ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เทพนิยายกรีก

    ลำดับตอนที่ #61 : ^0^โลกทั้งเก้า (ยุโรปเหนือค่ะ)^0^

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 7.1K
      13
      11 เม.ย. 49


          11/4/49

          ขอบคุณ http://members.thai.net/mythland/norse_heim.htm#up  สำหรับข้อมูลดี ๆ ค่ะ

          หมายเหตุ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงคำพูดใด ๆ ทั้งสิ้นนะคะ

          The Worlds in Norse Mythology

          ในตำนานกล่าวว่า มีดินแดนเทพทั้งหมด 9 ดินแดน แบ่งเป็นสามส่วน
    ส่วนบนสุด : 
       
          ดินแดนเทพแอสการ์ด (Asgard) - ที่อยู่ของเทพเอซีร์ (เทพที่เกิดจากโอดิน)
       
          ดินแดนเทพวานาไฮล์ม (Vanahiem) - ที่อยู่ของเทพวานีร์ (เทพนอกเหนือออกไป ไม่มีเชื้อสายของโอดิน)
       
          อัลฟ์ไฮล์ม (Alfheim) -  ดินแดนเอลฟ์ เอลฟ์แห่งแสงสว่าง (มีเวทย์มนต์ เป็นเอลฟ์ชั้นสูง)

          ส่วนถัดมา(กลาง) : 
       
          ดินแดนมิดการ์ด (Midgard = Middle garden) - ที่อยู่อาศัยของมนุษย์
       
          ดินแดนนิดาเวลลีร์ (Nidavellir) - ดินแดนของคนแคระ 
       
          โยทุนไฮล์ม (Jotanheim) - ดินแดนแห่งยักษ์ 
      
          สวาตัลฟ์ไฮล์ม (Svartalfheim) - ดินแดนของพวกเอลฟ์ดำและเอลฟ์ขาว

          ส่วนที่อยู่ล่างสุด :
       
          เฮลไฮม (Helheim) - ดินแดนใต้พิภพ อาณาจักรแห่งความตาย(นรก) (ปกครองโดยเทวีแห่งความตาย เฮล)
      
          นิฟเฟลไฮล์ม (Niflheim) - โลกแห่งความตาย  

          (heim  เป็นภาษาตระกูลเยอรมัน แปลว่า บ้านหรือที่อยู่) ปล.บางครั้งอาจพิมพ์เป็น ไฮล์มหรือไฮม หรือ ไฮม์ ก็ขออภัยนะคะ... ตอนแรกแปลมาแล้วไม่แน่ใจว่าควรพิมพ์ยังไง บางอันแปลคนละครั้ง เลยลืมว่าต้องพิมพ์อะไรน่ะ ขอโทษค่ะ)

          แอสการ์ด(Asgard)
               
          แอสการ์ด เป็นดินแดนของเทพเจ้าวงศ์เอซีร์ มีเทพเจ้าสูงสุดคือโอดิน เทพแห่งสงคราม ตั้งอยู่บนตำแหน่งสูงสุดของจักรวาลตามความเชื่อของชาวนอร์ส เป็นดินแดนที่ห้อมล้อมไปด้วยกำแพงหินสูงชัน มีตำนานเล่าว่า... 
                
          หลังสงครามระหว่างเทพเอซีร์และเทพวานีร์ยุติลงได้ ต่างฝ่ายต่างต้องใช้เวลาในการซ่อมแซมสถานที่ของตนซึ่งเสียหายในช่วงแห่งสงคราม พวกวานีร์ดูเหมือนจะไม่ค่อยร้อนใจเท่าไร ต่างจากพวกแอสการ์ดที่กลัวมากว่า กำแพงอันพังทลายของพวกเขาเป็นช่องทางให้ยักษ์เข้ามาโจมตีอย่างง่ายดาย การซ่อมกำแพงจึงดำเนินไปอย่างเร่งร้อน ถึงกระนั้นมันก็ยังเป็นงานยากสำหรับเทพอยู่ดี

