ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เทพนิยายกรีก

    ลำดับตอนที่ #49 : ^0^นินจาค่ะ^0^

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 311
      0
      23 ส.ค. 48





                                                              ^0^นินจาค่ะ^0^





                         ขอบคุณคุณ  Sonic  อีกตามเคยค่ะ



                    

                         หมายเหตุ  จะไม่มีการเปลี่ยนเเปลงคำพูดใด ๆ ทั้งสิ้นค่ะ





                         เรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้ายที่พิ้งค์จะลงในวันนี้นะคะ  เเล้วเราก็ไปเจอกันอีกทีต้นเดือนหน้าเลยล่ะกัน  เห็นว่าสนุกดี  มีประโยชน์ค่ะ  ก็เลยเอามาลงให้  อิอิ





                                                           ตราบใดที่โลกนี้ยังมีแสงตะวัน



                                

                                                  ตราบนั้นยังคงมีเงาคือ\"คาเงะ\" ติดตามอยู่คู่กัน





                                                             นี่คือ... ประกาศิตจากสวรรค์








                          เปิดฉากมาหลายคนก็อาจจะงงๆว่า นายโซนิคจะมาไม้ไหนกันอีก บังเอิญช่วงสองอาทิตย์ที่ผ่านมาเนี่ย ได้ช่วยรุ่นน้องเค้าหาข้อมูลเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น ก็เลยมานึกขึ้นได้ว่า เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของชนชาตินี้ เป็นเรื่องราวที่น่าแก่การศึกษาพอสมควร โดยเฉพาะในแง่ของความเชื่อและจิตวิญญาณ ตรงนี้แหละครับที่ทำให้ตัวเองอุทาน \"เอีะ!\" ออกมาได้ว่า ทำเรื่องประวัติของท่านเคาท์แดร็คคิวลาบ้าง บารอนแฟรงเกนสไตน์ (เรียกตามฉบับบภาพยนตร์น่ะครับ จริงๆเค้าไม่ได้มีฐานันดรศักดิ์แบบนี้หรอก) หรือแม้แต่พ่อมดแม่มดมาก็มาก น่าจะลองทำเรื่องราวของบุคคลอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมีตัวตนจริงๆในประวัติศาสตร์ มีความสามารถที่ถูกเล่าลือกันราวกับพวกเขามีปาฏิหารย์ และทำตัวลึกลับเป็นปริศนา(เข้าแก๊ปเว็บนี้เลย หึหึ...)ในวังวนแห่งประวัติศาสตร์มานานแสนนาน เชื่อว่าทุกท่านคงเคยได้ยินชื่อเสียงของพวกเขามาบ้าง ไม่มากก็น้อย จากการพาดพิงถึงของสื่อต่างๆ ครับ วันนี้นายโซนิคจะเอาเรื่องราวของ นินจา หรือ ชิโนบิ มาฝากกัน ดูกันซิว่า นินจา มือสังหารปริศนาเหล่านี้ มีคุณสมบัติและความเป็นมาเป็นไปอย่างไรกันบ้าง





                          History of Ninja  





                          ในสมัยที่ญี่ปุ่นยังเป็นฟิวดัลหรือศักดินาอยู่นั้น ชนชั้นปกครองจะเน้นความสำคัญของการทหารเป็นหลัก โดยเฉพาะเหล่านักรบที่สังกัดผู้ครองแคว้น(ไดเมียว) สวมชุดเกราะโอ่อ่าอลังการ มีทักษะทางเชิงยุทธที่เยี่ยมยอด แถมมีคติดประจำใจแบบลูกผู้ชายที่หาใครเสมอเหมือน ใช่แล้วครับ พวกเขาคือซามูไรนั่นเอง





                          คงไม่ต้องอธิบายกันมากสำหรับนิยามและความหมายของซามูไร ท่านที่ติดตามหนังประเภทญี่ปุ่นโบราณ หรือการ์ตูน Anime ประเภทนี้ อาจจะเคยชมฉากที่ซามูไรต้องประดาบกับไอ้โม่งกลุ่มหนึ่ง ซึ่งแพรวราวไปด้วยฝีมือในการรบระยะประชิด พร้อมอาวุธสารพัดแบบ ยาพิษ ลูกดอก ดาวกระจาย นั่นล่ะครับนินจา ที่ใครต่อใครยึดถือเป็นด้านมืดของซามูไร ในขณะที่ซามูไรจะไปไหนต้องแต่งกายเต็มยศ จะฆ่าจะแกงใครก็ต้องเป็นไปอย่างเที่ยงตรงตามวิถีของบูชิโด แต่นินจาไม่จำเป็นครับ ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร ในสภาพไหน เค้าทำได้ตามสะดวก แต่ภาพนินจาที่ติดตาพวกเรามากๆก็คงหนีไม่พ้นนักสู้ลึกลับปิดหน้าตา มือซ้ายปาดาวกระจาย มือขวาเหวี่ยงระเบิด ตูม!! จากนั้นก็หายวับไปเหมือนล่องหนได้ซะอย่างนั้น





