ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    one heart one love เพียงหนึ่งรัก | exo

    ลำดับตอนที่ #19 : One heart One love :: 16

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.45K
      2
      30 ต.ค. 57





    One Heart One Love

    -Sixteen-

     

     

    จงอินพาร่างที่เปียกปอนไปทั้งตัวกลับเข้ามาในโรงพยาบาล ดวงตาที่แสนเลื่อนลอยยังคงหลงเหลือร่องรอยของน้ำตาไว้ให้เห็น ขายาวๆก้าวไปตามทางจนมาถึงห้องพักของคยองซูในที่สุด มือหนายกขึ้นเปิดประตูบานกว้างออกช้าๆ แล้วก็ถึงกับตกใจเมื่อก้าวเข้าไปในห้อง กลับไม่พบคยองซูนอนอยู่บนเตียงนอนอีกแล้ว!

     

    คยองซูหายไปไหน!?

     

    ไม่ปล่อยให้ตัวเองคิดอะไรอีก ร่างสูงวิ่งออกมาตรงเคาน์เตอร์ซึ่งมีพยาบาลสองคนเฝ้าเวรอยู่ ก่อนจะร้องถามอย่างร้อนรน  “คุณพยาบาลครับคนไข้ที่พักรักษาตัวอยู่ที่ห้องนั้นหายไปไหนแล้วล่ะครับ!?”

     

    พยาบาลสาวมองไปตามเลขห้องที่จงอินชี้ หันมองเพื่อนของตัวเองเลิกลั่กอย่างปรึกษากันว่าจะบอกดีไหม แต่สุดท้ายแล้วพยาบาลคนนั้นก็เอ่ยตอบคนที่ยืนกระสับกระส่ายอยู่ตรงหน้าเธอ 

     

    คุณคยองซูถูกพาเข้าห้องฉุกเฉินด่วนค่ะ

     

    คยองซูเป็นอะไรครับ?!?”

     

    ...คือ...”

     

    อึกอักอะไรอยู่เล่า!!” 

     

    จงอินตวาด ตอนนี้เขาคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้อีกต่อไป มือที่กำเข้าหากันเริ่มสั่น ไหล่กว้างไหวไปตามแรงอารมณ์ พยาบาลคนนั้นหน้าถอดสีจนเพื่อนข้างๆเธอต้องเป็นคนตอบคำถามนั้นแทน แม้ว่าจะแอบกลัวจงอินอยู่เหมือนกันก็ตาม

     

    คุณคยองซูเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวกะทันหันค่ะ ตอนที่ดิฉันกับเพื่อนเข้าไปดูคุณคยองซูในห้องตามที่เขากดปุ่มเรียกพยาบาล ก็เห็นว่าเขานอนขดตัวอยู่ที่พื้น แถมหน้าก็ซีดมาก แล้วพอเขาสลบไปทางเราจึงรีบพาส่งเข้าห้องฉุกเฉินไปเลยค่ะ

     

    ภาวะหัวใจล้มเหลวกะทันหัน...

     

    นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!?

     

    ห้องฉุกเฉินไปทางไหน!?” จงอินกระชากเสียง พยาบาลคนเดิมกับที่ตอบคำถามเมื่อกี้จึงรีบตอบ

     

    ลงไปชั้น 5 นะคะ ห้องฉุกเฉินอยู่ตรงสุดทางเดิน

     

    จงอินพยักหน้ารับแล้วรีบวิ่งออกไปจากตรงนั้นทันที หัวใจเต้นถี่รัวเนื่องจากทั้งเหนื่อย และทั้งเป็นห่วงคยองซู ร่างสูงวิ่งไปตามที่พยาบาลสาวบอก มองซ้ายมองขวากับทางแยกที่แบ่งเป็นสี่แยก หมุนตัวหันหลังแล้วก็พบกับจุดหมายที่ตัวเองต้องการ ขายาวๆหยุดยืนนิ่งอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน เหงื่อเม็ดเล็กผุดพรายไปทั่วใบหน้าแต่จงอินก็ไม่ได้สนใจ เขาสนแค่อย่างเดียวคือคนที่อยู่ในห้องนี้ต่างหาก...