          วันหนึ่ง ไฮล์มดัล เทพอารักษ์แห่งแดนแอสการ์ดได้เข้ามาบอกโอดินว่า มีคนแปลกหน้าตนหนึ่งจะขอพบเทพเอซีร์ โอดินยอมทำตามที่คนแปลกหน้าขอ และเรียกประชุมเหล่าเทพทั้งหมด แขกแปลกหน้าอาสาจะก่อกำแพงแอสการ์ดเองคนเดียว โดยมีข้อแลกเปลี่ยนที่ชาวแอสการ์ดให้เขาได้ การเสนอที่ก่อกำแพงหินคนเดียวในเวลา 18 เดือนเป็นงานที่เกินกว่าคำว่าสำเร็จไปไกล หากทำได้เจ้าคนแปลกหน้าคนนี้ต้องเป็นคนที่พิเศษอย่างยิ่ง ช่างก่อหินคนนั้นขอกำแพงกับเทพีเฟรยา เทพีแห่งความรัก และขอครอบครองดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์ ทวยเทพได้ยินข้อแลกเปลี่ยนดังกล่าวก็แทบจะดีดเจ้าคนแปลกหน้าออกจากสวรรค์ไปในทันที ค่าที่มันเปรียบเทียบราคากันไม่ได้เลย แต่โลกิยับยั้งเอาไว้ แล้วว่าควรไตร่ตรองข้อเสนอให้รอบคอบเสียก่อน ช่างแปลกหน้าถูกเชิญออกจากห้องเพื่อให้เทพคุยกันอย่างเปิดอก เปรียบเทียบผลได้ผลเสีย

          โลกิจอมโกงยังคงมีเล่ห์อยู่ทุกเวลา เขามีแผน ก็คือให้ต่อรองเวลาเหลือหกเดือน เวลาสั้นมากซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่งานจะเสร็จ โลกิว่าเมื่อถึงหกเดือน กำแพงจะเสร็จประมาณครึ่งเดียวเท่านั้น เทพไม่ต้องจ่ายอะไรเป็นค่าจ้าง ส่วนงานที่เหลือเทพทำต่อได้ แผนของโลกิทำเอาเทพอึกอักไปตามๆ กัน ดูจะไม่ค่อยใช่วิธีของเทพทำกัน แต่เทพก็เรียกช่างเข้ามา แล้วต่อรองเวลา น่าประหลาดใจที่ชายนาม Blast ตกลงทันที แต่มีเงื่อนไขขอใช้ม้าสวาดิฟารี(Svadifari) โอดินปฏิเสธ โลกิก็กล่อมให้จอมเทพยอมความ ช่างก่อหินแปลกหน้าจึงได้ม้าวิเศษไว้ใช้

          ช่างก่อหินเริ่มงานในเช้าวันรุ่งขึ้นทันที ทว่าสิ่งที่ทำให้ทวยเทพแปลกใจมากกว่านั้นก็คือกำลังของม้าสวาดิฟารี ซึ่งมีมากเกินกว่าที่ใครจะนึกออก ไม่ว่าช่างก่อหินจะเทียมหินมากมายขนาดไหนให้มันลาก มันก็สามารถลากมาได้ ข้างฝ่ายช่างก่อหินก็เร็วพอกันไม่ว่าหินที่ม้าลากมาได้จะต่อเนื่องรวดเร็วปานไหน เขาก็สามารถใช้สิ่วสลักให้เข้ารูปแล้วผลักเข้าไปตามแนวกำแพงที่พังลงได้ทันกัน งานที่เทพคิดว่ายังไงก็ไม่เสร็จพอจวนเจียนจะครบหกเดือน มันก็เหลือแค่ช่วงประตูเท่านั้น ต่างคนต่างร้อนๆ หนาวๆ จนไม่เป็นอันทำอะไรโดยเฉพาะอย่างยิ่งเฟรยา เทพีที่ถูกกำหนดให้เป็นรางวัล