                          จากวรรณคดี นิยาย และสื่อบันเทิงต่างๆ ช่วยเสกสรรค์ปั้นแต่งเสียจนนินจาเหมือนมีเวทย์มนตร์ แม้แต่ในโซนยุโรปหรืออเมริกาเอง โดโจฝึกนินจา ก็ได้ถูกตั้งขึ้นอย่างเป็นล่ำเป็นสัน มีลูกศิษย์ล้นหลามมากมาย วิชานินจามีอยู่จริงหรือไม่? และเมื่อฝึกสำเร็จแล้วเราจะกลายเป็นยอดคนด้นเมฆเหมือนในหนังจริงๆหรือ... หบายคนอาจจะตั้งคำถามในใจอยู่ตอนนี้ มาดูกันสิครับว่า วิชานินจานั้น มีกำเนิดมาอย่างไร และถ้าต้องการเป็นนินจาแล้ว เราต้องเอาอะไรเข้าไปแลกบ้าง





                          นินจา จารบุรุษผู้มากับความมืด





                          นินจาก็เหมือนกับสายลับ ยังคงสืบทอดพฤติกรรมและสายเลือดมาทุกยุคทกสมัย แม้แต่ในปัจจุบันนี้ก็ตาม คำว่านินจานั้น โดยทั่วไปหมายถึงผู้สำเร็จวิชานินจัตสึ(ขออนุญาตอ่านแบบนี้นะครับ คล่องปากดี) หรือวิชาจารกรรม พวกเขาเป็นเหล่าจารชนที่เชี่ยวชาญการลักลอบ ซุ่มตัว ฆ่าคน วางเพลิง ใส่ยา สารพัดพิษฯลฯ จนใครๆต่างยกย่องว่าเป็นมัจจุราชล่องหน ที่มีความสามารถเหนือมนุษย์มนาเค้า





                          อย่างที่กล่าวไปแล้วในตอนต้นว่า นินจามีมานานนมตั้งแต่ยุคศักดินาโน้น พวกเขาเป็นอาวุธลับสำคัญของผู้ครองแคว้นต่างๆ ในการลอบสังหารช่วงชิงอำนาจ อาจจะมีคำถามว่า จะมีนินจาเอาไว้ทำแพะอะไร ในเมื่อมีซามูไรอยู่เป็นโขยง แหม... ของแบบนี้มันเรื่องธรรมดาของการเมืองครับ ต้องมีทั้งอาวุธแจ้ง อาวุธลับ ซามูไรเค้าก็มีเกียรติ มีจริยะของเค้า พวกเขาจะถือมั่นในสัตย์ จงรัก และตรงไปตรงมา จะให้มาทำลับๆล่อๆลอบเชือดใครก็เสียสัตยาบรรณทางการเมืองแย่ ไม่เหมือนนินจาที่ไม่มีเก้าอี้ เอ๊ย... จริยะค้ำคออยู่ ดังนั้นประวัติศาตร์หลายๆหน้าของญี่ปุ่น จึงมีเรื่องราวของจารบุรุษนินจา ที่ถูกบงการอยู่เบื้องหลังโดยไดเมียว หรือ ซามูไรอยู่ไม่น้อย





                          ราวๆต้นศตวรรษที่ 17 (ค.ศ. 1608) โชกุนมีอำนาจมาก ปกครองแว่นแคว้นน้อยใหญ่ทั้งเกาะญี่ปุ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ บ้านเมืองเริ่มสงบปราศจากสงคราม เนื่องจากแผ่นดินเป็นปึกแผ่นแล้วนั่นเอง คราวนี้นักรบก็ตกงานน่ะสิครับ ซามูไรทั้งหลายที่เคยแต่โลดโผนกลางสมรภูมิ ก็ไม่รู้จะทำอะไรในช่วงบ้านเมืองสงบเช่นนี้ ทางการก็ใช่ว่าจะนิ่งนอนใจ การปล่อยให้เสืออยู่อย่างแมว คือเอาแต่นอนทั้งวันคงไม่ดีแน่ เผลออาจมีเสือหลายๆตัวไม่พอใจคิดการใหญ่ขึ้นมา เรื่องก็คงจะยุ่งอยู่ไม่น้อย ดังนั้น ทางราชสำนักและรัฐบาล จึงส่งเสริมให้ซามูไร ไปทำอย่างอื่นทดแทน เช่น เป็นปราชญ์ เป็นกวี เป็นพ่อค้า สารพัด และเมื่อรัฐบาลบาคุฟุประกาศกฏหมายห้ามประชาชนพกดาบ ซามูไรก็ยิ่งบ้อท่าเข้าไปใหญ่ บทบาทของพวกเขาเริ่มหดลดไปเรื่อยๆ จนแทบจะหมดไปจากหน้าประวัติศาสตร์ นั่นก็รวมไปถึงนินจาด้วยล่ะครับ





