ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เทพนิยายกรีก

    ลำดับตอนที่ #30 : ^0^เทพอีรอส (Eros) หรือ Cupid ค่ะ^0^

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 428
      0
      11 ส.ค. 48





                                           ^0^เทพอีรอส (Eros) หรือ Cupid ค่ะ^0^





                          ...ได้กล่าวมาแล้วว่าเทวีอโฟร์ไดทีให้ประสูติบุตรธิดาดับเทพเอเรส 3 องค์ ธิดาคือ นางเฮอร์โมไอนีนั้น ได้อภิเษกกับแคดมัสเจ้ากรุงธีบส์   ส่วนบุตรคือ คิวพิด  กับแอนทีรอส  คิวพิดนั้นคือกามเทพของโรมัน  ชาวกรีกเรียกว่า  อีรอส  อีรอสหรือคิวพิดซึ่งเป็นบุตรของอโฟร์ไดทีกับเอเรสนี้ เป็นคนละองค์กับอีรอสหรือคิวพิดที่อุบัติขึ้นแต่ครั้งสร้างโลก และการกล่าวขวัญถึงโดยทั่ว ๆไป ก็มักจะหมายถึงอีรอสซึ่งเป็นบุตรของอโฟร์ไดทีกับเอเรสองค์นี้





                           นอกจากเทพอพอลโลแล้ว  อีรอสเป็นที่ถือกันว่าประกอบด้วยรูปลักษณะงามที่สุดในบรรดาเทพทั้งหลาย  ปรัชญาเมธีเพลโตกล่าวความอุปอุปไมยเกี่ยวกับเทพองค์นี้ไว้ว่า \"กามเทพ-คือ อีรอส-ย่อมเข้าสิงหัวใจคนก็จริง แต่ก็ไม่ทุกหัวใจไป ด้วยว่าที่ใดมีความแข็งกระด้างเธอก็ผละหนี เกียรติคุณอันล้ำเลิศของเธอนั้นอยู่ที่ว่า เธอหาอาจที่จะทำผิด หรือยอมให้ผู้ใดทำผิดไม่  แม้กำลังบังคับก็ไม่สามารถจะหักเธอได้ลง\"





                           ว่ากันว่า ตำนานของเทพอีรอสผู้นี้ นักกวีชาวกรีกรุ่นก่อนมิได้แต่งขึ้น ต่อมากวีฮีสิออดได้แต่งให้มีเทพองค์นี้เกิดขึ้น  แต่มิใช่โอรสของเทวีอโฟร์ไดทีเลย   เป็นเพียงแค่เพื่อนกันเท่านั้น   เพราะฉะนั้นตำนานของเทพผู้นี้จึงเป็นนักกวีชาวโรมันเป็นผู้สร้างสรรค์ขึ้น  และจะมีเฉพาะตำนานของโรมันเท่านั้นที่มีเรื่องราวของเทพองค์นี้ปรากฏอยู่





                           ตามตำนานที่ยอมรับทั่วไปกล่าวว่า อีรอสเป็นเทพ \"ติดแม่\" เป็นที่สุด  เมื่อมีเทวีอโฟร์ไดทีอยู่  ณ ที่ใดอีรอสก็ปรากฏอยู่ ณ ที่นั้นด้วย อันเป็นข้อเปรียบถึงธรรมดาแห่งความงามและกามวิสัยนั่นเอง  อีรอสถือลูกศรแห่งกามฉันท์กับคันธนูน้อยเป็นอาวุธ สำหรับยิงเสียบหัวใจของเทพและมนุษย์ให้เกิดความปรารถนาเร่าร้อนไปด้วยความพิศวาส   โดยที่ในชั้นเดิมเธอเป็นเด็กเยาว์อยู่เป็นนิตย์ไม่มีวันเติบโตเป็นผู้ใหญ่   ดังนั้นจึงต้องมีเทพน้อยอีกองค์ หนึ่งอุบัติขึ้นเพื่อเป็นเพื่อนเล่นและบริวารของเธอเรียกว่า แอนทีรอส กำเนิดของแอนทีรอสนั้นมีตำนานเล่าไว้ดังนี้