          เหตุการณ์คงปล่อยไว้ช้าไม่ได้โอดินจึงต้องเรียกประชุมเทพเป็นการด่วนอีก มติในที่ประชุมเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า เมื่อแผนของโลกิทำให้พวกเขาต้องตกอยู่ในห้วงหายนะ โลกิก็เป็นคนที่จะต้องแก้ไขเรื่องนี้โดยตรง และแน่นอนว่าโลกิก็ยังคงมีแผนร้ายอยู่ คืนนั้นโลกิแปลงกายเป็นม้าสาว ไปยืนอ้อยอิ่งอ่อยอยู่แถวหน้าคอกม้าสวาดิฟารี เจ้าม้าหนุ่มเห็นสาวมายืนรอท่าแถมยังส่งเสียงร้องแนวเชิญชวน มันลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าภาระหน้าที่หรือนายวิ่งแหกคอกไปหานางม้าแปลงแล้วทั้งคู่ก็หายไปในแนวป่าตั้งแต่นั้น

          ช่างก่อหินแปลกหน้าตื่นขึ้นมาพบกับความว่างเปล่า ม้าวิเศษหายไป เขาต้องทำงานต่อด้วยกำลังของเขาเอง แต่การที่จะต้องขนหินเองและต้องใช้แรงสลักให้เข้ารูปเอง ทำให้ไม่สามารถจัดการกำแพงเสร็จตามเวลากำหนด ช่างก่อหินนึกออกว่าเทพคงเล่นตลกเข้าให้แล้ว เขาแล่นเข้าไปในท้องพระโรง แกลดสไฮม ทันที เสียงของเขาที่ต่อว่าต่อขานเทพเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งความโกรธทวีมากขึ้นเท่าไหร่ เขาก็ไม่สามารถควบคุมร่างแปลงของตนให้เหมือนเดิม

          ในที่สุดความก็แตก ช่างก่อหินแปลกหน้าที่แท้คือยักษ์หินที่ชาวสวรรค์ไม่ชอบขี้หน้า โอดินเรียกธอร์ผู้เป็นลูก และเป็นเทพแห่งสายฟ้าเข้ามา ธอร์จัดการกับยักษ์หินด้วยการใช้ค้อน มจอร์ลนีร์(Mjorlnir) ทุบแค่ครั้งเดียว และแล้ววันเวลาก็ผ่านไปนับเดือน เทพเอซีร์ช่วยกันสร้างกำแพงที่เหลือค้างจนเสร็จ แต่ตั้งแต่ม้าสวาดิฟารีหายไป จนยักษ์หินตาย กระทั่งกำแพงเสร็จ กลับไม่มีใครได้ข่าวโลกิไม่รู้ว่าเขาเป็นตายร้ายดีอย่างไร

          กระทั่งวันหนึ่งข่าวที่เทพรอคอยก็มาถึง โลกิเดินโผเผขึ้นมาตามสะพานรุ้งน้ำแข็งจูงลูกม้าแปดขาตัวหนึ่งมาด้วย ท่ามกลางความสงสัยของเทพโลกิเล่าว่า เขาแปลงเป็นม้าตัวเมียไปหลอกล่อสวาดิฟารีจนมันตามไป แต่ด้วยความดุและเร็วของมันเขาไม่สามารถหนีการผสมพันธุ์ของม้าวิเศษพ้น ม้าแปลงโลกิจำเป็นต้องยอมและเพื่อหลอกล่อให้สวาดิฟารีอยู่กับตนนานที่สุด สิ่งที่ตามมาก็คือเขาซึ่งอยู่ในร่างม้าแปลงเกิดตั้งท้องเพราะการผสมครั้งนี้ ผลพวงก็คือเจ้าม้าแปดขาตัวที่เห็น ชาวเทพทั้งรู้สึกขำและสงสาร แต่ไม่มีใครเอ่ยอะไรตอกย้ำ โลกิยื่นเชือกผูกม้าให้แก่โอดินทำนองยกให้ ลูกม้าตัวนี้ได้ชื่อว่า สลีปนีร์(Sleipnir) มันกลายเป็นม้าประจำตัวของโอดินที่เร็วที่สุดในเก้าโลก ตั้งแต่นั้นมาสวรรค์ของแอสการ์ดก็สมบูรณ์และปลอดภัยขึ้นอีกครั้งหนึ่ง...
               
