ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เทพนิยายกรีก

    ลำดับตอนที่ #75 : ^0^ความฝันของบัลเดอร์ 1 (ยุโรปเหนือค่ะ)^0^

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 435
      3
      11 เม.ย. 49


            11/4/49

            ขอบคุณ http://members.thai.net/mythland/norse_myth-balder.htm  สำหรับข้อมูลดี ๆ ค่ะ

            หมายเหตุ  ไม่มีการเปลี่ยนแปลงคำพูดใด ๆ ทั้งสิ้นนะคะ

            Baldrs draumar, Balder's dream

            เรื่องมันเริ่มขึ้นจากการที่บัลเดอร์ฝัน เป็นฝันร้าย เห็นตัวเองเดินอยู่ในความมืด รอบข้างทางเดินเป็นศพคนตายและวิญญาณคนตายในรูปร่างน่าสยดสยองนับพันนับหมื่น ที่ต่างชูมือออกมาไขว่คว้ายื้อแย่งตัวเขา มันเป็นฝันที่ทำให้บัลเดอร์ตกใจตื่นทุกครั้ง บัลเดอร์เริ่มฝันแบบเดียวกันอย่างเดียวกันซ้ำๆ บ่อยขึ้นๆ กระทั่งเวลางีบหลับสั้นๆ ฝันร้ายก็เข้ามาจู่โจม จนเขากลายเป็นคนหวาดกลัวการนอน เทพที่ได้ชื่อว่าเป็นคนรื่นเริงมากที่สุดและสง่างามที่สุดกลับกลายเป็นเทพที่มีแต่ความทุกข์ ใบหน้าของเขาอิดโรยอย่างที่ไม่เคยปรากฏให้เห็นมาก่อน เที่ยวเดินท่อมๆ ไปทั่วแอสการ์ดไม่พูดไม่จากับใคร
                       
            ความเปลี่ยนแปลงของบัลเดอร์ไม่รอดสายตาผู้คนในสวรรค์ เมื่อถามเข้าบัลเดอร์ก็ว่าเขาฝันร้าย ความฝันที่บัลเดอร์เล่าให้ฟังพาให้ทวยเทพต่างวิตก เนื่องจากบัลเดอร์เป็นเทพแห่งความจริง ซ้ำในกำแพงวังเบรดาบบิคของเขาด้วยแล้ว ไม่มีใครเห็นเรื่องไม่จริง ความฝันของบัลเดอร์ทำท่าจะเป็นเรื่องร้ายแรงจนบรรดาเทพตระหนักว่า ชีวิตของบัลเดอร์น่าจะตกอยู่ในอันตรายเสียแล้ว เห็นทีจะต้องหาทางรู้ให้ได้ว่า อะไรจะเกิดขึ้นกันแน่
                       
            เหล่าเทพต่างไปรวมตัวกันที่แกลดสไฮล์ม ทูลปรึกษากับโอดิน จอมเทพตกใจ ท่านรีบขึ้นม้าสไลป์นีร์ลงไปหาเทพธิดาโนร์นที่โลกบาดาล คำตอบที่ได้รับทำเอาโอดินแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่ ท่านรู้ว่าบัลเดอร์กำลังจะตาย
                       
            โอดินกลับสวรรค์ บอกกล่าวคำทำนายของเทพีโนร์น ฟริกกาไม่ยอมเชื่อ นางไม่ยอมแพ้เอาเรื่องไปปรึกษาบรรดาเทพในแกลดสไฮล์มอีกครั้ง คราวนี้เทพทั้งหลายต่างช่วยกันคิดว่าทางใดบ้างที่จะทำให้บัลเดอร์ประสบชะตากรรม ต่างคนต่างช่วยกันสมมุติสถานการณ์ อาวุธ เชื้อโรค หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่จะสามารถฆ่าเทพอันเป็นที่รักที่สุดได้ เมื่อหารือกันเสร็จสรุปเนื้อความแล้ว ฟริกกาก็ถือเป็นหน้าที่ของเธอที่จะต้องออกเดินทางไปยังเก้าโลกขอคำสาบานจากทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่า ก้อนหิน กรวด ทราย คมหอกคมดาบ นุ่น ใบไม้ จากสิ่งที่แข็งที่สุดถึงสิ่งที่อ่อนที่สุดว่า จะไม่ทำร้ายลูกชายของนาง 
                       