                           เมื่อไม่เห็นอีรอสเจริญวัยขึ้นเสียเลย  อโฟรไดทีปรารภกับธีมิส  เทวีแห่งความยุติธรรมว่า  อีรอสบุตรของเธอทำอย่างไรจึงจะเลี้ยงดูเธอให้โตขึ้นได้   ธีมิสชี้แจงว่า เหตุที่อีรอสไม่เติบโต  ก็เพราะเธอขาดเพื่อนเล่นแก้เหงา  ถ้ามีน้องเกิดขึ้นสักองค์หนึ่ง  เธอคงจะ โตขึ้นอีกมาก  ต่อมาในไม่ช้าแอนทีรอสก็เกิดขึ้น  ภายหลังแต่นั้นอีรอสก็เติบโตแข็งแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว (ถึงกระนั้นรูปคิวพิดหรืออีรอส ที่เขียนและแกะสลักกันขึ้นทั่วไปก็ไม่พ้นรูปเด็ก) แอนทีรอสนอกจากจะเป็นเพื่อนเล่นของอีรอสแล้ว ยังถือกันว่าเป็นเทพบันดาลให้มีการรักตอบด้วย





                           เรื่องของเทพอีรอสกับนางไซคิซึ่งจะเล่าต่อไปนี้  เป็นเรื่องที่รู้จักกันแพร่หลายที่สุดเรื่องหนึ่งในเทพปกรณัมกรีกโรมันด้วย เป็นเรื่องที่จับใจและให้คติน่าคิดหลายทำนอง  โดยเฉพาะเรื่องนี้เป็นเรื่องรักของเทพอีรอสเอง ผู้มีฤทธิ์จะบันดาลให้ใครรักใครก็ได้ประการหนึ่ง และชื่อนาง ไซคิ (Psyche) ตัวเอกของเรื่องนั้นก็เผอิญเป็นคำเดียวกันกับคำที่หมายถึง  จิตใจหรือดวงวิญญาณอีกประการหนึ่งด้วย หรืออาจกล่าวว่า เทพปกรณัมกรีกอุปโลกน์นางไซคิให้หมายแทนลักษณะของดวงวิญญาณก็ได้ บรรยายตามเรื่องที่เล่าในปกรณัมนั้นว่า





                           ในกาลครั้งหนึ่ง  กษัตริย์องค์หนึ่งของกรีกมีธิดา 3 องค์ ล้วนทรงสิริโฉมงามสะคราญ แต่ความงามของ 2 องค์พี่รวมกันจะเทียม เท่าด้วยความงามองค์น้องสุดก็หาไม่   ธิดาองค์หลังสุดนี้ทรงนามว่า ไซคิ เป็นเจ้าของความงามอันลือเลื่องเฟื่องฟุ้งยิ่งนัก  ถึงกับใคร ๆ พากันยกย่องเทิดทูนจนลืมกระทำบูชาเทวีอโฟร์ไดที   เจ้าแม่แห่งความงามเสีย   เป็นเหตุให้ศาลของเจ้าแม่เงียบเหงาวังเวง  แท่นที่บูชาเจ้าแม่ก็ว่างเปล่าหาผู้ใดจะเข้าไปบวงสรวงมิได้  แม้แต่แขกเมืองก็พากันผ่านศาลเจ้าแม่ไปชมความงามของไซคิกันหมดสิ้น   เจ้าแม่ริษยานวลอนงค์ยิ่งนัก คิดใคร่จะแกล้งนางไซคิให้ตกต่ำ  ด้วยความอัปยศ  เพื่อมิให้คนทั้งปวงยกย่องเทิดทูนและใฝ่ฝันถึงนางอีกต่อไป  เจ้าแม่จึงเรียกอีรอสเทพบุตรมาบอกความประสงค์ของเจ้าแม่ให้ทราบ  โดยสั่งให้อีรอสไปทำให้นางไซคิหลงรักสัตว์อุบาทว์ทรลักษณ์สักคนหนึ่ง





                           อีรอสกระทำตามเจ้าแม่สั่ง  แต่ผลปรากฏในภายหลังกลับกลายเป็นว่า \"สัตว์อุบาทว์ทรลักษณ์\" ที่ไซคิจะต้องหลงรักนั้นได้แก่ อีรอสเอง !