          ในลำดับชั้นเดียวกับดินแดนแอสการ์ด ยังมีดินแดนอัล์ฟไฮม และวานาไฮม อีกทั้งยังมีวัลฮัลลา ซึ่งเป็นที่สถิตย์ของนับรบสวรรค์... และ ที่ใจกลางของดินแดนแอสการ์ด มีที่ราบแห่ง ไอดาโวล (Idavol หรือ Ida) เป็นที่ที่ชาวเทพมาประชุมกัน ที่แห่งนี้จะมีโถงชื่อ แกลดไฮล์มซึ่งเป็นที่ของเหล่าเทพ และอีกแห่งคือ วินโกล์ฟ ดินแดนที่ประทับของเหล่าเทพธิดา และทุกๆวันเหล่าเทพทั้งหลายจะมาชุมนุมกันที่น้ำพุแห่งปัญญาของอูร์ด ที่อยู่ข้างใต้รากของอิกดราซิล 

          วานาไฮล์ม (Vanahiem)
               
          Vanaheim = "home of Vanir" เป็นดินแดนของเทพวานีร์ ตั้งอยู่ในลำดับชั้นสูงสุด ผืนเดียวกับดินแดนเทพแอสการ์ด

          อัลฟ์ไฮล์ม (Alfheim)
               
          Alfheim = "elf home" ดินแดนแห่งเอลฟ์แห่งแสงสว่าง ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาจากเวทมนตร์ของเทพ ดินแดนนี้ตั้งอยู่บนระดับสูงสุดระดับเดียวกับดินแดนเทพทั้งสองดินแดน ดินแดนนี้เป็นที่ประทับของเทพเฟรย์ ผู้ที่มีหน้าที่ปกครองและดูแลดินแดนแห่งนี้ นอกจากนี้ยังมีดินแดนเอลฟ์ดำอีกดินแดนซึ่งอยู่คนละระดับขั้นกัน เรียกว่า สวาตัลฟ์ไฮล์ม

          มิดการ์ด (Midgard)
               
          เป็นดินแดนที่อาศัยของเหล่ามนุษย์ เป็นสถานที่ที่เทพเจ้าสร้างขึ้น ได้แก่ โอดิน และพี่น้องอีกสองคน เป็นดินแดนที่อยู่ในช่วงกลางของดินแดนทั้งหมด 9 ดินแดน อยู่ชั้นเดียวกับนิดาร์เวลลีร์ (ดินแดนแห่งคนแคระ) สวาตัลไฮล์ม (ดินแดนแห่งเอล์ลดำและคนแคระ) และโจตันไฮล์ม (แดนดินแห่งยักษ์)
    นิดาเวลเลียร์ (Nidavellir) ดินแดนของคนแคระ

          โยทุนไฮล์ม (Jotanheim)
               
          ดินแดนแห่งยักษ์น้ำแข็งและยักษ์หิน แยกห่างจากแอสการ์ดด้วยน้ำตกไอวิง (Iving) ซึ่งเป็นที่ที่น้ำแข็งไม่มีวันละลาย ตั้งอยู่ในแดนหินมะ ด้านนอกสุดของฝั่งมหาสมุทร นำพุแห่งปัญญาของมิมีร์ก็อยืที่โจตันไฮล์ม ณ ใต้รากของต้นไม้อิกดราซิล โจตันไฮล์มปกครองโดยธริม (Thrym อึกทึก) ราชาแห่งความหวาดกลัว โจตันไฮล์มมีที่ตั้งหลักอุตการ์ดเป็นเมืองหลวง ซึ่งอาณาจักรนี้จะปกครองโดยอุตการ์ดโลกิ (Utgard-Loki) ส่วนสถานที่อื่นก็มีแกสโทรปนีร์ (Gastropnir) บ้านของเหล่ายักษี นอกจากนี้ก็ยังมี ธรมไฮล์ม (Trymheim) ภูเขาที่อาศัยของยักษ์ธีอาซี