                         กฏหมายอันเข้มงวดห้ามพกดาบ ยุบสำนักสอนวิชาดาบ และห้ามฝึกวิชานินจัตสึ ทำให้นินจาเริ่มลำบากมากขึ้น แต่ก็นั่นแหละครับ พวกเขาอยู่อย่างแฝงเร้นกันมานานนม เมื่ออยู่อย่างเปิดเผยไม่ได้ มุดลงไปใต้ดินไม่ให้ใครรู้มันจะไปเสียหายอะไร มีนินจาจำนวนมากผันตัวไปทำงานให้กับรัฐบาล และก็ยังทำอยู่จนถึงปัจจุบัน เชื่อไหมล่ะครับว่า สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นได้ฝึกนินจามืออาชีพเอาไว้ลอบสังหารนายพลผู้เกรียงไกร แม็ค อาร์เธอร์ แต่ก็ไม่สบโอกาส แม้ในปัจจุบัน วิชานินจาก็ยังมีสอนกันอยู่ในหมู่สายลับจำนวนมากมาย โดยเอาไปประยุกต์เข้าใช้กับวิชาของหน่วยสังหารสมัยใหม่ แม้แต่ซีไอเอก็ยังมีนินจาอยู่ในสังกัดด้วย นินจาไม่ได้อยู่รวมกันในหมู่บ้านบนภูเขาเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว ในทุกวันนี้ นินจาอาจจะถือโน้ตบุ้คเดินท่อมๆตามถนน แถมเดินชนกะคุณเข้าให้บ้างแล้วก็ได้ ใครจะรู้ล่ะ จริงไหม?





                         The short version of the origin of the Ninja





                         หนังสือเกี่ยวกับนินจาหลายๆเล่มกล่าวเอาไว้ใกล้เคียงกันว่า วิชานินจาถือกำเนิดมาจากจีนครับ ประมาณคริสศตวรรษที่ 6 ตรงกับราชวงศ์ถังของจีนพอดี ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ศาสนาพุทธกำลังรุ่งเรืองในแถบนี้ การแพร่หลายของศานาเป็นเหตุให้การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมเกิดขึ้น จักรพรรดิ์ญี่ปุ่นในสมัยนั้น ก็เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ทำนองเดียวกับพระเจ้าอโศกมหาราชแห่งอินเดีย หรือ พระเจ้าถังไท้จงแห่งราชวงศ์ถัง พระองค์ได้ส่งศาสนทูตไปศึกษาดูงาน เอ๊ย.. เรียนรู้ และคัดลอกพระคัมภีร์ทางศาสนามาจากจีน





                         เหล่าศาสนทูตที่ไปศึกษาพระศาสนานั้น ไปแล้วก็ไม่ได้เรียนเฉพาะพระธรรมแต่อย่างเดียวนี่สิครับ แต่ยังเรียนวิชาความรู้อื่นๆเช่น การปรุงยา ดาราศาสตร์ การก่อสร้าง และวิชาการต่อสู้ติดตัวมาด้วย เราๆท่านๆคงจะคุ้นเคยกันดี กับภาพพระนักสู้จากวัดเสียวลิ้มยี่ของจีน เหล่าศานทูตได้ศึกษาซึมซับเอาวิทยายุทธอันลึกล้ำของจีนกลับมาด้วยไม่น้อย แต่อย่างว่าล่ะครับ วิทยายุทธประเภทลมปราณหรือกำลังภายใน มันเหลือความสามารถที่จะเรียนกันในระยะเวลาสั้นๆ เพาะต้องฝึกเพาะกันมาตั้งแต่อายุยังน้อย ดังนั้นที่เหล่าพระญี่ปุ่นได้เรียนกัน ก็เป็นประเภทเพลงดาบ การใช้ศาสตรวุธ วิชาตัดช่องย่องเบาอื่นๆ แต่แค่นั้นก็เหลือเฟือแล้วล่ะครับ





                         เมื่อกลับมาถึงญี่ปุ่น วิชาเหล่านั้นก็ถูกสอนวนเวียนเฉพาะในวัดเท่านั้น ยังไม่ได้กระจายออกสู่โลกภายนอก แต่เหมือนชะตาบันดาล ญี่ปุ่นในสมัยนั้น เต็มไปด้วยสงครามแย่งชิงอำนาจ ในยุคปลาใหญ่กินปลาเล็กเช่นนี้ ผู้เดือดร้อนก็หนีไม่พ้นราษฎรตาดำๆหรอกครับ ชาวบ้านชาวช่องมักถูกทางการและโจรผู้ร้ายข่มเหงเอาเป็นประจำ เดือดร้อนหลวงพี่ผู้มีหน้าที่สงเคราะห์สัตว์โลกต้องออกหน้ามาช่วยบ่อยๆ ด้วยเหตุที่ว่าพระก็ต้องอยู่ส่วนพระ ทางโลกกับทางธรรมข้องเกี่ยวกันมากนักก็ไม่ได้ พระเหล่านี้เลนสอนวิชาการ่อสู้ให้กับชาวบ้านเอาไว้เพื่อป้องกันตัวเสียบ้าง พระบางรูปก็ลาสิกขาบทจากพระศาสนา เพื่อละศีลปาณาปกป้องชาวบ้านตาดำๆ วิชานินจาเลยเริ่มแพร่หลายออกไปสู่โลกภายนอก แต่ตอนนั้นยังไม่เรียกนินจัตสึ และยังไม่มีนินจาครับ





