[WFcontest] Ghost restaurant ภัตตาคารอาหารโลกวิญญาณ - [WFcontest] Ghost restaurant ภัตตาคารอาหารโลกวิญญาณ นิยาย [WFcontest] Ghost restaurant ภัตตาคารอาหารโลกวิญญาณ : Dek-D.com - Writer

    [WFcontest] Ghost restaurant ภัตตาคารอาหารโลกวิญญาณ

    โดย Wendy Wong

    ภัตตาคารอาหารโลกวิญญาณที่เมฆบังเอิญเดินเข้าไปพบ แต่กลับถูกชักชวนเข้ามาในร้านพร้อมข้อเสนอให้เป็นคนล่าวัตถุดิบแสนพิศดารเพื่อแลกกับเมนูสำคัญที่จะช่วยคนสำคัญให้ฟื้นจากการหลับใหลอันยาวนาน

    ผู้เข้าชมรวม

    542

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    5

    ผู้เข้าชมรวม


    542

    ความคิดเห็น


    4

    คนติดตาม


    4
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  27 ม.ค. 58 / 23:56 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
                     
                    ทุกอย่างคือความจริง ความจริงของมนุษย์เป็นความจริงในพื้นฐานและกรอบอันแสนคับแคบ แต่ความจริงของโลกใบนี้กว้างใหญ่เกินกว่าทฤษฎีใดๆจะตอบได้หมด และร้านนี้ก็เป็นอีกหนึ่งความจริงของโลกใบนี้ ฉันไม่ใช่มนุษย์ นพกับภพไม่ใช่มนุษย์ ทุกคนในร้านนี้ก็ไม่ใช่มนุษย์ และมนุษย์ที่ไม่ควรเห็นร้านนี้ ไม่ควรมาอยู่ที่นี่ก็คือนาย
    เมฆินทร์



    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      Ghost restaurant ภัตตาคารอาหารโลกวิญญาณ

                       ความธรรมดาแสนดารดาษทำให้ทุกคนไม่สังเกตเห็นความแปลกประหลาดที่ซุกซ่อนอยู่ มีแยกไฟแดงหนึ่งมีถนนตรงแยกถึงสี่สายหรือเรียกว่าทางสี่แพร่ง มีถนนเส้นหนึ่งในนั้นตัดเข้ายังซอยถิ่นที่พักอาศัยที่เต็มไปด้วยตึกแถวมากมาย ทาวน์เฮ้าส์ติดกัน มินิมาร์ท และร้านค้าอาหาร

                      ร้านค้าอาหารที่ตั้งอยู่ในนั้นก็ดูปกติธรรมดาทั่วไป แต่มีร้านหนึ่งที่ตั้งอยู่ลึกสุดในซอยทางซ้ายมือเมื่อเดินเข้ามาเป็นร้านตึกแถวสี่ชั้น ซึ่งชั้นล่างถูกดัดแปลงเป็นร้านอาหาร ไม่ใช่ร้านที่คนจะเดินผ่านเพราะอยู่ลึกติดทางตัน รถเข้าถึงยากซ้ำตึกแถวติดๆกันก็เป็นตึกร้างไม่มีใครอาศัย ร้านนั้นเก่าและโทรมซึ่งมองปราดเดียวก็รู้ว่ากิจการล้มละลายไปแล้ว ประตูร้านลงกลอนปิดสนิทไม่ต้อนรับใครและไม่มีใครอยู่

                      และในยามดึกสงัดเกือบตีหนึ่งของคืนวันใหม่ ชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินเข้ามายังซอยแห่งนี้ เขาเดินผ่านตึกแถวมากมายที่มืดสนิทไร้ชีวิต แววตาและสีหน้าของเขาก็เช่นกัน ชายหนุ่มนั้นสูงและผอมบาง ดวงหน้าเรียวนั้นขาวซีด ดวงตาโตนัยน์ตาสีดำสนิท ผมสีดำนั้นสั้นระต้นคอ สวมแว่นตากรอบน้ำตาลเลนส์หนา สะพายกระเป๋าเป้หนังสีดำ

                      ชายหนุ่มเดินอย่างเหม่อลอยไม่รับรู้บรรยากาศรอบด้านที่เริ่มเงียบและอึมครึมจนเมื่อไหร่ไม่รู้ที่เดินมาถึงสุดซอย เห็นแสงไฟสีแดงเด่นสง่าที่ตึกแถวห้องสุดท้ายซึ่งนั่นดึงความสนใจให้เขาเดินเข้าไปดู

                      เป็นภัตตาคารอาหารนั่นเอง ตึกแถวทั้งสี่ชั้นทาด้วยสีแดงทั้งหลังชั้นล่างติดชื่อร้านเป็นป้ายไม้กรอบลายไทยอยู่บนบานประตู บานประตูเป็นประตูแบบเลื่อนเหมือนของประเทศญี่ปุ่นแต่สูงกว่าบานประตูทั่วไปมากนัก มีเสาสีแดงประดับอยู่ทางด้านซ้ายและขวาของร้านตัวเสาตกแต่งด้วยลายสลักดอกบัวแปดกลีบรูปแบบไทย และมีโคมแดงห้อยพู่สีแดงอยู่หัวเสามีแสงไฟสีส้มลอดออกมา ถัดจากหน้าประตูออกมามีทางเดินหินกรวดยื่นออกจนถึงถนนเล็กน้อย

                      แต่ที่น่าสนใจที่สุดคือชื่อร้านเขียนว่า ภัตตาคารอาหารโลกวิญญาณ ชื่อร้านประหลาดนั่นทำเอาเขาขวดคิ้วพลางคิดถึงรสนิยมเจ้าของร้านในทันที

      น่าจะเป็นร้านอาหารจีนปนญี่ปุ่นที่มีกลิ่นอายแบบไทยๆนะ

      มาตั้งในที่แบบนี้จะมีคนสนใจเหรอ?

                      ครืด!

                      ทันใดนั้นบานประตูก็ถูกเปิดออก มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมา เขาสูงใหญ่มีดวงหน้าคมสันผมสีฟ้าอ่อนยาวประบ่า นัยน์ตาสีน้ำเงินแววตาสดใสร่าเริง คิ้วสีดุจเดียวกับผม จมูกและปากนั้นบางเสียจนสิ่งที่สะดุดตานั้นคือดวงตาสวยดุจเหยี่ยวนั่น ชายตรงหน้าเขาสวมเสื้อแขนกุดเผยมัดกล้ามเห็นออกมาชัดเจนปกคอสูงถึงคอ ชายเสื้อยาวลงมาถึงต้นขาผ่าข้างขึ้นไปเล็กน้อย สวมกางเกงผ้าขายาวและสวมรองเท้าที่ปลายรองเท้าแหลมงอนเสมือนรองเท้าของอินเดีย เสื้อและกางเกงเป็นสีแดงสดแทบกลืนกับร้านที่เป็นฉากหลังขณะที่รองเท้าเป็นสีดำ

                      ดูจากหน้าตาเสมือนชายวัยยี่สิบห้ายี่สิบหก

                      ทั้งสองสบตากัน แล้วชายหนุ่มที่เลื่อนเปิดประตูร้านก็เลื่อนเปิดประตูอีกครั้งก่อนตะโกนเสียงดังว่า “ภพมานี่เร็ว มาแล้ว เขามาแล้ว”

                      ทำเอาเขาที่ว่าสะดุ้งจากเสียงนั้น และไม่กี่วินาทีถัดมาชายหนุ่มอีกคนก็มาปรากฎตัวมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับอีกคนนึงแม้แต่เสื้อผ้าก็เหมือนเพียงแต่เป็นอีกสีคือสีน้ำเงินแต่มีแววตาเยือกเย็นและผมที่ยาวถักเป็นปียถึงกลางหลัง ฝาแฝดนั่นเอง

                      “อะ เอ่อ ขอโทษครับ ผมจะเดินกลับบ้านแต่คงเดินมาผิดซอย เอ่อผมกลับก่อนดีกว่า” เขาคิดว่าฝาแฝดตรงหน้ามองว่าเขาเป็นแขก

                      แต่สิ้นประโยคนั้นชายหนุ่มก็โดนฝาแฝดแปลกหน้าจับแขนคนละข้างลากร่างผอมบางนั้นเข้าไปในร้าน

                      “ดะ เดี๋ยวครับ คือผมบอกว่า ผมไม่ได้” เขามีท่าทีเลิ่กลั่กหันมองแฝดทั้งสองจนแว่นตาแทบร่วงออกจากใบหน้าดูแล้วขบขัน

                      ภาพภายในร้านทำเอาแขกผู้ถูกลากต้องตกตะลึง ภายในร้านโอ่โถงกว้างขวางเกินกว่าพื้นที่ชั้นตึกแถวราวกับเป็นภัตตาคารในตึกระฟ้าก็ไม่ปาน พื้นร้านปูด้วยพรมแดงทั้งร้าน มีเสาสูงสีแดงค้ำประดับด้วยลวดลายเดียวกับเสาหน้าร้าน โต๊ะอาหารเป็นโต๊ะกลมเรียงแถวยาวไปสุดลูกตามองไม่ออกว่าแถวหนึ่งมีกี่โต๊ะ และมีคนมากมายนั่งอยู่

      คนแน่น่ะหรอ?

                      ชายหนุ่มกลืนน้ำลาย บางคนก็ดูเหมือนคนทั่วไปแต่บางคนก็มีรูปร่างหน้าตาแปลกประหลาดราวกับไม่ใช่คน คนบางคนมีศีรษะเป็นสัตว์ สุนัข แมว เป็ด นานาชนิด จะว่าใส่หน้ากากก็ไม่ใช่ บางคนไม่ใช่เพียงศีรษะแต่ทั้งตัว กลับนั่งราวกับมนุษย์ บางคนไร้ศีรษะบางคนไร้แขนขา บางคนมีส่วนประกอบร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่งที่ยืดยาวออกมา เขาเหลือบมองไปเห็นหญิงผมยาวในชุดไทยนอนอยู่ใต้โต๊ะ แล้วพลันมีอาหารตกคอของเธอก็ยืดออกมาอ้าปากรับอาหารนั้นก่อนหดคอกลับเข้าไป

                      “เหวอ!” เขาสะดุ้งพรวดร้องเสียงหลงหน้าตาเหยเกจนแว่นตาแทบหล่นพื้น

                      “นพ ภพ ข้อเพิ่มไข่พญาปีศาจแมงมุมราดแกงพิษงูหยกเขียวหน่อย” ลูกค้าคนหนึ่งในโต๊ะตะโกนมาด้านหลัง ฝาแฝดทั้งสองพยักหน้ารับ ดูท่าจะเป็นชื่อของทั้งคู่

      เมนูอะไรน่ะ!

      ที่นี่ที่ไหนกันแน่?

                      ความหวาดกลัววิ่งแล่นพล่านในใจจนแทบคุมสติไม่อยู่ แต่หนุ่มชุดแดงที่ชื่อว่านพก้มลงมากระซิบบอกว่า “ไม่ต้องห่วง นพกับภพไม่กินเนื้อมนุษย์หรอกรวมถึงนายหญิงด้วย”

                      นพพยายามปลอบแต่เป็นคำปลอบที่ไม่เข้าท่าเสียเลย แล้วฝาแฝดก็พาร่างของแขกมาหยุดที่บันไดสีแดงที่มุมซ้ายของร้าน ทั้งสองเดินเร็วมากเพียงไม่กี่นาทีก็ถึงสุดร้าน นพกับภพพาร่างของแขกที่ตื่นตระหนกลอยขึ้นบันไดไปจนถึงชั้นบน มีห้องสามห้องติดกันในนั้น บานประตูเป็นสีแดงเช่นเดียวกัน

                      พวกเขาเปิดประตูบานกลางและผลักร่างของแขกผู้ไม่รู้เรื่องเข้าไปพร้อมปิดประตูในทันที ดวงหน้าขาวซีดนั้นแทบคะมำจูบกับพื้นพรมสีแดง เขาลุกขึ้นยืนอย่างทุกลักทุเล

                      ทันทีที่ตั้งสติได้ก็ได้กลินเทียนหอมที่โฉยฉุนเต็มห้องนี้แต่กลับมีกลิ่นคาวชวนเหียนปะปนมากับความหอมนั้นด้วย ห้องนี้เป็นห้องทรงกลมแปลกตา มีเตียงสี่เสาสีแดงม่านเตียงบางสีขาวปักด้วยดิ้นทองลายดอกบัวแปดกลีบอยู่ขวามือ  ติดกับเตียงคือโต๊ะใบเล็กที่มีแจกันกระเบื้องสีขาวปักประดับกุหลาบแดงสี่ดอก แต่ละดอกนั้นหมุนส่วนกลีบไปมาราวมีชีวิต ขวามือมีหน้าต่างบานกลมประดับด้วยม่านสีแดงสด แต่ตรงกลางห้องที่น่าประหลาดที่สุด มีกระจกบานยาวทรงวงรีกรอบรูปลายดอกแปดกลีบที่คุ้นตาในร้านลอยอยู่บนอ่างสีแดงสดคล้ายอ่างบัวแต่มีขนาดใหญ่มากพอให้คนสามคนยืนได้ รอบอ่างมีเทียนสีแดงปักโดยรอบซึ่งเป็นที่มาของกลิ่นหอม อ่างนั้นบรรจุน้ำสีแดงที่ลอยขึ้นมาล้อมรอบกระจกอย่างพิศวง

                      เขามองกระจกนั้นด้วยแววตาประหลาดใจจนยากห้ามใจไม่ใช้มือแตะ

                      “อย่าแตะต้องของๆคนอื่นสิ หนุ่มน้อย” เสียงผู้หญิงดังขึ้นเป็นเสียงที่นุ่มลึกและแหบพร่าในเวลาเดียวกัน ทำเอาชายหนุ่มสะดุ้งหันมองตามเสียง

                      มีหญิงสาวหน้าตาสวยสดงดงามนั่งไขว่ห้างอยู่ข้างเตียง ทั้งๆที่ตอนแรกไม่มีอยู่ ร่างนั้นสูงผอมเพรียว ผมสีแดงสลวยนั้นถูกมัดด้วยโบว์สีดำเป็นหางม้าสูงแต่ก็ยังยาวจนเกือบถึงพื้น ดวงหน้าคม ผิวขาวนวลสะดุดตา คิ้วเข้มหนาสีแดง ดวงตาเรียวยาวขนตางอนสวยเมื่อช้อนมอง นัยน์ตาสีรัตติกาล จมูกโด่งนูน ริมฝีปากบางถูกทาสีแดงสดเมื่อเผยอพูดก็ดูมีเสน่ห์น่ามอง หญิงสาวสวมชุดกระโปรงยาวระพื้นคอกว้างรูปสี่เหลี่ยมแขนยาว แขนเสื้อและกระโปรงนั้นบานออก สวมสร้อยไข่มุขสีดำเส้นยาวซ้อนกันถึงสามเส้น

      “นายชื่ออะไรหนุ่มน้อย” หญิงสาวถามพลางกวักมือเรียก แล้วร่างของผู้ถูกเรียกก็ลอยไปหาหยุดอยู่ตรงหน้าหญิงสาวลึกลับในทันที

      ชายหนุ่มมีสีหน้าตกใจจนขาสั่นเทา ทำเอาหญิงสาวเจ้าของห้องหัวเราะ

      “ฉันไม่ทำอะไรนายหรอกบอกชื่อมาเถอะ”

      “ผะ ผมชื่อเมฆ” เขาตอบ

      “ชื่อจริงล่ะ? อายุเท่าไหร่?”

      เมฆินทร์ หดานุช อายุสิบเก้าปี” เมฆไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องตอบ แววตาหลังแว่นนั้นมีความสงสัยในตัวเอง

      หญิงสาวแย้มยิ้ม “ยินดีที่ได้รู้จักฉันชื่อรัก เป็นเจ้าของร้านภัตตาคารอาหารโลกวิญญาณที่นี่ ปกติที่นี่จะไม่มีมนุษย์คนใดมองเห็น นายเป็นมนุษย์คนแรกที่เข้ามาในร้าน”

      รักดีดนิ้ว แล้วบางอย่างในห้องก็เปลี่ยนไป เตียงกับโต๊ะวางแจกันหายไป พื้นที่ตรงนั้นกลายเป็นโต๊ะทรงกลมสีแดงโดยที่รักกับเมฆนั่งบนเก้าอี้หันหน้าชนกัน

      “ทะ ที่นี่กำลังถ่ายหนังหรือคุณเล่นมายากลอะไรรึเปล่า?” ดวงหน้าใต้กรอบแว่นกำลังวิ่งหนีความจริงที่ผิดเพี้ยน

      ทำเอารักหัวเราะขบขัน “ผิดแล้ว ทุกอย่างคือความจริง ความจริงของมนุษย์เป็นความจริงในพื้นฐานและกรอบอันแสนคับแคบ แต่ความจริงของโลกใบนี้กว้างใหญ่เกินกว่าทฤษฎีใดๆจะตอบได้หมด และร้านนี้ก็เป็นอีกหนึ่งความจริงของโลกใบนี้ ฉันไม่ใช่มนุษย์ นพกับภพไม่ใช่มนุษย์ ทุกคนในร้านนี้ก็ไม่ใช่มนุษย์ และมนุษย์ที่ไม่ควรเห็นร้านนี้ ไม่ควรมาอยู่ที่นี่ก็คือนายเมฆินทร์

      “นอกจากนายจะมีพลังวิญญาณเปี่ยมล้นแล้ว แปลว่านายต้องมีความต้องการต้องพ้องกับร้านนี้ มีความทุกข์อันใดรบกวนจิตใจจนมืดบอดอยู่งั้นหรือ?”

      นัยน์ตาสีรัตติกาลที่ดึงดูดให้จ้องมองของรักนั้นช่างแสนลึกลับแต่นั่นก็ทำให้เมฆคลายความหวาดกลัวลงอย่างไร้เหตุผล ราวกับนัยน์ตาคู่งามนั่นช่วยให้สติเขากลับมา ราวกับความจริงของร้านนี้ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวใดๆเลย

      “เพื่อนของผม” เขาเปิดปากในที่สุด “เพื่อนของผมริน รินมีปัญหาโรคหัวใจตั้งแต่เล็ก” แววตาของเขาฉาบด้วยความเศร้า “เธอเจ็บออดๆแอดๆมาตลอดแต่ก็ยังใช้ชีวิตอยู่ได้ ไปโรงเรียนได้บ้าง ถึงจะหยุดบ่อยก็ตาม” เมฆนิ่งไปอึดใจก้มหน้าเศร้าก่อนเล่าต่อ “แต่เดือนที่แล้วเธอกลับล้มไปหน้ามหาวิทยาลัย หมอบอกว่าหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน ถึงจะกลับมาเต้นอีกแต่ก็ไม่ยอมฟื้นได้สติมาอีกเลย รินยังคงนอนเป็นเจ้าหญิงนิทราจนกระทั่งวันนี้”

      “ผมคิดวนเวียนเกี่ยวกับรินว่าจะทำยังไงให้เธอฟื้น แต่เมื่อหมอยังทำไม่ได้ผมจะทำอะไรได้แม่รินเองก็ทุกข์ใจเรื่องนี้มาก เธอเป็นคนดี รินก็เป็นคนดี เป็นคนสำคัญของผม ผมไม่อยาก...”

      “นายคิดเรื่องนี้มาตลอดทางจนเดินหลงมาที่นี่สินะ” รักยังคงยิ้มมองดวงหน้าซีดเซียวของอีกฝ่าย “หลงรักเพื่อนคนนั้นสินะ ถ้าอย่างนั้นอยากช่วยผู้หญิงคนนั้นไหมล่ะ ฉันมีวิธีนะ”

      ราวกับเสียงของปีศาจเข้ามาเมื่อยามสิ้นหวัง นัยน์ตาใต้กรอบแว่นนั้นเงยมองนัยน์ตาสีรัตติกาลของหญิงสาว แล้วรักก็ดีดนิ้วอีกครั้ง คราวนี้ทั้งสองลงมานั่งบนเก้าอี้ในร้านอาหาร บนโต๊ะมีแก้วน้ำชาวางอยู่ตรงหน้าทั้งสอง แก้วใสทรงบัวแปดกลีบ มีน้ำสีชมพูกุหลาบอยู่ด้านใน แก้วรองเป็นรูปดอกบัวแปดกลีบบานเต็มที่

      “อะ เอ่อ...” เมฆหันซ้ายแลขวาอย่างเลิ่กลั่ก ตอนนี้วิญญาณทุกตนหันมามองพวกเขาเป็นตาเดียว แล้วความ

      หวาดกลัวก็จู่โจมเมฆอีกครั้งจนอยากวิ่งหนีไปแต่ประโยคเมื่อครู่ของรักก็ตรึงเขาอยู่ที่เก้าอี้

      “มะ มีวิธีจะช่วยรินหรือครับ”ริมฝีปากนั้นเบะเล็กน้อยเสียงสั่นเครือเมื่อมีผีสาวตาบอดในชุดคลุมอาบน้ำแลบลิ้นพยามเลียหน้าของเมฆ

      “ต้องขอโทษด้วยนะคะคุณลูกค้าแต่คุณคนนี้เขาเป็นแขกของดิฉัน คงต้องขอให้คุณกลับไปนั่งที่เดิม” น้ำคำดูนอบน้อมแต่ท่าทีของรักหยิ่งยโส มีความน่ากลัวในแววตา ผีตนนั้นจึงรีบหลบไป

      “ฉันมาเอาชาใยแมลงปีกฟ้าหมอง[1]น่ะ เลยต้องลงมาข้างล่าง” รักบอกเหตุผลก่อนเอ่ยถาม “ปกติมองเห็นวิญญาณตนไหนรึเปล่า?”

      “ครับ ผมสามารถมองเห็นวิญญาณได้ แต่ก็ไม่เห็นมานานหลายเดือนแล้วจนกระทั่งเร็วๆนี้มาเห็นอีกครั้ง” นั่นเป็นสาเหตุที่เมฆยังคงสติอยู่ได้แม้น้อยกว่าเดิมมาก “แต่ผมก็รู้สึกกลัวทุกครั้งที่เห็นยังไม่ชินเสียที” เขาสารภาพ

      “นั่นเพราะนายมีพลังวิญญาณสูงสั่งถึงสามารถช่วยเด็กผู้หญิงที่ชื่อว่ารินนั่นได้ไงล่ะ”

      “คุณหมายถึง?” เขาว่าคนจมน้ำขอเพียงมีขอนไม้ยึดก็เพียงพอ แม้ไม่รู้ว่าจะมีอะไรอยู่ในขอนไม้นั่นก็ตาม

      “ที่นี่เป็นภัตตาคารแต่ก็ไม่ได้มีแค่อาหารที่ให้ความอร่อยหรอกนะ พวกเราน่ะมีเมนูอาหารที่เปรียบเสมือนยาทิพย์วิเศษให้กับร่างกายมนุษย์ได้ เพราะฉะนั้นอาหารที่ทำให้เจ้าหญิงนิทราฟื้นน่ะก็มีอยู่ ถ้ามีวัตถุดิบที่เพียงพอล่ะก็...”

      ประโยคนั้นราวกับจุดประกายความหวังให้ลุกโพลง รักดีดนิ้วอีกครั้งทั้งสองกลับมาในห้องเดิมโต๊ะตัวเดิม

      “ต้องการไหมล่ะอาหารจานนี้น่ะ แต่เป็นเมนูที่หาวัตถุดิบได้ยากยิ่งซ้ำต้องใช้เชฟระดับสูงถึงสองคนเชียวนะ” นัยน์ตาสีรัตติกาลนั้นดึงดูดเมฆอีกครั้ง แววตาที่ทั้งงดงามและจีรังนั้นไม่ใช่ของมนุษย์ เมฆรู้ดีว่าอาจไม่สามารถไว้ใจนัยน์ตาคู่สวยคู่นี้

       แต่แล้วใบหน้าอ่อนหวานน่ารักของรินก็ลอยเข้ามา

      “ถ้าผมต้องการ ผมต้องทำยังไง” มีความเคลือบแคลงในน้ำเสียง

      “ก็...มาทำงานพิเศษที่นี่ไงล่ะ!”เจ้าของร้านสาวยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วดีดนิ้วพวกเขาลงมายังชั้นล่างอีกครั้งแต่คราวนี้นพและภพเข้ามายืนขนาบข้างรัก

      “มีคนช่วยน้ำนิลล่าวัตถุดิบซักทีนะ” นพเสริมพลางยิ้มแป้นขณะที่ภพยืนนิ่งไม่พูดอะไร

      “อะ...เอ่อ...” ดวงหน้านั้นเอ๋อเหลอ ไม่เข้าใจอย่างชัดเจน “ดะ เดี๋ยวสิครับทำไมผมต้อง...”