     

    เวลาผ่านไปเรื่อยๆ... แต่ก็ยังไม่มีวี่แววของหมอเลยแม้แต่นิด

     

    จงอินเริ่มกระสับกระส่ายหนักกกว่าเก่า เขาเดินไปเดินมาเผื่อว่าจะช่วยให้หายเครียด แต่เปล่าเลย... การทำอย่างนั้นยิ่งทำให้เขาร้อนรนและเป็นห่วงคยองซูแทบบ้ามากกว่าเดิม

     

    อย่าเป็นอะไรไปเลยนะคยองซู

     

    จงอินเงยหน้ามองเพดานสีขาวด้านบน ถอนหายใจออกมาหนักๆด้วยความเครียด ก่อนจะยกมือขึ้นมาเสยผมตัวเองขึ้น 

     

    จงอินมองบานประตูตรงหน้าราวกับจะมองมันให้ทะลุไปถึงข้างในได้... อยากรู้ว่าคยองซูจะเป็นยังไงบ้างแล้ว

     

    ก่อนที่จงอินจะถอนหายใจออกมาอีกรอบ คุณหมอท่าทางเคร่งเครียดคนหนึ่งก็เดินออกมาจากห้องฉุกเฉินพอดี ร่างสูงพุ่งตัวเข้าหาคุณหมออย่างรวดเร็วแล้วยิงคำถามที่ตัวเองกังวลมานานกับคุณหมอ

     

    คยองซูเป็นยังไงบ้างครับ!?”

     

    คุณเป็นญาติของคนไข้ใช่ไหมครับ?” คุณหมอยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ประปรายอยู่บนใบหน้า พร้อมกับถามจงอินด้วยท่าทางสุขุม

     

    ใช่แล้วครับ!”

     

    คุณคยองซูเป็นโรคหัวใจครับ

     

    ราวกับโลกหยุดหมุนชั่วขณะ... จงอินยืนนิ่ง หูมันอื้อไปหมด สมองหยุดสั่งการ ส่วนหัวใจก็บีบรัดแน่นคล้ายต้องการทรมานเขาให้เจ็บเจียนตายไปเลยทีเดียว

     

    ตอนนี้หัวใจของคุณคยองซูอ่อนแอมากเลยนะครับ

     

    “…”

     

    หมอคิดว่าคุณคยองซูต้องรีบผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจด่วน... หัวใจของเขาตอนนี้มันอ่อนแอมาก... ถ้าเขาไม่ยอมผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ... เขาคงอยู่ได้อีกไม่เกินสองอาทิตย์แน่นอนครับ

     

    “…”

     

    และเท่าที่ตรวจมาหมอคิดว่า... คุณคยองซูรู้นานแล้วนะครับว่าตัวเองเป็นโรคหัวใจ ทั้งๆที่หมอเพิ่งตรวจพบวันนี้เอง... หมอก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ถึงไม่ยอมบอกคนรอบตัว แต่ทางที่ดีคือคุณต้องทำให้เขายอมผ่าตัดนะครับ

     

    “…”

     

    เพราะถ้าเขาไม่ยอม... นั่นหมายถึงเขาต้องการจะตาย

     

    “…!”

     

    หมอพูดได้เท่านี้ล่ะครับ... อย่าลืมที่หมอบอกล่ะ... ทำยังไงก็ได้ให้คุณคยองซูยอมผ่าตัด... ลาล่ะครับ

     

    พูดจบคุณหมอก็รีบขอตัวไปรักษาคนไข้คนอื่นต่อทันที จงอินไม่แม้แต่จะโค้งลาคุณหมอ ตอนนี้เขาไม่ได้ยินเสียงรอบข้างอีกเลยตั้งแต่ที่คุณหมอบอกว่าคยองซูรู้นานแล้วว่าตัวเองเป็นโรคหัวใจ แต่ไม่ยอมบอกให้ใครรู้

     

    คยองซูจะทำแบบนั้นไปทำไม?

     

    ขอทางหน่อยครับ

     

    เสียงของใครบางคนดึงจงอินให้กลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง เขาหันไปตามเสียงเรียกก็พบกับบุรุษพยาบาลตัวสูงกำลังเข็นรถเข็นให้ร่างบางที่แสนคุ้นเคยสำหรับจงอินออกมาจากห้องนั้น จงอินไม่รอช้ารีบถลาไปนั่งยองๆคุยกับคยองซูทันที

     

    ดวงหน้าหวานซีดขาวราวกับกระดาษ  ริมฝีปากที่เคยมีเลือดฝาดก็ซีดลงอย่างเห็นได้ชัด คยองซูก้มหน้าลงเมื่อพบว่าจงอินมานั่งยองๆคุยกับตัวเอง เบนสายตาไปทางอื่นเพื่อจะได้ไม่ต้องสบสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามมากมายของจงอิน

     