                         ปัญหามันก็มีอยู่ว่า ชาวบ้านร้านถิ่นเรียนไปเฉพาะวิชาการต่อสู้น่ะสิครับ เรื่องขันติโสรัจจะ ธรรมะคือคุณากร อย่างที่หลวงพี่มีชาวบ้านหาได้มีไม่ ดังนั้นวิชาการป้องกันตัวจึงถูกดัดแปลงไปเป็นศาสตร์แขนงใหม่ ที่สามารถสังหารคู่ปรปักษ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด ในช่วงนั้น นอกจากความขัดแย้งทางการเมืองแล้ว ข้อขัดแย้งระหว่างผู้นับถือพุทธและชินโตก็รุนแรงอยู่ไม่น้อย ในต้นศตวรรษที่ 12 ณ จังหวัดอิกะใกล้เกียวโตเมืองหลวงเก่า ได้มีการจัดตั้งสำนักสอนวิชานินจัตสึขึ้นแห่งแรก เป็นสำนักที่มีการสอนวิชานินจาครบวงจร และถือกันว่า นินจาสมบูรณ์แบบถือกำเนิดขึ้นจากที่นี่เป็นแห่งแรกครับ





                          Iga ninja and Koga ninja





                          ในยุคเซนโกกุ อันเป็นยุคแห่งการชิงอำนาจของไดเมียวผู้ยิ่งยง โอดะ โนบุนางะ, โทโยโทมิ ฮิเดโยชิ และ โตกุกาว่า อิเอยาสึ นั้น นินจาได้เข้ามีบทบาทเป็นเงาอยู่เบื้องหลังการชิงอำนาจในครั้งนี้ เมื่อปี 1603 ที่โตกุกาว่า อิเอยาสึ ได้ขึ้นสู่อำนาจเป็นโชกุน หลังจากเผด็จศึกที่สมรภูมิเซกิกาฮาราได้ อาจกล่าวได้ว่า บทบาทของนินจาก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุด ณ สงครามครั้งนี้เอง มีบันทึกอย่างเป็นทางการในประวัติศาสตร์เอาไว้หลายเล่ม เช่น บันทึก\"โฮโด โกไดคิ\" ของตระกูลโฮโจ และ\"อิรันกิ \" ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นของจังหวัดอิงะ ล้วนกล่าวถึงบทบาทสำคัญๆของนินจาเอาไว้อย่างชัดเจนครับว่า พวกเขา มีความสำคัญและชี้ชะตาคู่สงครามได้อย่างไร





                          ลอบเร้นจารกรรม สอดแนม และสังหาร





                          นินจาขึ้นชื่อด้านการทำจารกรรม การลอบเข้าปราสาทของข้าศึกโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันรู้ตัว อย่างที่เราเคยเห็นในหนังนั้นก็มีครับ พรางกายด้วยผ้าลายกำแพงเอย มุดอยู่ในสระโดยหายใจด้วยปล้องไม้ไผ่เอย นินจามักใช้กลยุทธในการลอบเข้าปราสาทหรือค่ายแม่ทัพของข้าศึก ทีละคนละคน รอจนรวมกำลังครบชุดพวกเขาจึงเปิดฉากโจมตีแบบไม่ให้ข้าศึกรู้ตัว เป้าหมายก็มันเป็นไดเมียว ขุนนาง หรือแม่ทัพข้าศึกนั่นล่ะครับ นินจาที่ใช้วิธีนี้มักจะยินยอมสละแล้วซึ่งชีวิต ลงเปิดเผยตัวกลางดงดาบแบบนั้น โอกาสจะรอดกลับไปเห็นจะยากครับ ยุทธวิธีที่บ้าระห่ำแบบนี้มักใช้ได้ผลเสมอๆ จนเป็นที่ครั่นคร้ามของเหล่าไดเมียวไปตามๆกัน แต่ก็บ่อยครั้ง ที่นินจาถูกทหารยามจับได้ และลงมือสังหารก่อนที่จะปฏิบัติการ





                          นินจาที่มีชื่อที่สุด อยู่ที่หุบเขาอิงะ และโคงะ หรือปัจจุบันคือจังหวัดมิเอะนั่นเอง ปัจจุบันได้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ในฐานะที่เป็น Original Homeland ของนินจา ในช่วงและหลังสงครามระหว่างสามผู้ยิ่งใหญ่ นินจาเฟื่องฟูจนถึงขีดสุด โอดะ โนบุนางะ เองก็ชุบเลี้ยงนินจาโคงะเอาไว้เป็นจำนวนมาก ซึ่งนินจาทั้งหลายมาหมดบทบาทเอาหลังกบฏชิมาวาระ





                          กว่าจะได้เป็น \"นินจา\"  





                          นินจานั้นฝึกกันยากมากมายขนาดไหน ปัจจุบันนั้นก็ยังเป็นปริศนาอยู่ เพราะสำนักนินจาที่มีในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็นนินจาพันธุ์ทาง ที่แปลงตัวเองมาเป้นศิลปการต่อสู้แขนงหนึ่ง ไม่ใช่วิชาสังหารเหมือนดังอดีตเสียแล้ว จากหลักฐานและคำบอกเล่าเท่าที่มี วิชาหลักๆที่นินจาต้องเรียนรู้เป็นอันดับแรกก็คือการฟังเสียง และการทำตัวให้เข้ากับความมืดครับ





                          ทำไมจึงต้องทำตัวให้เข้ากับความมืด?