      “เพราะนายต้องไปหาวัตถุดิบมาทำเมนูอาหารชิ้นนี้ด้วยตนเอง และเนื่องจากมนุษย์ไม่มีเกล็ดวิญญาณไว้จ่ายค่าอาหารของโลกวิญญาณได้เหมือนวิญญาณตนอื่นๆ เอาเถอะเรื่องนี้ไว้อธิบายอีกที เอาเป็นว่าทำงานแทนค่าเงินไงล่ะ”

      ดวงหน้าคมสวยของเจ้าของร้านหันมาจ้องดวงหน้าเรียวของชายหนุ่มที่ยังคงไม่ไว้ใจสตรีและภัตตาคารร้านนี้ “ถ้านายตกลงเมฆ คืนพรุ่งนี้ก็มาพบฉันอีกครั้งในร้านเวลาเที่ยงคืนตรง และเมื่อนายมานายจะกลายเป็นพนักงานร้านนี้ชั่วระยะเวลาหนึ่งพร้อมมีโอกาสได้อาหารวิเศษช่วยเหลือสาวน้อยน่ารัก แต่ถ้าไม่มา ร้านนี้จะไม่มีทางปรากฎในสายตาของนายอีกเลยไม่ว่าจะยังไงก็ตาม”

      รักดีดนิ้วอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ต่างออกไปเพราะเพียงในพริบตาทุกอย่างก็หายไปหมด ทั้งรัก นพ ภพ หรือภัตตาคารอาหารโลกวิญญาณ มีเพียงเมฆที่ยืนนิ่งอยู่หน้าปากซอยบ้านราวกับไม่เคยเดินเข้าไปข้างใน

      “ฝันไปเหรอ?” เขารำพึงกับตัวเอง แต่ขาก็ยังคงสั่นเทาพร้อมกับกลิ่นเทียนหอมที่ติดอยู่ในเสื้อผ้า

       

      เช้าวันถัดมาเมฆตื่นขึ้นเพื่อไปมหาวิทยาลัยเช่นปกติใจยังคงคิดเรื่องเมื่อคืนว่าอาจเป็นความฝัน แต่หลักฐานบางอย่างก็ชัดเจนว่าเขาไม่ได้ฝันไป นัยน์ตาใต้กรอบแว่นนั้นเห็นวิญญาณชัดขึ้นอย่างที่ไม่ชัดเจนเท่านี้ ปกติเขาจะเห็นเรือนลางบ้าง และบางครั้งก็เพียงสัมผัสได้ถึงการคงอยู่เท่านั้น แต่ตอนนี้เขาเห็นวิญญาณที่เดินตามถนนในซอยบ้าน วิญญาณบางตนยืนอยู่เคียงข้างมนุษย์ที่ตนให้ความสำคัญ บางตนสิงสถิตอยู่ในบ้านเมื่อปรายตาหันไปเห็น ยิ่งในมหาวิทยาลัยยิ่งเห็นมากมาย ในห้องเรียนยังมีนั่งอยู่บางโต๊ะที่ว่าง แต่เขาไม่อยากเสียการเรียน เมฆเป็นเด็กเรียนดีสอบชิงทุนเข้ามหาวิทยาลัยมาเพราะแม่ไม่มีเงินส่งและพ่อก็เสียไปก่อนเขาเกิดเสียอีก

                      ตกเย็นเขาไปเยี่ยมรินที่โรงพยาบาลพบแม่ของรินเฝ้าอยู่ข้างเตียง หญิงสูงอายุมีผมขาวแซมดำ สีหน้าแววตาอิดโรย สวมเสื้อคอกระเช้ากางเกงผ้าขายาวสีขาว เธอยิ้มให้เมฆอย่างอ่อนโยน พ่อของรินเสียไปแล้วเช่นเดียวกับเมฆ

                      เขานั่งลงบนเก้าอี้อีกตัวข้างริน จ้องมองดวงหน้าที่ราวกับเพียงหลับสนิทเพื่อรอวันใหม่ ดวงหน้านั้นกลมสวย ผิวสีน้ำผึ้งสะดุดตา ผมยาวหยิกเล็กน้อยตามธรรมชาติ คิ้วบางเบา นัยน์ตาหลับพริ้มขนตายาว จมูกเล็กปากหน่อยดูน่ารัก

                      “หมอว่ายังไงบ้างครับ” เมฆหันไปถาม

                      หญิงสูงอายุส่ายหน้า “เหมือนเดิม หมอก็ไม่สามารถบอกได้ว่าจะฟื้นเมื่อไหร่” แววตามากวัยนั้นเศร้าหมอง “ทั้งๆที่ใกล้วันเกิดของรินแล้วแท้ๆ แต่...แต่...ริน...” ผู้เป็นแม่มองลูกสาวก่อนปาดน้ำตา “พ่อของรินก็เสียไปเมื่อปีก่อนตอนนี้รินต้องมานอนโดยไม่รู้จะตื่นขึ้นมาไหม ฉันทำเวรกรรมอะไรมานะ”

                      เมฆห่อไหล่เศร้าสร้อย ณนาทีนั้นวิธีของรักก็เข้ามาในอนุสติ แม้ไม่รู้จะไว้ใจอีกฝ่ายได้ไหม ไม่รู้ว่าวัตถุดิบที่พูดถึงคืออะไรกันแน่ จะช่วยรินได้จริงรึเปล่าก็ไม่รู้ แต่...

      ถ้านั่นคือทางเลือกสุดท้าย...ที่รินจะได้ฟื้นขึ้นมา!

       

      และ...ด้วยประการนี้ เมฆจึงยืนอยู่หน้าร้านและสวมเครื่องแบบร้านที่เหมือนนพกับภพเพียงแต่เป็นแขนยาว ชายแขนเสื้อทรงบานออกแน่นอนชุดเป็นสีแดง รองเท้าก็เป็นรองเท้าอินเดียสวมเหมือนกับคนอื่น มีสีดำ  

      เมฆลอบหายใจทำคอตกปลงกับชีวิต เขาเห็นวิญญาณมาตั้งแต่เด็กแม้ไม่อยากมองแค่ไหนก็ทำไม่ได้ และตอนนี้ก็ต้องมาทำงานพิเศษในภัตตาคารโลกวิญญาณ! แต่ถ้า...

      “เพื่อช่วยรินสาวน้อยคนสำคัญไม่ว่าอะไรนายก็ทำได้ใช่ไหม...เมฆินทร์” รักเดินมากระซิบข้างใบหูโดยที่เมฆไม่รู้ตัว เขาเงยหน้าไปสบกับนัยน์ตาคู่สวยนั้น

      “ถ้าเพื่อรินล่ะก็ ผมจะทำ!” เจ้าตัวประกาศแน่วแน่

      “ดีมาก หนุ่มน้อย” เจ้าของร้านเผยยิ้มกว้าง รักปรบมือเสียงเบาแต่ก็เป็นสัญญาณอย่างหนึ่ง

      เมฆรู้สึกถึงลมหนาวพัดเข้ามาที่ไรผม เขาจึงเงยหน้าขึ้นไปมองแล้วก็ต้องตกใจร้องเสียงหลงรีบเดินถอยจนหกล้มก้นกระแทกพื้น เป็นท่าทางที่ตลกถูกใจรักจนหญิงสาวหัวเราะชอบใจ

      “อ้าว อย่าทำหน้าเหวอแบบนั้นสิเมฆ เจ้าตัวน้อยนี้น่ะจะเป็นทั้งพาหนะอันชาญฉลาดและเพื่อนที่แสนดีของนายเชียวนะ” รักยิ้มเดินไปลูบใบหน้าเจ้าตัวน้อยที่บินลงมายืนกับพื้น  “คนชอบเรียกมันว่าม้านิลมังกรหรือเรียกได้ว่ากิเลนไทย เป็นกิเลนปีกชนิดหนึ่ง แต่ในที่นี่ชั้นตั้งชื่อมันว่าน้ำนิล”

      น้ำนิลเป็นกิเลนจริงๆ หน้าของมันคือมังกร ลำตัวและกลีบเท้าเป็นม้า หางเสมือนพญานาค มีเกล็ดแวววาวสีดำสมชื่อของมัน แต่ที่แตกต่างจากม้านิลมังกรตามที่เมฆรู้จักคือมันมีปีกสีดำแผ่ขยายออกมา

      “ผมไม่ใช่สุดสาครนะครับ!” เมฆแยกเขี้ยวเอ่ยประท้วง และท่าทีนั่นก็ยิ่งทำให้รักหัวเราะ

      “อย่าเรื่องมาก ไปได้แล้ว น้ำนิลจะพาไปยังแหล่งหาวัตถุดิบสำคัญ และก็นำนี่ไปด้วย” รักยื่นกล่องสีแดงขนาดกระทัดรัดให้ชายหนุ่ม เมฆมองมันอย่างมีคำถาม “กล่องใส่วัตถุดิบพร้อมเครื่องมือ เป็นสิ่งจำเป็นและมีประโยชน์แน่นอน”

      เมฆถอนหายใจยาวเหยียดพยายามปลงอีกครั้ง

      เป็นไงเป็นกัน ไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว!

      เจ้าหนุ่มทำใจกล้าคว้ากล่องเหล็กออกจากมือรักและกระโดดขึ้นหลังน้ำนิลที่ย่อขารออยู่ก่อนแล้ว

      “วัตถุดิบที่ต้องใช้น่ะ น้ำนิลจะเป็นคนบอกเองนะ”รักว่ามาตามหลังเมื่อกิเลนน้อยกำลังกางปีกบินขึ้นฟ้า

      จริงสิ เขาลืมเลยว่าต้องไปหาวัตถุดิบอะไรเพื่อทำเมนู แล้วจะทำเมนูอะไรล่ะ

      เจ้าตัวทำหน้าเอ๋อเหลออีกครั้งซึ่งมันก็เข้ากับแว่นตาทรงกลมนั่นเสียด้วย

      “โชคดีนะ” รักว่ายังคงมองดวงหน้านั้นอย่างขบขัน

      พอไปถึงก็จะรู้ได้เอง

      ดวงหน้าคมนั้นแย้มริมฝีปากแดงยิ้มอย่างคาดเดาได้ยาก

      “ไม่บอกความจริงไปจะดีเหรอครับ”เสียงของภพดังขึ้น นัยน์ตาสีนำเงินนั้นเย็นชา เขายืนนิ่งอยู่ด้านหลังเจ้านายโดยมีนพยืนอยู่ข้างๆ ทั้งสองมาปรากฏตัวตอนไหนยากที่ใครจะเดาได้ “ผมไม่คิดว่าเมฆินทร์จะรู้ความจริงเองหรอก

      “พูดความจริงไปโต้งๆแบบนั้นเมฆก็เสียใจแย่สิ” นพว่า

      รักหันมามองฝาแฝดทั้งสอง ปริศนาทุกอย่างล้วนมีคำตอบที่ตื้นเขินแต่มนุษย์ชอบทำให้มันลึกลับซับซ้อนไปเอง” หญิงสาวยังคงยิ้มเป็นปริศนา “เพราะฉะนั้นเขาต้องรู้ด้วยตัวของเขาเอง”

       

      สายลมแรงพัดโฉบไล้ไปตามกาย ร่างของชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนกิเลนปีกนั้นควรจะหนาวสั่นสะท้านแต่คงเป็นเครื่องแบบที่สวมอยู่ช่วยทำให้อบอุ่นได้อย่างน่าเหลือเชื่อ

      “แว๊ก! จะตกแล้ว จะตกแล้ว”เมฆร้องโวยวายอยู่บนหลังของน้ำนิลมือโอบรอบคอม้านิลมังกรอย่างวาดกลัว

      “หุปปากย่ะ!” กิเลนน้อยหันมาพูดใส่หน้า “อยู่เงียบๆได้ไหม โวยวายนักแม่จะทิ้งซะเลย” คำขู่นั้นได้ผลเจ้าตัวต้องจำใจปิดปากทันที และเมื่อทำใจกล้ามองลงไปเบื้องล่าง...เมฆก็ได้เห็น...

      ภาพทิวทัศน์ตรงหน้านั้นราวกับส่องประกายตรงหน้าเขา เมื่อมองจากที่สูงเขาเห็นทิวเขามากมายหลายลูกข้างใต้ ทิวเขาเหล่านั้นมีสีสรรแปลกตา เป็นสีฟ้าอมเขียวบ้าง สีแดงอมส้มบ้าง สีชมพูอมเหลืองก็มี มีสายน้ำคดเคี้ยวรอบๆทิวเขาเหล่านั้น สายน้ำเปล่งประกายสีทองอร่ามออกมา เขาเห็นพืชพรรณและสัตว์แปลกตามากมาย ทั้งหญ้ารูปดาวที่ขึ้นแซมกับดอกไม้สีขาวทรงระฆังส่งเสียงดังล้อกับสัตว์ปีกชนิดหนึ่ง ลำตัวเหมือน... เหมือนมนุษย์ มีแขนขาและใบหน้าเหมือนมนุษย์ทุกประการขนาดนั้นเล็กเท่าแมลงชนิดหนึ่งสิ่งนั้นบินโดยใช้โบว์ที่ผูกอยู่กลางหลัง โบว์นั้นใหญ่เท่าตัวขยับเหมือนปีก

      “ที่นี่ที่ไหน?”หนุ่มแว่นรำพึงถามแต่กิเลนน้อยก็ตอบรับโดยการบินพุ่งลงมาสู่พื้นดินจนเมฆต้องร้องเสียงหลงอีกครั้ง เมื่อกีบเท้าสัมผัสผืนหญ้าเมฆก็ค่อยๆกระโดดลงจากกิเลน

      เขาเห็นเพียงผืนหญ้ารูปดาวโดยรอบและเห็นถ้ำทะมึนโค้งสูงหนาแต่เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นเนื้อแก้วตั้งอยู่ตรงหน้าเขานี่เอง

      “วัตถุดิบสำคัญน่ะอยู่ในนั้น” เสียงเล็กๆดั้งขึ้น เมฆเบิ่งตาอย่างแปลกใจเมื่อหันกลับไปไม่พบกิเลนอยู่ตรงนั้นแล้วแต่กลับเป็นเด็กผู้หญิงวัยประถมผิวสีดำดุจเดียวกับกิเลน ผมสีเขียวน้ำทะเลหยิกเล็กน้อยยาวสยายไร้การตกแต่ง สวมกระโปรงยาวระพื้นสีดำแวววาวเสมือนเกล็ด

      “เอ่อ...หนูคือ...”เมฆมองอย่างไม่แน่ใจ

      “เรียกน้ำนิลเหมือนที่รักเรียกเถอะ ก็แค่แปลงมาอยู่ในร่างมนุษย์เท่านั้น” เสียงเล็กนั้นมีความอวดดี ก่อนที่เท้าเปล่าเปลือยจะเดินนำเข้าไปในถ้ำที่มีทางเดินแคบพอสำหรับเดินเรียงแถวเท่านั้น “ที่นี่เรียกว่าเกาะทิวสายสี เป็นเกาะถิ่นอาศัยของสัตว์ในโลกวิญญาณ และถ้ำนี้คือถ้ำวิจิตรพรรณแก้ว เป็นถ้ำของม้าทับทิบ”

      “ม้าอยู่ในถ้ำเหรอ ผิดวิสัยม้านะ”นัยน์ตาใต้กรอบแว่นนั้นไม่เชื่อถือ

      “รักเคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าความจริงของโลกใบนี้กว้างใหญ่เกินกว่าทฤษฎีใดๆจะตอบได้หมด”

      “แล้วสัตว์พวกนี้เกิดมาจากอะไรเหรอครับ?” เมฆยังอดสงสัยไม่ได้

      “ก็เป็นสัตว์เหมือนในโลกพวกนายน่ะแหล่ะ แต่สัตว์จำพวกนี้จะเติบโตวิวัฆนาการจากสภาพแวดล้อมของโลกวิญญาณได้เท่านั้น เพราะฉะนั้นสัตว์เหล่านี้จึงมาอาศัยเกาะทิวสายสีอาศัยอยู่ไงล่ะ”

      แล้วพวกเขาก็มายืนอยู่หน้าทางแยกของถ้ำที่มีอยู่ถึงสามทาง น้ำนิลพาเดินไปยังทางซ้ายทันที

      “แล้วทางแยกอีกสองทางน่ะไปไหนเหรอ?”

      คำถามนั้นทำให้น้ำนิลหันมายิ้มเจ้าเล่ห์ “อยากรู้จริงๆน่ะเหรอ?” แล้วเธอก็เดินต่อไปโดยไม่บอก

      ทั้งๆที่เป็นถ้ำซ้ำยังเป็นกลางดึดสงัดแต่ภายในถ้ำกลับสว่างไสวราวกลับเดินอยู่กลางแดดโดยที่ไม่สัมผัสถึงความร้อน และทั้งสองก็เดินมาถึงจุดสิ้นทางเดินแคบมาสู่โพรงถ้ำกว้างขวาง

      มีไข่ขนาดมหึมาขนาดใหญ่กว่าคนทั่วไปถึงสามเท่าอยู่ตามพื้นและมุมต่างๆของถ้ำ ไข่เหล่านั้นเป็นสีแดงทับทิมและมีแท่งผลึกแก้วทรงกระบอกปลายสามเหลี่ยมแหลมล้อมกรอบไข่แต่ละใบราวกับปกป้องไว้

      “เก็บไข่พวกนี้ไปด้วย” น้ำนิลออกคำสั่ง

      “ไข่นี่เป็นวัตถุดิบในเมนูที่จะช่วยรินเหรอน้ำนิล” เมฆมีท่าทีสนใจขึ้นมา

      “เปล่า ไม่เลย แต่ไข่นี่เป็นเมนูขายดีในร้านรองจากไข่ปีศาจแมงมุมเชียวแหละ” กิเลนน้อยตอบหน้าตาเฉยทำเอาเมฆปวดขมับ

      “แต่ไข่ใบเท่ายักษ์อย่างนี้จะเก็บอย่างไงล่ะ กล่องเก็บวัตถุดิบก็เล็กนิดเดียว” เมฆบ่นอุบทำแก้มพองอย่างหงุดหงิดซึ่งเป็นท่าทีที่รักคงหัวเราะ

      “เห็นแก้วทรงกระบอกที่อยู่ตามไข่พวกนั้นไหมล่ะ มันจะคอยปกป้องไข่เหล่านั้น นายจะไปแตะไข่ไม่ได้ถ้ายังมีแก้วพวกนี้บดบัง เปิดกล่องเก็บวัตถุดิบนั่นออกมาจะมีอุปกรณ์ที่ไว้ทำลายแก้วพวกนี้อยู่ แก้วพวกนี้มีชีวิตนะระวังด้วย”

      หนุ่มแว่นไม่มีทางเลือกจำต้องเปิดกล่องเหล็กสีแดงออกมา แล้วแน่นอนว่าเขาต้องประหลาดใจ เป็นกล่องเหล็กที่มีถาดวางทับซ้อนอยู่หลายชั้นภายใน มีอุปกรณ์ครัวหน้าตาประหลาดวางเรียงอยู่บนถาด มีมีดทำครัวหลายขนาด มีช้อน ส้อม ซ้ำยังมีมีดปอกผลไม้ที่ไม่รู้เอามาทำไม มีที่คีบอาหารอยู่ด้ามหนึ่งมีลักษณะแปลกเพราะส่วนที่เป็นด้ามกลับเป็นโซ่ยาวออกมาทั้งสองด้านและโซ่ทั้งสองด้านนั้นก็ถูกผูกเป็นโซ่เส้นเดียวกัน  และยังมีอุปกรณ์มากมายนับไม่ถ้วนอยู่ข้างใน

      “จะให้ผมเอามีดมาตัดแก้วหรือไงครับ!” เจ้าตัวประชดประชัน

      “บื้อจริงไม่ใช่ซักหน่อย หยิบส้อมขึ้นมา และโยนมันลงพื้นถ้ำ” น้ำนิลยังคงออกคำสั่ง

      “ห๊ะ!” เป็นคำสั่งที่ดูตลกงี่เง่าแปลกๆแต่เมฆก็ยอมทำตาม

      แล้วซ้อมคันนั้นก็เริ่มขยับ มันขยายใหญ่ขึ้นมากเท่าตัวคน หน้าตาเริ่มเปลี่ยนไป ตัวด้ามกลายเป็นส่วนลำตัวของงู ปลายซี่ส้อมทั้งสามกลายเป็นหัวของสิงโตเป็นสามหัว รูปทรงเสมือนสามง่าม

      “จับด้ามหรือส่วนลำตัวของมันและกระแทกไปที่แก้วนั่นเลย!

      “หา! นี่พวกคุณจับสัตว์มาทารุณกรรมรึเปล่าเนี่ย!