    คยองซูเม้มริมฝีปาก จิกมือที่วางอยู่บนตักแน่น รู้สึกร้อนๆที่ขอบตาขึ้นมาอีกครั้งเมื่อจู่ๆมือหนาก็ลากไล้ไปตามข้างแก้มอย่างอ่อนโยน

     

    เดี๋ยวผมเข็นเขากลับห้องเองครับ ไม่ต้องห่วง” จงอินพูดกับบุรุษพยาบาลข้างหลังร่างบาง เขาพยักหน้าหงึกหงักแล้วเดินออกไปทันที

     

    ฉันจะยังไม่พูดเรื่องที่นายถูกส่งเข้าห้องฉุกเฉินหรอกนะ... ไว้นายพร้อมเมื่อไรค่อยเล่าให้ฉันฟังแล้วกัน” 

     

    เสียงที่เจือด้วยอบอุ่นอ่อนโยนลอยไปมาในโสตประสาท คยองซูเงยหน้าเพื่อจะได้มองอีกคนได้ชัดๆ วงแขนเล็กโอบรอบตัวจงอินไว้แน่นพร้อมกับหยดน้ำอุ่นๆที่ไหลลงมาบนไหล่หนา... คยองซูไม่พูดอะไรแต่กลับกระชับกอดแน่นขึ้นกว่าเดิม

     

    จังหวะหัวใจที่เต้นช้าลงๆแล้วก็กลับมาเต้นเป็นปกติเหมือนเดิมทำให้จงอินรู้ว่าคยองซูต้องทรมานมากแน่ๆ... เพราะขนาดเขาไม่ได้เป็นโรคหัวใจเอง เขายังรู้สึกเจ็บที่หัวใจราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นของใครสักคนบีบมันไว้แน่นเลย

     

    ดวงตาที่เคยทอประกายสดใสถูกกลบด้วยหยาดน้ำตามากมายหลายสิบหยด... ริมฝีปากสั่นเครือที่กระซิบเป็นคำพูดข้างหูของจงอินแม้ว่าร่างสูงจะฟังไม่รู้เรื่อง ตอกย้ำถึงความเจ็บปวดของคนตัวเล็กที่กำลังส่งผ่านจากตัวเองมาถึงจงอิน

     

    เขาไม่อยากผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ...เขาไม่สนว่าเขาจะต้องตาย

     

    เขารู้แค่ว่าถ้าตัวเองยอมผ่าตัด ความเป็นไปได้ที่จะรอดกับตายมันก็ครึ่งต่อครึ่ง... และถึงแม้เขาจะรอด... เขาก็ต้องนอนโรงพยาบาลไปตลอดชีวิตเพระร่างกายของเขาอ่อนแอเกินไป... แม้ว่าหมอจะบอกว่าหัวใจที่จะถูกผ่าตัดแลกเปลี่ยนให้กับเขาจะเข้ากับร่างกายของเขาได้... แต่หัวใจดวงใหม่ก็ใช่ว่ามันต้องการจะอยู่ในร่างกายของเขาซักหน่อย

     

    ...ถ้าหัวใจกับร่างกายมันเข้าหากันได้ทั้งที่มันไม่ต้องการ สุดท้ายผลเสียก็จะตกมาอยู่ที่เขาคนเดียวทั้งนั้น

     

    ร่างกายของใคร... คนนั้นก็เป็นของเจ้าของมันได้เพียงคนเดียว...

     

    หัวใจก็เหมือนกัน...

     

    ...ถ้าให้มันไปอยู่กับร่างกายที่ไม่ใช่เจ้าของเดิม... บังคับให้ตายมันก็คงไม่มีวันยอมรับร่างกายใหม่ได้หรอก

     

    จงอิน...” คยองซูพูดคล้ายกระซิบ 

     

    ถ้าวันหนึ่งฉันตายไป จงอินจะทำยังไง

     

    จงอินมองตรงไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย... ไร้คำตอบใดๆ...ไร้ความรู้สึกอะไรทั้งนั้น... 

     

    คยองซูหลับตาลงเมื่อจงอินยังไม่ยอมตอบคำถาม ความเหนื่อยและความเจ็บปวดจากการที่หัวใจมันบีบรัดแน่นจนแทบหายใจไม่ออกทำให้คยองซูเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว 

     

    หลับไหลไปด้วยความเหนื่อยอ่อน...โดยที่ยังไม่ได้ฟังคำตอบของจงอินเลย

     

    ร่างสูงขยับตัวเล็กน้อยแล้วพูดเสียงแผ่ว... ไม่หวังให้คยองซูได้ยินและไม่หวังให้มันเกิดขึ้นแน่ๆ... ไม่ว่าจะเขาหรือคยองซูก็ตาม

     

     

    ถ้านายตาย...  ฉันก็จะตายตามนายไป... คยองซู

     

     

    ----------------------------------------

     

     

    จงแดถอนหายใจยาวก่อนจะไขกุญแจบ้านเข้าไป มองฝ่าความมืดไปก็พบว่ามินซอกยังนอนอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน

     

    นี่มินซอกนอนรอเขาหรอ...