                          แน่นอนครับ นินจามีภารกิจหลักคือการเร้นกายเข้าสังหารเป้าหมาย การจะกระโตกกระตากบุกเดี่ยวกลางดงโจรเหมือนที่ อาจารย์ หวงเฟยหง แห่งฝอซานทำนั้น นินจาทำไม่เป็นแน่ๆ การฟังเสียงของนินจานั้นเป้นเพียงเสี้ยวเล็กๆของการฝึกฝนกายและใจ โดยจะต้องฝึกกันมาตั้งแต่เล็กๆ เพื่อให้สายตาชินกับความมืด ชินกับความเงียบ รู้จักใช้มันให้เป็นประโยชน์ จนกระทั่งเติบโตกลายเป็นนินจา คมเขี้ยวแห่งความมืดที่สมบูรณ์เมื่อเติบโตขึ้น





                          นอกจากโสตประสาท นินจายังต้องฝึกการเคลื่อนไหว การเดินเหินย่างเหยาะ ซึ่งจะมีประโยชน์ในการหลบหนีข้าศึกที่ติดตามมา หรือแม้กระทั่งการไต่กำแพงแบบสบายๆ เหมือนกับเดินทอดน่องบนฟุตบาทเสียอย่างนั้น นินจามีฝีเท้าที่เบาหวิว พวกเขาสามารถเดินบนหิมะโดยที่แทบไม่เกิดรอยเท้า โดยอาศัยการฝึกจากการเดินเหยียบกระดาษบางเปียกๆ โดยไม่ให้เกิดรอยเท้าบนนั้น





                          กำลังแขนขาก็เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับนินจาเหมือนกันครับ โดยมีไว้ห้อยโหน แนบตัวกับผนังกำแพง โดยใช้มือทั้งสองข้างดันผนังเหยียดตรง ซึ่งตรงนี้ก็ต้องใช้กำลังของข้อต่อมาช่วยอีกทีนึง เชื่อหรือไม่ว่า นินจามีวิธีการฝึกการดัดข้อต่อมาอย่างดี สามารถบิดโค้ง หรือพับได้ในลักษณะที่ไม่น่าเชื่อว่ามนุษย์จะทำได้ นี่กระมังครับ เป็นอีกเคล็ดลับหนึ่งที่ทำให้นินจาสามารถ\"ล่องหน\" ได้ อันว่าการล่องหนนี้ ไม่น่าจะใช่การหายตัวไปจริงๆ แต่น่าจะขดหรือม้วนอยู่แบบกลมกลืนกับสภาพแวดล้อม จนทำให้ศัตรูนึกว่านินจาหายตัวไปแล้วเสียมากกว่า





                          วิชาล่องหนจากการพันธนาการก็เหมือนกันครับ เคล็ดลับก็คือการบิดข้อต่อหัวไหล่ให้หลุดจากเชือกที่มัดเอาไว้ โดยการทำให้มันหย่อนแล้วแก้มัดตัวเอง การดัดข้อต่อนี้ยังมีประโยชน์ในการ\"แกล้งตาย\" อีกด้วย กล่าวคือ หากนินจากลั้นหายใจและนอนในสภาพคอเอียงเค้เก้ แขนบิดไปทางขาบิดไปทาง ใครจะมามัวสงสัยล่ะครับ ว่าเจ้านั่นยังอยู่หรือตายเพราะสภาพแบบนั้น รอดได้ก็บุญโข เมื่อคล้อยหลังศัตรูไป นินจาตัวดีก็กลับมาเดินปร๋อเหมือนซอมบี้ในไบโอ ฮาซาร์ดยังไงยังงั้นเลยแหละ





                          นินจากินอะไรถึงได้เก่งนัก?





                          นั่นสิครับ เคล็ดลับของนินจาอยู่ที่อาหารหรือเปล่าหนอ พวกเขากินอะไรทำไมถึงได้เก่งกาจเกินคนกันนัก คำตอบก็คือเปล่าเลย นินจาไม่ได้กินอาหารพิสดารต่างจากมนุษย์หรอก พวกเขาไม่มีบ๊วยเค็มที่กินแล้วกลายเป็นซูเปอร์แมนปากจู๋ หรือผักขมแบบที่กลาสีกล้ามโตป๊อบอายกินเข้าไป นินจาก็กินอาหารเหมือนมนุษย์เดินดินทั่วไปนี่แล...





                          นินจาสมัยใหม่ อาจมีอาหารแค็ปซูลพกเหมือนหน่วยรบพิเศษ แต่ที่แน่ๆนินจาไม่นิยมพกน้ำครับ เพราะเป็นตัวถ่วงน้ำหนักอย่างร้ายกาจ ของที่ใช้แก้กระหายของนินจามาแต่โบร่ำโบราณได้แก่ ผงเป๊บเปอร์มินท์ หรือเมล็ดงา บางตำรับก็คั้นน้ำมันผักชนิดหนึ่งมาทาไว้ที่รูจมูก และนิยมกินผักป่า เนื่องจากอุดมไปด้วยวิตามิน ที่ใช้บำรุงสายตาของนินจาเค้า