                           ในอุทยานของเจ้าแม่อโฟร์ไดทีมีน้ำพุอยู่ 2 แอ่ง  แอ่งหนึ่งเป็นน้ำหวาน   อีกแอ่งเป็นน้ำขม  น้ำพุหวานเป็นน้ำสำหรับบันดาลความชื่นบาน ส่วนน้ำขมสำหรับบันดาลความขมขื่นระทมใจ  ในครั้งแรกอีรอสตักน้ำพุทั้งสองชนิดบรรจุกุณโฑชนิดละใบ  นำไปยังห้องที่ไซคิหลับอยู่   อีรอสเอาน้ำขมในกุณโฑประพรมลงบนโอษฐ์ไซคิแล้ว  จึงเอาปลายศรบันดาลความพิศวาสสะกิดสีข้างของนาง    ในบัดดลไซคิก็สะดุ้งตื่น ถึงแม้ว่าอีรอสจะมิได้ปรากฏองค์ให้นางเห็น  แต่ด้วยอารามลืมองค์  เธอจึงทำศรสะกิดองค์เธอเองด้วย  เพราะตกใจและเธอก็ตกห้วงรักนางไซคิด้วยอำนาจศรของเธอเองตั้งแต่บัดนั้น  เธอเอาน้ำพุหวานรดลงบนเรือนผมของไซคิ  แล้วก็ผละผินบินออกจากที่นั้นไป





                           เวลาผ่านไป ไซคิก็ยิ่งเหงาเปล่าเปลี่ยวใจไม่มีผู้ใดใฝ่ฝันจะขอวิวาห์ด้วย  สายตาคนทั้งหลายยังคงตะลึงลานในรูปโฉมและคำคนยังแจ้วจำนรรจาสรรเสริญนางยังมีอยู่   แต่มิมีใครสู่ขอนางเป็นคู่ชีวิต   เนื่องจากใคร ๆ ก็พากันเกรง   นางอยู่สุดเอื้อมเหมือนกันหมด  พี่สาวทั้งสองของนางได้แต่งงานไปแล้วกับเจ้ากรีกต่างนคร   ส่วนไซคิยังคงอยู่เดียวเปลี่ยวใจต่อมาอีกเป็นเวลานาน  จนบิดามารดาของนางเกิดปริวิตกเกรงว่าเหตุที่เป็นเช่นนี้  เพราะมีความบกพร่องอะไรสักอย่างหนึ่ง ซึ่งตนได้กระทำลงไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์  ทำให้เทพเจ้าโกรธถึงบันดาลโทษให้ปรากฏเช่นนี้  ท้าวเธอจึงบวงสรวงเสี่ยงทายคำพยากรณ์แห่งเทพอพอลโล  และได้รับคำพยากรณ์ว่า  นางจะได้คู่ครองเป็นมนุษย์ปุถุชนก็หาไม่ คู่ครองของนางในภายหน้านั้นคอยนางอยู่แล้วบนยอดเขาขุนเขา  เป็นอมนุษย์ซึ่งไม่มีมนุษย์หรือเทพองค์ใดจะขัดขืนหรือต้านทานได้





                           คำพยากรณ์นี้เป็นเหตุให้เกิดความเศร้าสลดแก่คนทั้งหลายและบิดามารดาของนางไซคิอย่างหาที่เปรียบมิได้  แต่ตัวนางเองหาย่อท้อไม่   นางกลับเห็นว่า  เมื่อวาสนาชะตากรรมของนางจะต้องเป็นเช่นนั้นก็ตาม  บิดามารดาของนางจึงจัดแจงส่งนางขึ้นไปบนยอดเขา ประกอบด้วยขบวนแห่แหนดั่งแห่ศพฉะนั้น    ฝูงคนทั้งปวงที่ตามขบวนแห่ก็   ล้วนแต่เศร้าหมอง   มีใจคออาลัย   เมื่อขึ้นไปถึงยอดเขาแล้ว  บิดามารดาของนางและคนทั้งปวงก็พากันกลับ  พร้อมด้วยใจละห้อยยิ่งกว่าตอนขาไปอีก





