ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กลาสวินด์อาณาจักรแห่งสายลม

    ลำดับตอนที่ #1 : ปฐมบทแห่งเวทย์

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.94K
      24
      10 มี.ค. 67

    อุแว้ ๆ ๆ

    เสียงเด็กร้องดังขึ้นมาจากห้องนอนห้องหนึ่งที่ถูกตกแต่งด้วยเครื่องใช้ของเด็กอ่อนนานาชนิด เจ้าเด็กน้อยดวงตากลมโตสีฟ้ากำลังส่งเสียงร้องแข่งกับเสียงนกร้องในยามเช้า

             “มาแล้วๆ เจ้าตัวเล็กหยุดร้องได้แล้ว” หญิงสาววัยกลางคนคนหนึ่งร้องขึ้นมา ขณะที่กำลังวิ่งมายังห้องต้นเสียง ระหว่างทางเธอเกือบจะสะดุดล้มเพราะไม้กวาดที่กำลังกวาดพื้นอยู่ อีกทั้งยังต้องคอยหลบไม้ถูกพื้นที่เคลื่อนที่ต่อจากไม้กวาด สงสัยว่าวันนี้แม่บ้านของเธอคงจะงานยุ่งจนต้องใช้เวทย์มนต์ในการทำความสะอาดบ้านอีกแล้วกระมัง

             ไม่นานเธอก็วิ่งมาถึงที่หมายจนได้ เธอเปิดประตูเข้าไปอย่างรวดเร็ว ผมสีฟ้าของเธอทอประกายรับกับแสงอรุณของวันอย่างเหมาะเจาะ เสื้อคอลึกของเธอเผยให้เห็นลำคอขาวยาวระหง เธอจัดว่าเป็นสาวงามคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ เธอเดินเข้าไปที่เปลก่อนจะอุ้มลูกชายของเธอขึ้นมา เธอยิ้มให้เจ้าตัวเล็ก ไม่น่าเชื่อเจ้าตัวเล็กที่กำลังร้องไห้โยเยกลับหยุดร้องและยิ้มตอบให้เธอ เธอหอมแก้มเขาอย่างทะนุถนอม ก่อนจะวางเขาลงในเปล พร้อมทั้งวางขวดนมไว้ที่โต๊ะข้างเตียง

             “รอมันเย็นก่อน ค่อยเรียกไปกินนะครับ วันนี้แม่มีธุระนิดหน่อยคงจะอยู่ด้วยไม่ได้” เธอพูดก่อนจะเดินออกจากห้องไป โดยหวังว่าจะกลับไปจัดการกับงานที่คั่งค้างของเธอต่อ

             เธอกลับไปที่ห้องทำงาน ระหว่างทางที่เดินไปเธอก็หวังว่าลูกชายตัวดีของเธอคงจะหลับไปหลังจากจัดการนมขวดนั้นหมดแล้ว

             กว่าสามชั่วโมงเธอก็จัดการตรวจข้อสอบจนเสร็จ ด้วยความเป็นห่วงเธอจึงแอบย่องขึ้นไปหาลูกชายอีกครั้ง เธอเปิดประตูอย่างแผ่วเบา แล้วก็ต้องแปลกใจที่ยังเห็นนมขวดดังกล่าวยังอยู่กับที่ในปริมาณเท่าเดิม เธอชะโงกหน้าไปดูในเปล แต่แล้วก็ต้องใจหายเมื่อพบว่าเจ้าตัวน้อยนอนหลับใบหน้าเต็มไปด้วยคราบน้ำตา แถมยังนอนดูดนิ้วด้วยความหิว

    “ตายแล้วเซเลส” เธอรีบอุ้มเขาขึ้นมา และคว้าขวดนมยื่นให้เขา เจ้าตัวน้อยลืมตาตื่นขึ้นมาและดูดนมในขวดอย่างรวดเร็ว