                          ไม่เพียงแต่ฝึกร่างกายเท่านั้น นินจายังต้องฝึกความพร้อมทางจิตใจอีกต่อหนึ่ง เพื่อให้กลายเป็นเครื่องจักรสังหารสมบูรณ์แบบ เราอาจอนุมานว่า มันเป็น ESP ประเภทหนึ่ง เพราะคำร่ำลือแต่โบราณกล่าวกันว่า นินจาเหมือนพวกที่มีพรายกระซิบครับ พวกเขาสามารถคาดการณ์ล่วงหน้า หรือมีลางสังหรณ์ที่แม่นยำราวกับตาเห็น สามารถสะกดจิต หรือ แค่จ้องตา ผู้ถูกจ้องก็อ่อนระทวยเหมือนกบเขียดที่ถูกงูสะกด จะว่าไปมันก็เป็นหลักทางจิตวิทยาอย่างหนึ่ง แม้จะไม่มีคำอธิบายที่แจ่มชัด แต่คำบอกเล่าที่สอนกันมาในหมู่นินจาก็คือ \"จิต คือสำนึกแห่งเอกภพ เป็นความจริงแท้ที่อยู่เบื้องหลังกระบวนการทางจิตใจ เป็นสิ่งที่กลั่นกรองผ่านกระบวนการทางจิตใจ แล้วซึมซาบสู่การรับรู้ทางอินทรีย์\"





                          ที่แน่ๆ นินจามักไม่สะทกสะท้านต่อความตาย เพราะพวกเขาถือว่า ชีวิตมีค่าเท่ากับศูนย์ หากรอดก็ได้กำไร ถ้าตายก็เสมอตัว ความตายเป็นเพื่อนเก่าที่คุ้นเคยกับพวกเขา การทำใจสำหรับวันตายของนินจาเป็นสิ่งจำเป็น เพราะวันนั้นของพวกเขาจะมาก่อนคนอื่นอีกมากนัก เกิดเป็นนินจา จะโดนกับดักในปราสาท หรือโดนซามูไรฟันหัวแบะเมื่อไหร่ก็ไม่อาจตรัสรู้ได้ การทำใจกับความตาย จึงเป็นเรื่องธรรมดาของนินจาทุกรูปทุกนาม อุปมาเหมือนเล่นเน็ต ระวังยังไงก็ต้องมีวันโดนไวรัสเข้าจนได้นั่นแล...





                          ประกบอิง - - พลังจากฝ่ามือ





                          นี่คือหัวใจของการฝึกและชีวิตของนินจาเลยทีเดียว การฝึกจิตยังไงล่ะครับ เพราะลำพังแค่ความแข็งแกร่งทางร่างกายอย่างเดียวไม่พอแน่ นินจาที่แท้จริงจำต้องเรียนลึกไปถึงสภาพภายในจิตใจของตนเอง รวมทั้งแก่นแท้ของสรรพสิ่งรอบข้าง ว่าง่ายๆก็คือจิตวิญญาณแห่งสรรพสิ่งนั่นเอง เพราะเมื่อรู้จักพลังและความสัมพันธ์แห่งที่มาของพลังแล้ว นินจาจึงสามารถดึงพลังจากสิ่งรอบข้างมาใช้ได้ โดยไม่เกิดอันตรายกับตนเอง การฝึกของนินจาที่เราอาจจะเคยเห็นในหนังบ่อยๆ นั่นก็คือการประกบ อิง - มือ หรือ คุจิ-อิง ซึ่งการประสานมือนี้เชื่อกันว่า เป็นการโอบล้อมให้เกิดพลัง โดยลักษณะการประกบมือนี้ คาดว่าน่าจะมีอิทธิพลมาจากจีนและธิเบตครับ ประกอบด้วยธาตุทั้งสี่ คือ ดิน-น้ำ-ลม-ไฟ (ชิ-ซุย-ฟุ-กะ)





                          นินจาเชื่อกันว่า ท่าประสานนิ้วนี้ เมื่อผู้ใช้ตั้งมั่นอยู่ในสมาธิอันแน่วแน่ จะสามารถบังคับการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ สภาพบรรยากาศอันกดดัน และผนึกสมาธิให้ตั้งมั่นได้อย่างสูงสุด อันนี้ก็ไม่รู้ว่า จะสามารถล่องหนปล่อยไฟได้เหมือนในหนังมั๊ยนะครับ เพราะยังไม่เคยลอง อนึ่ง รากฐานของการประสานมือนี้ ถูกผนึกเข้ากับการกำหนดลมหายใจ ตามแบบวิปัสนาพุทธด้วย เพราะฉะนั้น เมื่อไหร่ที่ดูหนังหรืออ่านการ์ตูนแล้วเห็นนินจาทำท่านี้ล่ะก็ เค้าไม่ได้สวดมนตร์หรอกครับ แค่ผนึกสมาธิ ไอ้จะปล่อยพลังก้อนโตๆออกมาระเบิดศิลาเป็นผงนั้น เป็นไข่และสีสันจากผู้สร้างเสียมากกว่า น้องๆที่กำลังจะเอนท์ จำไปไว้ใช้ก่อนอ่านหนังสือก็คงไม่เลวดอกนะครับ