      “เราแค่เอาอุปกรณ์ของมนุษย์มาดัดแปลงเพื่อง่ายต่อการพกพาเท่านั้น” น้ำนิลแย้ง “ทำๆไปเร็วเข้า”

       เมฆที่ไร้ทางเลือกจับหางเสมือนงูหือด้ามส้อมนั่นด้วยอาการกล้ำกลืน แต่มันกลับเบาหวิวอย่างเหลือเชื่อ เขาจำใจนำหัวสิงโตนั้นกระแทกเข้าไปที่แก้วพวกนั้น

      “เอาล่ะทีเดียวพอ ทีนี้ปล่อยพวกมันซะ พวกมันจะจัดการเอง”

                 และก็เป็นดังว่า หัวสิงโตกัดแก้วเหล่านั้นอย่างตะกละตะกรามขณะที่ส่วนลำตัวม้วนรัดแก้วดึงออกมาจากพื้น แก้วเหล่านั้นจึงพยายามขยายยืดตัวให้สูงขึ้น ถ้ำสั่นสะเทือนขึ้นมาทันที แก้วผลึกที่ล้อมรอบไข่ราวกับแม่งูหวงไข่นั่นขยายยืดออกทะลุถ้ำกลายเป็นกรงขังล้อมรอบไข่นั่นไว้ แต่หัวสิงโตทั้งสามก็กัดกินเร็วเสียจนไข่ใบหนึ่งไร้แก้วผลึกใดๆปกป้อง

      “มีไข่ใบนึงว่างแล้ว รีบหยิบถุงสีแดงในกล่องนั่นและโยนใส่ไข่ใบนั้นเร็ว”

      มีถุงผ้าสีแดงถุงเล็กปากถุงมีเชือกร้อยไว้รูดปิดใบนึงที่ก้นกล่อง เมฆรีบหยิบมันและโยนไปที่ไข่ตามคำสั่ง ปากถุงนั้นเรืองแสงสีแดงเข้มราวโลหิตออกมาดูดไข่ฟองยักษ์เข้าไปในทันทีก่อนที่ปากถุงจะถูกเชือกรูดปิดสนิทเอง

      “อืม ทีนี้ก็เสร็จแล้ว เก็บถุงซะแล้วไปกันได้แล้วล่ะ แค่ฟองเดียวก็พอ ไปดึงส้อมกลับมาด้วยนะ”

      เขาทำตามคำสั่ง เมื่อจับปลายหางของมันดึงออกมา สัตว์รูปร่างประหลาดนั่นก็กลายเป็นส้อมดังเดิม ก่อนจะเก็บทั้งสองลงกล่อง ถุงสีแดงใบเล็กที่ซ่อนไข่มหึมาไว้ทำเอาเมฆคิดว่าอุปกรณ์อื่นๆในกล่องจะพิศดารได้อีกขนาดไหนกัน

      น้ำนิลเดินนำอีกครั้งเด็กสาวกิเลนมองไข่พวกนั้นอย่างหมดความสนใจ ทางเดินแคบปรากฎขึ้นให้เห็นอีกครั้งที่ผนังถ้ำเมื่อเดินมาถึงสุดโพรงและทั้งสองก็ลอดเข้าไปยังทางเดินนั่นอีกครั้ง

      เสียงหยดน้ำไหลนั้นดังไปทั่วผนังถ้ำ พวกเขาสองคนเหยียบแอ่งน้ำที่พื้นไม่รู้กี่แอ่ง เมฆรู้สึกว่าเขาโดนหินงอกหินย้อยจากพนังถ้ำหลายครั้งจนศีรษะแทบปูดโปนทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ไม่มีเลย แต่ถึงแม้จะเข้ามาลึกแต่ถ้ำก็ยังส่องสว่างเช่นเดิม พลันสายตาก็ไปสะดุดกับบางสิ่ง

      ภาพสะท้อนภาพหนึ่งฉายชัดอยู่บนแอ่งน้ำใหญ่ที่ปลายเท้า ซึ่งไม่ใช่ภาพสะท้อนอย่างที่ควรเป็น เมฆก้มลงมองเพื่อให้เห็นอย่างชัดๆ ภาพนั้นคือม้าขาวยูนิคอร์น ขนของมันส่องแสงสีขาวประกายแม้เป็นเพียงภาพสะท้อน โครงหน้าของม้านั้นสวยงามรู้สึกราวกับว่ามองหญิงงามคนหนึ่งอยู่ เขาสีทองอร่ามส่องสว่าง ดวงตาเรียวโตดึงดูดให้ชายหนุ่มจ้องมอง

      ยูนิคอร์นที่ไหนกัน สวยจริงๆ

      เมฆเอื้อมปลายนิ้วไปสัมผัสภาพสะท้อนแสนพิศวงนั่น ทันใดนั้นร่างสูงผอมก็ถูกดูดเข้าไปยังแอ่งน้ำ เหลือเพียงกล่องเหล็กสีแดงที่ร่วงหล่นจากมือตกอยู่พื้นถ้ำ น้ำนิลจึงหันกลับไปมองและก็ต้องเบิ่งตาเมื่อร่างของผู้ตามหายไป

      “เมฆ!” กิเลนน้อยร้อง “โอ๊ย ซื่อบื้อจริงๆสินะ!

       

      “หืม โดนจับไปจนได้ น้ำนิลหงุดหงิดใหญ่เลย” เสียงรำพึงนั้นดังออกมาจากริมฝีปากแดงของรัก นัยน์ตาสีรัตติกาลนั้นจดจ้องเหตุการณ์ของพนักงานคนใหม่ผ่านกระจกในห้องนอน กระจกที่สะท้อนทุกสิ่งที่หญิงสาวต้องการ เธอเรียกมันว่า กระจกเผยมายา

                      ร่างสูงสง่าของหญิงสาวยืนมองด้วยสีหน้านิ่งสงบ

                      “จะดีเหรอให้มนุษย์มาทำงานนี้น่ะ”ร่างโปร่งใสสะท้อนแสงสีแดงลอยออกมาจากกรอบกระจก ร่างนั้นบินอยู่รอบๆกระจก ร่างของหญิงสาวผมยาวตรงสยายเลยออกมาคลอบคลุมเนื้อกระจกเงาบางเบา หญิงสาวผู้นี้มีโครงหน้าได้รูป ดวงหน้าสวยหมดจด

                      “เมฆไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาเสียหน่อย เธอก็รู้ดียิ่งกว่าใครนี่โมรา”

                      “เพราะอย่างนั้นฉันถึงได้ห่วง ให้เด็กคนสำคัญมาทำงานแบบนี้ทางโน้นเขาจะไม่ว่าเอารึไง”

                      รักยังคงแย้มยิ้มเป็นปริศนา แววตายังคงจดจ้องเหตุการณ์ “การเติบโตมาพร้อมประสบการณ์ไม่ใช่รึโมรา”

                      ความรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออกกำลังเริ่มรุมเร้าเข้ามาพร้อมกับความรู้สึกหนาวเหน็บสุดขั้วหัวใจ ร่างนั้นจมดิ่งลงสู่น้ำลึก ภาพที่เห็นนอกจากตะไคร่น้ำสีเหลืองอ่อนที่ส่องประกายเด่นออกมาแล้วนั้น คือสิ่งมีชีวิตที่รัดคอของเขาอยู่ มันคือม้าสีแดงทับทิม ตัวของมันส่องประกายสีแดง มีความชั่วร้ายแผ่ออกมา นัยน์ตาก็เป็นสีดุจเดียวกัน กีบม้าของมันกลับกลายเป็นครีบ ที่คอของมันมีสร้อยสีแดงทับทิมส่องประกายแวววาวออกมา หางของมันยาวออกมาเป็นสองเท่าของลำตัวตรงหางม้าเป็นครีบปลา และหางนั่นกำลังรัดคอเมฆอยู่

                      “สิ่งมีชีวิตแสนประหลาดที่มีวิญญาณแสนโอชะเดินมาเป็นอาหารให้กับข้า” ม้าทับทิมร้องอย่างพออกพอใจ

      หะ หายใจไม่ออก

                      ร่างสูงผอมนั่นตะเกียกตะกายพยายามแก้มัดหางของเจ้าสัตว์เดรัจฉานที่มาปลอมเป็นยูนิคอร์นและหลอกให้เมฆกลายมาเป็นอาหาร

                      “ไม่มีประโยชน์ เจ้าทำอะไรไม่ได้หรอก จงตายเสียและให้ข้าได้ดื่มเลือดแสนหวานและกินวิญญาณแสนโอชะนั่น”

                      ตูม!

                      วัตุบางอย่างพุ่งลงมาในน้ำเร็วดุจธนูมันพุ่งตรงมาที่ม้าทับทิม เจ้าม้าจำต้องปล่อยเมฆและว่ายหลบอย่างเฉียดฉิว เมฆที่ได้หายใจอีกครั้งก็ไอโขลกขลากในน้ำและสูดออกซิเจนเข้าไปในปอด แล้วเขาก็ต้องเบิ่งตา

      เขาหายใจในน้ำได้ ทำไม?

      ในขณะที่งุนงงก็มีวัตถุอีกชิ้นพุ่งมารัดข้อมือของเมฆดึงเขาออกมาจากน้ำลึก แล้วร่างที่เปียกโชกนั่นก็พุ่งทะยานออกจากผิวน้ำ ร่วงลงมากระแทกลงสู่พื้นถ้ำอีกครั้ง แล้วชายหนุ่มก็ได้พิจารณาทัศนียภาพที่แตกต่างไปจากเดิม

                      พวกเขายังคงอยู่ในถ้ำวิจิตรพรรณแก้ว แต่ไม่ใช่ทางเดินแคบยาว แต่เป็นส่วนของแอ่งน้ำกว้างใหญ่ราวกับทะเลสาปขนาดพอดี รอบๆมีผลึกแก้วขึ้นอยู่ทั่วไปในถ้ำ มันยังคงส่องประกายล้อกับแอ่งน้ำอย่างดงาม แต่สัตว์เจ้าของแอ่งนั้นไม่ได้งดงามเลย

                      วัตถุที่ช่วยเมฆขึ้นมานั้น ที่ข้อมือของเขาถูกรัดอย่างน่าขันด้วยที่คีบอาหารหัวคีบทั้งสองด้านเปิดอ้าออกราวกับสัตว์อ้าปากงับข้อมือของเมฆไว้ ส่วนของโซ่นั้นผู้ที่ควบคุมมันอยู่ก็คือน้ำนิล เมฆเงยหน้าไปมองกิเลนน้อยที่ยังคงมีสีหน้าเฉยชา แล้วเจ้าอาวุธอย่างที่คีบอาหารนั่นก็ปล่อยข้อมือของเมฆ หล่นลงสู่พื้น

                      “เจ้าที่คีบอาหารนี่เอาไว้ใช้แทนเชือกเหรอครับ?”

                      “ใช่และใช้ดีกว่า อะไรก็ตามที่มันงับได้น่ะไม่มีทางหลุดออกเด็ดขาดถ้าไม่ได้สั่ง” น้ำนิลหันมาจ้องเนื้อตัวที่เปียกโชกของเมฆด้วยแววตาระอาใจ “เจ้าบื้อ เกือบตายแล้วนะนายน่ะ!

                      “ม้าทับทิมน่ะจะหลอกล่อเหยื่อด้วยการปลอมเป็นยูนิคอร์นแสนสวย อาจสะท้อนบนแอ่งน้ำเล็กๆของตน หรือสะท้อนลงแอ่งน้ำใหญ่ สร้อยทับทิมของมันนั่นแหล่ะที่เป็นตัวสร้างภาพมายา ขอบอกก่อนว่านายต้องฆ่ามัน เพราะดวงตาและหัวใจของมันคือส่วนผสมหลักในเมนูที่จะช่วยแฟนของนายน่ะเมฆ”

                      “หา! ดวงหน้าเรียวนั้นอ้าปากค้างพลางขยับแว่นตาให้เข้าที่ซึ่งรอดออกมาจากน้ำได้อย่างน่าเหลือเชื่อ

                      “เมื่อกี้ฉันโยนมีดครัวใส่มันถึงสองเล่มเพื่อช่วยชีวิตนาย มีดนั่นก็ทำหน้าที่เหมือนเซ็นเซอร์ติดตามนั่นแหล่ะมันจะติดตามเหยื่อจนกว่าจะตาย ตอนนี้มันก็คงกำลังหนีมีดอยู่ แต่แค่มีดสองเล่มคงได้แค่ยื้อเวลาเท่านั้น”

                      สิ้นคำมีดทำครัวดังว่าก็กระเด็นออกมาจากผืนน้ำปักลงสู่พื้นถ้ำและอาจปักเข้าเท้าของกิเลนน้อยถ้าไม่ใช่กระโดดหลบได้ทันท่วงที แล้วมีดนั่นก็ละลายลงสู่พื้น

                      “อาวุธของมันอีกอย่างนอกจากหางยาวๆนั่น คือกรดพิษที่พ่นออกมาจากปาก เมื่ออยู่บนพื้นก็ไม่มีทางจะจับมันได้หรอก แถมอยู่บนนี้มันอาจสร้างภาพมายาบ้าบอบนผิวน้ำอีก และฉันเองก็เป็นกิเลนปีกไม่ชอบการสู้รบในน้ำนัก”

                      “ผมหายใจในน้ำได้ครับน้ำนิล เมื่อกี้ผมหายใจได้” ชายหนุ่มยืนขึ้น แม้ทั้งตัวจะเปียกปอนราวลูกหมาตกน้ำ อีกทั้งยังเหนื่อยล้าแต่แววตาแน่วแน่ “ผมจะลงไปฆ...จัดการเอง”สีหน้าเศร้าหมองเล็กน้อยเขาไม่ใช่พรานป่า ไม่เคยฆ่าสัตว์

                      “ดี” น้ำนิลหรี่ตา ไม่แปลกใจในความสามารถนั้น “ใช้นี่ซะ จัดการมัน!

                      เมฆรับวัตถุชิ้นหนึ่งที่เด็กสาวโยนมาให้ เป็นอลูมิเนียมทรงกระบอกเหมาะมือด้านหัวสามารถกดลงไปได้เหมือนสวิตซ์ระเบิด เป็นอุปกรณ์ครัวที่ทุกคนรู้จักดี “ที่บดพริกไทยไม่ใช่เหรอครับ คุณเอามาให้ผมทำไมเนี่ย! ไม่ตลกนะครับ!”เจ้าตัวแยกเขี้ยวโวยวาย

                      แต่ก่อนที่น้ำนิลจะได้ตอบเธอรีบจับแขนอีกฝ่ายลากถอยหลังห่างจากแอ่งน้ำออกมาเมื่อเจ้าม้าทับทิมพ่นกรดสีแดงเหนียวข้นน่าขยะแหยงจากใต้น้ำ เมฆเห็นหินที่งอกออกมาจากเพดานถ้ำละลายไปทันใดที่โดน เขากลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่ด้วยความกลัว

                      “แน่ใจนะว่านายจะลงไป” ดวงหน้าผิวดำนั้นเคร่งเครียดเล็กน้อย

                      ภาพที่รินนอนหมดสติอยู่โรงพยาบาลนั้นมาพร้อมกับความรู้สึกมั่นใจบางอย่างว่าเขาต้องทำได้

                      “ครับ ผมจะไป” เขาเผลอกำที่บดพริกไทยแน่น เมื่อมองมันก็รู้สึกว่าตนเองน่าขบขันชอบกล

                      น้ำนิลเผยยิ้มเป็นครั้งแรกก่อนผลักร่างผอมนั่นลงสู่แอ่งน้ำลึกที่ราวกับเป็นที่ประหารชายหนุ่ม

      เมื่อร่างกลับลงสู่ผืนน้ำอีกครั้งเจ้าตัวก็รีบแหวกว่ายหลบไปยังหลังกลุ่มตะไคร่น้ำสูงเพื่อบดบังกายและกวาดสายตาหาเจ้าม้าแสนร้ายกาจนั่น แต่นอกจากตะไคร่น้ำแล้วก็ไม่เห็นสิ่งมีชีวิตใดอีกอย่างน่าประหลาด

                      วืด!

                      เสียงวัตถุบางอย่างแหวกน้ำพุ่งตรงมาหาเมฆ เขากระโดดหลบอย่างฉิวเฉียด หางม้าที่ยาวผิดปกตินั่นเอง เจ้าม้าทับทิมมาเผชิญหน้ากับเขาอีกครั้ง

                      “ดีมากลงมาเป็นอาหารของข้าโดยเฉพาะ” มันเปิดปากส่งเสียงหัวเราะดังกึกก้อง เป็นภาพที่พิลึกพิลั่นดีแท้ เมฆกำที่บดพริกไทยอย่างรู้สึกอนาถในชีวิต

                      แล้วเจ้ามาทับทิมก็ใช้จังหวะนั้นพ่นกรดออกมาใส่มนุษย์ที่กล้ามาเหิมเกริมตรงหน้า

                      “เหวอ! เมฆร้องแล้วเผลอสวิชต์ตรงหัวที่บดพริกไทยทันที

      อะไรก็ได้ช่วยออกมาปกป้องทีเถอะ

                      เจ้าที่บดทรงกระบอกนั้นหมุนคว้างอยู่ในมือของเมฆก่อนจะกลายเป็นโล่เหล็กแสนหนักแต่กลับเบาหวิวสำหรับคนถือป้องกันกรดนั่นอย่างทันท่วงที ทำเอาเจ้าสัตว์ร้ายโมโหว่ายเข้ามาหาเมฆอย่างแค้นเคือง

                      “อย่าเข้ามานะ! ว่าแล้วก็ฟาดโล่ในมือใส่หน้าเจ้าม้าทับทิมเต็มรัก แต่เมื่อพิจารณาโล่ให้ชัดๆก็พบว่ามันกลายเป็นค้อนที่ทุบใส่สัตว์ร้ายตรงหน้า

      หรือว่ามันเป็นอุกรณ์ที่จะเปลี่ยนไปตามใจของผู้ถือ

                      “ใช่ แต่มันก็มีขีดจำกัดเปลี่ยนได้เพียงห้าแบบเท่านั้น และเปลี่ยนเป็นอาวุธในการต่อสู้เท่านั้นด้วย” เสียงของน้ำนิลดังลอดเข้ามายังใต้น้ำอย่างน่าอัศจรรย์

                      ชั่วขณะที่เผลอฟังเจ้าม้าก็ยกขาหน้าถีบเมฆกระเด็นออกไปจนสุดแอ่ง หลังของเขากระแทกกับกำแพงถ้ำทันที

                      “โอ๊ย! ชายหนุ่มโอดครวญซึ่งโชคดีที่กระดูกไม่หัก แต่ในความโชคดีก็มีโชคร้ายเมื่อเจ้าที่บดเพื่อนยากนั่นตกลงสู่พื้นตอนที่กระเด็นออกมา

      ตกอยู่ตรงไหนนั้น ยากที่จะรู้

                      ไม่มีเวลาคิดและเวลาหาเมื่อสัตว์ร้ายพุ่งเข้ามาหาตนพร้อมกรดพิษในชั่วพริบตา เมฆว่ายหลบอย่างฉิวเฉียด เท้าขูดไปกับพื้นถ้ำจนแทบเสียหลักล้ม

      ถ้าปิดปากนั่นได้ล่ะก็

                      เขาคิดอย่างร้อนรนและเมื่อพิจารณาตะไคร่น้ำก็เกิดความคิดจะใช้ประโยชน์ จึงรีบว่ายไปหลบหลังตะไคร่อีกครั้งอย่างรวดเร็ว และดึงต้นที่ยาวที่สุดออกมา

                      “หลบไม่มิดหรอกเจ้ามนุษย์หน้าโง่ มาให้ข้ากินน่ะถูกแล้ว” มันคำรามบอกอย่างย่ามใจ อ้าปากที่เต็มไปด้วยฟันสีขาวแหลมคมดุจใบมีดเล็งไปที่ลำคอชาวผ่องของชายหนุ่ม และคราวนี้เมฆไม่ได้หลบ เขากระโดดขึ้นสูงโดยใช้น้ำเป็นตัวช่วยเพิ่งแรงดัน ใช้เท้าเหยีบลงบนใบหน้าของม้าทับทิมและขึ้นคร่อมตัวมันในทันที

                      “เจ้ามนุษย์ เจ้าบังอา...” ไม่ทันขาดคำเมฆก็ใช้ตะใคร่น้ำที่ตนดึงมามัดปากเจ้าม้าที่จำต้องเงียบลงในทันที

                      “ใครจะยอมให้แกกินกันไอ้ม้าบ้าเลือด ทีนี้แกก็ใช้ไอ้กรดสยองนั่นไม่ได้แล้ว” น้ำเสียงฮึกเฮิมขึ้นในทันใด พร้อมใช้ตะไคร่ที่ไม่ใช่แค่ที่ปิดปากแต่พยายามใช้เพื่อควบคุมเจ้าสัตว์ร้ายนี้ด้วย

                      เจ้าม้าทับทิมดิ้นพล่าน มันกระโดดสูงโผล่พ้นน้ำและพุ่งลงมาอย่างรวดเร็วเพื่อที่สลัดมนุษย์ออก น้ำนิลเห็นภาพนั้นก่อนเผยยิ้มอีกครั้ง “ไม่เลวนี่” กิเลนน้อยพึมพำ แต่เธอก็ขมวดคิ้วขึ้นมา “อย่าลืมหางมันนะเมฆ”

                      เสียงตะโกนบอกนั้นทำให้เมฆรู้สึกตัวว่าลืมอะไรไปบางอย่าง และก็เป็นดังที่ถูกเตือนหางที่ยาวเกินช่วงตัวของเจ้าม้านั้นม้วนตัวพุ่งมาที่เขาในทันที เมฆจำต้องกระโดดอีกครั้งก่อนจะคว้าปลายหางของมันราวคว้าปลายเชือกยึดไว้

                      แต่เจ้าของหางใช่ว่าจะยินดีมันสะบัดหางหมุนควงไปมาเพื่อสลัดเจ้ากาฝากมนุษย์ที่มันปรามาสไว้ ร่างของเมฆหมุนคว้างลอยไปตามหางนั่นแต่เขาก็ไม่ยอมปล่อยเพราะไม่อย่างนั้นเจ้าม้าทับทิมจะเล่นงานเขาง่ายขึ้น ดวงตาใต้แว่นพยายามสอดส่ายหาที่บดพริกไทยที่หายไปอยู่

                      และดวงตาคู่นั้นก็หาพบ มันหล่นอยู่ในหมู่ตะไคร่น้ำที่ส่องแสงสว่างไม่ไกลจากเขานัก

      เห็นแล้ว!

                      เมฆแย้มยิ้มราวกับถูกรางวัลที่หนึ่ง เขามองหางของม้าทับทิมสลับกับที่บดพริกไทยก่อนจะรอเวลา เมื่อหางนั้นได้สะบัดเพื่อสลัดเจ้าหนุ่มออกในจังหวะที่ใกล้กับตะไคร่ที่บดบังเจ้าอาวุธสำคัญไว้ เมฆก็ปล่อยมืออกจากหางนั่นร่างนั้นดิ่งลงไปที่จุดหมายตามแรงเหวี่ยงเขาคว้าที่บดพริกไทยมาได้ทันที

                      แต่ศัตรูก็เร็วพอกัน เมื่อเมฆออกไปจากตัวมัน เจ้าม้าก็สะบัดตะไคร่หลุดในทันทีพร้อมพ่นกรดพิษใส่อีกครั้ง เมฆใช้โล่รับกรดขณะพุ่งตัวไปหาเจ้าม้าทับทิมเช่นกัน

      ขออะไรที่คมๆทีเถอะ

                      ทันไดนั้นจากโล่ก็กลายเป็นกรรไกรยักษ์ พอดีกับที่เจ้าสัตว์เดรัจฉานอ้าปากพุ่งตัวเข้ามาเมฆก็ก้มตัวหลบโดยที่ปลายเส้นผมถูกฟันนั่นเฉือนออกไปเฉียดใบหน้าของเขาไปหวุดหวิด และใช้กรรไกรนั่นบั่นคอสัตว์ศัตรูซะขาดสะบั้น หัวม้าลอยหลุดออกจากร่างตายในทันที

                      กิเลนน้อยที่มีสายตาเฉียบคมกว่ามนุษย์หลายพันเท่ามองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดกลับหรี่ตาพิจารณาหนุ่มแว่นที่มีความแข็งแกร่งผิดมนุษย์

      เลือดที่เข้มข้นไหลเวียนอยู่ในร่างนี่นะ

                      น้ำนิลถอนหายใจก่อนจะโยนถุงสีแดงลงไปในน้ำ “เก็บวัตถุดิบชิ้นนี้เข้าไปในถุง แล้วขึ้นมาได้แล้วเมฆ”

                      ในที่สุดร่างสูงผอมนั้นก็ว่ายขึ้นมาจากน้ำพร้อมถุงสีแดงด้วยอาการเหน็ดเหนื่อยหมดแรงเป็นพัลวัน ราวกับออกกำลังกายมาหลายชั่วโมงทั้งๆที่รบประมือกับเจ้าม้าทับทิมเพียงชั่วโมงเดียวเท่านั้น

                      “เอาล่ะ ดีมาก กลับกันได้แล้ว” น้ำนิลว่าอย่างเรียบเฉย เดินนำชายหนุ่มออกไปจากถ้ำพลางเตือนว่า “อย่าจ้องแอ่งน้ำอีกล่ะ” คำเตือนนั่นทำเอาเมฆนึกสยองภาพม้ายูนิคอร์นขึ้นมาทันที

                      เท้าเปล่าเปลือยของเจ้าม้านิลมังกรสัมผัสผืนหญ้าทรงดาวอีกครั้ง เด็กสาวมองท้องฟ้ารัตติกาลที่ใกล้ย่ำรุ่งก่อนขมวดคิ้ว “จะตีสี่แล้ว ต้องกลับแล้ว ตีสี่ฟ้าเปิดไม่ใช่ผลดีแน่”

                      แต่เมฆยังคงมองถ้ำวิจิตรพรรณแก้วอย่างกังขาบางอย่าง “ตกลงทางแยกในถ้ำอีกสองเส้นนั่นไปไหนเหรอครับ?”