            ฟริกกาเสร็จภารกิจด้วยความเหนื่อยอ่อน แต่นางก็เบาใจขึ้นมาหน่อยหนึ่งว่า อย่างน้อยไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดในโลกจะทำร้ายบุตรอันเป็นที่รักของนางได้ การกลับมาของราชินีสวรรค์ทำให้ทวยเทพในแอสการ์ดมีความสุขขึ้นมาบ้าง ก็เลยจัดงานฉลองสามวันสามคืนไม่เลิกรา ยิ่งบัลเดอร์มีสีหน้าดีขึ้นเทพแอสการ์ดก็ยิ่งพากันยินดี เหล้าถูกนำมาเสิร์ฟกันทั่วๆ ดื่มไปคุยไป ลืมความทุกข์ไปได้ชั่วขณะ แต่พอเวลาผ่านไปพักใหญ่ เทพเริ่มเมา เริ่มอยากทดลองว่าคำสาบานที่ฟริกกาออกเดินทางไปขอมาจากสิ่งต่างๆ นั้นได้ผลจริงหรือไม่ เขาให้บัลเดอร์ยืนอยู่ตรงกลาง แล้วบรรดาเทพก็ทยอยเอาอะไรต่อมิอะไรมาปาใส่ เริ่มด้วยหินก้อนเล็กๆ ปาไปถูกหน้าผาก แต่บัลเดอร์ไม่เจ็บเพราะหินจำคำสาบาน มันยั้งน้ำหนักตัวเองก้อนถึงตัวเทพร่วงลงพื้นไปก่อน
                       
            ชาวฟ้าแน่ใจมากขึ้น เริ่มทดลองด้วยอาวุธประเภทต่างๆ ของที่เอามาขว้างใส่บัลเดอร์กลายเป็นหินก้อนใหญ่ขึ้น มีดสั้น ดาบและเรื่อยๆไป จนกระทั่งธอร์เองก็เล่นกับเขาด้วย เอาขวานจามเทพแห่งแสงสว่าง แต่สิ่งเหลานี้กลับเด้งจากผิวของบัลเดอร์ ไม่ระคายเขาแม้แต่น้อย ทั่วทั้งห้องประชุมต่างเต็มไปด้วยความยินดี ยกเว้นที่ซอกมุมหนึ่งของท้องพระโรงที่โลกิหลบเร้นอยู่
                       
            ความยินดีของเทพเป็นเหตุให้โลกิหมั่นไส้ กลายเป็นความหงุดหงิดตามประสาเทพจอมลวงโลกิ แบบนี้ต้องมีการแกล้ง เทพจอมโกงพยายามนึก ๆ นึกว่ามันน่าจะต้องมีอะไรสักอย่างที่เล็ดรอดสายตาของฟริกกา อะไรสักอย่างที่ไม่ได้กล่าวคำสาบาน ดวงตาของโลกิลุกโพลงด้วยความชั่วร้าย เขาหายตัวไปจากแกลดสไฮล์ม หาหนทางที่จะเป็นไปได้
                       
            สองสามวันต่อมา โลกิคิดแผนออก เขาแปลงตัวเป็นหญิงแก่ผอมโซหน้าตาน่ารังเกียจมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เสกใบหน้าให้เหี่ยวย่นหนังยาน จมูกใหญ่ยื่นยาวเป็นปุ่มปมเพื่อให้เสียงพูดฟังเหมือนคำราม เดินเข้าไปในเฟนซาลีร์วังของฟริกกา เขารู้ว่าเธอหลบมานั่งพักหนีความวุ่นวายของท้องพระโรงอยู่ที่นี่ โลกิแปลงเดินเข้าไปหา ถามว่ามีงานอะไรในแกลดสไฮล์มจึงได้ส่งเสียงน่ารำคาญลอยลมมาเช่นนี้ ราชินีฟริกกามองผู้มาเยือนอย่างนึกรำคาญ เธอยังไม่หายเหนื่อยจากการเดินทางไกลทั่วเก้าโลก จึงตอบยายเฒ่าว่า 
                       
            "นั่นเป็นงานฉลองสวัสดิภาพของบาลเดอร์เทพแห่งสัจจะ"
                       