                          อาวุธของนินจา  





                          นินจาเชี่ยวชาญในอาวุธหลายๆประเภท สารพัดชนิดที่จะคิดขึ้นมา นั่นก็เพราะภารกิจหลักของนินจาคือ แฝงเร้น-สังหาร-ถอนตัว ครั้งจะแบกดาบดุ้นเบ้อเริ่มเข้าไปโต้งๆแบบซามูไร มันก็ออกจะเอิกเกริกเกินควร อาวุธของนินจาจึงมาในแนวคิดที่ว่า จิ๋ว-เล็ก-เงียบ และสารพัดประโยชน์ครับ อาวุธแต่ละอย่างต้องสามารถพกพาได้สะดวก แบบว่าพกแพ็คเป็นแพ็คไว้ได้ในคราวเดียว อาวุธเหล่านี้ ก็เช่น ธนู กริช มีด โซ่ติดเคียว ระเบิดควัน ลูกดอก รวมทั้งแม่แบบแห่งอาวุธของนินจา นั่นก็คือดาบ โดยดาบของนินจา จะแตกต่างจากดาบซามูไรค่อนข้างมาก เล่มเล็ก บางเรียว แต่คม..สั้น เน้นการแทงเป็นหลัก ประมาณว่า พอลอบเข้าไปในปราสาทศัตรู สามารถชักออกมาเชือดยามหรือหน่วยระวังภัยที่พบเห็นได้ โดยไม่เป็นที่เอิกเกริก ลองนึกภาพนินจาที่สะพายดาบเล่มโตเท่าตาคลาวด์ แห่ง Final7 หรือ นายกัวจาก Berserk สิครับ ดูจืดซะเมื่อไหร่กัน และก็เพราะอาวุธส่วนใหญ่ของนินจาไม่ใช่อาวุธหนักที่ใช้ปะทะตรงๆ เมื่อเจอกองระวังภัยของศัตรู นินจาจึงต้องมีอาวุธเสริมสำหรับช่วยในการหลบหนี เช่น ปาระเบิด วางเรือใบบก เป็นต้นครับ





                          อาวุธที่โด่งดังที่สุดของนินจาน่าจะเป็น ชูริเคน หรือบ้านเราเรียกดาวกระจายครับ เครื่องหมายการค้าของเค้าว่างั้นเหอะ จุดประสงค์ของการใช้ชูริเคนนี้ ใช้ในการสกัดกั้นการเคลื่อไหว การหนี-ติดตาม ของศัตรู มากกว่าจะใช้เป็นอาวุธหลักในการสังหาร รัศมีทำการขึ้นอยู่กับพลังข้อมือรวมทั้งการฝึกฝน ถ้าแม่นหน่อยก็เข้าหน้าผากทีเดียวจอดสนิท นอกนั้นก็มีพวกเหล็กแหลม เข็ม ลูกดอกยาวที่เอาไว้ใช้เป่า ส่วนใหญ่อาวุธพวกนี้ต้องเคลือบยาพิษบ้าง ยาชาบ้างเอาไว้ เพราะพิษสงของมันหาได้ทำให้ตายใน Hit เดียวไม่ (ยกเว้นจะปาชูริเคนแบบ 18 Hit-Combo ซึ่งไม่ง่ายนัก)





                          เข็มพิษยังเป็นอาวุธโปรดปรานของบรรดาคุโนอิชิ หรือ นินจาสาว อ๊ะ... อย่าเพิ่งทำตาโตนะครับ นินจาก็มีผู้หญิงเหมือนกัน เป็นจารสตรีที่ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่เฉพาะอย่าง เมื่อถึงเวลา พวกเธอจะทำการสังหารเหยื่อโดยใช้เข็มอาบยาพิษขนาดเล็ก เนื่องจากเมื่อจิ้มเหยื่อไปแล้ว สามารถดึงออกมาได้อย่างไร้ร่องรอย เพราะไม่มีบาดแผลขนาดใหญ่ปรากฏ ว่ากันว่านินจาในปัจจุบัน มีอาวุธไฮเทคขนาดเล็ก เช่นปากกาที่ยิงกระสุนแรงอัดสูง กระดุม ต่างหูที่ปาไประเบิดบึ้ม หรืออะไรต่อมิอะไรที่ เจมส์ บอนด์ ยังอายอยู่ด้วย นินจาเหล่านี้ปัจจุบันสังกัดหน่วยข่าวกรองแห่งชาติของญี่ปุ่นครับ เท็จจริงอย่างไรนายโซนิคไม่กล้ายืนยัน





                          อื่นๆอีกมากมาย... ของนินจา





                          นินจาที่เก่งสารพัดของเรานี้ ถ้าจะให้สรุปว่าอย่างไหนของนินจาน่ากลัวที่สุด ก็ต้องขอตอบว่า \"พิษ\" ล่ะครับ เพราะการโจมตีซึ่งๆหน้าระวังง่าย การใช้พิษร้ายสิระวังยาก นินจาจะมีความชำนาญเกี่ยวกับยามากเป็นพิเศษ ทั้งชนิดและปริมาณ กะได้ว่าใช้ขนาดแล้วอัมพาตกิน สลบ หรือตายไปเลย พิษที่พวกนินจาใช้ ส่วนใหญ่จะสกัดมาจากสัตว์ที่เราคุ้นเคยกันดี เช่น แมลงป่อง ปลาปักเป้า พิษงู ซึ่งอันนี้จะมีผลมากเวลาซึมเข้าบาดแผล นินจาจึงมักใช้อาบอาวุธของตน





                          ยังมีพิษอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งได้ผลดีเมื่อศัตรูกินเข้าไป นั่นคือพิษจากพืชชนิดต่างๆ นับว่าเป็นภูมิปัญญานินจาทีเดียวล่ะครับ ที่รู้จักสกัดสารซึ่งวงการแพทย์เพิ่งรู้จักมาเมื่อไม่กี่สิบปีนี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ เช่น เมล็ดของแอปเปิล พลัม แอลมอนด์ บางทีก็ใบมะเขือเทศ ที่ยอดนิยมที่สุดก็พิษจากเห็ดตระกูลต่างๆ นอกจากนี้ นินจายังมีวิชาพิเศษที่เรียกว่า \"อาเทมิ\" หรือการย้ำจุด เป็นการใช้พิษแต้มเข้าไปที่จุดเฉพาะบางจุดของร่างกาย อาจเป็นการสัมผัส หรือการจี้





                          นินจานั้นอยู่หนใด?  