     

    จงแดย่องเบาๆและไม่ยอมเปิดไฟเพื่อจะได้ไม่เป็นการรบกวนคนที่นอนอยู่บนโซฟา เขาทิ้งตัวนั่งลงข้างมินซอก เอื้อมมือลูบผมอีกฝ่ายให้อย่างแผ่วเบา... ดวงตาที่ทอดมองมินซอกอย่างอบอุ่นทำให้คนที่แกล้งหลับแต่ยังแอบลืมตามองเขาเล็กน้อยรู้สึกอยากจะลุกขึ้นแล้วกอดอีกคนไว้แน่น

     

    แต่นั่นก็แค่ความคิดชั่ววูบเท่านั้น...

     

    ความเจ็บทางร่างกายและหัวใจที่จงแดทิ้งไว้ให้เขาเผชิญหน้ากับมันคนเดียวถูกสร้างเป็นกำแพงบางๆกั้นระหว่างทิฐิกับความรัก

     

    ถ้าถามว่ามินซอกยังรักจงแดอยู่ไหม... เขาสามารถตอบได้อย่างเต็มปากว่ารัก...  แต่ถ้าถามว่าจะยอมอภัยให้จงแดไหม... 

     

    ขอตอบได้เลยว่าเขายังไม่แน่ใจ

     

    มืออันแสนเย็นเฉียบของมินซอกถูกอีกคนดึงไปจับไว้แน่น ก่อนประทับริมฝีปากลงบนหลังมืออย่างแผ่วเบา หัวใจที่เต้นถี่ระรัวทำให้มินซอกรู้สึกกลัวขึ้นมาว่าจงแดจะได้ยิน... กลัวว่ากำแพงทิฐิที่แสนแข็งแรงจะถูกความอ่อนโยนนี้ทำลายให้เหลือเพียงแต่ตอ

     

    ฉันขอโทษกับทุกเรื่องเลยนะ” จงแดก้มลงกระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงที่ไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้ยินแบบนี้  “ขอโทษที่ไปจับนายมาขังไว้ในบ้านของตัวเอง

     

    มินซอกนึกย้อนไปถึงตอนที่ชานยอลเดินหนีไปตามที่มีคุณยายคนหนึ่งเดินมาบอกว่าซูโฮเรียกให้ไปหา ตอนแรกเขาก็ว่าจะห้ามนะ แต่พอเห็นว่าชานยอลรีบร้อนขนาดนั้นเลยไม่คิดจะรั้งอะไรต่อ และไม่กี่นาทีต่อมาร่างที่แสนคุ้นเคยของใครบางคนก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า... ประกบปากเขาไว้ด้วยผ้าชุบยานอนหลับทำให้มินซอกไม่มีสติและเผลอหลับไป... มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่มาอยู่บ้านของจงแดแล้ว.. แถมยังโดนมัดไว้ด้วยเชือกอีกต่างหาก... ทั้งเขาและจงแดไม่ได้พูดอะไรกันจนกระทั่งจงแดกำลังจะออกจากบ้านเมื่อตอนช่วงหัวค่ำ จงแดแกะเชือกออกให้และขอร้อง... ว่าอย่าพยายามออกจากบ้าน... อย่าคิดหนี... และอย่าเกลียดเขา... ก่อนที่จงแดจะขับรถออกไปทันที

     

    อย่าเกลียดเขา...

     

    คำพูดนี้ก้องอยู่ในสมองจนกระทั่งถึงตอนนี้ มินซอกพยายามจะลบมันออกไปแต่ก็ทำไม่ได้

     

    เพราะคำพูดนั้นมันไม่ได้ฝังอยู่ในสมอง...แต่มันตอกลึกอยู่ในหัวใจ

     

    ขอโทษที่ทำร้ายนายไปวันนั้น... ขอโทษที่หนีหน้านาย... หนีความผิดที่ฉันตั้งใจทำมันลงไป... หนีความจริงที่ว่าฉันรักนาย

     

    ฉันรักนาย....