                      “ถามได้” ดวงหน้าสีดำหันมาตอบ “ก็ม้าทับทิมตัวอื่นๆน่ะสิ เจ้าสัตว์ประเภทนี้ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง อีกสองทางนั่น ทางหนึ่งเป็นฝูงของลูกหลาน อีกทางเป็นที่อยู่ของราชาและราชินีม้าทับทิมที่อยู่เป็นคู่”

                      “อ้าว แล้วม้าทับทิมที่ผมจัดการไปล่ะ” ดวงตาหลังแว่นมีคำถาม

                      “ถ้ำสายนั้นความจริงคือถ้ำที่ไว้ดูแลรังไข่ แต่ตัวที่อยู่ลึกไปกว่านั้นคือตัวที่อ่อนแอที่สุดจึงโดนแยกออกจากฝูงมาอยู่คนเดียว ก็เรียกได้ว่าข้าให้เจ้าไปฆ่าตัวที่อ่อนแอที่สุดน่ะเหละ”

                      คำเฉลยนั้นทำเอาเมฆที่อ่อนเปลี้ยไร้เรี่ยวแรงอยู่แล้วยิ่งหมดแรงจนแทบล้มทั้งยืน

      เจ้าตัวนั้นน่ะนะ อ่อนแอที่สุด!

                      ดวงหน้าขาวยิ่งซีดเซียวจนวิญญาณแทบหลุดจากร่าง

                      “อุตสาห์ให้ไปจัดการตัวง่ายๆยังเสียเวลาไปตั้งนาน” ยังไม่วายบ่นอุบ “เอ้า ขึ้นมาได้แล้ว” ว่าแล้วก็กลายร่างเป็นม้านิลมังกรอีกครั้งพร้อมปีกที่แผ่สยายรอโผบินบนฟ้า และเมฆก็จำต้องขึ้นพาหนะนี้ไป

                      ลมหนาวพัดมากระแทกให้ใบหน้าชาได้เป็นอย่างดี เมฆก้มลงมองทัศนียภาพอีกครั้งเพื่อหวังมองความสวยงามแต่เมื่อแสงของท้องฟ้าเริ่มส่องเข้ามา ภาพผืนป่าอันงดงามก็เปลี่ยนไป ทิวเขาหลากสีกลายเป็นทิวเขาโล้นโล่งเตียน สายน้ำสีทองแปรเปลี่ยนเป็นริมธารใสธรรมดา ผืนหญ้าดวงดาวกลายเป็นหญ้าที่เห็นทั่วไป สัตว์ทีมองเห็นก็ไม่มีอยู่

      “ทะ ทำไมถึง” เขาเบิ่งตาอย่างประหลาดใจ

      “ภาพยามกลางวันของป่าที่มนุษย์มองเห็นไงล่ะ ก็คือป่าดงดิบธรรมดาเนี่ยแหละ” กิเลนน้อยตอบขณะรีบบินให้เร็วขึ้น “ก่อนที่รัตติกาลทั้งหมดจะหายไปต้องรีบกลับไปที่ร้าน” น้ำเสียงนั้นร้อนรน

      แต่แน่นอนว่าเมฆยังไม่เข้าใจความหมายนั้น และเปลือกตาที่หนักอึ้งก็พาเขาหลับไปบนหลังเจ้ากิเลนโดยที่กอดกล่องเหล็กไว้กับตัว

       

                      ภาพนั้นเป็นภาพอดีตของตนเอง หรือของผู้อื่นกันนะ ภาพที่เขาถูกแขนแข็งแรงนั้นโอบกอดอยู่ใต้ผ้าห่ม ร่างของเขาที่เล็กและเปราะบางถูกอุ้มอยู่ ทั้งๆที่สัมผัสกลับชัดเจนอบอุ่บถึงขนาดนี้แต่ดวงหน้านั้นกลับจำไม่ได้ถนัดชัดนัก มีแสงส่องสว่างกลบเสียจนมองไม่เห็น เขาหัวเราะร่าเสียงของทารกดังราวกับระฆังเมื่ออีกฝ่ายยิ้มและก้มลงหอมพวงแก้มแดงนั่น

                      “พะ พ่อ” เสียงนั้นรำพึงดังจนผู้พูดนั้นรู้สึกตัวตื่น แพขนตาหนานั้นค่อยๆเปิดออกอย่างช้าๆ พร้อมกับกลิ่นเทียนหอมที่ลอยเข้ามาแตะจมูก

                      “ตื่นแล้วเหรอเมฆ” เสียงนุ่มและแหบอย่างน่าพิศวงนั้นเป็นเสียงเฉพาะของหญิงผู้นี้ สติของเมฆจึงค่อยๆกลับมาอย่างช้าๆ และก็ได้รู้ตัวว่าตนเองมองดวงหน้านั้นห่างไม่ถึงคืบจนจมูกแทบชนกัน

                      “ว๊าก! เจ้าตัวร้องเสียงหลงดวงหน้ามีเลือดสูบฉีดขึ้นฉับพลัน ร่างผอมบางนั่นถอยร่นออกจากรักที่นอนอยู่บนเตียงเดียวกันแถมชิดกันจนแทบแยกลมหายใจไม่ออก แต่ก็ตื่นเต้นมากไปจนไม่ทันระวังเผลอถอยจนล้มกลิ้งลงไปกองกับพื้นเสียงดังสนั่นห้อง

                      ทำเอารักที่นอนอยู่ข้างๆหัวเราะแทบท้องหงาย “สนุกสนานตั้งแต่เช้านี่สมเป็นเมฆจริงๆนะ”

                      “ผมมีรินอยู่แล้วนะ ไม่ตลกนะครับรัก คุณมานอนบนเตียงผมได้ยังไง” เจ้าตัวชี้นิ้วถามแถมยังตรวจสภาพตนเองว่ามีเสื้อและกางเกงครบไหมอยากหวาดกลัว และพบว่าตนเองใส่ชุดนอนขายาวแขนยาวสีแดงซึ่งเป็นคนละชุดกับที่ใส่เมื่อคืนก็ตกใจเล็กน้อย ท่าทีสงวนตัวนั้นยิ่งทำให้รักหัวเราะอย่างถูกใจ

                      “มีรินอยู่แล้ว” รักทวนอย่างขบขัน “นายถามสาวน้อยคนนั้นแล้วรึ?”คำพูดนั้นทำเอาเมฆเถียงไม่ออก

                      “มากล่าวหากันแบบนี้ไม่ได้นะพ่อหนุ่ม ห้องนี้มันห้องใครกันแน่” รักยังคงยิ้ม และคำพูดนั้นก็ทำให้เมฆหันไปมองรอบห้อง และห้องกลมแต่งด้วยสีแดงฉูดฉาดพร้อมกับกระจกลอยได้นั้นไม่ใช่ของใครอื่นแน่นอนนอกจากรัก

                      “ผะ ผม ทำไม” เครื่องหมายคำถามเริ่มบินลอยวนอย่างงงัน

                      “นายสลบไปตอนที่ขี่น้ำนิลกลับมาที่ร้าน จำไม่ได้เหรอเมื่อคืนนายก็รู้สึกตัวตอนที่นพพาไปอาบน้ำ นายเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วก็เป็นคนขึ้นมานอนบนเตียงของฉันเองนะ”

                      ณ ทันใดนั้นภาพของตนที่โดนราดน้ำอุ่นที่แทบร้อนและรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเข้ามานอนในห้องนี้ก็ลอยเข้ามา

      เออใช่...

                      “ฉันก็ไม่อยากปลุกนายเห็นเหนื่อยกับการทำงานวันแรกขนาดนั้น แต่ห้องนี้ก็ห้องฉันเตียงฉัน ฉันก็มีสิทธิ์นอนจริงไหม” เจ้าของห้องแย้มยิ้มชัยชนะเมื่ออีกฝ่ายไม่มีข้อโต้แย้ง

                      หญิงสาวเสยผมสีแดงฉูดฉาดก่อนลุกออกจากเตียงหยิบแว่นตาที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงออกมาเดินไปให้ชายหนุ่มพร้อมกับคำถาม “สายตานายน่ะปกติดีใช่มั้ยล่ะเมฆ ไม่สิต้องบอกว่าสายตาดีเกินกว่าคนทั่วไปด้วยซ้ำ” แววตาสนุกสนานนั้นแปรเปลี่ยนเป็นคมกริบเมื่อพูด

                      เมฆหยิบแว่นตามาใส่ก่อนตอบ “ครับใช่ แต่แม่ผมให้ใส่ไว้ตลอดเวลาและผมก็ชินแล้ว จริงสิผมยังไม่ได้โทร...”

      “ฉันใช้มือถือนายโทรบอกคุณแม่ให้แล้วล่ะนะว่าจะค้างที่ร้านอาหาร ไม่ต้องห่วงหรอกแม่นายก็เข้าใจดีนี่” ประโยคนั้นทำให้เขาโล่งอกก่อนจะหันกลับมามองรักอีกครั้งชุดนอนสีแดงแนบเนื้อที่ใส่จนเห็นสัดส่วนชัดเจนนั่นทำเอาดวงหน้ายิ่งแดงระเรื่อจนต้องเบือนหน้าออก แต่แล้วเมฆก็คิดถึงบางอย่างที่สำคัญมากขึ้นมา

                      “เมื่อวานผมนำวัตถุดิบมาแล้ว ถ้าอย่างนั้นเมนูที่จะช่วยริน...” เมฆหันกลับมาทันที

                      “ยังทำไม่ได้หรอก” รักตอบอย่างชัดเจน “ดวงตาและหัวใจของม้าทับทิมเป็นเพียงวัตถุดิบหลัก แต่นายยังไม่ได้หาส่วนผสมอื่นๆมาด้วยเลยนะ เพราะฉะนั้นเมนูนี้ยังทำไม่ได้จนกว่านายจะนำส่วนผสมมาครบนะเมฆ”

                      “หะ หา” ชายหนุ่มอ้าปากค้างด้วยความคิดไม่ถึง เขาไม่เคยทำอาหารมาก่อนจึงไม่ได้รู้เรื่องอาหารมากนัก

                      “ไม่ต้องมา “หา” เดี๋ยวเที่ยงคืนคืนนี้นายกับน้ำนิลก็ไปหาส่วนผสมอื่นมาให้ครบละกัน”

      เขาต้องไปสู้กับสัตว์ประหลาดอีกแล้วเหรอ!

                      “อ่า ครับ” ชายหนุ่มคอตกรับคำอย่างเลี่ยงไม่ได้ ก่อนจะเบิ่งตาและหันมองไปโดยรอบมองหาอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่มี “กะ กี่โมงแล้วครับ?” เขาหานาฬิกานั่นเอง

                      “หืม” รักเอียงคอคิด “อ๋อ สิบเอ็ดโมงครึ่งน่ะ”

                      “อ๋อ สิบเอ็ดโมงครึ่ง” เจ้าตัวพยักหน้า

      เดี๋ยวนะ สิบเอ็ดโมงครึ่ง!

      เขาต้องไปมหาลัยนี่!

                      “ว๊าก! หนุ่มแว่นโวยลั่นรีบเปิดประตูวิ่งลงบันไดบึ่งออกไปยังหน้าประตูร้านแต่...ร่างของใครบางคนยืนขวางหน้าประตูอยู่ นพยืนเด่นอยู่ตรงนั้นพลางส่ายหน้าห้ามปราม ชายหนุ่มไม่ได้อยู่ในเครื่องแบบร้านแล้วแต่เป็นเสื้อยืดคอกลมสีขาวกับกางเกงขาสั้นสีน้ำเงินที่ดูสบายตาแทน

                      “ใจเย็นสิเมฆ จะไปมหาลัยทั้งๆที่ใส่ชุดนี้น่ะเหรอ?”

                      ประโยคนั้นทำให้เมฆนึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังอยู่ในชุดนอน “อะเอ่อ ชุดเมื่อวาน คือ?”

                      “อยู่ในห้องของนพกับภพน่ะ นั่งรอที่โต๊ะนะเดี๋ยวนพไปเอามาให้” ว่าแล้วก็เดินหายไปทางบันไดหลัง รวดเร็วจนมองไม่ทันทีเดียว และชายหนุ่มผู้เคร่งเครียดกับการเรียนก็จำต้องเลือกนั่งลงเก้าอี้ตัวใดตัวหนึ่ง และก็รู้สึกตัวว่าในร้านไม่มีลูกค้าเลยแม้แต่คนเดียว

                      “เอ๊ะ ร้านปิดหรอกเหรอ?”

                      “ใช่” เสียงตรงหน้าดังขึ้น ในพริบตารักก็นั่งอยู่ตรงข้ามพร้อมกับจิบชาบัวหลงควันอย่างสบายอารมณ์ “ร้านเปิดเที่ยงคืนถึงตีสี่เท่านั้นแหละ นั่นคือเวลาที่วิญญาณจะออกมาชุมนุมมากที่สุด เวลาที่มีแสงสว่างคือเวลานอนของวิญญาณน่ะนะ”

                      “งั้นผมก็มากวนเวลานอนของพวกคุณน่ะสิ” ชายหนุ่มถามอย่างรู้สึกผิด

                      “เปล่าๆ ปีศาจน่ะผักผ่อนเพียงชั่วโมงเดียวก็พอ” เสียงของนพดังขึ้นด้านหลังเมฆเขามายืนตรงนี้เมื่อไหร่ไม่รู้ มือจับไม่แขวนเสื้อที่มีเสื้อและกางเกงนักศึกษาของเมฆแขวนอยู่

                      “ยินดีที่ได้รู้จักนะเรายังไม่ได้แนะนำตัวกันเลย ฉันชื่อนพ” ดวงหน้าหล่อเหลานั้นเผยยิ้มเป็นมิตร “และนี่น้องชายฝาแฝดของฉันชื่อภพ” ภพมายืนอีกด้านของเมฆในพริบตาและนั่งลงบนเก้าอี้ใกล้กัน เขาสวมเสื้อเชิ๊ตคอปกสีดำ กางเกงยีนส์ขายาวสีน้ำเงินเข้ม “พวกเราเป็นปีศาจสงคราม ทำงานเป็นบริกรให้นายหญิงในร้านนี้”

                      “ปีศาจสงคราม?” เมฆอดทวนเสียไม่ได้

                      “ใช่” นพส่งเสื้อผ้าให้เมฆก่อนนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเมฆตรงข้ามกับภพ ซึ่งเมฆนำมาแขวนไว้ตรงพนักเก้าอี้ “เป็นปีศาจที่เกิดจากดวงวิญญาณที่เจ็บแค้นจากสงครามหลายล้านดวงจนเกิดมาเป็นนพกับภพน่ะ” เขาอธิบายด้วยดวงหน้าที่มีระบายรอยยิ้ม

                      “ถะ ถ้างั้น แล้วคุณล่ะครับรักเป็นปีศาจอะไร” ดวงหน้าเรียวเกิดความสงสัยหันมาถาม

                      บนโต๊ะอาหารเกิดความเงียบและลมหนาวพัดกรูมาวูบหนึ่ง แววตาคมกล้าของรักสะท้อนเรื่องราวบางอย่างที่ทั้งเศร้าและปวดร้าว มันดูน่ากลัวในความรู้สึกของเมฆ

                      “กินข้าวก่อนไปเรียนดีกว่านะเพราะยังไงนายก็คงไปไม่ทันเรียนช่วงเช้าแน่” รักบอก

      และทันใดนั้นเอง เมนูหลากหลายบนโต๊ะอาหารก็ปรากฏขึ้นบนโต๊ะ บนจานขนาดกินเนื้อที่โต๊ะไปเกินครึ่งมีเนื้อไข่ถูกฝานออกเป็นแผ่นบางๆซึ่งมีขนาดแผ่นใหญ่มากแทบทั้งโต๊ะ เนื้อที่ควรขาวของไข่เป็นสีแดงทับทิมส่องประกายออกมา ส่วนเนื้อของไข่แดงเป็นสีชมพูอ่อน มันถูกฝานซ้อนกันหลายชั้น ถูกต้มในน้ำเดือดสีขาวนวลที่ตอนนี้ก็ยังเดือดพล่าน และราดด้วยน้ำสีชมพูอ่อนข้นคลั่กพร้อมกับมีเกล็ดถูกโรยอยู่ลักษณะคล้ายเกลือแต่เป็นสีส้ม เกล็ดนั้นลอยวนอยู่บนจานราวกับหิมะ และมีจานหนึ่งมีลูกที่เหมือนลูกแอปเปิ้ลขนาดเท่าเหรียญห้า มีหลายสีสรร สีคล้ายไอติมแท่งถูกวางเรียงซ้อนอยู่ในจานทรงกระบอกมีไอควันสีมะนาวปกคลุมรอบจาน และจานสุดท้ายที่ถูกวางอยู่เป็นจานเล็กสุดเป็นเหมือนพิซซ่าถาดเล็กแต่เนื้อแป้งเป็นสีดำมีสลับสีขาวเป็นดวงๆคล้ายสีหนังวัวราดด้วยเส้นที่เหมือนเส้นสปาเก็ตตี้ที่ถูกวางซ้อนเรียงเป็นวง มันมีสีเหมือนกับแป้งแต่มันมีลูกวงกลมขนาดหยดน้ำเต็มเส้นไปหมดและขยับเลื่อนไปมามากมาย เป็นจานที่ดูน่ากลัวที่สุด

                      “นะ นี่...” เมฆตกใจในอาหารตรงหน้าเผลอเขยิบตัวห่างจากโต๊ะ

                      “ก็ไข่ม้าทับทิมราดซอลแมลงขวัญข้าว[2]ที่เมฆหามาไง กับลูกแครม[3]หลากสี และพิซซ่าเนื้อจารัง[4] อร่อยมากนะ” นพแนะนำเมนูอย่างเชื่อมั่นในรสชาตินัยน์ตาสีน้ำเงินส่องประกายชื่นชมในอาหาร

                      “อะ เอ่อ...” ถึงจะฟังชื่อเมนูแต่สีหน้าของเมฆก็ยังไม่เชื่อถือนัก

                      รักยิ้มก่อนเอ่ย “นายกินไข่ม้าทับทิมกับลูกแครมได้นะแต่พิซซ่าเนื้อจารังน่ะมีพิษสูงสำหรับมนุษย์แม้จะเป็นมนุษย์ที่พิเศษยังไงก็ตามก็กินไม่ได้หรอกนะ”

                      “แต่เป็นเมนูโปรดของผมเลยนะ”นพยิ้มร่าเริง

                      “เอาล่ะ ข้าวน่าจะมาแล้วนะ”

                      เป็นไปตามคำขออีกครั้ง จานข้าวปรากฎขึ้นมาตรงหน้าทั้งสี่ แต่รูปร่างหน้าตาแปลกไปเป็นทรงกระบอกขนาดเล็กมากมายและเป็นสีแดงทับทิม

                      “สีของม้าทับทิมตัวนั้น” เมฆคราง

                      “ใช่ ตัวที่นายตัดหัวมานั่นแหละ ฟูเขานำเนื้อของม้าทับทิมผสมกับเมล็ดข้าวลูกไม้เมฆ[5] ให้คุณค่าพลังวิญญาณสูงทีเดียวนะ” ดวงหน้าสวยของรักหันมาบอกเมฆ

                      “ฟู?” หนุ่มแว่นเบิ่งตาด้วยความสงสัย

                      “ปีศาจต้นตำรับแม่ครัวคนเก่งเพียงคนเดียวของเราน่ะ” นพยังคงเจื้อยแจ้วช่วยขับดวงหน้าหล่อเหลาให้สดใสขึ้น

                      “มื้อนี้มีอาหารระดับไซรถึงสองอย่างสินะ” ภพพูออกมาเป็นประโยคแรกพิจารณาอาหารตรงหน้าด้วยแววตาเฉยชา และแน่นอนว่าเมฆก็ยังงงงัน

                      “อาหารในโลกวิญญาณน่ะแบ่งถึงหกระดับ ยิ่งระดับสูงยิ่งให้พลังวิญญาณมากแต่ถ้าระดับรองลงมามากๆพิษของความเข้มข้นก็ยิ่งมาก แต่อาหารระดับรองๆเนี่ยแล่ะที่พวกวิญญาณชอบกินกันนัก” รักยิ้มก่อนตักไข่ทับทิมลงบนจาน

                      “ระดับอาหาร?” ชายหนุ่มใช้ช้อนเลียบๆเคียงๆข้าวทับทิมนั่นอย่างไม่ไว้ใจ

                      “อืม ใช่ แบ่งเป็น คนุต ไซร ลัส ซิส เฟส และนุน เรียงตามลำดับน่ะนะ” แน่นอนคนที่เสริมคือนพ

      ทำไมต้องไปตั้งชื่อให้มันจำยากด้วยนะ

                      “เพราะมันบ่งบอกถึงระดับเชฟในโลกวิญญาณด้วยไงล่ะ อย่างเช่นเชฟระดับซิสจะทำอาหารระดับลัสไม่ได้ และเชฟระดับลัสก็ทำอาหารระดับไซรไม่ได้ เชฟที่ทำอาหารได้ทุกระดับก็มีแต่เชฟครัวระดับคนุตเท่านั้น” ราวอ่านใจได้ รักอธิบายก่อนตักอาหารเข้าปาก และนั่นก็ยิ่งทำให้เมฆหิว

                      นพจึงตักไข่ม้าทับทิมชิ้นยักษ์ให้ “เอาสิ ชิ้นนี้กินได้แน่!

                      สีหน้าของชายหนุ่มยังคงเคลือบแคลงแต่ก็ลองตักไข่พอดีช้อน เขายกช้อนมองมันอยู่ชั่วอึดใจและทุกคนบนโต๊ะก็หันมามองพลางลุ้นตาม

      เป็นไงเป็นกัน ไม่เป็นไรหรอกน่า!

                      เจ้าตัวรีบนำอาหารเข้าปากเคี้ยวกร้วมกร้ามและกลืนลงไปในทันทีและ...นัยน์ตาสีดำนั่นก็ต้องเบิ่งขึ้นอย่างนึกไม่ถึง “อร่อยมาก เนื้อไข่เหมือนเต้นอยู่รอบปาก ตรงส่วนของไข่แดงที่เป็นสีชมพูก็หวานอมเปรี้ยว ไม่เคยกินอะไรแบบนี้มาก่อน” ท้องของเขาพลันอุ่นวาบ แล้วเมฆก็ตักไข่กินอีกหลายคำพร้อมข้าวสีทับทิมอย่างหมดข้อกังขา

                      “ข้าวก็ทั้งหวานและนุ่มมันละลายเข้าปากไปเร็วมากเม็ดทับทิมในข้าวก็กรอบอร่อยอย่างกับเอ็นหมูแน่ะ”แววตามีประกายชื่นชม               

      “ใช่ไหมล่ะ ฝีมือฟูน่ะที่หนึ่งอยู่แล้ว” นัยน์ตาสีน้ำเงินของนพมีประกายสดใส

                       ภพที่แลดูไม่ได้สนใจใครบนโต๊ะอาหารใช้ส้อมจิ้มเข้าไปยังลูกแครม

                      “โอ๊ย!” เจ้าลูกแครมร้องลั่น

                      “เอ๋!” เมฆหันไปมองตามเสียงพอดี เห็นลูกแอปเปิ้ลขนาดเหรียญห้าส่งเสียงดังและมีแสงอ่อนๆออกมาจากตัวมันไม่มีแขนขาหรือใบหน้าแต่มีชีวิตและพยายามดิ้นออกจากส้อมแต่ภพไม่สนใจนำเข้าปากเคี้ยวและกลืนในทันที

                      “นะ นั่นมีชีวิตหรือครับ?”

                      “อาหารที่ต้องกินขณะที่ยังมีชีวิตอยู่น่ะมีตั้งมากมายในโลกวิญญาณนะ ลูกแครมน่ะเป็นผลไม้ชนิดหนึ่งแต่มันก็มีชี...” ไม่ทันขาดคำพูดของรักเจ้าลูกแครมก็เริ่มกระโดดออกจากจานทรงกระบอกที่ถูกทำไว้สูงเพื่อให้หนียากแต่ก็มีหลายลูกที่กระโดดออกมาได้ และภพก็มองอย่างเฉยชาก่อนใช้ส้อมจิ้มกินอย่างรวดเร็วราวพายุ

                      ไม่ช้าก็เหลืออยู่ไม่ถึงครึ่งจาน เมฆจดจ้องแฝดน้องราวกับอีกฝ่ายเป็นฆาตกรกระหายเลือด แต่ภพตีความหมายไปอีกทาง

                      “อยากกินเหรอ?”