                            นางไซคิยืนถอนสะอื้นด้วยความใจหายและว้าเหว่โดยลำพังตนอยู่บนชะง่อนหิน  ในบัดดลเทพเสฟไฟรัสเจ้าแห่งลมตะวันตกก็บรรจงโอบอุ้มร่างไซคิขึ้นจากยอดเขา  และหอบนางให้เลื่อนลอยลงสู่สถานแห่งหนึ่งเต็มไปด้วยติณชาติเขียวขจีห้อมล้อมด้วยนานารุกขพฤกษาชาติร่มรื่น   นางเหลียวมองดูรอบข้างเห็นที่แห่งหนึ่งประกอบด้วย   ซุ้มไม้ซึ้งตาดูชอบกล  นางจึงเยื้องกรายเข้าไป  เห็นธารน้ำพุใสไหลรินดังธารแก้วผลึก  และถัดจากนั้นไปมีตำหนักหนึ่งตั้งตระหง่านตระการตา ไซคิค่อยมีใจเบิกบานและอาจหาญขึ้น  จึงเดินเข้าไปในตำหนัก ภายในตำหนักล้วนแล้วด้วยทัศนาภาพอันวิจิตร หาที่เปรียบมิได้ในบรรดาที่มีในมนุษย์โลก แต่ไม่มีสิ่งมีชีวิตใด ๆ ปรากฏอยู่ในที่นั้นเลย





                            ในขณะที่เพลินชมภาพเจริญตาทั้งมวลภายในตำหนักนั้น  พลันนางไซคิได้ยินเสียงพูดกับนางอยู่ใกล้ ๆ แต่ไม่เห็นตัวพูดว่า \"ข้าแต่นางนาฏผู้เป็นใหญ่ สิ่งทั้งปวงที่ปรากฏแก่ตาท่านในที่นี้เป็นของท่านทั้งหมด พวกเราเจ้าของเสียงนี้คือบริวารของท่าน ซึ่งจะปฏิบัติตามคำสั่งท่านทุกประการ  จงวางใจพวกเราเถิด พวกเราจัดห้องบรรทม และกระยาหารสรรพด้วยรสอันจะพึงใจท่านพร้อมแล้ว ขอท่านจงเสพกินตามอัธยาศัยเถิด\"





                            ไซคิปฏิบัติตามคำเชื้อเชิญและคอย \"อมนุษย์\" ผู้จะมาครองคู่กับนาง  ตลอดเวลานั้นนางได้ยินเสียงดนตรีทิพย์ บรรเลงขับกล่อมแสนไพเราะหูยิ่งนัก แต่ \"อมนุษย์\" คู่ครองนางหาได้มาในยามกลางวันไม่  หากยามราตรีกาลมืดสนิทจึงจะมา และพอเวลาใกล้รุ่งก็กลับไป   ไซคิไม่สามารถแลเห็นคู่ครองของนางเลยว่ามีรูปร่างพิกลอย่างไร  นางเพียงแต่ได้ยินคำพร่ำพรอดอันเต็มไปด้วยความอ่อนหวาน ซึ่งก็ชักจูงจิตใจนางให้เคลิบเคลิ้มพลอยสนิทเสน่หาไปด้วยเท่านั้น





