออกมาเสียงดัง ขยี้ตาไปมาให้รู้ว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาด เซฮุนเงยหน้าขึ้นมองลู่หานเล็กน้อยพร้อมกับยิ้มหวานให้ด้วยท่าทางที่ลู่หานคิดว่ามันน่ารักมากสำหรับเขา “มาทำอะไรตั้งแต่เช้าเนี่ย!?”
ลู่หานเอ่ยถามเสียงดัง เซฮุนใช้นิ้วปิดปากร่างบางไว้ไม่ให้เอ่ยคำพูดอะไรออกมาอีก ใบหน้าหล่อเหลาขยับเข้ามาใกล้จนลมหายใจของทั้งคู่แทบรวมกลายเป็นหนี่งเดียวกัน
“อยากรีบมาหาแฟนตัวเอง... ผิดไหมครับ” เซฮุนถามหน้าตาย รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ตรงมุมปากของร่างสูงทำให้ลู่หานเผลอเขกหัวเซฮุนไปทีหนึ่งอย่างหมั่นไส้
“ไม่ผิดหรอก... แต่ไอ้รอยยิ้มแบบนี้อ่ะผิดเต็มๆเลย”
“ผมก็ยิ้มแบบนี้ปกติ... ทำไมถึงผิดอ่ะ?”
“มันผิดตรงที่มันทำให้ฉันไม่อยากอยู่ใกล้นายไง”
“งั้นก็แสดงว่าอยากเข้ามาอยู่ใกล้ๆผมน่ะสิ... พี่ถึงบอกว่ารอยยิ้มแบบนี้อ่ะผิด ><”
เซฮุนยิ้มหวานกว่าเดิมแล้วขยับเข้ามาจนหน้าผากของทั้งคู่ชนกัน ลู่หานทำท่าจะดุเซฮุน แต่ร่างสูงรู้ทันเลยรีบประกบริมฝีปากลงมาทันที
สัมผัสหวานล้ำและแสนนุ่มนวลทำให้สมองของร่างบางขาวโพลนมือที่ตั้งใจจะผลักอกอีกคนออกตวัดขึ้นโอบรอบคอร่างสูงไว้ หัวใจเต้นแรงอย่างกับว่าจะหลุดออกมาจากอกให้ได้... ดวงตาคมที่จ้องลึกเข้ามาในดวงตากลมโตเพื่อสื่อถึงความรู้สึกมากมายที่อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้... อธิบายไม่ได้ สัมผัสไม่ได้... แต่รู้สึกได้ผ่านดวงตาและจูบครั้งนี้
เซฮุนค่อยผละจูบริมฝีปากออกมาช้าๆเมื่อรู้สึกถึงลมหายใจที่ใกล้จะหมดไปจากปอดของอีกคนในอีกไม่ช้า... ลู่หานสูดอากาศเข้าไปทดแทนลมหายใจที่เสียไปจากจูบอันแสนยาวนานเมื่อครู่
“รักพี่นะ...พี่ลู่หาน”
เซฮุนพูดเสียงหนักแน่น จับมือบางมาแนบกับหัวใจของตัวเองซึ่งกำลังเต้นแรงไม่ต่างจากลู่หานเลย
“ผมจะขังพี่ไว้ในนี้ตลอดไป”
“แล้วถ้าพี่อยากจะออกมาล่ะ?”
“ผมก็จะใช้ความรักทั้งหมดที่ผมมีรั้งพี่ไว้... ใช้ความรู้สึกทั้งหมดพันธนาการพี่ไว้ไม่ให้หลุด... ใช้โซ่ตรวนขังพี่ไว้ให้แน่นหนาที่สุด... จะไม่ปล่อยให้หนีไปไหนได้อีกเลย”
เซฮุนย้ำคำพูดนั้นอีกครั้งด้วยการจูบเบาๆที่ข้างแก้มแล้วเลื่อนมาหยุดอยู่ที่ริมฝีปาก... จูบที่อ่อนโยนทว่าหนักแน่น... เป็นการย้ำถึงคำพูดที่ว่าจะไม่ยอมปล่อยให้ลู่หานไปไหนได้... นอกเหนือจากหัวใจของเขาเท่านั้น
“รักพี่นะ... รักที่สุดเลย” เซฮุนขยับใบหน้าออกไป แล้วปล่อยมือบางออกจากหน้าอกข้างซ้ายของตัวเอง
รอยยิ้มแทนคำสัญญาจะฝังลึกอยู่ในหัวใจของลู่หาน...ตลอดไป
ลู่หานใช้เวลาตลอดทั้งเช้าและบ่ายไปกับการคุยกับเซฮุนในเรื่องไร้สาระบ้าง ทะเลากันบ้าง หรือแม้แต่เล่นเกมที่มีถ้าชนะก็จะได้จูบอีกฝ่าย แต่ถ้าแพ้ก็จะต้องการตีกี่ครั้งก็ได้ตามที่ต้องการ
ซึ่งเซฮุนก็ชนะเกือบทุกเกม!
ร่างบางทำหน้ามุ่ยเมื่อคราวนี้ตนเองเป็นฝ่ายแพ้อีกแล้ว เซฮุนหัวเราะอย่างชอบใจแล้วแตะริมฝีปากลงบนริมฝีปากได้รูปเบาๆ
“คราวนี้ขอรางวัลแค่นี้ก็พอ เดี๋ยวคนบางคนจะนอยด์ ฮ่าๆๆๆๆๆ”
“จำไว้เลยนะ!” ลู่หานเอ่ยเสียงแข็งแล้วหันหน้ามองออกไปข้างนอก พระอาทิตย์เริ่มเลือนหายไปจากท้องฟ้าเสียแล้ว... นี่พวกเขาอยู่ด้วยกันมานานแล้วหรอเนี่ย?
ทำไมรู้สึกเหมือนมันเพิ่งผ่านมาแค่ไม่กี่ชั่วโมงเอง
“ตอนนี้กี่โมงแล้วอ่ะเซฮุน?”
เซฮุนหยุดขำแล้วก้มมองนาฬิกาของตัวเอง “จะหกโมงเย็นแล้วล่ะครับ ว้าาา...อย่างนี้ก็ต้องกลับได้แล้วใช่ไหมเนี่ย”
“รู้ตัวก็ดีแล้ว... กลับบ้านไปได้แล้วล่ะ” ลู่หานยกมือไล่ จนเซฮุนเริ่มหน้างออย่างขัดใจ เบ้ปากตัวเองแล้วลุกขึ้นตามที่ลู่หานต้องการ
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะมาลงโทษพี่แน่ๆ เตรียมตัวไว้ได้เลย!!”
“อย่าลืมก่อนแล้วกัน :P” ลู่หานแลบลิ้นล้อเลียนก่อนที่เซฮุนจะเดินออกจากห้องไป ลู่หานหุบยิ้มลงด้วยความเหนื่อยล้าจากการที่ต้องนั่งเล่น นั่งคุยกับเซฮุนทั้งวัน เปลือกตาที่แสนหนักอึ้งปิดลงช้าๆแล้วลู่หานก็หลับไปในทันที
เซฮุนปิดประตูเบาๆแล้วเดินตรงไปที่ลิฟต์แทบจะในทันที เขายืนนิ่ง สายตาสอดส่ายไปมาอย่างระแวดระวังอย่างที่แทมินเตือนมา
‘ดูแลตัวเองดีๆนะ คนของชองยุนโฮอาจจับตาดูนายอยู่ก็ได้’
คำเตือนจากผู้เป็นพี่ทำให้เซฮุนระวังตัวมากกว่าเดิม ร่างสูงหันกลับมามองประตูลิฟต์เหมือนเดิมเมื่อได้ยินเสียงสัญญาณว่าลิฟต์มาจอดยังชั้นที่ตนเองอยู่แล้ว
ร่างสูงทำท่าจะเดินเข้าไปเมื่อประตูลิฟต์เปิดกว้างแต่ก็ถูกใครบางที่ตัวใหญ่กว่าดันตัวเขาออกมาแล้วชกเข้าที่ท้องของเซฮุนจนเขารู้สึกหมดแรง
เซฮุนปรือตามองคนที่ล็อกร่างเขาไว้ ทำท่าจะพูดอะไรสักอย่างออกไปแต่ก็โดนอีกฝ่ายปิดปากไว้ด้วยผ้าสีขาวผืนหนาเสียก่อน
เซฮุนดิ้นขัดขืน พยายามไม่สูดดมกลิ่นบนผ้านั้นเข้าไปในปอด แต่ก็โดนคนที่ล็อกตัวเองไว้ชกเข้าที่ท้องของเขาอีกครั้งจนเซฮุนไม่มีแรงเหลือพอจะดิ้นหนีได้อีกแล้ว
ร่างของเซฮุนไหลลงไปกับพื้นช้าๆพร้อมดวงตาที่ปิดสนิท ‘มินโฮ’ มองอีกคนด้วยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมก่อนจะทรุดลงเพื่อจับร่างของเซฮุนแบกขึ้นหลัง แล้วเดินออกจากโรงพยาบาลแห่งนี้ไปทางประตูหนีไฟอย่างรวดเร็ว
“นายจะทำหน้ายังไงถ้ารู้ว่าน้องชายสุดที่รักอยู่กับฉัน...
....อีแทมิน”
----------------------------------------
ความคิดเห็น