                      เจ้าตัวส่ายหน้าปฎิเสธเป็นพัลวันแต่ภพไม่ได้สนใจสังเกตจิ้มแครมชิ้นหนึ่งพุ่งใส่ปากเมฆอย่างรวดเร็วจนเจ้าตัวหลบไม่ทันและเผลอกลืนลงท้องไปทันที เมฆนั่งค้างอยู่ห้าวินาที

                      “ม่าย! เมฆร้องเสียงลั่นโต๊ะด้วยความตระหนกจนรักกับนพหันมาหัวเราะสนุกสนาน

       

                      ความรู้สึกราวกับอาหารระเบิดออกในท้องจนความหวานมันกระจายออกมา รสสัมผัสนั้นยังติดตรึงอยู่ในร่างกายของเมฆขณะวิ่งออกมาจากร้านไปป้ายรถเมล์หน้าปากซอย เวลาเที่ยงครึ่งบนหน้าปัดนาฬิกาข้อมือทำให้ต้องรีบวิ่งไปให้ทันสายรถเมล์ที่คาดหมายไว้

                      “อ๊ะ มาพอดี” เจ้าตัวเอ่ยอย่างลิงโลดหมายจะรีบวิ่งขึ้นรถเมล์สีน้ำเงินที่มาจอดโดยพลันแต่มีมือของใครบางคนดึงคอเสื้อรั้งไว้แน่นราวคีมเหล็ก

                      “ทำอะไรน่ะภพฉันจะไปเรียนรอบบ่ายไม่ทันนะ” เมฆโวยใส่เมื่อหันไปเห็นดวงหน้าหล่อเหลานั่น แต่เมื่อเขากลับมามองรถเมล์อีกครั้งก็ต้องสะดุ้งพรวดถอยหลังแทบล้มถ้าไม่ใช่ภพดันหลังไว้ให้

                      ผิวเหล็กสีน้ำเงินของรถเมล์เปลี่ยนไปมันมีขนนุ่มของสัตว์สีน้ำเงินขึ้นมาแทนที่ หลังรถมีหางยาวงอกออกมาถึงห้าหาง ประตูยังคงเปิดอยู่พร้อมกับผู้โดยสารจำนวนมากขึ้นไป ทั้งๆที่เมื่อเมฆมาถึงป้ายรถเมล์นั้นมีเขาอยู่เพียงคนเดียว และใบหน้าของผู้โดยสารเหล่านั้นก็คือใบหน้าของสุนัข และเมื่อหัวรถหันมาซึ่งตรงกับความหวาดกลัวของเมฆ หัวสุนัขห้าหัวพันธุ์โดเบอร์แมน[6]หันมาแย้มรอยยิ้มมาดร้ายให้เขา พร้อมกับนัยน์ตาหาคู่ที่เปล่งประกายมองเหยื่ออันโอชะ

                      แล้วมันก็วิ่งหายไปจากถนน

                      “นะ นะ นั่นรถเมล์อะไรน่ะ”

                      “รถเมล์สายสะพานสุนัขเดรัจฉาน” ภพตอบนัยน์ตาสีน้ำเงินนั่นยังคงไร้อารมณ์ “จะพาไปยังสะพานที่ข้ามไปถิ่นที่อยู่ของวิญญาณสุนัขที่ตายอย่างอาฆาต วิญญาณมนุษย์ที่ต้องขึ้นไปสายนั้นเป็นเพราะมีบาปกรรมเกี่ยวข้องกับพวกมันอยู่จะขึ้นไปโดยไม่รู้ตัว และอาจไม่กลับมาอีกเลย”

                      เมฆรู้สึกเสียวสันวาบขึ้นมาทันที

                      “นายมาทำงานในร้านและกินอาหารของโลกวิญญาณเข้าไป จากเพียงแค่มองเห็น พลังก็จะเพิ่มพูนจนสัมผัสถึงมิติวิญญาณได้ลึกขึ้น ตอนนี้จึงเห็นทั้งสองมิติ ทั้งมิติของมนุษย์และมิติของวิญญาณ” ริมฝีปากบางนั้นอธิบายเสียงเย็น

                      “นายเลยตามมาช่วยฉันงั้นเรอะ”

                      “ฉันทำตามคำสั่งของนายหญิง” ภพแก้แล้วเขาก็หันไปมองรถเมล์อีกคันที่เข้ามาจอดซึ่งเป็นสายที่เมฆต้องขึ้น

      “นี่ ผู้ชายคนนั้นน่ะ ที่นั่งข้างเมฆน่ะ หล่อจังเลยนะ ย้อมผมแล้วใส่คอนแทคส์สีด้วย” เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นในห้องเรียนคาบวิชาภาษาอังกฤษ พวกเขานั่งเรียนอยู่ในตึกของคณะมนุษย์ศาสตร์ และมีหญิงสาวหลายคนที่เหลือบมองจากหนังสือภาษาอังกฤษระดับสูงมามองเสี้ยวหน้าหล่อเหลาของภพทำให้เมฆอดรู้สึกหมันไส้ไม่ได้

                      “คณะฉันพาคนนอกเข้ามาได้ถ้ารู้จักกัน แต่ถ้าบ่อยนักก็ไม่ดีหรอก คราวหลังนายอยู่นอกห้องนั่นแหล่ะ ไม่คิดว่าจะมีคนมองเห็นนายนะเนี่ย” เขาตอบทั้งๆที่สายตาและหูยังคงจดจ้องไปยังเนื้อหาการเรียนของครูสาวตรงหน้าอย่างขยัน

                      “ฉันเป็นปีศาจมีตัวตนผิดกับวิญญาณทั่วไป”

                      ก็อกๆ ก็อกๆ

                      เสียงเคาะหน้าต่างห้องดังขึ้นข้างเมฆที่นั่งอยู่ริมหน้าต่าง ทำให้เขาต้องหันไป เงาร่างสีดำขมุกขมัวของหญิงสาวคนหนึ่งยืนเคาะอยู่ตรงนั้น พลางส่งเสียง “เปิดหน้าต่างที เปิดหน้าต่างที” ความจริงไม่ควรมีคนมาเคาะหน้าต่างด้านนอกได้เพราะตอนนี้พวกเขาเรียนอยู่ชั้นแปด

                      “อย่าสนใจ เรียนหนังสือของนายไปซะ” ภพเตือน “ก็แค่วิญญาณเร่ร่อน”

      เมฆกลืนน้ำลายหันมาสนใจบทเรียนอีกครั้ง

                      แล้วคาบเรียนก็จบลงในตอนเย็น ทั้งสองจึงลุกออกจากที่นั่งเพื่อเดินออกไปจากห้อง

                      “เดี๋ยวหนุ่มหล่อคนนั้นน่ะ” นักศึกษาสาวใจกล้าคนหนึ่งทักขึ้นพลางเดินมาหาภพ หญิงสาวผิวขาว สูงผอม โครงหน้าคมหวานของลูกครึ่ง หน้าตาสะสวยเด่นสะดุดตา ผมดำยาวสลวย อยุ่ในชุดนักศึกษา กระโปรงทรงเอสั้นตามสมัยนิยม “คุณชื่ออะไรเหรอ เป็นเพื่อนของเมฆใช่ไหม?”

                      เมฆเบิ่งตามองคนตรงหน้าที่เข้ามาทักภพ เขาจำได้ว่าอีกฝ่ายเป็นดาวคณะและเป็นนางแบบนิตยสารชื่อดัง

                      “ไม่เกี่ยวกับเธอ” ภพตัดบทอย่างเย็นชาก่อนลากเมฆออกมาจากห้อง แต่บุคลิกนิ่งขรึมและคำพูดเฉยชานั่นทำเอาสาวๆในห้องถูกอกถูกใจมองตามตาหวานกันถ้วนหน้า

                      นางแบบสาวยิ้มมองทั้งสองด้วยแววตาอ่านยาก

      ไม่หลุดมือไปแน่นอน

       

                      ในซอยที่ห่างจากซอยของภัตตาคารอาหารโลกวิญญาณนั้นเพียงสองซอยนั้นเป็นซอยย่านคนอาศัยที่คึกคักที่สุด มีทั้งตึกแถวหลายสีที่คนมากมายอาศัยอยู่รวมถึงทาวน์เฮ้าส์สองชั้นติดกันด้วย บ้านของเมฆนั้นเป็นทาวน์เฮ้าส์สองชั้นสีครีมที่ค่อนข้างเก่าแต่สะอาดสะอ้านอยู่ด้านขวามือถัดจากทาวน์เฮ้าส์ไปสามหลังเมื่อเดินเข้ามาในซอย

                      “กลับบ้านงั้นเหรอ?” ดวงหน้าหล่อเหลานั่นเงยหน้ามองบ้านของเมฆก่อนส่งสายตาอย่างมีคำถาม

                      “ใช่” หนุ่มแว่นตอบและเดินไปเปิดรั้วหน้าบ้าน “เมื่อคืนไม่ได้กลับมาแถมยังไม่ได้บอกเรื่องทำงานพิเศษด้วยคงต้องอธิบายให้ฟังก่อนไปเยี่ยมรินที่โรงพยาบาลน่ะ”

                      เมฆเปิดประตูบ้านที่เป็นประตูเลื่อนสองฝั่งประตูนั้นไม่ได้ล็อคก้าวเดินเข้าไปข้างใน พื้นบ้านเป็นพื้นปาร์เก้ บ้านมีเฟอร์นิเจอร์นับชิ้นและสะอาดตา ทีวีตั้งอยู่ตรงผนังด้านซ้ายด้านขวามีโซฟาสีดำราคาไม่แพงตั้งอยู่ เมื่อเดินถัดจากที่วีก็คือชั้นบันไดพาเดินไปชั้นสอง แต่ถ้าเดินไปสุดห้องด้านในก็คือห้องครัว

                      “แม่ แม่ อยู่ไหนน่ะ” เมฆร้องเรียกเดินไปในครัวซึ่งเป็นที่เฉพาะของแม่ในยามเตรียมอาหารเย็นก่อนจะเดินออกมาเมื่อไม่พบและเดินขึ้นบันไดไปชั้นสอง ขณะนั้นภพก็ยืนนิ่งอยู่หน้าประตูเหลือบมองตำราอาหารบนโซฟา แล้วเขาก็มองไปยังห้องครัวก่อนจะเบิ่งตาเห็นเงาดำของงูตัวหนึ่งแต่ร่างใหญ่มหึมาล้นออกจากครัวอยู่ภายในนั้นก่อนจะหายไปในพริบตา

                      “เมฆิณทร์ลงมาอย่าขึ้นไปบนนั้น” ภพคำรามแทบตะคอกทำให้เท้าของหนุ่มแว่นต้องชะงักเดินลงจากบันไดทั้งๆที่ก้าวไปถึงหกขั้นแล้ว

                      “เกิดอะไรขึ้นเหรอภพ?”

                      “นายไม่รู้สึกอะไรในห้องครัวงั้นเหรอ?”

                      “ก็แม่ไม่อยู่ในนั้น ฉันแค่รู้สึกว่าได้กลิ่นไหม้นิดหน่อย แม่อาจทำอาหารพลาดก็ได้เพราะปกติก็ชอบทดลองทำอาหารใหม่ๆอยู่แล้ว” เมฆตอบรู้สึกมีลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมาทันที

                      “เข้าไปในครัวนั้นกัน” ภพบอกและก้าวนำไปยังครัวและเมื่อเขาบิดลูกบิดเปิดประตูครัวออกมา ทั้งสองก็เบิ่งตา ห้องครัวนั้นเป็นพื้นกระเบื้องสีขาวมีชั้นกระเบื้องติดกำแพงตรงข้ามประตูยาวจนสุดมุม ชั้นกระเบื้องตรงหน้ามีอ่างล้างจานตั้งอยู่ ถัดมาขวามือที่วางจานตั้งอยู่ใกล้ๆไล่มาเป็นโถใส่ไข่ และอุปกรณ์ปรุงรสต่างๆทั้งน้ำปลา น้ำตาล เกลือ ซอสหวาน ซอสหอยนางรม พริกไทย หม้อถูกซ้อนวางเป็นชั้นๆ และมีกระทะหลายใบแขวนอยู่ที่พนัง ขณะที่ทัพพี ตะหลิว กระชอนถูกใส่ไว้ในที่เก็บทรงกระบอก และมุมห้องด้านขวาก็มีชั้นกระเบื้องที่มีเตาแก๊สตั้งอยู่ ผนังฝั่งตรงข้ามเตาแก๊สมีตู้เย็นขนาดใหญ่              
                      มองดูเพียงเผินๆเหมือนห้องครัวเรียบร้อยดีแต่เมื่อเพ่งสมาธิก็จะเห็นความจริงในห้องนั้น พื้นกระเบื้องสีขาวมีน้ำสีแดงดั่งโลหิตเลอะเทอะกระจัดกระจายเต็มพื้น และมีมีดสับหมูหล่นอยู่พร้อมหัวหมูที่ตกอยู่บนพื้น บนชั้นกระเบื้องมีจานชามวางตกแตกระเกะระกะ โถไข่กลิ้งอยู่บนชั้นโดยมีไข่มากมายแตกอยู่ถายในและบางฟองก็ตกลงมาแตกที่พื้น เตาแก๊สเปิดค้างอยู่จนส่งกลิ่นเหม็นไปทั่วห้องครัว

                      “นี่มันเกิดอะไรขึ้น? แม่อยู่ไหน” เมฆร้องอย่างหวาดกลัว ขณะที่ภพเดินไปปิดแก๊ส ในขณะนั้นเองเลือดที่กระจายอยู่ที่พื้นก็ขยับตัวกลิ้งเกลือก มันขยับตัวขึ้นลุกขึ้นมาชูคอแผ่แม่เบี้ยออกมา ตัวมันใหญ่คับครัวนี้ มันเป็นงูนั่นเอง

                      เมฆขยับตัวถอยหลังหลบแต่เจ้างูนั่นก็อ้าปากที่เต็มไปด้วยเขี้ยวพิษหมายไปที่เจ้าหนุ่มแว่น

                      “วิญญาณอะไรกัน?”

                      “ไม่ใช่วิญญาณ” ภพบอกมองงูสีโลหิต “ดีเลย นำทางไปที” แล้วเจ้างูนั่นก็ใช้ลำตัวมารวบตัวทั้งสองรัดไว้ และตอนนั้นเองทั้งเมฆ ภพ และงูปริศนาก็หายไปในทันที

                     

                      มีถนนหลักเส้นหนึ่งที่ผู้คนไม่ค่อยได้ใช้กันเท่าไหร่นัก ทั้งสองข้างทางถนนเต็มไปด้วยต้นไม้หนาเขียวครึ้ม เมื่อขับมาซักระยะจะพบแยกที่เลี้ยวเข้าไปในบ้านหลังหนึ่งที่มีที่ดินใหญ่โตอยู่ในนั้น รั้วบ้านหลังนั้นทอดยาวสุดลูกหูลูกตา ภายในบ้านมีสวนที่ถูกทิ้งร้างเต็มไปด้วยดอกลั่นทม พื้นสวนจึงเต็มไปด้วยกลีบดอกไม้ที่ร่วงลงมา มีทางเดินหินทอดยาวจากประตูรั้วไปยังหน้าคฤหาสถ์ที่ทาบ้านสีเทาเข้มและหลังคาทรงยุโรปสีดำ ดูๆไปแล้วก็เหมือนบ้านที่ถูกทิ้งร้างขายไม่ได้เพราะอยู่ในทำเลที่ไม่เหมาะสม แต่ไม่มีใครรู้ความลับของมัน

                      และบุคคลสองคนก็มายืนอยู่หน้ารั้วบ้านแห่งนี้ มนุษย์หนึ่ง ปีศาจหนึ่ง โดยมีเจ้างูสีเลือดพามา มันปล่อยทั้งสองลงกับพื้นก่อนที่ร่างนั้นจะกลายเป็นเพียงเลือดหล่นกระจายราวสายฝนร่วงสู่พื้นและเลือดนั้นก็ซึมหายไปทันที

                      “มันเป็นตัวอะไรกันแน่?”เมฆรู้สึกขนลุก น่าแปลกนักที่ตัวเขาไม่มีเลือดติดเลยซักหยดทั้งๆที่ถูกงูนั่นรัด

                      “เป็นข้อความของผู้มีพลังวิญญาณที่จะทิ้งไว้ยามฉุกเฉินเพื่อให้คนอื่นรู้ว่าตนหายไปยังที่ใด ใช้เลือดของสิ่งมีชีวิตเท่าที่เห็นคือหัวหมูสาดไว้บนพื้นเป็นตัวแทนตัวเองบอกถึงสถาณที่ที่ไป ต้องมีพลังวิญญาณสูงส่ง เรียกว่าเงาตัวแทน” ภพอธิบาย นัยน์ตาสีน้ำเงินนั้นหันมาสบกับนัยน์ตาสีดำ “แม่ของนายเป็นผู้มีพลังวิญญาณงั้นเหรอ?”

                      “ไม่ ไม่ใช่” เขาตอบไม่เต็มเสียงนัก เพราะไม่แน่ใจเสียแล้ว

                      ภพไม่สนใจซักไซ้ “ต้องเข้าไปในคฤหาสถ์หลังนั้น” ดวงหน้าหล่อเหลานั้นจึงหันไปพิจารณาคฤหาสถ์ตรงหน้าแทนและก็ต้องเบิ่งตา “เดี๋ยว อย่าเพิ่งเข้าไป!

                      “เอ๋”ดวงหน้าของเมฆงงงั้น

                      “ยังไม่ใช่เวลานี้ เข้าไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ อาจต้องรอเที่ยงคืนนี้” คำพูดของภพนั้นทำให้เมฆคิดอะไรบางอย่าง

                      “อย่าบอกนะว่า ที่นี่ก็เป็นร้านอาหารเหมือนกัน!

                     

                      เมื่อเริ่มมืดอากาศก็เริ่มหนาว เสื้อนักศึกษานั้นเป็นเพียงเสื้อสีขาวตัวบางเท่านั้น เมฆจึงรู้สึกถึงความเย็นได้มากกว่าภพที่เป็นปีศาจ ทั้งสองยืนหลบอยู่หลังต้นไม้ฝั่งตรงข้ามคฤหาสถ์ซึ่งเป็นป่า

                      “ใช่ครับนายหญิง คงต้องรอเวลาเสียก่อน แม่ของเมฆินฑร์ต้องอยู่ในนั้นแน่” ชายหนุ่มกรอกเสียงลงมือถือก่อนจะตัดสายเมื่อบอกธุระเรียบร้อย

                      “ปีศาจก็ใช้มือถือเป็นสินะ” เจ้าหนุ่มแว่นหันไปสนใจมือถือที่มีลักษณะเป็นแอนดรอยทั่วไป

                      “ใช้พลังวิญญาณเป็นคลื่นส่งรับน่ะ มือถือนี่นะแค่เป็นวัตถุที่เป็นสื่อเท่านั้น” ภพบอก และให้ความสนใจไปที่บ้านอีกครั้ง ความรู้ข้อนั้นทำให้เมฆเริ่มรู้ว่ายิ่งถลำเข้ามาในโลกนี้ลึกเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกพิศวงมากเท่านั้น

                      แต่แล้วแสงไฟในตัวคฤหาสถ์ก็ปรากฎขึ้น และการเปลี่ยนแปลงก็เริ่มต้น รั้วเหล็กสนิมเขรอะนั้นกลายเป็นรั้วสีดำเงาวาวที่ราวกับทำจากหิน ทางเดินไม้ที่วางอย่างระเกะระกะกลับจัดเรียงตัวมันเองให้เข้าที่พร้อมรับคนที่เข้ามา ดอกลั่นทมที่เกลื่อนพื้นหายไปกลายเป็นผืนหญ้าสีเขียวงดงาม คฤหาสถ์ที่ดูเก่าและทรุดโทรมกลับมาใหม่ดั่งเดิมและมีแสงไฟหลากสีประดับอยู่ตามหลังคา ประตูรั้วเปิดออกเองและมีบุคคลหนึ่งปรากฎกายขึ้น เป็นสัตว์หน้าขนตัวกลมท้วม ขนสีเทาอ่อน ดวงตากลมโตใส นัยน์ตาสีดำ ปากกว้างเกือบเท่าใบหน้า หนวดแมวสีใสยื่ออกมาข้างละสี่เส้น มีหูยื่นออกมาคล้ายกระต่ายหน้าท้องเป็นวงกลมสีขาวส่วนเท้านั้นแบนเป็นทรงวงรีมีเล็บสีดำยื่นออกมา เจ้าตัวนั้นกำลังผูกผ้ากันเปื้อนอยู่หน้ารั้ว

                      “ โอ้ สวัสดีครับ เชิญเลยๆ” เจ้าตัวประหลาดก้มลงโค้งต่ำเมื่อเริ่มมีลูกค้าทยอยเดินเข้ามา

                      สองหนุ่มจ้องมองภาพนั้นอย่างพิจารณาถี่ถ้วน

                      “จะเข้าไปยังไงดีล่ะครับ? แล้วนั่นมันปีศาจอะไรน่ะ?” เมฆมองเจ้าสัตว์หน้ารั้วอย่างไม่ไว้ใจ

                      “ดูท่าที่นี่จะเป็นร้านอาหารชั้นล่างทีเดียว” ภพบอกเสียงกระซิบ “ต้องไปโดยไม่มีใครเห็น”           

      “ทำไมล่ะครับ เราเข้าไปในฐานะลูกค้าก็ได้นี่?”

                      “ถ้ามนุษย์อย่างนายเดินเข้าไปล่ะก็จะกลายเป็นหนึ่งในเมนูภายในคืนนี้!

                      “เอ๋!” เจ้าตัวครางเสียงหลง “แต่ที่ร้านของคุณรักก็ไม่มีใครกินมนุษย์นี่ครับ นพเองก็บอกแบบนั้น”

                      “ที่นั่นกับที่นี่น่ะไม่เหมือนกัน ถ้ามีปีศาจที่เป็นสัตว์เดรัจฉานดูแลแบบนี้ ระดับเมนูร้านคงไม่พ้นเนื้อมนุษย์หรอก”

                      “หา!”เมฆอ้าปากค้าง “มะ มะ มะ หมายถึงผมจะกลายเป็นอาหารเหรอครับ” เจ้าตัวเลิ่กลั่กหันซ้ายแลขวา แต่ภพไม่ได้ตอบคำถามต่อ เขาหันกลับมาบอกว่า

                      “กลั้นหายใจและ จับแขนฉันไว้ เราจะไปกันแล้ว” เมฆไม่เข้าใจประโยคนั้นแต่ก็ยอมทำตาม

                      แล้วปีศาจสงครามก็สำแดงเดช ภพพาเมฆวิ่งเข้าไปโดยผ่านวิญญาณและปีศาจทุกตนเลยเข้าไปในรั้วอ้อมไปทางด้านหลังคฤหาสถ์ในพริบตาเดียว ขณะที่พวกเขาวิ่งเกิดลมแรงพัดพาไปด้วยจนคนที่ถูกวิ่งผ่านสัมผัสได้แต่ก็มองไม่เห็นสิ่งใดอยู่ดี

                      “เอาล่ะหายใจได้แล้ว” ภพบอกเมื่อพวกเขายืนอยู่ส่วนหลังของคฤหาสถ์ ตรงนั้นมีเพียงเรือนกระจกที่ตั้งโดยมีสะพานสวนที่มีบ่อน้ำใสคั่นอยู่ และเรือนกระจกนั่นก็มีควันขาวพวยพุ่งออกมาจากช่องเพดานกระจก

                      “มีความหมายไหมกับการกลั้นหายใจเนี่ย” เมฆบ่นอุบ

                      “มี ถ้านายหายใจเมื่ออยู่ต่อหน้าวิญญาณหรือปีศาจใกล้ๆ พวกนั้นจะได้กลิ่นมนุษย์ของนาย” ภพตอบอย่างเฉยชา แต่ปีศาจหนุ่มก็ต้องหรี่ตาเมื่อได้ยินเสียงตรงหน้าเขาจำต้องลากอีกฝ่ายหลบเข้าไปยังหลังพนังปูนส่วนของคฤหาสถ์

                      “เอามนุษย์มาช่วยแบบนี้จะดีเหรอ? ถ้าลูกค้ารู้เข้ามีหวังโวยวายแน่” เสียงแหลมดังขึ้นบนสะพาน มีเงาของสิ่งมีชีวิตสองร่างอยู่ตรงนั้น

                      “ถึงจะเป็นมนุษย์แต่ก็เป็นเชฟระดับคนุต ซ้ำยังมีพลังวิญญาณสูง แบบนี้อาจทำอาหารได้ดีกว่าเชฟคนเก่าก็ได้” เสียงใหญ่ท้วมเสียงหนึ่งดังโต้ตอบ “ถือซะว่าเอามาใช้ประโยชน์ไปจนกว่าจะหาเชฟปีศาจได้ละกัน”

                      แล้วเสียงหัวเราะนั้นก็ดังขึ้นจากสองคนนั่น เมฆที่พยายามเงี่ยหูฟังสุดกำลังนั้นก็เผลอเขยิบตัวเข้าไปใกล้จนไม่ทันระวังสัมผัสปีศาจของฝ่ายตรงข้ามเสียเลย

                      “แกได้กลิ่นนั่นไหม กลิ่นมนุษย์” เจ้าของเสียงแหลมหันมา

                      “ใช่ ตรงหลังกำแพงปูนนั่น” อีกเสียงก็หันมาเช่นกัน

      แย่แล้ว!

