ผู้เข้าชมรวม
2,374
ผู้เข้าชมเดือนนี้
4
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
สารปนเปื้อนในอาหาร สารปนเปื้อนในอาหาร เป็นสารพิษที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติและจากการกระทำของมนุษย์ ซึ่งมีผลทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายจนถึงเสียชีวิตได้ สารปนเปื้อนในอาหารแบ่งตามลักษณะการเกิดได้ 2 ประเภทคือ 1. สารพิษที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แบ่งออกตามชนิดของสารพิษได้ดังนี้ 1.1 สารพิษจากเชื้อจุลินทรีย์ เช่น สารอะฟลาทอกซิน (aflagoxin) ซึ่งเป็นสารสร้างจากเชื้อราพวกแอสเพอร์จิลลัส (aspergillus spp) รานี้เจริญได้ดีในถั่วลิสงและเมล้ดพืชที่ชื้น ซึ่งความร้อนสูงไม่สามารถ 1.2 สารพิษจากเห็ดบางชิด ทำให้เมา มีอาการคลื่นไส้ และอาเจียน 1.3 สารพิษในพืชผัก
2. สารพิษที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ ส่วนให่เป็นผลมาจากความเจริญทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เรานำมาใช้ใน 2.1 สารตกค้างจากการเกษตร เช่น ดีดีที ปุ๋ย ยาปราบศัตรูพืช ซึ่งอาจสะสมในอาหาร เมื่อรับประทาน
2.2 สิ่งเจือปนในอาหาร แบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ 1. สารกันอาหารเสีย เป็นสารที่ช่วยให้อาหารคงสภาพ รส กลิ่น เหมือนเมื่อแรกผลิตและเก็บไว้ 2.สารแต่งกลิ่นหรือรส เป็นสารที่ช่วยให้อาหารมีรสและกลิ่นถูกใจผู้บริโภค หรือใช้แต่งกลิ่นรส
- เครื่องเทศ 3. สีผสมอาหาร เป็นสีที่ใส่เพื่อจะช่วยแต่งเติมให้อาหารน่ารับประทานยิ่งขึ้น มีทั้งสีจากธรรมชาติซึ่ง สารพิษปนเปื้อนในอาหารที่ควรทราบมีดังนี้ 1.ดินประสิว (โพแทกเซียมไนเตรต)มีสูตรเคมีKMO3 นิยมใส่ในอาหารประเภทเนื้อหมู เนื้อปลา 2.ปรอท พิษของสารปรอทที่ไปสะสมในสมอง ทำให้ประสาทหลอน ความจำเสื่อม เป็นอัมพาต 3.ตะกั่ว พิษตะกั่วเกิดจากสีและไอเสียรถยนต์ จะทำลายเซลล์สมอง ทำลายเม็ดเลือดแดง ปวดศีรษะ 4.โครเมียม สารประกอบของโครเมียมใช้ทำสีย้อม พิษของโคเมียมเป็นอันตรายต่อผิวหนังและปอด 5.แคดเมียม มีพิษต่อปอดและไต ทำให้เกิดโรคอิไต-อิไต 6.สารหนุ ทำให้เกิดโรคไข้ดำ มีอาการเจียน ปวดท้องรุนแรง เป็นตะคริว 7.สารกันบูด สารที่นิยมใช้เป็นสารกันบูด ได้แก่ กรดซาลิวาลิก กรอดบอริก และดวเดียมเบนโซเอต 8.น้ำประสานทองหรือบอแร็กซ์ มีชื่อทางเคมีว่า “โซเดียมบอเรต (sodium borate)” ชาวบ้าน เรียกว่า “ผงกรอบ” หรือคนจีนเรียกว่า “เพ่งแช” ใช้ใส่ลูกชิ้น แป้งกรอบ ทำให้ไตอักเสบได้ 9.ผงเนื้อนุ่ม คือบอแรกซ์ผสมโซเดียมไฮโดรเจนคาร์บอเนต สารนี้ซึมเข้าสู่ผิวหนังได้ ทำให้เกิดอาการคล้ายเยื่อหุ้มสมองอักเสบ มีพิษต่อไตและเซลล์ต่างๆของร่างกาย 10.