            "เช่นนั้น เหตุใดเขาต้องทนมานด้วยการถูกอาวุธทำร้าย" ยายเฒ่าแสดงท่าฉงน
                       
            ฟริกกาอธิบายว่า เธอได้เดินทางไปทั่วทั้ง 9 โลก ขอคำสาบานจากสิ่งต่างๆ ว่าจะไม่ทำร้ายลูกชายของนาง โลกิแปลงจี้ลงตรงจุด ถามว่าแน่ใจแล้วหรือว่าได้ถามมาแล้วทุกอย่างจริง เสียงของนางเฒ่า ตลอดจนความจู้จี้จุกจิกยิ่งทำให้ฟริกการำคาญมากขึ้นอยากให้ยายแก่ไปพ้นหูพ้นตา จึงตอบโดยไม่ทันคิด
                       
            "ยังมีอีกอย่างหนึ่ง ต้นมิสเซิลโท(Mistletoe) ตอนที่ข้าไปถึงมันยังเป็นไม้อ่อนเกินไป ข้าว่านอกจากมันจะฟังข้าไม่เข้าใจ มันคงไม่รู้จะทำอันตรายบาลเดอร์ได้ยังไงด้วย"
                       
            คำตอบของฟริกกาทำให้โลกิเห็นทางสว่าง แต่ยังแสร้งถามโน่นถามนี่จนนางรำคาญสุดขีดออกปากไล่ยายแก่
                       
            โลกิเดินออกมาจากวังเฟนซาลีร์ด้วยความลิงโลดที่เก็บไว้แทบไม่มิด เมื่อถึงราวป่าโลกิคืนร่าง เขามุ่งหน้าไปยังแถวที่ต้นมิสเซิลโทขึ้น หักกิ่งของมันขนาดพอเหมาะแล้วเสี้ยมปลาย เดินถือเข้าไปในท้องพระโรงแกลดสไฮล์มที่ยังเต็มไปด้วยความรื่นเริง
                       
            โลกิมองหาคนที่จะยืมมือได้ ทันทีนั้นเขาเห็นโฮเดอร์เทพตาบอดซึ่งถูกกีดกันจากเทพด้วยกันเองเสมอๆ ซ่อนตัวอยู่ที่มุมหนึ่ง กำลังคลำงุ่มง่ามเปะปะไปตามผนัง เขาไม่ได้มีส่วนร่วมในเกมขว้างปาบัลเดอร์เพราะมองไม่เห็น โลกิเดินเข้าไปโอบไหล่โฮเดอร์ ทำเป็นมีความเมตตา แล้วเริ่มกล่อม
                       
            "ทำไมเจ้าไม่หาอะไรมาขว้างปาร่วมงานฉลองกับเขาบ้างเล่า"
                       
            "ก็ข้า…ข้ามองไม่เห็น แล้วก็ไม่รู้จะเอาของอะไรที่ไหนด้วย" โฮเดอร์ว่า
                       
            โลกิเอาลูกศรไม้มิสเซิลโทใส่มือโฮเดอร์ "เอาของข้าก่อนก็ได้" 
                       
            "แต่ข้าก็ไม่เห็นอยู่ดีแหละ"
                       
            "ไม่เป็นไร ข้าช่วย" โลกิจูงโฮเดอร์มาต่อแถว จับมือเทพตาบอดให้ถือศรเล็งตรงทาง "เอาละ ขว้าง" โลกิสั่ง เทพองค์นั้นขว้างออกไปเต็มกำลัง ไม้มิสเซิลโทวิ่งตรงแทงเข้าไปในอกบัลเดอร์ เขาชะงักค้าง ตาเหลือก ส่งเสียงกรนยาวออกมาแค่ครั้งเดียวก็ล้มลงกับพื้นสิ้นใจ
                       
            ทั่วทั้งท้องพระโรงงงงัน เงียบเสียงในทันใด ต่างคนต่างตกใจกับภาพตรงหน้า แต่วินาทีนั้นหลายคนหันไปทางตำแหน่งที่โฮเดอร์ยืน ทันได้เห็นโลกิยืนอยู่เบื้องหลังเทพตาบอด มือของเขาที่จับมือโฮเดอร์ช่วยเล็งยังค้างอยู่ เทพอีซีร์รู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น สายตาของพวกเขาเปลี่ยนเป็นความแค้น รุมเข้ามาที่โลกิราวกับจะฉีกเนื้อ โลกิปล่อยเทพตาบอดแล้วหนีไปด้วยความกลัว
                       