                      เมฆหน้าเหวอทันใดขณะที่ภพถอนหายใจยาวเหยียด แล้วนัยน์ตาสีน้ำเงินของปีศาจสงครามก็เปลี่ยนไปเป็นสีแดงในฉับพลัน ร่างสูงสง่านั่นหายไปในพริบตา เมฆเห็นอีกครั้งเมื่อภพไปปรากฎบนสะพานบึงทำให้เขารีบวิ่งเข้าไป

                      ภพเงื้อลูกเตะฟาดไปที่หน้าของปีศาจตัวหนึ่งที่เป็นหมูป่ายักษ์ยืนดั่งมนุษย์สวมชุดผ้ากันเปื้อนเหมือนปีศาจที่หน้ารั้วนั่น เขาวาดตัวอักษรบางอย่างกลางอากาศปรากฎมีดสั้นด้ามเงินขึ้นมาทันที ภพใช้มันปาดไปที่ลำคอของเจ้าหมูป่า

                      “อั๊ก” เจ้าหมูป่าสิ้นใจล้มลงบนสะพานในทันใด

                      “เหวอ! ปีศาจอีกตนที่มีรูปร่างเป็นไก่ยักษ์เดินสองขาผูกผ้ากันเปื้อนเช่นเดียวกับเจ้าหมูป่า เมื่อเห็นภาพนั้นก็ตื่นตกใจวิ่งหนีไปทันที แต่สายตาของปีศาจสงครามมองตามอย่างหมายมั่น เขาโยนมีดสั้นเล่มเดิมพุ่งไปแทงทะลุอกเจ้าปีศาจ และเมื่อมีดสั้นเล่มนั้นก็ดึงตัวมันเองออกจากอกศัตรูลอยกลับมาที่ภพ แล้วเจ้าปีศาจไก่ก็ล้มนอนตายสนิท

                      “ต้องฆ่าทิ้งเลยเหรอครับ?” สีหน้าของเมฆมีความไม่ชอบใจนัก แต่ภพไม่ตอบคำถามเขาเดินนำเข้าไปในเรือนกระจก นัยน์ตาสีแดงกลับมาเป็นสีน้ำเงินดั่งเดิม

                       เรือนกระจกนั้นเป็นลักษณะโดมทรงสูงรูปร่างเหมือนกรงนกทำจากกระจกโครงเหล็กทาสีขาว ประตูเรือนเปิดออกอยู่และภพก็เดินนำเข้าไปอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด ทางเดินนั้นเป็นทางเดินหินสีขาวทอดยาวไปข้างหน้า ด้านซ้ายและด้านขวานั้นเป็นพืชพรรณที่เมฆไม่รู้จัก มีต้นไม้สูงลำต้นเหมือนมะพร้าวแต่ออกใบเหมือนใบมะม่วงมีสีแดงกับส้มสลับกัน และออกผลเป็นลูกแครมที่เมฆคุ้นตา ต้นพุ่มเตี๊ยก็มีอยู่เป็นพุ่มทรงกลมบ้างเหลี่ยมบ้างโดยธรรมชาติของมันเองไม่มีการตัดแต่ง มีใบเล็กๆเป็นสีโอรส ออกลูกสีเขียวเท่าเหรีญบาทเหมือนลูกมะนาว มีดอกไม้หลายแบบขึ้นอยู่ทั้งรูปร่างเป็นทรงบัวบ้าง ทรงแก้วบ้าง ทรงแบนแผ่ออกมาก็มี มีหลายแฉกและหลายสีราวกับรุ้ง แต่ต้นที่เด่นที่สุดคือต้นที่สูงใหญ่ติดเพดานมีทั้งสองข้างทาง ลำต้นนั้นเล็กและมีกิ่งแตกออกมาหลายสายมากมายพันกันไปมาคล้ายเถาวัลย์ ใบเป็นทรงกลีบดอกสีกลีบ มีผลของมันห้อยลงมาหลายผล ผลมีรูปร่างคล้ายประกายดาวแต่อวบอูมนูนออกมาจนดูประหลาดตาทีเดียว

                      แล้วภพก็หยุดยืนโดยไม่บอกกล่าวจนเมฆชนเข้ากับหลังอีกฝ่ายเพราะมัวแต่เหม่อมองต้นไม้ข้างทาง

                      “ภพ ถ้านายจะหยุดก็บอกกันก่อนสิ” เจ้าตัวบ่นอุบและก็เพิ่งสังเกตห้องครัวกว้างสุดลูกหูลูกตาตรงหน้าตนเองและบุคคลที่ยืนอยู่ตรงนั้น

                      “แม่!” เมฆร้องดีใจรีบเดินไปหาอีกฝ่าย

                      หญิงสาวตรงหน้าเผยรอยยิ้มกว้างเมื่อเห็นลูกชายตน เธอมีรูปร่างสูงพอๆกับลูกชายซ้ำยังผอมบางเหมือนกัน โครงหน้าเรียวที่เมฆถอดแบบมาแต่เครื่องหน้าของผู้เป็นแม่คมเข้มกว่า ทั้งคิ้วหนานูนหางคิ้วยกขึ้น ดวงตาคม สันจมูกโด่งเด่น เรียวปากเมื่อขยับก็หนาเด่น ผมนั้นถูกตัดสั้นเท่ากันระที่บ่ามีสีดำสนิทไร้ความอ่อนจาง เธอสวมชุดสากลเป็นชุดกระโปรงยาวระพื้นสีครีมผูกผ้ากันเปื้อนแบบเดียวกับพวกปีศาจ เข็มกลัดรูปธงซ้อนกันห้าชั้น ไล่จากหลังมามาหน้ามีสีแดง น้ำเงิน เหลือง ส้ม เงิน และทองติดอยู่ที่เนินอกด้านซ้าย

                      “เข็มกลัดนี่คือ...” เมฆมองเข็มกลัดนั่นอย่างกังขา

                      “เมฆ ลูกน่ะไปทำงานที่ภัตตาคารของรักสินะ”ประโยคคำถามนั้นทำเอาเมฆก้าวถอยหลังห่างออกจากผู้ป็นแม่

                      “ทำไม?” เขาถามโดยที่ไม่รู้ว่าเข็มกลัดนั่นก็ตอบอย่างชัดเจน เกิดความเงียบโอบล้อมแม่ลูกทั้งสอง

                      ภพถอนหายใจ “เราต้องรีบออกไปจากที่นี่นะ” น้ำเสียงนั่นยังคงเฉยชา

                      “ขอฉันคุยกับลูกก่อน...ปีศาจสงคราม” หญิงสาวมองออกในทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นใครและหันไปหาลูกชาย “เมฆ แม่เป็นเชฟระดับคนุตของโลกวิญญาณ เข็มกลัดนี่คือสัญลักษณ์ของเชฟโลกวิญญาณ”

                      ดวงหน้าใต้กรอบแว่นนั้นไม่เชื่อถือไปอึดใจ “แต่...แม่เป็นมนุษย์เป็นพนักงานบัญชี”

                      “ใช่”ผู้เป็นแม่ยอมรับ “แต่เป็นมนุษย์ที่มีพลังวิญญาณสูง ความจริงแม่เลิกเป็นเชฟมาตั้งแต่ลูกโต แต่ปีศาจร้านนี้เผลอทะเลาะกับเชฟในร้านจนเผลอฆ่าทิ้งไปก็เลยพยายามให้แม่มาเป็นเชฟที่นี่แทน ถึงจะสู้กันแค่ไหนแต่ปีศาจมากขนาดนี้ก็ทานไม่ไหว ก็เลยทิ้งเงาตัวแทนไว้ให้ลูกมาพบ”

                      “แม่รู้ได้ยังไงว่าผมทำงานที่ภัตตาคารอาหารโลกวิญญาณ?”

                      “แม่ได้คุยกับรักเมื่อคืนทางโทรศัพท์”

      จริงสิ!

                      เมฆเริ่มรู้สึกว่ามิติวิญญาณนี้เขาไม่ได้มาเกี่ยวข้องด้วยความบังเอิญเสียแล้ว

                      “ทีนี้ไปกันได้แล้วใช่มั้ยเมรัลย์” ภพถามเสียงเรียบ เมร์หรือเมรัลย์เม้มริมฝีปากก่อนหันไปทางลูกชายอีกครั้ง

                      “เมฆในร้านอาหารแห่งนี้น่ะมีส่วนประกอบที่ขาดไปในเมนูของหนูรินนะ แม่น่ะรู้จากรักแล้วว่าเรากำลังหาวัตถุดิบช่วยหนูรินอยู่” คำบอกกล่าวที่แม้แต่ภพก็เบิกตา “นี่เป็นเหตุผลหลักที่ให้เรามาที่นี่ไงล่ะ ลูกตาและหัวใจของม้าทับทิมน่ะมีฤทธิ์อยู่ได้ไม่เกินคืนนี้นะ เพราะฉะนั้นรินต้องกินเมนูนั้นในคืนนี้ ส่วนประกอบที่ลูกต้องหาให้พบอีกอย่างก็คือเกสรดอกดรัน[7] ที่นี่มีเก็บอยู่นะอยู่บนห้องใต้หลังคาของคฤหาสถ์นี้เป็นแหล่งรวมวัตถุดิบสำคัญ”

                      “เกสรดอกดรันจะหาพบได้ในหุบเขาหัวกระโหลก[8]เท่านั้น หรืออย่างมากก็ซื้อขายกันในตลาดวัตถุวิญญาณซึ่งสงวนไว้สำหรับเชฟระดับสูง ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่?”เป็นครั้งแรกที่ภพออกปากถาม

                      “เพราะมันให้รสชาติเยี่ยมเมื่อผสมในเนื้อของมนุษย์ ปีศาจพวกนี้ถึงได้ขโมยมาจากตลาดวัตถุวิญญาณไงล่ะ ฉันได้ยินพวกมันคุยกันตอนจะนำตัวฉันออกมาจากบ้าน ปีศาจสัตว์เดรัจฉานน่ะเป็นปีศาจชั้นล่างไม่ฉลาดนักหรอก”

                      เมฆที่งุนงงกับการโต้ตอบนั้นและคิดจะอ้าปากถาม แต่ภพก็หรี่ตาหันไปมองตรงประตูกระจกและรีบหลบไปหลังลำต้นที่บดบังกายได้มิดชิดขณะที่เมร์เดินไปหยิบผ้ากันเปื้อนสีขาวเช่นเดียวกับที่ใส่อยู่มายื่นให้ลูกชาย

                      “ใส่ซะ และเงียบไว้!”เธอออกคำสั่ง

                      เสียงฝีเท้าหลายสิบคู่ดังขึ้นเมื่อมีร่างจำนวนมากเดินเข้ามาในเรือนกระจก ปีศาจจำนวนมากนั่นเองทุกตัวเดินสองขาดั่งมนุษย์แต่มีรูปร่างหน้าตาเป็นสัตว์ เสื้อผ้าชิ้นเดียวคือผ้ากันเปื้อน ทั้ง หมู สุนัข ปลา ไก่ เป็ด วัว ควาย ม้า แมว เสือสิงโต ราวกับยกฝูงรวมสัตว์เดินเข้ามาในนี้

                      “เสร็จรึยังอาหารน่ะ ลูกค้ามากันเต็มโต๊ะแล้ว” เจ้าปีศาจสิงโตคำรามถามเสียงก้องทำเอากระจกเรือนแทบแตก

      นี่อยู่ในคณะละครสัตว์รึไง!

                      เมฆครางในใจอย่างหวาดกลัว แต่เมร์กลับยืนนิ่งอย่างท้าทาย

                      “ฉันไม่ทำเมนูอย่างเนื้อมนุษย์หรอก” เธอตะคอกใส่อย่างกล้าหาญทำเอาเมฆนับถือแม่ยิ่งขึ้น

                      “แกอยากตายใช่มั้ย? แล้วนั่นอะไรทำไมมีมนุษย์อีกคน หรือว่าเป็นเจ้านั่นที่ฆ่ายามเราไปสองตน” ปีศาจวัวหันมาจ้องมองเมฆ แววตามีความอาฆาตแค้น เมฆสังเกตเห็นเข็มกลัดรูปธงห้าสีซึ่งบ่งบอกยศเชฟระดับไซรของอีกฝ่าย

                      “ผู้ช่วยของฉันเอง ฆ่ายามอะไร พวกแกฆ่ากันเองรึเปล่าออกจะโง่กันถึงขนาดนี้ อีกอย่างเราเป็นมนุษย์จะไปฆ่าปีศาจได้ยังไงกัน” เมร์ประกาศกร้าว

                      แล้วเจ้าปีศาจเป็ดก็กระซิบกับปีศาจวัวเบาๆว่า “เราไม่ได้กลิ่นมนุษย์จากศพของสองคนนั่นเลยนะครับ แต่กลิ่นศพปีศาจก็แรงมากจนแยกไม่ออกเหมือนกัน แต่จะว่าไปเจ้าสองคนนั่นก็ชอบทะเลาะกันเองจริงๆ”

      นี่เองเหตุผลที่ภพฆ่าพวกมันเพื่อให้กลิ่นศพปีศาจกลบกลิ่นมนุษย์ของเขา!

                      เมฆเหลือบหางตาไปมองปีศาจสงครามที่ตอนนี้กำลังหลบอยู่อย่างเงียบงัน

                      เจ้าวัวเมื่อได้ยินก็หงุดหงิดหันมาจ้องเชฟหญิงอย่างแค้นเคืองทำเอาเมฆหัวใจหล่นวูบ “แล้วแกจะเอายังไงเชฟมนุษย์ ขอบอกก่อนนะว่าฉันก็ไม่อยากให้แกมาทำอาหารที่นี่นักหรอกเพราะปีศาจเชพถัดไปควรเป็นฉัน แต่เจ้านายก็ดันอยากได้แกมาอีกมันน่าวุ่นวายจริงๆ ถ้าแกไม่ทำอาหารยังไงซะพวกเราก็จะฆ่าแกรวมถึงไอ้ผู้ช่วยหน้าโง่นั่นด้วย” แล้วสิงสาราสัตว์ทั้งหลายก็โห่ร้องอย่างยินดีเมื่อนึกถึงว่าตนจะได้ชำแหละเนื้อมนุษย์

                      แต่เมร์กลับแย้มยิ้มท้าทาย “เอาอย่างนี้ไหมพวกนายกับพวกฉันมาแข่งทำอาหารกัน!” ประโยคนั้นทำให้เสียงโห่ร้องเงียบลง “เจ้าปีศาจวัวนายน่ะเคยเป็นลูกมือเชฟคนก่อนใช่มั้ยอยากเป็นเชฟคนถัดไปสินะถ้าอย่างนั้นก็แสดงฝีมือซะสิ ถ้านายชนะนายก็มาทำหน้าที่เชฟได้เลย แต่ถ้าฉันชนะต้องปล่อยฉันกับผู้ช่วยของฉันไป”

      แม่พูดไรอ่ะ!

                      เมฆรู้สึกถึงเงาหายนะ

                      “ให้ลูกค้าทั้งหมดเป็นคนตัดสิน ไปแข่งกันต่อหน้าพวกเขาก็ได้ ให้ทุกคนมารวมตัวกันที่นี่มาเป็นพยานคำพูดของฉันได้เลย”

                      “แม่ จะทำอะไรน่ะ?” เมฆดึงแขนเสื้อผู้เป็นแม่อย่างร้อนรน

                      “แน่ใจนะ ถ้าพวกแกแพ้ต้องยอมเป็นอาหารให้พวกเรานะ” เจ้าปีศาจวัวท้าทาย

                      “ตกลง!” เมร์ตอบรับแข็งขัน

                      “อะไรนะ! เมฆโวยวายเสียงดัง

                      “หึดี มนุษย์นี่มันถือดีทุกคนจริงๆ” ปีศาจวัวยิ้มรังเกียจก่อนที่มันจะก้มลงเคาะพื้นหนึ่งครั้ง

                      แล้วบางอย่างก็เปลี่ยนไป ทางเดินหินสีขาวขยายออกกว้างขวาง โต๊ะสีขาวกลมหลายร้อยโต๊ะปรากฎขึ้นมาบนทางเดินหิน ต้นไม้ต่างๆถูกขยับให้ห่างออกไป มีวิญญาณจำนวนมากหลากหลายหน้าตา ทั้งที่เป็นสัตว์เป็นมนุษย์ คล้ายลูกค้าในภัตตาคารของรัก แต่กลับให้บรรยากาศที่แตกต่างกัน พวกเขามองเมร์กับเมฆเหมือนมองอาหาร และมีบริกรสัตว์เดรัจฉานมากมายเดินไปมาให้บริการอยู่

                      แล้วหนุ่มแว่นก็ได้หันมาพิจารณาครัวกลางแจ้งอย่างละเอียด มีโต๊ะกระจกใสรอบด้านทอดยาวตั้งแต่สิ้นทางเดินจนสุดโดมกระจก เรียงกันสี่แถว สองแถวกลางเป็นโต๊ะอาหารมีผ้าสีขาวคลุมทับ ขณะที่แถวซ้ายและขวามีอุปกรณ์ครัวมากมายรวมถึงวัตถุดิบอาหารวางเรียงอย่างเป็นระเบียบอยู่

                      “พวกแกใช้โต๊ะฝั่งซ้าย พวกเราใช้ฝั่งขวา” เมร์บอกอย่างไม่เกรงกลัว

                      “ตกลง พวกแกเลือกเองนะ” ปีศาจวัวแสยะยิ้ม

      แล้วปีศาจแมวก็หันไปประกาศกับลูกค้าทุกคน “ลูกค้าทุกท่านวันนี้เรามีงานพิเศษ คือการแข่งทำอาหารระหว่างทีมของเชฟเมรัลย์ และทีมของพวกเราทีมเชฟโคบาล อาหารของผู้ชนะจะถูกตัดสินด้วยลูกค้าทุกท่าน พวกเราจะทำทีมละ...เจ็ดเมนูละกัน เลขนำโชคของเราในเวลาหนึ่งชั่วโมง”

      ต้องมาแข่งกับสัตว์รึเนี่ย!

                      เมฆคอตกปลงกับชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง แล้วเขาก็เห็นแม่หันไปพยักหน้าเป็นสัญญาณให้ภพ แล้วชายหนุ่มปีศาจสงครามก็หายไปในทันที

                      หรือว่า...ใช้การแข่งขันนี่เป็นตัวล่อให้ปีศาจทั้งร้านหันมาสนใจเพื่อให้ภพไปหาเกสรดอกดรันได้อย่างอิสระ!

                      เขาหันไปมองดวงหน้าคมเครื่องของแม่ที่หันมาขยิบตาเป็นสัญญาณให้เขา

                      “มาช่วยแม่ทำอาหารที่จะต้องทำให้พวกมันต้องตะลึงกันเถอะ เพื่อที่จะยื้อเวลาให้ภพมากที่สุด” เมรวัลย์กระซิบบอกลูกชาย ซึ่งเมฆพยักหน้าตอบอย่างแข็งขันพลางปาดเหงื่อทั้งๆที่อากาศไม่ร้อน “ไม่ต้องห่วงพวกมันชนะแม่ไม่ได้แน่”

                      ปีศาจวัวเดินมาหาทั้งคู่ด้วยแววตาไม่เกรงกลัว “อย่าคิดว่าตัวเองเป็นเชฟระดับคนุตแล้วจะชนะง่ายๆนะ ฉันเองก็เป็นเชฟมีฝีมือและเป็นศิษย์เอกของเชฟคนก่อน และรู้ด้วยว่าลูกค้าที่นี่ชอบแบบไหน” แล้วปีศาจวัวก็กวักมือเรียกปีศาจเป็ดให้มาเป็นผู้ช่วยและเดินไปครัวของพวกตน

                      “งั้นฉันจะเป็นคนให้สัญญาณเริ่มนะ” ปีศาจที่เมฆเห็นที่รั้วคฤหาสถ์ปรากฎขึ้น “เอาล่ะทั้งสองทีมพร้อมนะ...”

                      “เริ่มได้!