    “หิวแล้วทำไมไม่หยิบมากินล่ะลูก แม่วางไว้ให้ตั้งนานแล้วนะ” เธอพูดกับลูกชายวัยสามเดือนของเธอ เธอแปลกใจมานานแล้วที่ลูกชายของเธอไม่เหมือนเด็กคนอื่นๆ ลูกของเธอไม่เคยถือขวดนมเองเลยสักครั้ง และไม่เคยเลยที่จะเรียกของเล่นมาหาเอง เอาแต่เรียกให้เธอ หรือไม่ก็คนที่อยู่ใกล้เคียงให้หยิบให้

     

    ********************

     

    เช้าวันต่อมาเธออดที่จะถามสามีของเธอไม่ได้เกี่ยวกับอาการของลูกชาย เธอเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเซเลสให้กับลูคัส เขาฟังเธอจนจบ

             “ผมว่าคุณคิดมากไปเองหรือเปล่า เด็กทุกคนที่เกิดมาต่างก็มีพลังเวทย์ติดตัวมาตั้งแต่เกิดด้วยกันทั้งนั้น ยิ่งลูกเราได้พลังเวทย์ทั้งจากคุณและผมเข้าไป ผมว่าแกน่าจะมีพลังเวทย์มากกว่าเด็กคนอื่นๆที่อายุเท่ากันด้วยซ้ำไป” ลูลัสพูดอย่างสบายใจ

             “คุณโอ๋แกมากเกินหรือเปล่า ประเดี๋ยวแกจะเคยตัวจนไม่ยอมใช้พลังเวทย์เลยนะ” ลูคัสพูดต่อ และอดที่จะแซวภรรยาไม่ได้ แต่เมื่อหันไปเห็นเฮเลน่าที่นั่งหน้าเครียดไม่รับมุข เขาจึงตัดสินใจหยุดพูดอย่างรวดเร็ว

    “คุณนี่ก็ทำเป็นใจเย็นเหลือเกินนะค่ะ” เธออดที่จะหันมาต่อว่าสามีไม่ได้

             “เอาน่า ผมว่าเรารอดูไปก่อนสักเดือนสองเดือนดีไหม” ลูคัสพูดตัดบทและหอมแก้วภรรยาก่อนที่จะลุกออกไปทำงาน

    แต่ตัวเฮเลน่าเองยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี ยิ่งวันนี้เป็นวันเปิดภาคเรียนของมหาวิทยาลัยเวทย์ออสวินด์ที่เธอเป็นอาจารย์ประจำอยู่ด้วยแล้ว ความสับสนในใจทำให้เธอเครียดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

    “แม่ไปทำงานก่อนนะคนเก่ง ตอนเย็นๆจะแวะมาหาใหม่นะครับ” เธออุ้มเซเลสขึ้นมาและบรรจงหอมแก้มเขาอย่างนุ่มนวล ก่อนจะวางเขาลงในเปลและออกไปทำงานในที่สุด

    ระหว่างทางที่รถม้าของเธอวิ่งผ่าน บรรยากาศภายในเมืองกลาสวินด์กลับมาคึกคักอีกครั้ง รถม้ามากมายต่างวิ่งอย่างเป็นระเบียบในทางที่จัดไว้ให้โดยเฉพาะ ร้านรวงตลอดสองข้างทางต่างส่งเสียงโฆษณาสินค้าของตนอย่างถึงพริกถึงขิงเชิญชวนให้บรรดาคนสัญจรไปมาแวะชม เหนือขึ้นไปบนท้องฟ้าไม้กวาดและพรมหลากสีสันต์พุ่งสวนกันอย่างน่าหวาดเสียว ต่างคนต่างก็รีบที่จะไปทำงานหรือเรียนหนังสือ เธอมองภาพเหล่านั้นแล้วอมยิ้มอย่างมีความสุข

    “สวัสดีครับท่านศาสตราจารย์” เสียงหนึ่งดังมาจากรถม้าคันข้างๆที่ตีคู่มากับรถม้าของเธอ

    “สวัสดีค่ะท่านไดเจส” เธอตอบกลับโดยที่ยังไม่ทันได้หันไปดู ก่อนจะหันไปส่งยิ้มให้เขา

