==>จับตา ไทยรักไทย … แตกรังหรือตายยกรัง?

เนื้อเรื่อง

       เราได้บอกกล่าวไว้แล้วว่าการกำหนดวันเลือกตั้งวันที่ 15 ตุลาคม 2549 ที่นายปริญญา นาคฉัตรีย์ เพียงคนเดียวกำหนดขึ้นนั้นไม่ใช่มติ กกต. และอาจทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะอีกครั้งหนึ่ง
       
       แต่ยังมีแง่มุมเกี่ยวกับปัจจัยเวลาและสถานการณ์ระหว่างห้วงเวลานั้นที่น่าสนใจอย่างยิ่ง และจำเป็นที่เราจะต้องบอกกล่าวให้คนไทยทั้งประเทศได้รู้และเข้าใจ
       
       ออกจะสลับซับซ้อนบ้างแต่จะพยายามกล่าวให้เข้าใจได้โดยง่ายที่สุดเพื่อจะได้ไปบอกต่อกันได้ หาไม่แล้วก็จะถูกกระแสการตลาดทำให้ไขว้เขวสับสน
       
       เอาเป็นว่าคณะรัฐมนตรีรักษาการได้เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดการเลือกตั้งวันที่ 15 ตุลาคม 2549 ไปแล้ว แต่เนื่องจากมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญล็อคไว้ว่าการเลือกตั้งจะต้องอยู่ในระยะเวลาไม่เกิน 60 วันนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกาใช้บังคับ
       
       ดังนั้นจึงมีการกำหนดให้พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับในวันที่ 24 สิงหาคม 2549 แต่ก็ต้องคอยติดตามดูว่าจะทรงลงพระปรมาภิไธยหรือไม่เมื่อใด เพราะเป็นพระราชอำนาจที่อาจไม่ทรงลงพระปรมาภิไธยก็ได้
       
       มิน่าเล่า กกต. ทั้งสามคนจึงพยายามขอประวิงเวลาเลื่อนคดีอาญาที่ถูกฟ้องออกไปถึงเดือนสิงหาคม 2549 ก็พอเห็นเจตนาได้ว่าต้องการบิดเบือนกฎหมาย อ้างเอกสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 148
       
       ซึ่งมีนักวิชาการและนักกฎหมายที่เชื่อถือได้ชี้ไว้แล้วว่ารัฐธรรมนูญมาตรานี้คุ้มกะลาหัว กกต. จากอำนาจศาลไม่ได้
       
       เมื่อกำหนดวันที่พระราชกฤษฎีกาจะมีผลบังคับแล้วก็มีการกำหนดวันรับสมัครเลือกตั้งแบบเขตเลือกตั้งวันที่ 5-7 กันยายน 2549 และแบบรายชื่อในวันที่ 8-12 กันยายน 2549
       
       จากปัจจัยเวลาดังกล่าวนี้จะมีผลทางกฎหมายทำให้ ส.ส. ต้องสังกัดพรรคที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งแบบเขตเลือกตั้งครบกำหนดอย่างช้าที่สุดวันที่ 8 มิถุนายน 2549 และแบบบัญชีรายชื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2549
       
       ดังนั้นหากใครจะย้ายพรรคเพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งหรือใครที่คิดจะสมัครรับเลือกตั้งก็ต้องย้ายพรรคหรือเข้าสังกัดพรรคภายในกำหนดเวลาดังกล่าว มิฉะนั้นก็จะไม่ครบ 90 วัน และจะไม่มีสิทธิ์ลงสมัครรับเลือกตั้ง
       
       ขอย้ำว่าวันที่ 8 และวันที่ 13 มิถุนายน 2549 คือวันสุดท้ายของการสังกัดพรรคหากสมัครแบบเขตเลือกตั้งและแบบบัญชีรายชื่อ หากพ้นจากเวลานี้แล้วก็จะหมดสิทธิ์ลงสมัครรับเลือกตั้ง
       
       แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพรรคไทยรักไทย? ย่อมต้องเกี่ยวข้องแน่นอน!
       
       เพราะพรรคไทยรักไทยกำลังถูกกล่าวหาว่าจ้างพรรคเล็กลงสมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งมีความผิดร้ายแรงตามที่อนุกรรมการ กกต. ชุดนายนาม ยิ้มแย้ม ได้สรุปผลการสอบสวนไว้ และกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มว่าจะผิดหรือไม่ผิดอย่างไร
       
       มีคนบอกว่าถ้า กกต. สามคนนี้ยังอยู่คงจะไม่มีการเอาผิดดังที่รู้ ๆ กัน แต่ถ้ามี กกต. ชุดใหม่จากคนกลางแล้วไม่แน่
       
       เป็นความไม่แน่ที่โน้มไปในทางที่คาดหมายได้ว่าอาจมีการยุบพรรคไทยรักไทย และถึงแม้ว่า กกต. สามคนที่เหลือจะอุ้มชูตัดสินไปก่อนก็ไม่ตัดสิทธิ์ กกต. ชุดใหม่ที่จะรื้อฟื้นคดีขึ้นมาพิจารณาด้วยความอิสระและเที่ยงธรรมได้
       