       

                      เสียงลมแหวกอากาศผ่านใบหูของภพเมื่อเขาเร่งความเร็วในการวิ่ง ชายหนุ่มเงยหน้าไปบนห้องใต้หลังคาของคฤหาสถ์หรู แต่เมื่อเขาใช้ปลายเท้ากระโดดจนสัมผัสกับหนังปูนเพื่อที่จะวิ่งบนกำแพงขึ้นไป กระแสคลื่นพลังบางอย่างที่แสนรุนแรงก็พุ่งเข้าใส่จนปีศาจสงครามกระเด็นออกจากคฤหาสถ์ไปนอนกองกับพื้น

                      “บอกแล้วไงว่า ไม่หลุดมือไปแน่นอนพ่อหนุ่มรูปหล่อ” เสียงหวานใสดังขึ้น ภพที่ลุกขึ้นมายืนดังเดิมโดยไร้ซึ่งบาดแผลหรี่ตามองผู้ขัดขวางตรงหน้า

                      “ไม่ให้เข้าไปในคฤหาสถ์ของนายท่านได้หรอกนะ” หญิงสาวยังคงอยู่ในชุดนักศึกษารัดรูปกระโปรงสั้นทรงเอ นางแบบสาวดาวคณะนั่นเอง “สวัสดีเรายังไม่ได้แนะนำตัวกันเลยนี่ ฉันชื่อเรไรจ๊ะ” สาวเจ้ายิ้มหวานแฝงอันตราย

      ภพถอนหายใจยาวนัยน์ตาสีน้ำเงินของเขาแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงอีกครั้ง

      ดูท่าจะเสียเวลามากกว่าที่คิด

       

                      “ว๊าก! เมฆร้องโวยวายเสียงลั่นเช่นเคยเนื่องจากปลาหน้าตาพิลึกที่พยายามวางลงหม้อนั้นไม่ใช่แค่ดิ้นแต่พยายามใช้ฟันราวมีดนั้นงับมือของผู้ช่วยมือสมัครเล่น

                      เจ้าปลาหน้าพิลึกนี้มีลำตัวที่ยาวและใหญ่แทบเท่ากับคน มีตาดวงเดียวอยู่ตรงกลาง ปากบานออกแถมกว้างและมีฟันซี่แหลมอยู่ข้างใน ครีบของมันยาวออกมาระเกะระกะขยับทีแทบตบหน้าเมฆหงายหลัง ลำตัวอ้วนฉุ สีน้ำตาลอมฟ้า

                      “วางมันลงไปในหม้อที่ต้มเดือดอยู่นั่นแหละ” เมร์ออกคำสั่ง

      หม้อนั้นวางอยู่กลางโต๊ะกระจกมีขนาดที่พอจะให้คนตัวใหญ่ลงไปต้มได้ทีเดียว เมฆรีบโยนมันลงไปในทันทีทำ

      เอาน้ำต้มสุกแทบแตกกระจายออกจากหม้อ เขาหันไปสังเกตตัวจุดไฟใต้หม้อต้มซึ่งเป็นหินทรงสี่เหลี่ยมหลายขนาดหลากสีให้ความร้อนและไฟออกมาโลมเลียหม้อ หินพวกนี้ขยับได้เองและสามารถให้ปริมาณไฟได้ตามต้องการเมื่อออกคำสั่ง

                      “หรี่ไฟหน่อยฉันต้องการให้มันอมน้ำจะได้เปื่อย” เชฟหญิงออกคำสั่งและไฟก็หรี่ลง ไฟเหล่านั้นขยับลามเลียหม้อราวกับมีชีวิต

                      บนโต๊ะครัวของทั้งคู่ตอนนี้เต็มไปด้วยอาหารและเสียงการประกอบอาหารดังไปทั่ว หัวโต๊ะคือวัตถุดิบต่างๆมีโถแก้วขนาดต่างๆวางเรียงอยู่ ในขวดหนึ่งมีลูกทรงรีหลายสีเต้นดีดอยู่ในนั้นมากมาย โถอีกอันมีแมงกระพรุนที่หางของมันส่องเรืองแสงออกมาสีขาวสว่าง แต่โถที่ถัดมากลับมีของเหลวสีดำข้นคลั่กซ้ำยังหมุนไปมาในโถไม่ยอมสงบเสียที ที่โถอันสุดท้ายมีรูปทรงอ่างบัวกว้างไม่มีฝาปิดเหมือนอันอื่นมีไข่ลายเหมือนไข่นกกระทาแต่หลายขนาดตั้งแต่เล็กเท่าเหรียบาทแต่ใหญ่เท่าฝ่ามือและมีเครื่องปรุงมากมายวางอยู่ทั้งเครื่องปรุงที่เห็นในร้านค้าทั่วไปและเครื่องปรุงที่ไม่เคยเห็นเช่นพริกไทยเม็ดใหญ่ที่มีสีชมพูดำสลับกันเป็นชั้น และผงหลากหลายสีในหล่องเล็กๆหลายใบ

      และมีอุปกรณ์ครัววางเรียงถัดมาถีงเขียง มีด ช้อน ส้อม มีดปกผลไม้ จาน ชาม ตะหลิว กระชอน ที่ตีไข่ หลายขนาดซึ่งมีตั้งแต่เล็กเท่านิ้วก้อยและใหญ่เท่าตัวคน ซ้ำยังมีของหน้าตาประหลาดวางอยู่ด้วย เช่นมีดบางเล่มมีลักษณะเป็นทรงกลม บางอันด้านคมเป็นซี่ๆขนาดใหญ่ บางอันโค้งงอราวกับตะคอ ส้อมบางคันก็มีถึงสิบง่าม บางคันมีง่ามเดียว

      จากอุปกรณ์ทำครัวคือเมรวัลย์ที่กำลังหั่นผักที่มีรูปทรงเหมือนแครอทแต่เป็นสีน้ำตาลใบหัวของมันหงิกงอและมีสีดำทั้งยังขยับได้ เธอหั่นเป็นแว่นภายในไม่กี่วินาทีแล้วส่วนที่หั่นนั้นก็ลอยไปลงกระทะแบนขนาดเล็กเท่าฝ่ามือที่ตั้งไฟอยู่ข้างๆ นั้นก็มีกระทะอีกหลายใบหลายขนาด และบางใบก้นลึกเท่าจาน บางใบก้นขึ้นมาถึงขอบกระทะ บางใบมีหลุมทรงสี่เหลี่ยมอยู่ตรงกลาง และมีหม้อถัดมาคือหม้อต้มปลายักษ์ที่เมฆเพิ่งลงต้มเมื่อครู่มันดิ้นพล่านจนน้ำเดือดกระเซ็นอย่างอันตราย และหม้ออีกหลายใบหลายขนาดเช่นเดียวกับกระทะ ท้ายโต๊ะคือเตาอบสองเตา เตาหนึ่งเป็นเตาธรรมดาอีกเตาเป็นเตาอบที่มีชีวิต มันเป็นสัตว์หน้าขนมีใบหน้า หน้าท้องเปิดปิดได้เองและตั้งอุณภูมิตามต้องการ มีอ่างล้างจานปิดท้าย

       เมรวัลย์ก้มลงไปที่ใต้โต๊ะหยิบผักออกมามากมายกองลงบนเขียงขนาดเท่าคนและบอกลูกชายว่า “เอาผักพวกนี้ไปต้มทั้งหมด แล้วเอาดอกม่วงไหม้[9]ไปผัดลงกระทะกับผงซีรน[10]” ว่าแล้วก็โยนดอกไม้สิบสองกลีบสีม่วงให้ลูกชายและยื่นผงสีม่วงอมน้ำเงินให้

      เมฆรับตั้งกระทะขณะรอให้ร้อนก็เอาผักอื่นๆไปต้ม “แล้วจะผัดทั้งดอกนี่หรือครับ แล้วต้องใช้ผงประมาณเท่าไหร่เหรอแม่?” เจ้าหนุ่มแว่นเม้มปากอย่างกังวลใจ เจ้าตัวแทบจะไม่เข้าครัวมาก่อนเลย

      “สองช้อนชา เวลาผัดให้หมุนมือไปทิศทวนเข็มนาฬิกาสองครั้งและตามเข็มนาฟิกาสองครั้ง เมื่อมีละอองสีม่วงออกมาให้ใส่น้ำสีดำในโถลงไปและเอาขึ้นได้เลย” ผู้เป็นแม่ตอบและหันไปหยิบเนื้อสัตว์สีส้มราวเปลือกส้มชิ้นใหญ่จากตู้แช่งแข็งใต้โต๊ะออกมา

      เมฆจึงรีบทำตามคำสั่งและเมื่อเขาใส่จานก็พบว่าดอกม่วงไหม้ส่งกลิ่นหอมเหมือนเนื้อวัวและเปลี่ยนเป็นสีฟ้า ขณะที่เอาไปวางที่โต๊ะกลาง ตอนนั้นเองที่เขาเหลือบมองไปยังครัวฝ่ายตรงข้าม ครัวอีกฝั่งมีการจัดวางเหมือนกันแต่วัตถุดิบในโถไม่เหมือนกัน มันเหมือนมีเนื้อสีแดงฉานดองอยู่อย่างน่ากลัว ฝ่ายนั้นนำกระทะเท่าคนมาตั้งไฟแล้วพักใหญ่

      และมีเนื้อถูกทอดอยู่ในนั้น และเมฆก็เห็นมือมนุษย์ห้อยตกลงมาจากขอบกระทะ

                 เขากลืนน้ำลายหน้าซีดขึ้นมาทันใดรีบวิ่งกลับไปยังครัวตัวเอง  ขณะนั้นเมร์สนใจเพียงอาหารของตนเองเธอหยิบมีดทรงตะขอสับเข้าไปยังเนื้อสีส้มอย่างรวดเร็วซึ่งเหมือนทุบลงไปมากกว่า เนื้อเหล่านั้นออกมามีรูปทรงเหมือนตะขอทั้งสิ้นออกมาทีละชิ้น ทีละชิ้น แล้วเธอก็นำผักที่ต้มมาเด็ดวางซ้อนลงไปตามด้วยผักสีน้ำตาลที่รูปร่างเหมือนแครอทและทับด้วยชิ้นเนื้ออีกที่เหมือนแฮมเบอร์เกอร์แต่ซ้อนกันสูงหลายชั้น เมร์วางลงบนจานและนำไปยังเตาอบสัวต์หน้าขน

      เมื่อเตาอบนั้นเห็นขนาดมันก็ขยายขนาดหน้าท้องหรือเตาให้เท่ากับสิ่งของ

      “อบไฟแรงสิบห้านาทีนะ”เชฟหญิงบอก

      เจ้าสัตว์หน้าขนพยักหน้ารับ เมฆมองมันอย่างพิศวงเล็กน้อย

      “เมฆ เอาโครงแบนมาแล้วก็เอาเนื้อมัลลอน[11]ที่ทอดอยู่ขึ้นใส่จานมาให้แม่ด้วย” ผู้เป็นแม่ออกคำสั่งขณะที่หันไปให้ความสนใจกับเจ้าปลาตาเดียวที่เริ่มสุกแล้ว เธอโรยผงสีฟ้าอมเขียวลงไปและทันใดนั้นน้ำต้มสุกก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำทะเล

      “โครงแบน? เนื้อมัลลอน?” เจ้าตัวทำหน้ามุ่ยไม่เข้าใจพลางขมวดคิ้ว

      “โครงแบนเป็นอุปกรณ์ทำอาหารอยู่ตรงที่วางอุปกรณ์ครัวน่ะ โครงวงกลมสามชั้นแต่ละชั้นมีแผ่นไม้ทรงกลมวางอยู่ ส่วนเนื้อมัลลอนน่ะทอดอยู่บนกระทะขนาดครึ่งคนนั่นไง ที่สีเขียวเหมือนใบไม้น่ะ”

      “อ๋อ ครับ” เมฆรีบวิ่งไปที่กระทะดังกล่าวตักเนื้อสีเขียวแผ่นหนาติดเอ็นลงบนเขียงตรงหน้าเมรัลย์ และรีบไปหยิบอุปกรณ์ดังกล่าวมาให้ในทันที

      เมรวัลย์ละความสนใจออกจากปลาเมื่อโรยกลีบดอกสีเหลืองขนาดเท่าฝ่ามือปิดท้าย เธอใช้ทัพพีแต่เป็นทรงแบนเรียบหนาเป็นเนื้อไม้สีฟ้าตักเนื้อปลามัลลอนลงบนแผ่นโครงชั้นสุดท้าย อุปกรณ์โครงแบนขยายออกเท่าชิ้นเนื้อ เมร์ใช้กำปั้นทุบไปที่แผ่นทรงกลมชั้นแรกอย่างไม่หนักมือนักและมันก็ทำงาน

      แผ่นแรกวิ่งลงไปทุบแผ่นที่สองและอัดลงมาทุบแผ่นสุดท้ายจนเนื้อชิ้นนั้นบี้เละ เธอปล่อยให้มันทำงานวนอยู่ห้ารอบก่อนออกคำสั่งหยุดและเทชิ้นเนื้อสีเขียวนั่นลงจาน มันมีลักษณะคล้ายเยลลี่ที่ถูกทุบจนละเอียด เมร์อัดมันลงบนแม่พิมพ์ทรงครึ่งวงกลมและวางลงบนจาน

      เมฆที่มองอาหารของแม่อยู่ก็ละสายตาไปมองอาหารของฝ่ายตรงข้ามที่เริ่มยกมาวางแล้ว มันดูดีทั้งๆที่ทำมาจากเนื้อมนุษย์ มีเนื้อทรงกลมแบนสวยสีชมพูเปล่งปลั่งถูกวางลงบนจานทรงวงรีราดด้วยน้ำสีขาวข้น และมีดอกไม้สีขาวที่มีกลีบซ้อนกันหลายชั้นถูกวางเรียงรอบจาน

      “เมฆไปเอาเนื้อนาเมรัย[12]ออกมาจากเตาอบด้วย”เมรัลย์หมายถึงเนื้อสีเปลือกส้มในเตาอบสัตว์หน้าขนซึ่งเมฆก็เข้าใจทันที เจ้าสัตว์หน้าขนเปิดหน้าท้องของตนออกมันเด้งออกมาเหมือนเตาไมโครเวฟภายในนั้นก็เหมือนไมโครเวฟทั่วไปแต่พนังรอบด้านรวมถึงพื้นเป็นเนื้อขนสัตว์และเมื่อเมฆเห็นอาหารในนั้นเขาก็ต้องเบิ่งตา

      อาหารที่เข้าไปอบกับตอนอบเสร็จทำไมถึงมีหน้าตาต่างกันขนาดนี้?

       

                ร่างสูงใหญ่นั้นกระโดดหลบใยสีขาวที่พุ่งออกมาจากฝ่ามือของปีศาจสาว มันพุ่งออกมาเป็นจำนวนมากและรวดเร็ว แถมบนเส้นใยเหล่านั้นยังมีแมงมุนตัวเล็กๆไต่ออกมาตามเส้นมากมายและระเบิดขึ้นอย่างไม่นัดหมาย และเมื่อระเบิดออกมาก็จะมีแมงมุมตัวเล็กๆกระจายออกมาจากร่างที่ระเบิดแล้ว ซึ่งคือการเพิ่มประจุระเบิดอีกทางหนึ่ง

      ถ้าไม่ใช่ปีศาจสงครามอย่างภพก็อาจจะตายไปแล้วก็เป็นได้ นัยน์ตาสีแดงนั้นยังคงจดจ้องศัตรูหรือปีศาจพญาแมงมุมโดยที่สีหน้ายังคงเย็นชาไร้อารมณ์

      “แหม่เห็นหนุ่มหล่อกำลังลำบากแล้วรู้สึกผิดจัง”นางพญาหัวเราะถูกใจ “ฉันล่ะชอบแกล้งคนหล่อๆแบบนายนักล่ะ ว่าแล้วว่าต้องมาที่นี่ ก็เมฆินทร์นั่นเป็นลูกของเมรัลย์นี่นะ”

                 “จะบอกว่ารู้อยู่แล้วงั้นเหรอ?” ภพพยายามให้อีกฝ่ายคายสิ่งที่อยู่ในใจออกมาขณะที่หลบลูกแมงมุมจำนวนมหาศาลที่พุ่งมาจากด้านหลัง เขาหันหลังไปวาดตัวอักษรที่อ่านไม่ออกเพียงเสี้ยววิแล้วแมงมุมเหล่านั้นที่พุ่งมาก็สลายกลายเป็นผงในทันที

      “อ่า...ลูกๆที่น่าสงสารของฉัน การต่อกรกับปีศาจสงครามนี่ยากเย็นจริงๆด้วยสินะ” เรไรยิ้มหวาน

      ภพกระโดดขึ้นฟ้าวาดตัวอักษรบางอย่างกลางอากาศเกิดอาวุธลอยออกมาจากตัวอักษรนั้นมันมีด้ามยาวเป็นเหล็กสีน้ำเงินตรงหัวเป็นกริชทรงโค้งขนาดเท่าหัวกระโหลก

      “ตัวอักษรเหล่านี้ อักษรไทยโบราณอย่างนั้นเหรอ”นางแมงมุมพึมพำ มองคมกริชนั่นราวกับมองตุ๊กตาหมีน้อย หยิงสาวยกมือขึ้นเหนือหัวแล้วใยมากมายก็บังเกิดขึนที่ปลายนิ้วนั่นมันขยายใหญ่จดบดบังร่างอรชรนั่น

      แต่ภพก็จับอาวุธพุ่งเข้าใส่ใยที่ราวเกราะนั่น มันทะลุใยไหมเหล่านั้นแต่ร่างของเรไรได้หายไปจากตรงนั้นแล้ว

      “แหม่เล็งผิดนะจ๊ะ” เสียงเรไรดังขึ้นกระซิบที่ข้างใบหูของภพ หญิงสาวถือวิสาสะโอบกอดอีกฝ่ายจากด้านหลังจนมือเรียวสัมผัสถึงอกแกร่ง “ขยับไม่ได้ใช่ไหมล่ะ ก็มีใยของฉันตรึงอยู่นี่ แต่คราวนี้เป็นใยที่คมกว่าใยขาวนะ นี่เป็นใยสีดำ”

      ตามดั่งที่พูด ใยสีดำที่ก่อนหน้านี้มองไม่เห็นนั้นมัดขาและแขนทั้งสองของชายหนุ่มตรึงอยู่กลางอากาศ ใยเหล่านั้นถูกชักร้อยเรียงทอดยาวไปถึงพนังคฤหาสถ์เหนียวและยากที่จะตัดขาด อาวุธร่วงหล่นนอนกองกับพื้น แต่ถึงอย่างนั้นดวงหน้าเหลาคมเข้มนั่นก็ยังไร้อารมณ์

      “แหม่จะไม่เปลี่ยนสีหน้าหน่อยเหรอ” เรไรว่า หญิงสาวพญาแมงมุมในคราบนักศึกษาสาวนั่งบนใยสีดำของตนมองเหยื่อตรงหน้า “อยากเห็นคนหล่อร้องอ้อนวอนขอชีวิตจัง” เสียงเซ็กซี่นั้นเต็มไปด้วยความมาดร้าย แววตานึกสนุก

      “นั่นคือจุดประสงค์ของเธอเหรอ?” เขาถามอย่างชาและนั่นทำให้อีกฝ่ายยิ้มถูกใจ

      เรไรเดินเข้าไปบนใยที่ตรึงร่างของชายหนุ่มไว้ ใช้มือโอบคอร่างของปีศาจสงครามไว้ด้านหลัง เธอลูบดวงหน้าหล่อเหลา “จะฆ่าทิ้งก็น่าเสียดายหน้าหล่อๆนะ” เมื่อสิ้นคำก็จุมพิตลงบนริมฝีปากของปีศาจหนุ่ม

      และ... “จับได้แล้วสินะ” ภพบอกเมื่อหญิงสาวถอนริมฝีปากออก พญาแมงมุมขยับไม่ได้ในชั่วขณะ เธอรู้สึกถึงอักษรไทยโบราณถูกเขียนลงบนลิ้นของเธอ

      “ไม่ใช่แค่นิ้ว แต่ลิ้นก็ตวัดวาดตัวอักษรได้งั้นเหรอ!เรไรตวาดเธอต้องการพูดต่อแต่เสียงก็พลันหายไป

      “พิษแมงมุมของเธอน่ะใช้กับฉันไม่ได้ผลหรอกนะ” ภพบอกเสียงเย็น เขาบ้วนพิษสีม่วงลงพื้นและหันไปมองกริซด้ามยาวของตนเอง “คราม” เขาเรียกชื่ออาวุธ

      แล้วอาวุธของภพที่ตกลงสู่พื้นก็มีแสงสีฟ้าครามสว่างสไหวออกมากลายเป็นบุรุษหนุ่มผมสีเงินกริช ดวงหน้าคมคาย ปกปิดรูปกายด้วยชุดคลุมสีน้ำเงินที่ซ้อนกันถึงสามชั้น มีเข็มกลัดตัวอักษรโบราณกลัดติดผ้าอยู่ที่อกซ้าย มีกำไลข้อเท้าสีเงินอยู่เท้าขวา ชายหนุ่มผมสีกริชกระโดดขึ้นมาใช้สันมือตัดใยสีดำเหล่านั้นออกอย่างไม่เกรงกลัวใยดำเหนียวนั่นเลย

      ปีศาจหนุ่มที่หลุดจากพันธนาการก็ยืนอย่างมั่นคงอีกครั้งบนพื้นรับร่างปีศาจแมงมุมไว้ทันท่วงที แล้วร่างของเรไรก็กลายเป็นแมงมุมแม่ม่ายดำ[13] ปีศาจสงครามแบมืออีกข้างออก ปรากฎกล่องใสใบเล็ก เขาใส่แมงมุมไว้ในนั้นก่อนยัดเข้าไปในกระเป๋ากางเกง แล้วอาวุธของเขาก็ร่วงลงมาสู่มือกลับมาเป็นกริชเล่มยาวดังเดิมก่อนที่มันจะหายไปตามคำสั่งเจ้าของ ภพหันมามองเจ้าแมงมุมในกล่อง

      เอาไปให้นายหญิงจะดีกว่า

      ภพขมวดคิ้วแล้วเขาก็กระโดดขึ้นไปบนหลังคาเพื่อหาเกสรดอกดรันให้ทันเวลา

       

      “หมดเวลา!

      เสียงของเจ้าสัตว์หน้าขนที่ควรยืนต้อนรับลูกค้าอยู่หน้ารั้วนั่นประกาศเสียงดังเมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมงเต็มพร้อมกับอาหารที่วางเรียงร้อยอยู่บนโต๊ะทั้งสอง

                  โต๊ะตัวหนึ่งมีอยู่เจ็ดเมนูพอดิบพอดี ทั้งสองฝ่ายมีอาหารหน้าตาผิดธรรมดาแต่สวยงามน่าทานเป็นที่สุด ฝั่งของเมรวัลย์กับเมฆนั้น วางผัดดอกม่วงไหม้ไว้จานแรก ถัดมาเป็นต้มชามใหญ่ที่ต้องใช้คนสองคนถือทีเดียว ในชามเป็นซุปสีช็อคโกแลตข้นแต่แน่นอนว่าไม่ใช่ช็อคโกแลตและมีไอสีน้ำตาลโชยกรุ่นออกมาในซุปมีก้อนเนื้อทรงสามเหลี่ยมสีหยกลอยอยู่ ถัดมาอีกคือเนื้อสีเขียวมีเอ็นที่ถูกทุบจนเหมือนเยลลี่มันถูกวางอยู่กลางจานเป็นครึ่งวงกลมและมีสิ่งที่เหมือนมูสครีมสีขาวถูกจัดอยู่ตามมุมจานแต่สิ่งที่เหมือนมูสครีมนั่นกลับเปลี่ยนสีไปต่างๆนาๆสลับกันไปราวกับสีรุ้ง

       ถัดจากจานที่หน้าตาเหมือนของหวาน คือจานทรงแก้วที่ก้นนูนลงมาคล้ายแก้วไวน์ลอยอยู่บนโต๊ะ ในนั้นมีผักถูกหั่นเป็นแว่นบางๆซ้อนกันอยู่ เนื้อเหมือนมันฝรั่งแต่มีทั้งสีเนื้อสีน้ำเงิน เทา เงินและทองสลับกันไปมาด้านบนถูกทาปิดทับด้วยเนื้อสีเหลืองทองพอดีขอบจาน มันจากเนื้อไหลลงไปในจานเป็นสีทองอร่าม และจานถัดมาเป็นจานที่เมฆนำออกมาจากเตาอบสัตว์หน้าขน เนื้อสีเปลือกส้มกลายเป็นสีแดงอมชมพูเปล่งปลั่งและมีน้ำสุราไหลออกมาจากเนื้อ ตามมาด้วยผักที่ถูกวางอยู่เป็นชั้นๆนั้นกลายเป็นเหมือนชีสเหนียวมันข้นที่ไหลทับเนื้อเหล่านั้น วัตถุดิบสีน้ำตาลที่หน้าตาเหมือนแครอทนั่นเองที่เป็นตัวที่หลอมเนื้อผักอื่นเข้าด้วยกันจนแทบดูไม่ออกว่าเป็นผักอื่นๆนั้นเป้นผักทั่วไปของมนุษย์เท่านั้น

      ถ้วยที่ใหญ่ที่สุดนั้นเป็นเมนูถัดมาเป็นถ้วยขนาดที่คนนอนลงไปได้ก็คือเจ้าปลาตาเดียวที่แทบงับมือเมฆนั่นเอง มันนอนเป็นอาหารอยู่ในถ้วย เนื้อเป็นสีขาวอมฟ้า โดยมีน้ำสีน้ำทะเลเป็นน้ำซุปและดอกสีเหลืองกลีบใหญ่โรยอยู่บนตัว และจานสุดท้ายเป็นแก้วทรงแจกันที่มีผักทรงกระบอกมากมายถูกแต่งเหมือนดอกไม้ ผักเหล่านั้นดูแล้วแข็งแต่นุ่มลิ้น แถมมีสีเหมือนสายไหมหลากสี ที่ยอดมีลักษณะเหมือนดอกบัวตูม