     

    คำสั้นๆที่มินซอกอยากได้ยินมันออกจากปากของผู้ชายคนนี้มาโดยตลอด... วันนี้เขาได้รับมันแล้ว

     

    ขอโทษที่บอกไปว่าฉันไม่ได้รู้สึกอะไรกับนายเลย... ขอโทษที่บอกนายว่าที่ฉันทำลงไปทั้งหมดก็เพียงเพราะความใคร่

     

    “…”

     

    ที่ฉันทำลงไปแบบนั้น... เพราะฉันหวงนาย

     

    “…”

     

    เพราะฉันรักนาย... เพราะฉันต้องการเป็นเจ้าของนายเแค่เพียงคนเดียว

     

    คำสารภาพทั้งหมดพรั่งพรูออกมาอย่างไม่คิดปิดบัง...และไม่มีแม้แต่ความลังเลใจใดๆทั้งสิ้น... หัวใจที่ปิดตายมานานแล้วพองโตราวกับลูกโป่ง... ล่องลอยไปมาบนปุยเมฆ... ความตื้นตันส่งผลให้น้ำตาไหลลงมาตามหางตาของมินซอกช้าๆ

     

    ...นาย...” 

     

    เสียงของจงแดดูตกใจเมื่อมือหนารู้สึกถึงน้ำตาบริเวณแก้มของอีกคน ดวงตาวูบไหวคล้ายสายน้ำที่นิ่งสงบแต่กำลังถูกพายุห่าใหญ่โถมเข้าใส่เต็มแรง... มินซอกรู้ความในใจของเขาหมดแล้ว

     

    แต่...มินซอกจะยอมอภัยให้เขาไหม?

     

    นั่นเป็นสิ่งเดียวที่จงแดกลัว... ความรู้สึกและคำพูดของมินซอกมีอิทธิพลต่อหัวใจของเขามากมายจนไม่อาจบรรยายได้

     

    ฉันไม่รู้หรอก” 

     

    จู่ๆมินซอกก็เอ่ยแทรกความเงียบขึ้นมา ดวงตาที่ไม่ว่าจะมองเมื่อไรเขาก็หลงรักรื้นไปด้วยน้ำตา... ภาพตรงหน้าทำให้จงแดอยากเอื้อมมือไปปาดน้ำตาออกให้ แต่เขายังไม่มีสิทธิ์นั้น

     

    ฉันไม่รู้หรอกว่าที่นายพูดมาทั้งหมดเป็นความจริงหรือเปล่า

     

    “…”

     

    แต่ขอให้นายรู้ไว้ว่าสิ่งที่ฉันจะพูดต่อจากนี้...เป็นความรู้สึกที่ออกมาจากใจของฉันทั้งหมด

     

    “…”

     

    นายจำวันแรกที่ฉันเข้าไปขอคบนายในผับได้ใช่ไหม?”

     

    จงแดทำท่านึกชั่วครู่แล้วก็พยักหน้าหงึกหงัก

     

    นั่นน่ะ... ฉันต้องใช้ความกล้ามากเลยรู้ไหมกว่าจะเข้าไปคุยกับนายได้... ฉันแอบชอบนายมาตั้งนานแล้ว...จะเรียกว่าตั้งแต่ที่พบนายครั้งแรกเลยก็ได้มั้ง.. แต่ก็อย่างที่นายรู้ ด้วยนิสัยไม่ค่อยยอมใครของฉันทำให้สิ่งที่ฉันแสดงออกมันเหมือนกับว่าฉันแค่อยากคบนายเล่นๆ

     

    “…”

     

    ทั้งที่จริงๆตอนนั้นฉันทั้งประหม่าทั้งกลัวนายจะหัวเราะจนแทบบ้าเลยนะ” มินซอกหัวเราะแห้งๆ หลุบตาลงต่ำแล้วเอ่ยต่อ  “ความสัมพันธ์ของเราดำเนินไปเรื่อยๆโดยที่มีแค่ฉันคนเดียวที่แสดงออกว่ารักนายมากขึ้นทุกวันๆ...  ส่วนนาย...นายไม่เคยแม้แต่จะดูแลฉันหรือพูดคำว่ารักให้ฉันฟังเลยสักครั้ง...แต่ก็ไม่รู้เพราะสาเหตุอะไรเหมือนกันนะที่ทำให้ฉันตัดใจจากนายไม่ลงสักทีทั้งที่นายก็ดูท่าว่าจะไม่ได้ชอบฉันเลย

     

    “…”

     

    เราคบกันเกือบจะถึงหนึ่งปีแล้ว...แต่นายกลับพังทุกอย่างลงในคืนเดียว  ความสัมพันธ์ทางกายที่นายบอกว่ามันเป็นเพียงแค่ความใคร่ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความรัก... รู้ไหมว่าฉันเจ็บแค่ไหนกับคำพูดของนาย” 

     

    คำถามที่ไม่ได้ต้องการคำตอบ... 