น้ำตาลเทียม คือสารให้ความหวานแต่ไม่ใช่น้ำตาล เช่น - ซอร์บิทอล หวานกว่าน้ำตาลทราย 2 ใน 3 เท่า - ไซคลาเมต หวานกว่าน้ำตาลทราย 30 เท่า - แอสพาร์เทม หวานกว่าน้ำตาลทราย 180 เท่า ใช้แทนน้ำตาลในเครื่องดื่ม ลูกกวาด หมากฝรั่ง - ขัณฑสกรหรือแช็กคาริน หวานกว่าน้ำตาลทราย 550 เท่า เป็นน้ำตาลเทียม ถ้ารับประทานมากจะเกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน ชัก ใช้แทนน้ำตาลทรายสำหรับผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานและผู้ที่อ้วนมาก อาหารบางชนิดเป็นพิษต่อผู้บริโภค ซึ่งอาการที่เกิดจากสารพิษแต่ละชนิดจำแนกได้ 2 ลักษณะ คือ 1. อาการเป็นพิษแบบเฉียบพลัน คือการเกิดอาการเป็นพิษภายหลังจากรับประทานอาหารนั้นๆเข้าไปไม่ 2. อาการเป็นพิษแบบเรื้อรัง คือการเกิดอาการเป็นพิษเนื่องจากรับประทานอาหารที่มีสิ่งเป็นพิษปะปนอยู่ในปริมาณน้อยและมีการสะสมอย่างต่อเนื่องมากขึ้นทุกวันจนมีปริมาณสารพิษในร่างกายมากขึ้น อาการจึงจะแสดงออกมาตามลักษณะอาการของพิษและชนิดของสาร แนวทางการปฏิบัติตนให้ปลอดภัยจากสารปนเปื้อนในอาหาร มีดังนี้ 1. เลือกซื้ออาหารที่มั่นใจว่าไม่มีสารพิษเจือปน 2. แช่ผักและผลไม้ในสารละลายน้ำส้มสายชูหรือสารละลายด่างทับทิมก่อนนำมารับประทานทุกครั้ง 3. เลือกรับประทานอาหารที่ใช้สีปรุงแต่งจากธรรมชาติ 4. เลือกซื้อสินค้าที่ได้รับอนุญาตจากองค์การอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข เพื่อ รับรองความปลอดภัยของอาหารนั้นๆ การรับประทานอาหารให้ถูกสัดส่วน ในแต่ละวันร่างกายของมนุษย์เราต้องการพลังงานจากอาหารเพื่อนำไปใช้ในกิจกรรมต่างๆในปริมาณท 1. ความแตกต่างของเพศ เพศชายต้องการปริมาณอาหารมากกว่าเพศหญิง เนื่องจากการทำกิจกรรมและการใช้พลังงานของเพศชายมากกว่าเพศหญิง 2. ความแตกต่างของวัย วัยต่างกันต้องการปริมาณอาหารที่แตกต่างกัน เนื่องจากการเจริญเติบโตและการ 3. ความแตกต่างของสภาพร่างกาย หญิงในระยะตั้งครรภ์หรือระยะให้นมบุตร ต้องการสารอาหารทุก ตัวอย่าง ในการทำกิจกรรมจะเห็นว่า กิจกรรมแต่ละอย่างใช้พลังงานแตกต่างกัน นอกจากนั้นเพศชายและเพศหญิงที่ทำกิจกรรมอย่างเดียวกันยังใช้พลังงานในการทำกิจกรรมไม่เท่ากัน โดยปกติเพศชายจะใช้พลังงานมากกว่า ตัวอย่าง แอนนาหนัก 50 กก. ขับรถ 2 ชม. แล้วไปว่ายน้ำ 1 ชม. แอนนาใช้พลังงานไปเท่าไร วิธีทำ ขับรถ 1 ชม. ใช้พลังงาน = 2.23 kcal ว่ายน้ำ 1 ชม. ใช้พลังงาน = 4.37 kcal หาพลังงานที่ใช้ในการขับรถ แอนนาหนัก 1 kg ขับรถ 1 ชม. ใช้พลังงาน = 2.23 kcal แอนนาหนัก 50 kg ขับรถ 1 ชม. ใช้พลังงาน = 2.23 x 50 kcal แอนนาหนัก 50 kg ขับรถ 2 ชม. ใช้พลังงาน = 2.23 x 50 x 2 kcal ดังนั้นแอนนาใช้พลังงานในการขับรถ = 223 kcal หาพลังงานที่ใช้ในการว่ายน้ำ แอนนาหนัก 1 kg ว่ายน้ำ 1 ชม. ใช้พลังงาน = 4.37 kcal แอนนาหนัก 50 kg ว่ายน้ำ 1 ชม. ใช้พลังงาน = 4.37 x 50 kcal ดังนั้นแอนนาใช้พลังงานในการว่ายน้ำ = 218.5 kcal ดังนั้นแอนนาใช้พลังงานไปทั้งหมด = 223 + 218.5 = 441.5 kcal
|
ผลงานอื่นๆ ของ นู๋อีฟจ้า ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ นู๋อีฟจ้า
ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้
ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้
ความคิดเห็น