                             ไซคิอยู่ครองกับอีรอสโดยไม่รู้ว่าคู่ครองนางเป็นใครเป็นเวลาแรมเดือน  ถึงนางจะอ้อนวอนเท่าใด  อีรอสก็ไม่ยอมอยู่ให้นาง เห็น  ยิ่งกว่านั้นเธอยังสั่งห้ามนางมิให้จุดไฟในราตรีกาลหรือถามนามของเธอเป็นอันขาด  เธอให้เหตุผลกับนางว่า \"เจ้าจะต้องการ เห็นข้าเพื่อประสงค์ใด เจ้ายังคลางแคลงใจในความรักของข้าอยู่หรือ ถ้าเจ้าแลเห็นชะรอยเจ้าอาจเทิดทูนบูชาหรือกลัวข้าก็ได้ แต่ข้าอยากให้เจ้าสมัครรักใคร่ข้าในฐานะปุถุชนคนเสมอกัน มากกว่าอยากให้เจ้าเทิดทูนข้าเสมอด้วยเทพดอกนะ\" ไซคิยอมจำนนต่อเหตุผลของอีรอส  จึงสงบเงียบ  ไม่ออดอ้อนเซ้าซี้คู่ครองนางอีก  ต่อมาด้วยความคิดถึงวงศาคนาญาติ ทำให้นางไซคิขออนุญาตอีรอสเชิญพี่สาวไปเที่ยวที่ตำหนัก ในครั้งแรกอีรอสอิดเอื้อน แต่ในที่สุดก็อนุญาต





                             ฝ่ายพี่สาวทั้งคู่ของนางไซคิได้รับคำเชิญชวนของน้องสาวก็รีบมาด้วยความอยากรู้ว่า น้องสาวของตนจะอยู่กับอมนุษย์อย่างไร ครั้นมาถึงยอดเขาที่นางไซคิมาเป็นครั้งแรก  ลมเสฟไฟรัสก็พัดโบกโอบอุ้มสองนางนั้นให้เลื่อนลอยลงมายังตำหนักของไซคิ เป็นที่พิศวงแก่นางทั้งสองยิ่งนัก  และเมื่อน้องสาวพาเข้าไปในตำหนัก นางทั้งสองกลับเพิ่มความพิศวงขึ้นอีกในการที่ได้เห็นควมงามอันวิจิตรภายในตำหนัก ได้ประจักษ์ว่า  ข้าทาสบริวารของน้องสาวในสถานที่ นั้นมีแต่เสียงไม่เห็นตัว ซ้ำคู่ครองของนางก็ไม่เคยแสดงโฉมหน้า หรือเผยชื่อให้ปรากฏ สองนางพี่น้องจึงเสี้ยมสอน ยุยงไซคิถึงวิธีลักลอบดูตัวคู่ครองนาง หากว่าเป็นอมนุษย์ทรลักษณ์จริงจะได้ฆ่าเสีย





                            ไซคิปฏิบัติตามคำเสี้ยมสอนยุยงอย่างเสียมิได้  นางจัดแจงหาตะเกียงและมีดดาบซ่อนไว้ไม่ให้อีรอสเห็น  เมื่ออีรอสนิทราหลับสนิท นางจึงลุกขึ้นจุดตะเกียงส่องดูสามี  ไซคิก็รู้สำนึกว่าตนทำผิดโดยล่วงละเมิดคำสั่งห้ามของภัสดาไปเสียแล้ว





                            ภาพที่ปรากฏแก่สายตาของนางหาใช่อมนุษย์ไม่  แต่เป็นองค์เทพที่สง่างามละไมตาหาที่เปรียบมิได้ ณ เบื้อง ปฤษฎางค์ของอังสานั้นมีปีกติดอยู่ทั้งสองข้าง  นางก็รู้ในบัดนั้นแล้วว่า  อีรอสคือสามีของนาง  ในขณะที่นางถือตะเกียงเขยิบเข้าไปพิศดูใกล้ ๆ อย่างเพลินตานั้น น้ำมันตะเกียงซึ่งยังร้อนหยดลงบนผิวของอีรอส  อีรอสสะดุ้งตื่นจากนิทราทันที พอเห็นเหตุดังนั้นเธอก็กางปีกออกโผผละจากที่นั้นไปทางช่องแกล  ไซคิพยายามโผติดตาม  แต่กลับตกลงกับพื้น  อีรอสโกรธนางไซคิถึงกับออกโอษฐ์ว่า \"ดูก่อน ไซคิผู้โฉดเขลา เจ้าตอบแทนความรักของข้าโดยฉะนี้ดอกหรือ  ไปเถิดไปหาพี่สาวของเจ้าผู้เสี้ยมสอนดีเถิด ข้าจะลงโทษเจ้าโดยจากเจ้าตลอดกาลแต่บัดนี้ ด้วยความรักย่อมดำรงอยู่ไม่ได้ถ้า ปราศจากความไว้วางใจ\" แล้วอีรอสก็เหินหายลับไปในอากาศ  ฝ่ายไซคิคืนสติเหลียวมองดูรอบข้าง ได้รู้ว่าทั้งตำหนักและอุทยานได้อันตรธานหายไป คงเหลือแต่นางอยู่แต่เดียวดายโดยลำพัง ให้บังเกิดความว้าเหว่ระทมทุกข์ยิ่งนัก