     

    จงแดพยายามมองหน้ามินซอกให้ชัดๆแต่ความร้อนที่ขอบตาทำให้เขาต้องรีบเงยหน้าขึ้น... เขาจะทำตัวอ่อนแอแบบนี้ไม่ได้

     

    อย่างน้อยก็ต่อหน้ามินซอก... เขาต้องเข้มแข็งที่สุด

     

    พอนายจากไปอยู่จีน... ฉันก็พยายามอย่างหนัก... ทีละนาที...ทีละชั่วโมง... ทีละวัน...ทีละสัปดาห์... หลายเดือนผ่านไปแต่ฉันก็ยังลืมนายไม่ลง และถึงฉันจะแสดงออกว่าเกลียดนายแค่ไหน แต่หัวใจกลับคอยเตือนสติฉันทุกครั้งที่ฉันโมโหเรื่องที่คล้ายๆกับสิ่งที่ฉันเคยพบเจอตอนได้อยู่กับนาย... เตือนให้ฉันยังรับรู้ว่าหัวใจยังลืมนายไม่ลง... ลืมความรักที่เคยมีต่อนายไม่ลง... แต่สิ่งที่ฉันลืมได้สนิทใจก็คือความโกรธเมื่อวันนั้น... ฉันไม่เคยจำว่าฉันเจ็บแค่ไหนกับสิ่งที่นายทำ ฉันจำแค่ว่าเราเคยได้อยู่ด้วยกัน จำแค่ว่าฉันเคยรักนายมากแค่ไหน

     

    “…”

     

    จำแค่ว่านายเคยทำอะไรที่ทำให้ฉันใจเต้นแรงบ้าง

     

    “…”

     

    ฉันจำได้แค่นั้นจริงๆ

     

    หมับ!

     

    ทันทีที่มินซอกพูดจบ จงแดก็คว้าเขามากอดไว้แน่น ความอ่อนแอทั้งหมดถูกระบายออกมาผ่านน้ำตามากมาย...

     

    น้ำตาที่ไม่เคยมีใครได้เห็น...มีแค่คนนี้เท่านั้น

     

    แค่มินซอกเท่านั้นที่เขาทนเก็บความอ่อนแอไว้ไม่ได้จริงๆ

     

    ขอโทษ... ขอโทษจริงๆที่ทำร้ายนาย...จะให้ฉันพูดขอโทษสักร้อยครั้งพันครั้งก็ได้... ฉันยอม...ยอมให้นายได้ทุกอย่าง

     

    สองร่างกอดกันแน่น ปลดปล่อยน้ำตาที่กักเก็บมาเป็นเวลานานให้ไหลลงมาได้ตามใจ... หัวใตที่เต้นสอดประสานกันดังไปทั่วห้อง... กำแพงที่ทั้งคู่เคยสร้างไว้พังทลายลงมาอย่างแรง

     

    คนหนึ่งลดทิฐิลง...ส่วนอีกคนก็ลดความปากแข็งลง

     

    กำแพงพวกนั้นไม่มีผลต่อความรู้สึกของพวกเขาอีกต่อไปแล้ว ขอแค่มีคนตรงหน้า... แค่มีคนคนนี้เขาก็ไม่กลัวอะไรอีก

     

    ต่อให้ความตายมาพรากพวกเขาออกจากกัน..

     

    หัวใจของทั้งคู่ก็จะยึดกันไว้แบบนี้ตลอดไป

     

     

    ----------------------------------------

     

     

    แสงแดดยามเช้าที่ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาปลุกให้ลู่หานลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก... เหยียดแขนออกคลายความเมื่อยล้าแล้วก็รู้สึกถึงศีรษะของใครสักคนที่อยู่ใกล้ๆกับเอวของเขา

     

    เซฮุน!” 

     

    ลู่หานร้องออกมาเสียงดัง ขยี้ตาไปมาให้รู้ว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาด เซฮุนเงยหน้าขึ้นมองลู่หานเล็กน้อยพร้อมกับยิ้มหวานให้ด้วยท่าทางที่ลู่หานคิดว่ามันน่ารักมากสำหรับเขา  “มาทำอะไรตั้งแต่เช้าเนี่ย!?”