       และจากการที่ กกต. ถูกฟ้องเป็นคดีอาญามากหลายในเรื่องการใช้อำนาจหน้าที่โดยไม่ชอบ และศาลนัดพิจารณาในเดือนมิถุนายน 2549 นี้ โดยเฉพาะคือคดีที่นายถาวร เสนเนียม เป็นโจทก์ฟ้อง กกต. ทั้งสามคน และศาลได้รับฟ้องแล้ว
       
       กกต. ทั้งสามคนจึงต้องไปศาลในวันที่ 19 มิถุนายน 2549 เวลา 09.00 น. ซึ่งศาลอาญาก็จะมีหมายขัง กกต. ทั้งสามคน ดังตัวอย่างที่ศาลจังหวัดนครศรีธรรมราชได้ออกหมายขังไว้แล้ว แต่ไม่มีการคัดค้านประกันตัว ศาลจึงให้ปล่อยตัวชั่วคราว
       
       แต่คดีของนายถาวร เสนเนียม มีการยืนยันว่าจะคัดค้านการประกันตัวแน่ ดังนั้นหากศาลเห็นว่าการปล่อยตัว กกต. ทั้งสามคนออกไปจะเกิดความเสียหายต่อบ้านเมือง ต่อประชาชน ต่อคดีความ ศาลก็มีอำนาจสั่งไม่อนุญาตและ กกต. ก็ต้องถูกหมายขังของศาล
       
       ทันทีที่ถูกขังตามหมายขังของศาล กกต. ทั้งสามคนก็ต้องพ้นจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญมาตรา 141 (3) ประกอบรัฐธรรมนูญมาตรา 137 (4) และมาตรา 106 (3)
       
       จากนั้นก็จะเข้าสู่กระบวนการสรรหา กกต.ใหม่ ซึ่งวันนี้นายสุชน ชาลีเครือ ก็ยอมรับแล้วว่าจะต้องสรรหามาจากศาลฎีกา คือศาลฎีกาจะคัดเลือกผู้พิพากษาศาลฎีกาที่มีคุณสมบัติและมีความสมัครใจจำนวน 10 ท่าน ส่งไปให้วุฒิสภาคัดเลือกเหลือ 5 ท่าน แล้วนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็น กกต. ชุดใหม่
       
       กระบวนการนี้คงจะใช้เวลาประมาณ 45 วัน และถ้าเป็นเช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้ว่าจะมี กกต. ชุดใหม่ในราวปลายเดือนกรกฎาคมถึงกลางเดือนสิงหาคม 2549
       
       กกต.ชุดใหม่ก็จะมาจัดการเลือกตั้งและเรื่องหนึ่งที่น่าจะดำเนินการต่อไปคือการพิจารณาความผิดเรื่องพรรคการเมืองใหญ่จ้างพรรคการเมืองเล็ก
       
       เมื่อ กกต.มีความเป็นกลางก็มีความเป็นไปได้ว่าจะมีการยุบพรรคการเมืองใหญ่แล้วส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา และห้วงเวลาก็น่าจะตกในเดือนสิงหาคมถึงกลางเดือนกันยายน 2549
       
       แต่ยังมีกรณีที่อาจจะเร็วกว่านั้นคือกรณีที่อดีต ส.ว. ไปร้องต่ออัยการสูงสุดให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรคไทยรักไทยในข้อหาจ้างพรรคเล็ก ซึ่งอยู่ระหว่างการรวบรวมข้อเท็จจริงของอัยการสูงสุด
       
       และกระบวนการทางอัยการสูงสุดนี้ก็อาจจะเร็วกว่ากระบวนการที่กล่าวมาก็ได้ แต่อย่างไรก็ดีหากเป็นไปในทางนี้ผลก็จะออกมาในราวเดือนกรกฎาคมหรือเดือนสิงหาคม 2549
       
       และถ้ามีการยุบพรรคการเมืองในเวลาเช่นนั้น ก็จะทำให้อดีต ส.ส. หรือผู้ต้องการสมัคร ส.ส. ของพรรคการเมืองนั้นไม่สามารถสังกัดพรรคใหม่ได้ทัน 90 วัน
       
       ตรงนี้จึงเป็นเรื่องที่อดีต ส.ส. และผู้สมัครพรรคไทยรักไทยจะต้องคิดมาก
       
       คือต้องคิดว่าจะย้ายพรรคเสียก่อนวันที่ 8 มิถุนายน 2549 หรือว่าจะเสี่ยงต่อการหมดอนาคตทางการเมืองเพราะเหตุที่อาจมีการยุบพรรคเช่นว่านั้น
       
       จะคิดจะตัดสินใจกันอย่างไรก็สุดแท้แต่ใจของพระคุณท่านเถิด แต่เวลาเหลืออยู่เพียง 6-7 วันเท่านั้นที่จะต้องตัดสินใจ
       
       จึงต้องจับตาดูปรากฏการณ์แตกรังหรือตายยกรังไว้อย่าได้กระพริบตา!