    “ความจำคุณนี่ยังดีเหมือนเคยเลยนะ ไม่มองหน้าก็ยังรู้อีกว่าเป็นผม อีกหน่อยแค่ได้กลิ่นก็จำผมได้แล้วกระมัง” เขาพูดติดตลกเธอส่ายหน้าช้าๆ ทำไมเธอจะจำเขาไม่ได้ล่ะ ในเมื่อทั้งเธอและเขาต่างก็จบการศึกษาจากที่เดียวกัน แถมยังเรียนห้องเดียวกันมาตลอด นี่ยังไม่นับรวมที่เขาพยายามจีบเธออยู่นานหลายปี

    ไดเจส มาโคนัททายาทแห่งตระกูลมาโคนัทที่ร่ำรวย ตระกูลของเขาเก่าแก่ไม่แพ้ตระกูลดาโวนิเกสของลูคัส เพียงแต่ทั้งสองตระกูลนี้ต่างก็เขม่นกันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษแล้ว ตระกูลมาโคนัทเป็นเจ้าของกิจการธนาคารบัสกลาส ธนาคารที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของอาณาจักรกลาสวินด์ ส่วนตระกูลดาโวนิเกสก็ได้ผูกขาดตำแหน่งที่ปรึกษาส่วนพระองค์ของกษัตริย์แห่งกลาสวินด์มานับตั้งแต่ก่อตั้งอาณาจักร

    “ยินดีด้วยนะครับกับตำแหน่งอธิการบดีแห่งมหาวิทยาลัยเวทย์ออสวินด์” ไดเจสเอ่ยขึ้น เฮเลน่าเองก็ยิ้มรับแสดงความขอบคุณ

    “เรื่องนี้ต้องขอบคุณท่านอดีตอธิการเรนริสที่ช่วยสนับสนุนค่ะ” เธอพูดยิ้มๆ

    ถึงแม้ว่าใครๆจะยกย่องฝีมือด้านเวทย์มนต์ของเธอ แต่เธอก็มักจะพูดถ่อมตัวอยูเป็นนิจ จะว่าไปเธอเองก็ประหม่าไม่น้อยที่ต้องเป็นอธิการบดีตั้งแต่อายุยังน้อยอีกทั้งเธอยังเป็นอธิการบดีหญิงคนแรกของมหาวิทยาลัยเวทย์ออสวินด์ มหาวิทยาลัยเวทย์ที่ได้ชื่อว่าดีที่สุดของอาณาจักรกลาสวินด์ ทุกๆปีจะมีเด็กกว่าห้าแสนคนแย่งชิงโควต้าที่จะเข้าเรียนที่นี่ ทั้งๆที่ทางมหาวิทยาลัยเองสามารถรับเด็กได้ไม่เกินหนึ่งพันคนเท่านั้นในแต่ละปี

    “เจ้าหนูเซเลสวิ่งได้หรือยังครับ” ไดเจสถามต่อ เธอหน้าถอดสีไปเล็กน้อยเมื่อมีคนถามถึงลูกชายของเธอแต่เธอก็ปรับอารมณ์อได้อย่างรวดเร็ว โดยที่ไดเจสเองก็ไม่ได้สังเกตเห็น

    “แหม เขาเพิ่งจะอายุได้สามเดือนเอง ท่านจะให้เขาลุกขึ้นมาวิ่งแล้วหรือยังไงกัน” เธอพูดแล้วหัวเราะออกมา ไดเจสเองก็หัวเราะแก้เก้อ

    “ลูกชายของอัจฉริยะแห่งยุคทั้งสองย่อมต้องเหนือกว่าเด็กคนอื่นเป็นธรรมดาอยู่แล้วครับ” ไดเจสพูด ปกติแล้วเด็กๆที่เกิดมาจะสามารถคลานไปเมื่ออายุสามเดือน จากนั้นเริ่มหัดเดินจนวิ่งได้ในเวลาไม่เกินหกเดือน แม้ว่าเด็กคนนั้นจะมีพลังเวทย์น้อยเพียงใดก็ใช้เวลาไม่เกินนี้ทั้งนั้น       

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×