     

    ลู่หานเอ่ยถามเสียงดัง เซฮุนใช้นิ้วปิดปากร่างบางไว้ไม่ให้เอ่ยคำพูดอะไรออกมาอีก ใบหน้าหล่อเหลาขยับเข้ามาใกล้จนลมหายใจของทั้งคู่แทบรวมกลายเป็นหนี่งเดียวกัน

     

    อยากรีบมาหาแฟนตัวเอง... ผิดไหมครับ” เซฮุนถามหน้าตาย รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ตรงมุมปากของร่างสูงทำให้ลู่หานเผลอเขกหัวเซฮุนไปทีหนึ่งอย่างหมั่นไส้

     

    ไม่ผิดหรอก... แต่ไอ้รอยยิ้มแบบนี้อ่ะผิดเต็มๆเลย

     

    ผมก็ยิ้มแบบนี้ปกติ... ทำไมถึงผิดอ่ะ?” 

     

    มันผิดตรงที่มันทำให้ฉันไม่อยากอยู่ใกล้นายไง

     

    งั้นก็แสดงว่าอยากเข้ามาอยู่ใกล้ๆผมน่ะสิ... พี่ถึงบอกว่ารอยยิ้มแบบนี้อ่ะผิด ><”   

     

    เซฮุนยิ้มหวานกว่าเดิมแล้วขยับเข้ามาจนหน้าผากของทั้งคู่ชนกัน ลู่หานทำท่าจะดุเซฮุน แต่ร่างสูงรู้ทันเลยรีบประกบริมฝีปากลงมาทันที

     

    สัมผัสหวานล้ำและแสนนุ่มนวลทำให้สมองของร่างบางขาวโพลนมือที่ตั้งใจจะผลักอกอีกคนออกตวัดขึ้นโอบรอบคอร่างสูงไว้ หัวใจเต้นแรงอย่างกับว่าจะหลุดออกมาจากอกให้ได้... ดวงตาคมที่จ้องลึกเข้ามาในดวงตากลมโตเพื่อสื่อถึงความรู้สึกมากมายที่อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้... อธิบายไม่ได้ สัมผัสไม่ได้... แต่รู้สึกได้ผ่านดวงตาและจูบครั้งนี้

     

    เซฮุนค่อยผละจูบริมฝีปากออกมาช้าๆเมื่อรู้สึกถึงลมหายใจที่ใกล้จะหมดไปจากปอดของอีกคนในอีกไม่ช้า... ลู่หานสูดอากาศเข้าไปทดแทนลมหายใจที่เสียไปจากจูบอันแสนยาวนานเมื่อครู่

     

    รักพี่นะ...พี่ลู่หาน

     

    เซฮุนพูดเสียงหนักแน่น จับมือบางมาแนบกับหัวใจของตัวเองซึ่งกำลังเต้นแรงไม่ต่างจากลู่หานเลย

     

    ผมจะขังพี่ไว้ในนี้ตลอดไป

     

    แล้วถ้าพี่อยากจะออกมาล่ะ?”

     

     

    ผมก็จะใช้ความรักทั้งหมดที่ผมมีรั้งพี่ไว้... ใช้ความรู้สึกทั้งหมดพันธนาการพี่ไว้ไม่ให้หลุด... ใช้โซ่ตรวนขังพี่ไว้ให้แน่นหนาที่สุด... จะไม่ปล่อยให้หนีไปไหนได้อีกเลย” 

     

     

    เซฮุนย้ำคำพูดนั้นอีกครั้งด้วยการจูบเบาๆที่ข้างแก้มแล้วเลื่อนมาหยุดอยู่ที่ริมฝีปาก... จูบที่อ่อนโยนทว่าหนักแน่น... เป็นการย้ำถึงคำพูดที่ว่าจะไม่ยอมปล่อยให้ลู่หานไปไหนได้... นอกเหนือจากหัวใจของเขาเท่านั้น

     

    รักพี่นะ... รักที่สุดเลย” เซฮุนขยับใบหน้าออกไป แล้วปล่อยมือบางออกจากหน้าอกข้างซ้ายของตัวเอง 

     

    รอยยิ้มแทนคำสัญญาจะฝังลึกอยู่ในหัวใจของลู่หาน...ตลอดไป

     

     

     

    ลู่หานใช้เวลาตลอดทั้งเช้าและบ่ายไปกับการคุยกับเซฮุนในเรื่องไร้สาระบ้าง ทะเลากันบ้าง หรือแม้แต่เล่นเกมที่มีถ้าชนะก็จะได้จูบอีกฝ่าย แต่ถ้าแพ้ก็จะต้องการตีกี่ครั้งก็ได้ตามที่ต้องการ

     

    ซึ่งเซฮุนก็ชนะเกือบทุกเกม!