                      “น่าทานมากเลยนะ อาหารเหล่านี้มนุษย์น่ะทานได้ใช่ไหมแม่” เมฆหันไปถามด้วยแววตาเป็นประกาย เมรวัลย์ไม่ตอบคำถามลูกชายสีหน้านั้นมีความเศร้าเมื่อได้ยิน

                       “เฮอะไอ้อาหารปัญญาอ่อนแบบนี้น่ะลูกค้าของเราไม่มีวันชอบหรอก” ปีศาจวัวดูถูกและทำให้ทั้งสองหันไปมองเมนูบนโต๊ะนั่น อาหารเหล่านั้นตกแต่งออกมาดูสวยงามแต่เนื้อส่วนใหญ่เป็นสีชมพูสุกปลั่งซึ่งทายได้เลยว่าเป็นเนื้อของอะไร และจานที่เด่นที่สุดคือจานที่กินพื้นที่ไปเกินครึ่งโต๊ะ ในจานนั้นมีเนื้อสีขมพู สีเหลือง และสีน้ำตาลแทน ถูกปั้นเป็นก้อนกลมขนาดใหญ่เท่าลูกบาสเรียงเป็นแถวยาวสามชิ้น ราดด้วยน้ำสีแดงที่เหมือนสีเชอรรี่ โรยด้วยเม็ดกลมสีขาวเล็กๆ

      “เนื้อมนุษย์ผิวขาว ผิวเหลือง และผิวแทนสินะ น้ำราดนั่นก็ทำมาจากเลือดมนุษย์ที่นำไปเคี่ยวและใส่เครื่องปรุงจนหวานมันสีจึงออกมาเหมือนผลเชอรี่สุก” เพียงปรายตาเมรัลย์ก็รู้ถึงที่มาที่ไปของมัน เธอมองมันอย่างนึกรังเกียจ

      “เข้าใจถูกต้องแล้วล่ะ”ปีศาจวัวว่าพลางยิ้มเยาะ แล้วเจ้าปีศาจเป็ดก็ร่วมหัวเราะด้วย รวมถึงปีศาจตนอื่นๆที่นั่งอยู่บนโต๊ะแถวหน้าลามไปจนถึงลูกค้าวิญญาณปีศาจทั้งหลาย

      เมฆเดินถอยหลังผงะอย่างนึกหวาดหวั่นนัยน์ตาสีดำมีความหวาดกลัวเขามองไปยังคฤหาสถ์พลางสงสัยว่าภพจะหาเกสรดอกดรันพบรึยัง

       

               ในห้องใต้หลังคานั้นแม้มีพื้นที่แคบแต่ก็ทอดยาวออกไปไกล พื้นนั้นเป็นไม้เก่าๆที่จะส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเมื่อเดินแต่นั่นในกรณีของคนหรือปีศาจทั่วไป แต่ภพเป็นปีศาจสงครามเขาเดินราวกับลอยอยู่บนพื้น ในห้องใต้หลังคานั้นอัดแน่นเต็มไปด้วยกล่องรังมากมายที่วางระเกะระกะและวางเบียดอยู่บนชั้น

      ภพหรี่ตาเขาคาดไว้ว่าของอย่างเกสรดอกดรันไม่มีทางเอาไว้ในกล่องรังทั่วไปแน่เพราะเกสรของมันมีไอกลิ่นที่จะเล็ดลอดออกมาจากวัสดุอ่อนนุ่มนั้นได้

      ต้องอยู่ในกล่องเหล็ก และต้องถูกเก็บอยู่อย่างมิดชิด

      เขาพิจารณาชั้นวางของที่อัดแน่นซ้อนกันอยู่สามชั้นด้านกำแพงซ้ายมือ และภพก็วาดตัวอักษรลงบนอากาศอีกครั้ง ชั้นหนังสือเหล่านั้นขยับเลื่อนออกมาไปด้านข้างจนเผยให้เห็นสิ่งที่มันปกปิดอยู่ ประตูเหล็กที่คล้องกุญแจโซ่ตรวน

      เจอแล้ว!

       

      อาหารของทั้งสองฝ่ายถูกแจกจ่ายไปตามโต๊ะของลูกค้าทุกคนเพื่อตัดสิน เมฆปาดเหงื่อเขารู้สึกร้อนรนที่ยังไม่เห็นการกลับมาของภพทั้งๆที่เสียเวลาไปชั่วโมงกว่า เขาคงไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ปีศาจสงครามหรอกนะ

      แล้วนัยน์ตาสีดำใต้กรอบแว่นก็เหลือบไปมองอาหารจานเด่นของฝ่ายตรงข้ามอีกครั้ง และเขาก็เห็นประกายสีเงินที่เปล่งประกายอยู่ในเนื้อมนุษย์นั่น สำหรับอาหารของโลกวิญญาณนั้นเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ที่แปลกก็คือเขาเห็นประกายนั่นทุกโต๊ะอาหารที่ถูกเมนูนี้จัดวางและสีเงินของมันก็ค่อยๆกลายเป็นสีแดงอมเขียวอย่างน่าอันตรายพร้อมเสียงหัวเราะน่าขนลุกดังออกมาจากอาหารเหล่านั้น

      “เดี๋ยวก่อน ทุกคนอย่าเพิ่งกิน” หนุ่มแว่นร้องบอกก่อนจะหันไปทางปีศาจวัว “นายใส่อะไรที่เป็นประกายสีเงินลงไปรึเปล่า?”

      “พูดอะไรน่ะเจ้ามนุษย์รู้ว่าสู้ข้าไม่ได้เลยคิดหาเรื่องหลอกตางั้นเรอะ” เจ้าปีศาจเป็ดพยักหน้าเห็นด้วยเป็นที่สุด

      เมฆไม่สนใจเถียงเขาเดินไปที่อาหารนั่นขณะที่เมรัลย์มองลูกราวกับไม่เคยเห็นมาก่อน ดวงตาใต้เลนส์หนามองอาหารทรงกลมสามอันเรียงกัน เขาเห็นประกายสีน้ำเงินที่ส่องประกายอยู่ภายในเนื้อกลมนั่นอย่างชัดเจน ชายหนุ่มใช้มือจับประกายนั่นดึงออกมาจากอาหารโดยที่ตัวอาหารยังคงทรงรูปกลมได้ดังเดิมอย่างไม่น่าเป็นไปได้

      น้ำสีเงินข้นคลั่กไหลออกจากฝ่ามือเรียวของเมฆ

      “ยาพิษนี่ พิษใบครวญไห้[14]” ปีศาจสิงโตร้อง “อย่ากินอาหารนะ!

      เท่านั้นแหละความโกละหลก็เริ่มขึ้นราวผึ้งแตกรัง เมร์จึงร้องว่า “อย่าให้ใครออกจากที่นี่อาจมีคนร้ายปนอยู่”

      “ยะ อย่างนั้นเหรอ?” ปีศาจสิงโตร้อง จำต้องหันไปทางประตูเรือนกระจกด้วยแววตาถมึงทึง ทันใดนั้นประตูเรือนก็ถูกปิดก่อนที่จะมีใครก้าวออกไปด้วยอำนาจของปีศาจสิงโต

      “คนวางยาพิษเป็นโคหรือเปล่าสิงห์” ปีศาจแมวหันมาถามปีศาจสิงโตเรียกชื่อกันเองอย่างสนิทสนมทำเอาปีศาจวัวสะดุ้งตกใจกับข้อครหานั้น

      เมร์หันไปมองลูกชายอีกครั้งที่ยังยืนงุนงงกับการกระทำของตัวเอง “มาล้างพิษออกจากมือเถอะเมฆ” ผู้เป็นแม่บอกอย่างห่วงใยเดินไปที่อ่างล้างจานที่อยู่ถัดจากเตาสัตว์หน้าขน

      “แปลกจัง ผมดึงพิษออกมาได้ด้วย ก่อนหน้านี้ก็หายใจในน้ำได้” เมฆเอียงคออย่างสงสัยเมื่อเมร์ได้ยินก็มีแววตาที่เจ็บปวดแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมาขณะเปิดก็อกน้ำล้างพิษสีเงินออก

      เจ้าปีศาจวัวหันไปจ้องสองแม่ลูกอย่างแค้นเคืองก่อนเถียงว่า “ฉันจะเอาพิษมาใส่ในอาหารตัวเองทำไม ต้องเป็นไอ้มนุษย์ผู้ชายนั่นแน่ๆ” มันชี้ไปที่เมฆ “มีมนุษย์ที่ไหนเห็นพิษดึงพิษออกมาจากอาหารได้ มันต้องเป็นคนทำแล้วใส่ร้ายฉันเพราะพวกมันอยากชนะไงล่ะ”เป็นอีกครั้งที่เจ้าปีศาจเป็ดพยักหน้าเห็นด้วยเป็นที่สุด

      คำอธิบายที่เข้าทีนั้นทำให้ปีศาจและวิญญาณทุกตนหันมามองเชฟและผู้ช่วยมนุษย์ทั้งสองด้วยแววตาเคลือบแคลงก่อนที่เสียงพูดคุยปรึกษาจะดังขึ้น และดูเป็นเสียงที่ไม่สนับสนุนมนุษย์ทั้งสองเลยแม้แต่น้อย

      “จริงสิ มีมนุษย์คนนั้นคนเดียวที่เห็นนี่” เสียงในกลุ่มลูกค้าดังขึ้น

      “มนุษย์นั่นมากกว่าที่ใส่พิษแล้วตบตาเรา” เสียงปีศาจสาวตอบรับ

      “พวกมนุษย์น่ะเกลียดเราอยู่แล้วต้องเป็นมนุษย์แน่ๆ” อีกเสียงเสริมขึ้น

       “ไม่ใช่นะผมไม่ได้ทำ” เมฆร้องปฎิเสธ สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที แต่ไม่มีใครในที่นี้เชื่อถือ แม้แต่เมรัลย์ก็จนใจหาคำเถียงดวงหน้านั้นเคร่งเคียดยิ่งกว่าลูก แววตามีความทุกข์ที่มีเพียงตัวเองเท่านั้นที่เข้าใจ

      “อย่ามาโกหกนะ มนุษย์มันก็เหมือนกันหมดนั่นแหล่ะตอนเรามีชีวิตอยู่ก็หมายเข่นฆ่าเราเพื่อเป็นอาหารบนจานอ้างว่ากินเพื่อดำรงชีพแต่ที่แท้ก็เพียงลิ้มรสเราด้วยความอยาก พอเราตายกลายเป็นปีศาจเพราะแค้นพวกมัน เอาพวกมันมาทำเป็นอาหารกลับบอกว่าเป็นสิ่งน่ารังเกียจ ทั้งๆที่การกระทำของเราก็ไม่ได้ต่างจากพวกแกแท้ๆ ไอ้พวกที่ตั้งตนสูงส่งทั้งๆที่ตัวเองต่ำต้อยก็มีแต่มนุษย์โอหังอย่างพวกแกนั่นแหล่ะ” ปีศาจวัวระบายความแค้นออกมา

      “ไอ้คนที่วางยาพิษได้มีแต่มนุษย์เท่านั้น” เจ้าวัวดึงห่วงจมูกออกมา มันกลายเป็นดาบโค้งที่เจ้าของหมายฟันไปที่เมฆในทันที พร้อมเสียงโห่ร้องเชียร์ที่ดังลั่นจากเหล่าปีศาจเดรัจฉาน

      “หยุดนะ!”เมรัลย์ร้องเข้ามายืนบังเมฆปกป้องลูกชายตนเอง แต่เมฆไม่ยอมเขาดึงแขนผู้เป็นแม่ให้ออกห่าง

       ฉึก!

      ดาบโค้งที่เป็นอาวุธนั้นกระเด็นออกไปด้วยแรงเตะจนปักไปที่พื้น ภพเงื้อลูกเตะใส่อาวุธอันตรายนั่นก่อนที่จะถึงตัวแม่ลูกทั้งสองได้อย่างเฉียดฉิว

      “มนุษย์ที่แกแค้นกับมนุษย์ที่ยืนอยู่ตรงนี้ไม่ใช่คนเดียวกัน ปีศาจอย่างพวกแกกับปีศาจอย่างฉันก็แตกต่างกัน โลกเราไม่ได้แบ่งเพียงขาวกับดำ เจ้าปีศาจวัวหน้าโง่”ปีศาจสงครามเอ่ยปากสั่งสอน

      “ขึ้นไป!” ดวงหน้าหล่อเหลานั้นหันมาออกคำสั่งกับเมร์และเมฆ และทั้งสองก็เข้าใจในวินาทีต่อมาเมื่อม้านิลมังกรหรือน้ำนิลบินพุ่งลงมาหาทั้งสอง

      สองแม่ลูกรีบขึ้นไปบนกิเลนน้อยที่รีบโผบินขึ้นมา ขณะที่ภพใช้หมัดชคไปที่ดวงหน้าเจ้าปีศาจวัวเต็มรักและกระโดดสูงตามขึ้นมานั่งอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า เมฆก้มหน้ามองลงไปยังเบื้องล่างเห็นเจ้าปีศาจวัวนอนหงายอยู่บนพื้นด้วยสีหน้ามึนตึง ปีศาจตนอื่นๆเงยหน้ามามองพร้อมฝูงกลุ่มลูกค้าด้วยสายตาอาฆาต เมฆกลายเป็นฆาตกรวางยาพิษไปเสียแล้ว

       

      “พิษใบครวญไห้อย่างนั้นเหรอ?” ดวงหน้าสวยสง่าของรักหันมามองขวดใสสีเหลี่ยมที่มีจุกใหญ่สีน้ำตาลไหม้ปิดอยู่ บนจุกถูกเขียนดัวยอักขระอักษรไทยโบราณ ของที่อยู่ข้างในนั้นคือผงสีเงิน

      “ผมเจอมันอยู่ในประตูเหล็กที่มีเกสรดอกดรันอยู่ในนั้น และเมฆก็พบมันในอาหาร” ภพอธิบายนัยน์ตาสีน้ำเงินสวยนั้นยังคงเย็นชาแต่มีแววอ่อนโยนเล็กๆเมื่อมองหญิงสาวตรงหน้า “และก็มีผงยาพิษหลายชนิดถูกเก็บรวมอยู่”

                 “รวมทั้งยังมีนางพญาแมงมุมไว้เฝ้าของพวกนั้นด้วยงั้นสินะ” รักมองกล่องใบเล็กที่มีแมงมุมม่ายดำที่ยังคงขยับเขยื้อนไม่ได้อยู่ภายใน เธอถือมันและจ้องมองอย่างละเอียด“คนที่เป็นเจ้าของคฤหาสถ์นั่นและคนที่นำยาพิษไปใส่ในอาหารต้องเป็นคนเดียวกันแน่และมีจุดประสงค์ให้เมฆเห็นมันเสียด้วย” รักเดินมาที่กระจกของตนเฝ้ามองภาพที่สะท้อนอยู่บนนั้นด้วยแววตานิ่งสงบ เป็นภาพของเมฆและนพที่อยู่ในห้องพักของริน

                      “คนที่ใส่ยาพิษหวังใส่ร้ายเมฆิณทร์อย่างนั้นเหรอครับ?” ภพถามเสียงเรียบ

                      “ที่น่ากลัวคืออีกฝ่ายรู้จักเมฆและรู้จักพลังของเด็กคนนั้นอย่างดี เมรัลย์คงห่วงเรื่องนี้แหละนะ” หญิงสาวถอนหายใจนัยน์ตาสีรัตติกาลครุ่นคิดและยังคงมองภาพสะท้อนบนกระจกเผยมายา “เมนูสำคัญเสร็จแล้วสินะ”

                      “ครับ นายหญิง ฟูกับเมรัลย์ช่วยกันทำจนเสร็จเมื่อครู่ แล้วนพก็พาเมฆไปที่โรงพยาบาลแล้ว”

                      “เมนูน้ำลารัตติกาล[15] ยาวิเศษที่ต้องใช้เชฟระดับคนุตสองตนและวัตถุดิบหายาก ยังถือว่าเมฆโชคดีทีเดียวที่ได้เกสรดอกดรันจากร้านอาหารนั่น แต่น้ำนี้เจ้าหญิงนิทราคงดื่มทางปากไม่ได้ ต้องผสมลงน้ำเกลือเท่านั้น”

                     

                      เป็นครั้งแรกที่เมฆตั้งใจโดดเรียนในเช้าวันนี้ เมื่อคืนเขากับนพลอบเข้าไปในโรงพยาบาลยามดึกสงัดซ้ำนพยังแอบหยอดเมนูสำคัญลงน้ำเกลือและต้องรอผลตอนเช้า สมเป็นปีศาจสงครามที่ทำให้ไม่มีภาพพวกเขาอยู่ในกล้องวงจรปิดใดๆ เมฆไม่ได้สนใจเวทมนต์หรืออำนาจใดที่นพใช้เขาสนใจอย่างเดียวว่ารินต้องฟื้น หลังเลิกงานแม่ของเขาก็จะรีบมาพบริน     ชายหนุ่มสาวเท้าเข้าไปยังโรงพยาบาลโดยมีนพเดินตามไปติดๆ ขึ้นลิฟต์ไปสู่ชั้นเป้าหมายด้วยใจลุ้นระทึก และเมื่อเปิดห้องเข้าไป...ไม่มีใครอยู่ในห้องนั้น บนเตียงนอนว่างเปล่า...

                      “เกิดอะไรขึ้น? ทำไมริน...” เขาหันไปมองนพอย่างกังวล แต่ดวงหน้าหล่อเหลานั่นก็ยังคงมีรอยยิ้มประดับใบหน้า

                      “ตกใจล่ะสิ” เสียงใสดังขึ้น ร่างบอบบางร่างหนึ่งกระโดดกอดเมฆจากด้านหลัง ทำเอาหนุ่มแว่นตกใจต้องหันไปมอง ณ นาทีที่นัยน์ตาใต้เลนส์หนาได้สบกับนัยน์ตาที่เคยปิดสนิทอยู่ใต้เปลือกตา น้ำตาของเขาก็เอ่อล้นออกมาด้วยความปิติ หัวใจเบิกบานราวกับมันไม่เคยเต้นได้ดังท่านี้มาก่อน

                      “ริน” เขาร้องหันไปกอดอีกฝ่ายก่อนจะปล่อยและจับไหล่ถาม “ลุกจากเตียงไม่เป็นไรเหรอ?”

                      “ใช่ เมื่อเช้าตื่นมารู้สึกสดชื่นและแข็งแรงมากเลยล่ะ เมื่อกี้เห็นเมฆออกจากลิฟต์เลยมาหลบอยู่หลังประตูน่ะกะแกล้งให้ตกใจ ตอนนี้แม่ออกไปซื้อนิตยสารมาให้อ่านเลยไม่ได้อยู่ในห้องน่ะ” หญิงสาวเอ่ยอย่างร่าเริงก่อนหันไปทางนพ

                      “เพื่อนเมฆเหรอ หวัดดีจ๊ะรินนะจ๊ะ” รินทักทายแย้มยิ้มหวาน

                     

                      ภาพช่วงนาทีแห่งความสุขนั้นก็ได้ถูกสะท้อนบนกระจกคู่ใจของรักเช่นกันเจ้าของร้านสาวสวยแย้มรอยยิ้มอ่อนโยนที่หาได้ยากเมื่อมองภาพนั้นแต่แววตากลับเศร้าระทมทุกข์

      ลูกชายของท่านต้องมาอยู่กับรักผู้นี้ ช่างน่าขบขันยิ่งนัก

       


      [1] แมลงปีกฟ้าหมอง เป็นแมลงในเกาะทิวสายสี จะบินอยู่ตามดอกบัวควันหลงเพื่อรอให้สิ่งมีชีวิตที่ถูกความสวยงามของดอกบัวหลอกล่อมาหาและจัดการดูดเลือดของสัตว์หรือคนๆนั้นเสีย ส่วนดอกบัวควันหลงเป็นคอกบัวที่ขึ้นเมื่อเกิดควันจากสรรพสัตว์ในเกาะ จะดูดพลังชีวิตของผู้มาเชยชมตนเพื่อหล่อเลี้ยง

      [2] เป็นเมนูที่ใช้ไข่ม้าทับทิมต้มลงหม้อกับน้ำซุปที่ต้มจากกระดูกม้าโรยผงเลม(ผงแต่งกลิ่นเฉพาะของโลกวิญญาณ)ซอสนั้นมาจากเลือดของแมลงขวัญข้าวจากป่าทิวสายสี ลักษณะคล้ายผึ้งแต่ตัวใหญ่กว่าสองเท่าและมีลำตัวอ้วนกว่า เลือดเป็นสีชมพู

      [3] เป็นผลไม้ในโลกวิญญาณ

      [4] พิซซ่าที่ทำจากเนื้อปีศาจจารังเป็นปีศาจที่อาศัยในหุบเขาหัวกระโหลกผิวเหมือนวัวแต่ลักษณะเป็นเสือและหางเป็นวัวเช่นกัน

      [5] เมล็ดข้าวในโลกวิญญาณมีสิบสามแบบส่วนเมล็ดข้าวลูกไม้เมฆนั้นจะเป็นทรงกระบอกจะนุ่มปากและละลายง่ายราวกับนั่งบนปุยเมฆ

      [6] โดเบอร์แมน หรือ โดเบอร์แมนน์ เป็นสุนัขที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศเยอรมนี โครงร่างสง่างาม กล้ามเนื้อเห็นชัดเจน ผิวสีดำ

      [7] เป็นเกสรจากดอกดรันที่กำเนิดขึ้นจากพลังวิญญาณในซากศพของสัตว์ที่มีพลังวิญญาณสูงและจะหาได้จากหุบเขาหัวกระโหลกเท่านั้นเพราะดินที่นั่นจะอุ้มเลือดศพสัตว์เหมาะกับการเติบโตของดอกดรัน

      [8] เป็นหุบเขาที่ไม่มีสถาณที่แน่นอน จะพบเมื่อเกิดหมอกหนาตอนกลางคืนและต้องเป็นผู้มีพลังวิญญาณสูงเท่านั้น

      [9] ดอกไม้ที่ขึ้นในเกาะทิวสายสี จะขึ้นในโพรงถ้ำมรกตเท่านั้น

      [10] ผงแต่งรสของโลกวิญญาณ เก็บจากประกายเงาพระจันทร์ที่สะท้อนในลำธารของเกาะทิวสายสี

      [11] เป็นเนื้อปลาชนิดหนึ่ง ปลาสีเขียวหน้าตาเหมือนปลาบู่แต่ครีบที่หางยาวเกือบเท่าตัว น่าประหลาดก็คือไม่มีก้างแต่มีกระดูกและเนื้อเอ็นแน่น อยู่ในลำธารของเกาะทิวสายสีเช่นกัน

      [12] เป็นสัตว์ที่หน้าตาเหมือนกวางแต่ลำตัวและหางเป็นสุนัข ชื่นชอบรสสุรา เวลาอยากจับสัตว์ตัวนี้ให้ใช้สุราชั้นดีหลอกล่อ

      [13] เป็นแมงมุมขนาดเล็ก พบได้ในหลายประเทศ แมงมุมตัวเมียมักจะกินแมงมุมตัวผู้หลังจากผสมพันธุ์

      [14] พิษที่สกัดจากใบครวญไห้ซึ่งจะขึ้นเป็นสีเงินจะบนศีษะของสัตว์ที่มีไอพิษในร่างสูงซึ่งอาศัยในหุบเขาหัวกระโหลกเช่นกัน

      [15] เป็นน้ำสีใสบริสุทธิ์สกัดจากดวงตาและหัวใจม้าทับทิมผสมกับเกสรดอกดรันจะช่วยเพิ่มฟื้นฟูกำลังถือเป็นยายืดอายุอีกด้วย

      หัวข้อ การตามล่าหาวัตถุดิบทำอาหารในโลกแฟนตาซี

      ขนาดตัวอักษร Cordia New 14 มี 30 หน้าค่ะ
      ในเด็กดีขยายตัวอักษรให้อ่านง่ายขึ้นนะคะ

      คอมเมนท์กันได้นะคะ

       


       

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×