                          นินจาปรากฏกาย ณ แห่งหนตำบลใดบ้าง? คำตอบก็คือ พวกเขาอยู่ได้ทุกที่ เผยตัวออกมาได้ทุกเมื่อ และเร้นหลบฉากไปได้ทุกยามที่ต้องการ โดยที่ผู้คนยากจะจำแนกออก ทำไมน่ะหรือครับ?





                          ในยุคแห่งไดเมียวและซามูไรนั้น นินจาขึ้นชื่อว่าเป็นคมเขี้ยวแห่งความมืด ที่ใครๆต่างพากันยำเกรงที่สุด ผู้คนร่ำลือถึงกิตติศัพท์ความสามารถจนเกินจริง บางตำนานเล่าว่า นินจามีความสามารถเท่า\"เทนงู\" หรือเทพอีกานั่นเชียว ทว่าความสามารถของนินจามาจากการฝึกฝนเพียวๆครับ ไม่ได้อาศัยปาฏิหารย์อะไรมาปะปนแม้แต่น้อย มนตร์มายาอันเป็นตำนานของนินจาประการหนึ่งคือ การล่องหนหายตัว ซึ่งก็ไม่ได้สลายตัวเองเป็นอณูไปกับอากาศธาตุหรอกนะครับ เพียงแต่นินจา มีวิธีการตบตาผู้คน ให้คล้ายกับพวกเขาล่องหนได้ มันก็เท่านั้น





                          เคล็ดลับแรกน่าจะอยู่ที่เสื้อผ้าครับ พวกเขามีเสื้อผ้าที่กลมกลืนกับธรรมชาติ หรือสภาพรอบด้าน เมื่ออยู่ในป่า บนกองดิน หรือกำแพงเมือง นินจาก็จะใช้เสื้อผ้าที่กลมกลืนเหล่านั้นมาพรางกาย ถึงคราวจำเป็นจริงๆ นินจาต้องห้อยโหนตัวอยู่บนต้นไม้นานนับวันๆ หรือขุดดินมุดลงซ่อนตัวบ้าง ดำน้ำอยู่ในสระบ้าง โดยอาศัยการหายใจผ่านปล้องไม้เล็กๆอย่างที่เราเห็นกันในหนังน่านแล





                          บ้านและฐานที่มั่นของนินจาก็มีความสำคัญเช่นกัน ในศาสตร์แห่งนินจา มีสาระสำคัญว่าด้วยการสร้างบ้านเอาไว้มากมายครับ อย่างน้อย ต้องมั่นคงและปลอดภัยสำหรับการเร้นกายในยามสงบของนินจาได้ บ้านนินจา มีกลไกป้องกันภัยอยู่มากมาย เช่นการทำกระดิ่งเตือนภัยโดยร้อยกับเชือกเอาไว้ เมื่อศัตรูมาสะดุดเข้า นินจาก็จะรู้ได้ทันทีว่า ผู้ไร้เจตนาดีเข้ามาเยี่ยมเยือนถึงที่เสียแล้ว นอกจากนี้ก็มีอุโมงค์ ประตูกล กับดักอยู่สารพัด ที่เด็ดที่สุดและเล่ากันมามากที่สุดก็คือ ช่องลับสำหรับหลบหนีที่อยู่ใต้เตียงนอน (ห้องนอนน่ะครับ เพราะส่วนใหญ่นินจาไม่นอนเตียงกัน)





                          ท้ายที่สุด นินจายังมีวิชาที่สมัยใหม่เค้าเรียกว่า\"การแทรกซึม\"อยู่ ภาษานินจาคือ เฮนซึจัตสุ โดยการปลอมตัวในรูปแบบต่างๆเข้าไปปะปนอยู่ในแนวหลังของศัตรู สมัยก่อน อาชีพที่นินจานิยมปลอมกันก็เช่น พ่อค้า นักละครเร่ ซึ่งพวกนี้มักเข้าๆออกๆเมืองต่างๆอยู่เสมอ จึงยากที่จะจับพิรุธหรือสืบสาวราวเรื่อง เคล็ดลับอีกประการก็คือ รู้จักใช้คุณลักษณะทางเพศมาหลอกล่อ ให้คนที่ใกล้ชิดตายใจ สามารถปะปนและล้วงความลับข่าวสารที่ต้องการได้อย่างไม่ยากเย็น





                          จบเเล้วค่ะ  เเต่เอ  พิ้งค์ว่ามันจะชักออกนอกเรื่องของเทพนิยายยังไงก็ไม่รู้อ่ะ  อิอิ   ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×