     

    ร่างบางทำหน้ามุ่ยเมื่อคราวนี้ตนเองเป็นฝ่ายแพ้อีกแล้ว เซฮุนหัวเราะอย่างชอบใจแล้วแตะริมฝีปากลงบนริมฝีปากได้รูปเบาๆ

     

    คราวนี้ขอรางวัลแค่นี้ก็พอ เดี๋ยวคนบางคนจะนอยด์ ฮ่าๆๆๆๆๆ

     

    จำไว้เลยนะ!” ลู่หานเอ่ยเสียงแข็งแล้วหันหน้ามองออกไปข้างนอก พระอาทิตย์เริ่มเลือนหายไปจากท้องฟ้าเสียแล้ว... นี่พวกเขาอยู่ด้วยกันมานานแล้วหรอเนี่ย?

     

    ทำไมรู้สึกเหมือนมันเพิ่งผ่านมาแค่ไม่กี่ชั่วโมงเอง

     

    ตอนนี้กี่โมงแล้วอ่ะเซฮุน?”

     

    เซฮุนหยุดขำแล้วก้มมองนาฬิกาของตัวเอง “จะหกโมงเย็นแล้วล่ะครับ ว้าาา...อย่างนี้ก็ต้องกลับได้แล้วใช่ไหมเนี่ย

     

    รู้ตัวก็ดีแล้ว... กลับบ้านไปได้แล้วล่ะ” ลู่หานยกมือไล่ จนเซฮุนเริ่มหน้างออย่างขัดใจ เบ้ปากตัวเองแล้วลุกขึ้นตามที่ลู่หานต้องการ

     

    เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะมาลงโทษพี่แน่ๆ เตรียมตัวไว้ได้เลย!!”

     

    อย่าลืมก่อนแล้วกัน :P” ลู่หานแลบลิ้นล้อเลียนก่อนที่เซฮุนจะเดินออกจากห้องไป ลู่หานหุบยิ้มลงด้วยความเหนื่อยล้าจากการที่ต้องนั่งเล่น นั่งคุยกับเซฮุนทั้งวัน เปลือกตาที่แสนหนักอึ้งปิดลงช้าๆแล้วลู่หานก็หลับไปในทันที

     

    เซฮุนปิดประตูเบาๆแล้วเดินตรงไปที่ลิฟต์แทบจะในทันที เขายืนนิ่ง สายตาสอดส่ายไปมาอย่างระแวดระวังอย่างที่แทมินเตือนมา

     

     

    ดูแลตัวเองดีๆนะ คนของชองยุนโฮอาจจับตาดูนายอยู่ก็ได้

     

     

    คำเตือนจากผู้เป็นพี่ทำให้เซฮุนระวังตัวมากกว่าเดิม ร่างสูงหันกลับมามองประตูลิฟต์เหมือนเดิมเมื่อได้ยินเสียงสัญญาณว่าลิฟต์มาจอดยังชั้นที่ตนเองอยู่แล้ว

     

    ร่างสูงทำท่าจะเดินเข้าไปเมื่อประตูลิฟต์เปิดกว้างแต่ก็ถูกใครบางที่ตัวใหญ่กว่าดันตัวเขาออกมาแล้วชกเข้าที่ท้องของเซฮุนจนเขารู้สึกหมดแรง

     

    เซฮุนปรือตามองคนที่ล็อกร่างเขาไว้ ทำท่าจะพูดอะไรสักอย่างออกไปแต่ก็โดนอีกฝ่ายปิดปากไว้ด้วยผ้าสีขาวผืนหนาเสียก่อน

     

    เซฮุนดิ้นขัดขืน พยายามไม่สูดดมกลิ่นบนผ้านั้นเข้าไปในปอด แต่ก็โดนคนที่ล็อกตัวเองไว้ชกเข้าที่ท้องของเขาอีกครั้งจนเซฮุนไม่มีแรงเหลือพอจะดิ้นหนีได้อีกแล้ว

     

    ร่างของเซฮุนไหลลงไปกับพื้นช้าๆพร้อมดวงตาที่ปิดสนิท มินโฮ’ มองอีกคนด้วยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมก่อนจะทรุดลงเพื่อจับร่างของเซฮุนแบกขึ้นหลัง แล้วเดินออกจากโรงพยาบาลแห่งนี้ไปทางประตูหนีไฟอย่างรวดเร็ว

     

     

    นายจะทำหน้ายังไงถ้ารู้ว่าน้องชายสุดที่รักอยู่กับฉัน...

    ....อีแทมิน

     

    ----------------------------------------

     
     

    © Tenpoints!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×