                           ไซคิออกจากที่นั่น ไปหาพี่สาว และเล่าเหตุที่เกิดทั้งหมดให้พี่สาวฟัง สองนางแสร้งทำเป็นพลอยเศร้าสลด  แต่ใจจริงลิงโลดในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  นางคบคิดกันจะไปยังที่นั้นอีก  หากว่าอีรอสจะเลือกนางคนใดคนหนึ่งในสองพี่น้องแทนนางไซคิ  นางแต่ละคนต่างก็ขึ้นไปบนยอดเขาเรียกให้ลมเสฟไฟรัสมารับตัวลงไป แต่ลมไม่ได้รับคำสั่งจากอีรอสจึงไม่มารับดั่งในครั้งก่อน  พอนางแต่ละคนโผออกจากยอดเขาด้วยสำคัญผิดว่าลมเสฟไฟรัสมารับ  นางก็กลับตกเขาตาย





                            ในระหว่างนั้น  ไซคิซัดเซพเนจรเที่ยวค้นหาสามีไปตามที่ต่าง ๆ พบใครก็สืบถามดะไปหมด เช่น นางได้พบแพนเทพบุตรขาแพะ  แต่เทพก็ช่วยอะไรไม่ได้ นอกจากฟังเรื่องและปลอบใจนางเท่านั้น  วันหนึ่งนางมาถึงศาลเจ้าแม่ดีมิเตอร์ เทวีครองการเก็บเกี่ยว เห็นเคียว ข้าวโพด และเครื่องมืออื่น ๆ กองสุมกันอยู่ระเกะระกะไม่เป็นระเบียบ  นางจึงจัดข้าวของเสียใหม่ให้เป็นหมวดหมู่ดูเรียบร้อย เจ้าแม่ดีมีเตอร์ก็โปรด ให้บังเกิดความสมเพชสงสารนางไซคิในความอาภัพอัปภาคย์ของนางเป็นอย่างยิ่ง  เจ้าแม่จึงแนะนำให้นางไปที่ศาลเจ้าแม่อโฟร์ไดที และให้บวงสรวงวอนขอความกรุณาต่อเจ้าแม่ดูสักครั้งหนึ่ง





                            แต่เจ้ากรรม เทวีแห่งความงามยังไม่หายคุมแค้นนางไซคิ เจ้าแม่บริภาษเปรียบเปรยว่าว่านางเป็นประการต่าง ๆ ให้นางระกำใจ มิหนำซ้ำยังใช้ให้นางทำการอย่างหนึ่งซึ่งเป็นงานเหนือวิสัยมนุษย์ปุถุชนจะทำได้คือ ให้จำแนกเมล็ดพืชนานาชนิดที่ระคนปนกันอยู่ในฉางออกจากกันเป็นพวก ๆ ให้เสร็จก่อนค่ำ เพื่อเก็บไว้ให้นกพิราบของเจ้าแม่กิน ถ้านางทำได้สำเร็จ เจ้าแม่ก็จะยอมยกโทษให้





