ปัญหาวิกฤตทางการเมืองของประเทศไทยอยู่ในขั้นวิกฤตสูงสุด ดังที่ปรากฏตามกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2549 เพื่อแก้ไขวิกฤตสูงสุดนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงขอร้องให้สถาบันศาลเข้ามาช่วยแก้ปัญหา
ไม่มีเสียงตอบสนองกระแสพระราชดำรัสจากพรรคไทยรักไทย แต่เกิดขบวนการโจมตี กดดัน และต่อต้านสถาบันศาลอย่างออกนอกหน้าจากสมาชิกพรรคไทยรักไทยและเครือข่าย
ถึงขนาดข่มขู่สถาบันตุลาการด้วยประการต่าง ๆ กระทั่งข่มขู่ว่าจะเกิดการนองเลือดหรือแผ่นดินจะลุกเป็นไฟ
และในทางลับก็มีการดำเนินการนานาชนิดเพื่อสกัดและขัดขวางไม่ให้การแก้ไขปัญหาโดยสันติตามกระแสพระราชดำรัสบรรลุผลสำเร็จ รวมทั้งการปล่อยข่าวที่สามานย์หลายครั้งหลายหนเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตนเอง และทำลายสถาบันศาล
ความพร้อมเพรียงของประชาชนที่มีความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวันเสด็จออกสีหบัญชรเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2549 ทำให้คนบางคนตกใจ และทำให้แผนการประลองกำลังต้องเปลี่ยนแปลงไป
และเป็นเหตุให้มีการยกเลิกการเกณฑ์ผู้คนนับแสนคนที่จะเข้ามาจัดงานชมรมคนรักทักษิณอย่างกระชั้นชิด
แต่ทว่าการพูดไม่สำคัญเท่าการกระทำ นั่นคือการกระทำที่ให้เป็นผลจริงต่อการสนองกระแสพระราชดำรัสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงขอร้องให้สถาบันตุลาการเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหา หากไม่สนองกระแสพระราชดำรัสในเรื่องนี้ สิ่งที่พูดทั้งหมดนั้นเป็นได้อย่างมากก็แค่มายาภาพ หรือเล่ห์กลที่จะชิงเอาความจงรักภักดีของประชาชนให้มาสนับสนุนตนเท่านั้น
การต่อต้านและขัดขวางการแก้ไขปัญหาของสถาบันศาลก็คือการต่อต้านและขัดขวางพระราชประสงค์ตามกระแสพระราชดำรัสโดยตรง จะเรียกว่าเป็นการกบฏก็ได้ ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาซึ่งเป็นสถาบันสูงสุดของศาลยุติธรรมได้มีมติและได้แสดงท่าทีหลายครั้งหลายหนว่าการแก้ไขปัญหาวิกฤตจะต้องทำให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม และต้องให้ได้รัฐบาลซึ่งเป็นที่ยอมรับของประชาชน
ที่ประชุมของประมุขศาลฎีกา ศาลปกครองสูงสุดและศาลรัฐธรรมนูญได้แนะนำให้กกต.ที่เหลือลาออกเพื่อเปิดโอกาสให้มีการสรรหากกต.ที่เป็นกลางมาจัดการเลือกตั้งให้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม
นี่คือแนวทางแก้ไขปัญหาวิกฤตโดยสันติที่สถาบันศาลถือรับสั่งมาดำเนินการ ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาได้มีมติครั้งล่าสุดตามหนังสือของประธานศาลฎีกาถึงประธานวุฒิสภาว่า กกต.ที่เหลืออยู่ทั้งสามคนขาดคุณสมบัติเพราะไม่ตั้งอยู่ในความเป็นกลาง ไม่ตั้งอยู่ในความสุจริตและเที่ยงธรรม หมดความชอบธรรมที่จะจัดการเลือกตั้งต่อไปแล้ว
และยังมีมติด้วยว่าการดำรงอยู่ของกกต.ทั้งสามคนมีผลทำให้เกิดความไม่ชอบด้วยกฎหมายต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด
แล้วแนวทางแก้ไขปัญหาโดยสันติที่สถาบันศาลถือรับสั่งมาดำเนินการนี้เป็นอย่างไรเล่า? กกต.ทั้งสามคนไม่ยอมรับปฏิบัติ ดื้อด้านอยู่ในตำแหน่งต่อไป และท้าทายอำนาจสถาบันตุลาการอย่างโจ๋งครึ่ม
สมาชิกพรรคไทยรักไทยและเครือข่ายโจมตีว่าร้ายสถาบันศาลด้วยรูปแบบต่าง ๆ จนกระทั่งสมาชิกบางคนถูกศาลหมายเรียกไปไต่สวนฐานละเมิดอำนาจศาล
ในขณะที่ทางลับก็มีการดำเนินการที่ชั่วร้ายหลายประการ ทั้งใช้อำนาจมืด ทั้งข่มขู่ ทั้งชักจูง ทั้งจัดอามิสนานาประการ เพื่อขัดขวางการแก้ไขปัญหาโดยสันติ
กระทั่งมีข่าวแหลมออกมาว่ามีคนไปค้ำประกันให้กับกกต.อย่างน้อยสองคนว่าไม่ต้องห่วง ไม่ต้องออก ให้ต่อสู้อย่างเต็มที่ ทุกอย่างมีคนรับผิดชอบเคลียร์ให้หมด
ดังนั้นตราบใดที่กกต.ไม่ลาออกก็ไม่มีทางจัดการเลือกตั้งให้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมได้ ไม่มีทางที่จะได้รัฐบาลของประชาชนที่แท้จริงได้ ปัญหาวิกฤตที่สุดก็ไม่อาจแก้ไขได้ ถึงวันนี้มติของประมุขสามศาลก็ดี มติของที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกาก็ดี ยังไม่มีการปฏิบัติและยังไม่เกิดผลใด ๆ ต่อการแก้ไขปัญหาวิกฤตเลย
หรือว่าจะเป็นดังที่สมาคมนายทหารนอกราชการได้ออกแถลงการณ์ไว้ว่าในการใช้อำนาจของศาลไคฟง ต้องมีจั่นเจา หวังเฉา หม่าฮั่น แล้วการเข้ามาแก้ไขปัญหาของสถาบันศาลจะมีใครเป็นจั่นเจา หวังเฉา หม่าฮั่นบ้าง? ปรากฏการณ์หลายสิ่งหลายอย่างเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของกกต. พรรคไทยรักไทย และตำแหน่งรักษาการในรัฐบาล กระทั่งล่าสุดที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบางคนที่เคยออกเสียงเป็นข้างมากว่าการเลือกตั้ง 2 เมษายน 2549 เป็นโมฆะได้ประกาศถอนตัวในการพิจารณาคดีของกกต. และต่อมาศาลรัฐธรรมนูญก็มีมติไม่รับวินิจฉัยฐานะของกกต.ตามที่สมาชิกวุฒิสภาได้เสนอ ทั้ง ๆ ที่ศาลปกครองสูงสุดได้ชี้มาก่อนแล้วว่าเป็นอำนาจศาลรัฐธรรมนูญนั้น ล้วนเป็นปรากฏการณ์พิลึก
สถานการณ์ที่ศาลปกครองสูงสุดและศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าต่างก็ไม่มีอำนาจพิจารณาเรื่องฐานะกกต. ทำให้กกต.ทั้งสามคนลอยนวลต่อไป อยู่เหนือกฎหมายต่อไป และอยู่ในฐานะที่ไม่มีใครทำให้พ้นจากตำแหน่งได้ต่อไป
ทำให้การเลือกตั้งไม่มีความแน่นอนและมีปัญหาต่อไป ทำให้วิกฤตที่สุดตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตรัสนั้นดำเนินต่อไป และทำให้ทุกคนสิ้นหวังเหมือนเดิม
หรือว่าหนทางแก้ไขปัญหาโดยสันติตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ถูกขัดขวางสำเร็จไปแล้ว
จะเห็นกันชัด ๆ ในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ และถ้าหากหนทางแก้ไขปัญหาวิกฤตโดยสันติล้มเหลวแล้ว เมื่อนั้นหนทางที่เหลืออยู่ก็คือความรุนแรงเท่านั้น
จึงต้องหมายเหตุบอกกล่าวให้คนไทยทั้งประเทศได้เตรียมตัวเตรียมใจว่าจะปล่อยให้วิกฤตที่สุดดำรงอยู่ต่อไป หรือว่าจะต้องทำอะไรกันสักอย่างน้อมเกล้าฯ ถวายเป็นราชพลี
ขอให้ช่วยบอกต่อ ๆ กันให้ทั่วถึงทั้งประเทศโดยด่วนที่สุด!
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น