          สวาตัลฟ์ไฮล์ม (Svartalfheim)
               
          ที่อยู่ของพวกเอลฟ์ดำ และคนแคระ ผู้ที่เติบโตมาจากเนื้อของอีมีร์ ทั้งหมดนี้จะอาศัยอยู่ใต้พื้นโลกและหินผา แม้ว่าจะมีรูปร่างคล้ายกับมนุษย์ แต่ก็มีหลายอย่างที่แปลกออกไป สวาตัลฟ์ไฮล์มจะอยู่ใต้ดิน แต่ก็ไม่ได้ต่ำจนถึงแดนนรก หากเอล์ฟและคนแคระเหล่านี้ต้องแสงสว่างเมื่อไร พวกเขาก็จะกลายร่างเป็นหินเมื่อนั้น

          เฮลไฮล์ม (Helheim)
               
          เฮลไฮล์มปกครองโดยเฮล เทพธิดาแห่งความตาย ลูกสาวรูปร่างประหลาดของโลกิ เป็นสถานที่ที่ทั้งหนาวและมืดมิด ถือว่าอยู่ภายในของดินแดนนิฟล์ไฮล์ม อยู่ชั้นล่างสุดของจักรวาลตามความเชื่อของชาวนอร์ส "ใครที่เข้ามาและไม่สามารถออกจากดินแดนนี้ได้" นี่คือกฎเหล็กแห่งดินแดนนี้ ที่นี่จะมีแม่น้ำที่ไหลไม่กลับเรียก จอล (Gjoll) ซึ่งไหลมาจากน้ำพุเฮอร์เกลมีร์ (Hvergellmir) ล้อมรอบดินแดนเฮลไฮล์ม ไม่ว่าจะเทพหรือผู้วิเสษเหนือใครอย่างไรก็ไม่มีวันที่จะได้กลับไปหากผ่านเข้ามาแล้วแม้แต่สักครั้ง ผู้ที่ตายตามอายุขัย หรือโรคภัย และไม่ได้สิ้นชีพเยี่ยงนักรบในสนามรบจะต้องมาที่เฮลไฮล์ม ขณะที่นักรบทั้งหลาย ยามสิ้นชีวิตจะได้รับการคัดเลือกให้ไปอยู่ที่วัลฮัลลา โถงแห่งนักรบสวรรค์ มีการ์ม (Gram)และมอร์กุด หมาปิศาจคอยเฝ้าอยู่ที่ปากทางเข้าแดนนรก เหนือขึ้นไปนั้นจะมียักษ์ Hraevelg ผู้กินศพนั่งมองดูอยู่ และจะแปลงตนเป็นอินทรีคอยสร้างพายุเหนือดินแดนแห่งนี้

          นิฟล์ไฮล์ม (Niflheim)
               
          ชื่อนิฟล์ไฮล์มหมายถึงดินแดนแห่งหมอก ซึ่งก็มีทั้งหมอกและน้ำแข็งสมชื่อ ซ้ำร้ายยังทั้งมืดมิดและหนาวเย็น แดนดินแห่งอาถรรพ์ร้ายนี้ตั้งอยู่ ณ ระดับล่างสุดของจักรวาลตามความเชื่อของชาวนอร์ส เป็นอาณาจักรแห่งความตาย เฮลไฮล์มเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนนี้ นิฟล์เฮลเป็นดินแดนที่อยู่ลึกลงมาใต้บาดาล อยู่ระดับชั้นที่สามภายใต้รากของต้นอิกดราซิล มีน้ำพุแห่งเฮอร์เกลมีร์ที่ตั้งอยู่ในนัสโทรนด์ (Nastrond) มีมังกรร้าย นิดฮอก (Nidhogg) คอยกัดกินรากของต้นอิกดราซิลอยู่ทุกวัน 
               
          หลังจากวันสิ้นโลก(แร็กนาร็อก) ที่นี่จะยังคงอยู่ และได้เปลี่ยนเป็นโถงสำหรับทำโทษฆาตกร ผู้กระทำความผิด และผู้ร้ายต่างๆ

          ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ

                

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×