                            นางไซคิมองดูธัญชาติในฉางด้วยความท้อถอย  ทอดอาลัยสุดที่จะคิดอ่านประการใด  ในขณะนั้นเองมดฝูงหนึ่งก็มาช่วยกันขนเมล็ดข้าวนานาชนิดไปกองไว้เป็นพวกๆ มดฝูงนั้นมาตามคำบัญชาของอีรอสเพื่อช่วยงานของนางไซคิให้สำเร็จด้วยความสงสาร  จนเสร็จภายในเวลาที่กำหนดแล้วก็หายตัวไป พอเวลาพลบ  เจ้าแม่ลงมาจากเขาโอลิมปัส ได้เห็นงานสำเร็จเรียบร้อยดังนั้น แทนที่จะโปรด กลับระบุว่านางคงไม่ได้ทำงานสำเร็จด้วยตนเอง และว่าผู้ที่ช่วยนางในครั้งนี้มิใช่ใครอื่น นอกจากอีรอสเป็นแน่  เจ้าแม่ยังไม่ยอมยกโทษให้ หากกลับใช้นางทำการอีกอย่างหนึ่งต่อไป





                            ในคราวนี้เจ้าแม่อโฟร์ไดทีใช้นางไซคิให้ข้ามแม่น้ำสายหนึ่งไปถอนขนแกะซึ่งไม่มีผู้ใดเลี้ยง ณ ฟากตรงข้ามของแม่น้ำเอามาถวายเจ้าแม่ แกะฝูงนั้นล้วนมีขนเป็นทองคำ และเจ้าแม่ก็พึงประสงค์ขนแกะทองคำมากที่สุด ให้นางไซคิถอนขนแกะทุกตัวตัวละขนเอามาถวายให้จงได้  ไซคิไปถึงริมฝั่งแม่น้ำแต่เช้า  แต่ต้นอ้อริมฝั่งแม่น้ำหน่วงนางเอาไว้ ทั้งนี้ด้วยเทพประจำแม่น้ำสงสารนางว่าจะไปตายเสียเปล่า จึงสั่งความลับไว้ให้ต้นอ้อบอกแก่นางเกี่ยวกับวิธีที่ปลอดภัยในการไปเอาขนแกะทองคำ ความลับนั้นมีว่า ตั้งแต่เวลาเช้าถึงเที่ยงแม่น้ำมีอันตรายมาก และแกะฝูงนั้นก็ดุร้าย ถึงนางจะข้ามแม่น้ำไปถึงฝั่งตรงข้ามได้สำเร็จก็น่ากลัวจะไม่วายถูกฝูงแกะทำลายชีวิตเสีย ต่อเวลาเที่ยงล่วงแล้วฝูงแกะจึงกลับเชื่อง และแม่น้ำก็สงบนิ่ง ให้นางรออยู่จนถึงเวลานั้นจึงค่อยข้ามแม่น้ำไป นางจะพบขนแกะทองคำติดตามพุ่มไม้  ให้นางเที่ยวเก็บเอาตามพุ่มไม้เหล่านั้นเถิด





                            นางไซคิปฏิบัติตามคำแนะนำของต้นอ้อทุกประการ ในไม่ช้าก็หอบขนแกะทองคำเอามาถวายเจ้าแม่อโฟร์ไดทีเป็นอันมาก เจ้าแม่ไม่สมหวังในการประทุษร้ายนางไซคิในครั้งนี้  จึงแกล้งใช้นางให้ทำธุระอีกอย่างหนึ่งเป็นครั้งที่สาม





                            โดยงานชิ้นที่สามที่เทวีอโฟร์ไดทีได้สั่งให้นางไซคิทำก็คือ  การนำโถใบหนึ่งลงไปในยมโลก  ไปเฝ้าเพอร์เซโฟนีเทวีทูลขอเครื่องประกอบความงามของเจ้าแม่  ให้เจ้าแม่บรรจุลงในโถใบนี้  แล้วนำกลับมาให้แก่ตน ให้รีบไปและรีบกลับโดยเร็วก่อนค่ำวันนี้