            ตอนนั้นความโทมนัสแผ่เข้าแทนที่ความรื่นเริง ไม่ว่าเทวาองค์ไหนก็ไม่สามารถเก็บความเศร้าไว้ได้ เสียงแห่งการเฉลิมฉลองเมื่อครู่ เปลี่ยนเป็นเสียงระงมแห่งความโศกเศร้า แต่ความเศร้าใดๆ ของใคร ก็ไม่อาจเปรียบเทียบได้กับความเศร้าของโอดิน นอกจากบัลเดอร์จะจากไป เขาเป็นคนเดียวที่รู้ล่วงหน้าแล้วว่า เมื่อไรก็ตามที่แสงสว่างและสัจจะธรรมหายไปจากโลก เวลาแร็กนาร็อคก็ใกล้เข้ามา ต่อแต่นี้ ความชั่วและความตายจะมีพลังมากจนสั่นสะเทือนความมั่นคงของจักรวาล โลกทั้งเก้าจะถูกทำลายราบเหลือเพียงกองขี้เถ้า
                       
            
    ในท่ามกลางความเศร้านั้นเช่นกัน ฟริกกาพยายามหาทางแก้ไข พระนางถามหาผู้กล้าที่สุดที่จะลงไปยังนรก ไปนำวิญญาณบัลเดอร์กลับขึ้นมาสู่โลกแห่งชีวิต ปรากฏว่าเฮอร์มอด(Hermod) ลูกของนางอีกคนหนึ่งอาสา โอดินจึงให้นำม้าแปดขาของพระองค์ไปใช้
                       
            
    ทันทีที่เสียงฝีเท้าม้าจากไป โอดินสั่งให้เตรียมงานศพ ร่างของบัลเดอร์ถูกนำไปชำระล้างยังเบรดาบลิควังของตน ขณะเดียวกันต้นไม้จำนวนมากถูกโค่นสำหรับเผาบัลเดอร์ ไม้ฟืนเหล่านี้เอาไปกองเรียงกันไว้บนดาดฟ้าเรือริงฮอร์น(Ringhorn) เรือหัวมังกรของเขาเอง จากนั้นร่างของเทพแห่งแสงสว่างก็ได้รับการแต่งตัวในชุดสงคราม ถูกนำไปวางไว้บนกองฟืนกองนั้น
                       
            เทพต่างๆ ช่วยกันนำของมีค่าและสิ่งสวยงามของตน ไม่ว่าจะเป็นพรมสวยๆ อาวุธดีๆ หรือเครื่องทองสุกปลั่งมาวางไว้ข้างศพบัลเดอร์ในเรือเพื่อเป็นการเคารพครั้งสุดท้าย โอดินวางแหวนดรอฟนีร์ แหวนแห่งพิภพไว้บนอกลูกชาย (แหวนวงนี้กลับมาอีกครั้งเมื่อบัลเดอร์ฟื้นหลังช่วงแร็กนาร็อค) ก้มลงกระซิบอะไรบางอย่างข้างหูศพ จนทุกวันนี้ไม่มีใครรู้ว่าจอมเทพกระซิบอะไร แต่ก็คาดกันว่าน่าจะเป็นคำศักดิ์สิทธิ์สั่งให้บัลเดอร์ "คืนชีพ" โอดินเป็นคนเดียวที่รู้ว่าลูกชายของตนจะกลับมาอีกครั้งหลังแร็คนาร็อคทำลายโลกไปหมดสิ้น
                       
            นันนาเป็นคนสุดท้ายที่มาจูบลาสามีของหล่อน ความโศกเศร้าแล่นขึ้นมาจับหัวใจเธออีกครั้งหลังจากที่ร้องไห้คร่ำครวญจนเป็นลมไปหลายพับ แต่คราวนี้ความเสียใจที่พลุ่งขึ้นมาทำให้หัวใจของเธอแตกสลาย นันนาล้มลงขาดใจตายข้างศพสามี ร่างของเธอจึงถูกยกวางไว้ข้างเขาเพื่อจะทำพิธีเผาไปด้วยกัน
                        
            
    ยังไม่จบค่ะ  อ่านต่อตอนต่อไปนะคะ  ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×