                            ไซคิเมื่อได้ยินคำสั่งดังนี้ ให้นึกแน่ว่าครั้งนี้นางคงถึงแก่อับจนไม่พ้นมือมัจจุราชเป็นเที่ยงแท้ แต่นางก็คิดว่าดีเหมือนกัน เรื่องราวทั้งหลายจะได้ยุติลงเสียที และเพื่อตัดบทในการที่จะดั้นด้นลงสู่ยมโลกที่มนุษย์ปุถุชนไม่สามารถที่จะทำได้ นางจึงขึ้นไปบนยอดหอสูงหมายจะโดดลงมาให้ตาย เพื่อมิให้ร่างกายต้องทรมาน และในบัดดลพลันได้ยินเสียงหนึ่งในหอลอยมากระทบหูของนาง เป็นคำปลอบและบอกทางให้นางลงสู่ยมโลกโดยลัดเลาะไปตามถ้ำ ลงเรือจ้างของเครอนข้ามแม่น้ำคั่นตรุที่ประทับของเทพฮาเดส และบอกวิธีหลีกเลี่ยงเซอร์บิรัส สุนัขสามหัวให้ด้วย แต่กำชับว่าในระหว่างที่ยังอยู่ในยมโลก นางจะกินผลไม้ใด ๆ มิได้ เว้นแต่อาหารที่ทำด้วยแป้ง และเมื่อเพอร์เซโฟรีเทวีมอบโถให้แล้วห้ามมิให้นางเปิดโถนั้นดูเป็นอันขาด นางไซคิปฏิบัติตามคำแนะนำของเสียงนั้นอย่างเคร่งครัดทุกประการ เว้นแต่ประการสุดท้ายประการเดียว





                            ในขณะที่ไซคินำโถกลับมาตามทางนั้น  นางคิดว่าความงามอันใดบรรจุอยู่ในโถ  ถ้านางเปิดโถออกให้ความงามนั้นพลุ่งขึ้นเสริมความงามของนางเองให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นคงเป็นการดีไม่น้อย  นางลุอำนาจแก่ความอยากรู้อยากเห็นเช่นนั้น จนลืมคำกำชับ ห้ามปราม พอเปิดโถออกนางก็ล้มสลบแน่นิ่งไป ด้วยสิ่งที่บรรจุอยู่ในโถมิใช่ความงาม แต่เป็นความหลับในยมโลก





                            ฝ่ายอีรอสซึ่งยังอยู่ในอำนาจพิษศรกามของเธอเอง ในขณะนี้หายโกรธแล้ว ให้ระลึกถึงนางไซคิเป็นที่สุด เธอรู้ว่าไซคิประสบเคราะห์กรรมเป็นไฉนจึงบินออกจากทิพมนเทียรลงสู่บาดาล เก็บความหลับกลับคืนในโถแล้วเอาปลายศรสะกิดเบา ๆ นางก็ฟื้นตื่นจากวิสัญญีภาพ เธอตัดพ้อชี้ให้เห็นโทษของความสอดรู้สอดเห็นอันบังเกิดแก่นางถึงสองครั้งแล้ว  ให้นางปฏิบัติภาระที่ได้รับมอบจากเจ้าแม่อโฟร์ไดทีต่อไปให้เสร็จ  ส่วนตัวอีอรสเองจะขึ้นไปบนสวรรค์ทูลขอต่อซูสให้โปรดเกลี้ยกล่อมเจ้าแม่แห่งความงามงดโทษโกรธขึ้งนางไซคิเสีย  ซึ่งซูสเทพบดีก็โปรดให้ตามที่ขอ เมื่อเจ้าแม่อโฟร์ไดทียอมงดโทษแก่นางไซคิแล้ว ซูสจึงประทานน้ำอมฤตให้นางไซคิดื่ม ซึ่งจะทำให้เป็นอมตะอยู่ครองคู่กับอีรอสโดยไม่พลัดพรากจากกันอีกเลยนับแต่บัดนั้นมา





                            ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ





                            ต้องขอโทษเพื่อน ๆ ด้วยนะคะ  ถ้าตำนานที่พิ้งค์หามาไม่ตรงกับที่เพื่อน ๆ เคยรู้กัน  































    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×