มวยปล้ำ
สุดยอดวิชาการต่อสู้ในยุคโบราณ
ผู้เข้าชมรวม
1,153
ผู้เข้าชมเดือนนี้
3
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
มวยปล้ำ (Wrestling) เป็นกีฬาที่เก่าที่สุดอย่างหนึ่ง เพราะก่อนที่มนุษย์จะรู้จักการใช้อาวุธ เช่น หอก ขวาน หรือธนู เพื่อเอาไว้สู้กับสัตว์ร้ายนั้นมนุษย์จะต้องฝึกหัดมวยปล้ำไว้เพื่อป้องกันตัวจากสัตว์ร้ายหรือพวกมนุษย์ด้วยกันเอง อย่างไรก็ตาม มวยปล้ำที่กล่าวนี้แตกต่างไปจากมวยปล้ำในปัจจุบัน เพราะไม่ใช่กีฬาฝึกในเวลาว่าง หรือเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ในสังคม มวยปล้ำสมัยแรกเริ่มนั้นฝึกกันเพื่อความอยู่รอดในการดำรงชีวิต ทั้งชีวิตของตัวเองและชีวิตของสมาชิกในครอบครัว ยิ่งกว่านั้นมวยปล้ำยังช่วยให้สามารถหาอาหารได้
เมื่อมนุษย์เรียนรู้การใช้ประโยชน์จากไฟ การเพาะปลูก การเลี้ยงสัตว์ และการทำเครื่องมือจากโลหะ บทบาทของมวยปล้ำก็เปลี่ยนไป มวยปล้ำกลายเป็นสิ่งที่ให้ความบันเทิง ผู้ชายจะมาเล่ามวยปล้ำเพื่อทดสอบความแข็งแรง และเพื่อจะเป็นผู้ที่แข็งแรงที่สุดในกลุ่มเสมอ โดยใช้มวยปล้ำในการคัดเลือกหัวหน้าเผ่าหรือแม่ทัพในการทำสงคราม ผู้ที่ชนะเลิศในการปล้ำ จะได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้แข็งแรงที่สุด และได้รับการโห่ร้องแสดงความยินดีจากคนทั่วไปบางครั้งถึงกับประพันธ์เป็นเพลงร้องสรรเสริญ หรือแต่งเป็นตำนานเล่าต่อๆ กันมาหรือสร้างเป็นอนุสาวรีย์
ยุคก่อนประวัติศาสตร์มนุษย์ต้องเตรีมการต่อสู้ป้องกันตัวจากสัตว์ร้ายและต้องมีกำลังพอที่จะต้องต่อสู้อย่างเข้มแข็ง
มวยปล้ำกลายมาเป็นกีฬาเมื่อโลกเข้าสู่ยุคอารยะ โดย S.A. Sperider ค้นพบเมื่อปี พ.ศ. 2481 ว่ากีฬามวยปล้ำเริ่มในยุคเมโสโปเตเมีย
สิ่งที่กล่าวมาแล้วยืนยันได้จากภาพเขียนและภาพแกะสลักรูปมวยปล้ำในท่าต่างๆ มากมายที่ผนังของวิหาร และสุสานเบนิ ฮัสซาน (Beni Hassan) จำนวน 200รูป ในประเทศอียิปต์ภาพเขียนที่ผนังถ้ำก็มีภาพของการปล้ำทางแถบลุ่มแม่น้ำ 2 สาย ก็มีผู้พบรูปมวยปล้ำในวิหารคยาฟาเจ (Kyafaje) ใกล้ๆ กับเมืองแบกแดด ประเทศอิรัก รูปมวยปล้ำที่พบนี้เป็นฝีมือของชาวสุเมเรียน ซึ่งเป็นชนชาติที่หายสาปสูญไปนานแล้ว และที่เกาะครัตก็ได้พบภาพเขียนรูปมวยปล้ำที่แจกันซึ่งมีความเก่าแก่ไม่น้อยกว่า 1,600 ปีก่อนคริสต์ศักราช
นอกจากหลักฐานซึ่งเป็นภาพวาด ภาพแกะสลัก หรือรูปหล่อดังที่กล่าวมาแล้วก็ยังมีพงศาวดาร ตำนาน กาพย์ โคลง หรือเรื่องที่เล่าต่อกันมาเกี่ยวกับมวยปล้ำ เช่นพงศาวดารมวยปล้ำของบาบิโลเนีย และแอสซีเรีย ได้บันทึกไว้ว่ามวยปล้ำมีขึ้นในอาณาจักรทั้งสองนี้มากว่า 2,000 ปีก่อนคริสตศาสนา พงศาวดารดังกล่าวได้พรรณนาไว้ในโคลงเรื่องจิลกาเมซ ซึ่งเป็นนิยาย โบราณที่เล่าถึงการผจญภัยอย่างห้าวหาญของจิลกาเมซ ผู้เป็นพระราชาครองนครอูที่มีรูปร่างสูงใหญ่ถึง 16 ฟุต เดิมเป็นคนเลี้ยงแกะอยู่ใกล้กับนครอู มีนิสัยพาลเกเร พระเจ้าต้องการสั่งสอนให้เขาสำนึกผิด จึงเนรมิตคนป่าชื่อเอ็นกิดูให้มาสู้กับจิลกาเมซ เอ็นกิดูจึงเดินทางรอนแรมไปนครอู และท้าทายให้จิลกาเมซมาสู้กันด้วยเชิงมวยปล้ำ จิลการเมซรับคำท้าทายแล้วมาสู้กันที่ตลาด ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างดุเดือด แต่ก่อนที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะพ่ายแพ้พระผู้เป็นเจ้าก็ปรากฏตัวออกมาให้เห็น แล้วให้คนทั้งสองคนดีกัน จิลกาเมซและเอ็นกิดูกอดคอกันเป็นเพื่อนตาย แล้วออกพจญภัยไปทั่วอาณาจักรจนกลายมาเป็นพระราชาแห่งนครอู
ยิวซึ่งเป็นชาติเก่าแก่ที่มีหลักฐานว่าได้เล่นมวยปล้ำในสมัยเดียวกับชาวสุเมเรียน โดยมีหลักฐานยืนยันในโอลดี เทศทาเมนต์ ตอนที่ 32 ภาคเยเนซิสว่า เมื่อยาค็อบถูกละทิ้งไว้เดียวดาย แล้วยาค็อบก็ได้ปล้ำกับชายคนหนึ่งจนถึงรุ่งเช้า ทันใดนั้นศัตรูของยาค็อปก็บันดาลร่างเป็นเทพยดาในมหากาฬย์ของโฮเมอร์ (Homer) ซึ่งนักประวัติศาสตร์ใช้เป็นหลักฐานทำให้ทราบเรื่องราวต่างๆ ของกรีซสมัยประวัติศาสตร์ เพราะตัวเอกของเรื่องมีความสามารถในเรื่องมวยปล้ำ นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าถึงนักมวยปล้ำที่ยิ่งใหญ่ของกรีซคือ ไมโล แห่งโครตอน ซึ่งชนะเลิศในโอลิมปิกเกมส์ถึง 5 ครั้ง การฝึกของเขาเป็นที่กล่าวกันว่าเขาแบกลูกวัวไปรอบๆ สนามซึ่งเป็นแบบอย่างเบื้องต้นของการฝึกยกน้ำหนักในปัจจุบัน เพราะลูกวัวจะโตขึ้นเรื่อยๆ เป็นการเพิ่มน้ำหนัก ร่างกายของไมโลก็จะแข็งแรงขึ้น เพื่อที่จะรับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นของลูกวัว
ประมาณ 900 ปี ก่อนคริสตศาสนา ราชโอรสของยีอุส กษัตริย์แห่งเอเธนส์ ได้พยายามหามาตรฐานกติกากีฬามวยปล้ำ
มวยปล้ำทางเอเชียก็เป็นที่นิยมแพร่หลายตั้งแต่สมัยโบราณเช่นกันโดยเฉพาะในเอเชียกลาง และเอเชียไกล ตามหลักฐานแสดงว่าภูมิภาคแถบนี้มีการเล่นมาอย่างน้อย 5,000 ปี ที่มองโกเลีย และจีน มวยปล้ำเป็นการแสดงทางพิธีศาสนาตามที่พงศวดารได้บันทึกเป็นหลักฐานว่า การแข่งขันมวยปล้ำในญี่ปุ่นมีก่อนคริสต์ศาสนา ซึ่งมีเรื่องที่เป็นตำนานเล่ากันต่อมา นานมาแล้วพระอาทิตย์ไม่ยอมส่องแสงมายังโลก โดยซ่อนตัวอยู่ในถ้ำลึกที่เต็มไปด้วยความชึ้นแฉะบริเวณภูเขาไฟฟูจิยามา เมื่อมนุษย์ สัตว์ และพืชทั้งหลายขาดแสงอาทิตย์ ก็ไม่สามารถที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้ ดังนั้นประชาชนต่างก็เอาของกำนัลที่มีค่า และเครื่องสังเวยต่างๆ มากมายมาบวงสรวง
บางพวกก็สวดมนต์อ้อนวอนเพื่อให้พระอาทิตย์เกิดความสงสารจะได้เปลี่ยนความตั้งใจเดิม แต่ทุกสิ่งที่ทำไปก็ไร้ประโยชน์ ความมืดยังปกคลุมโลกอยู่ทั่วไป ในที่สุดก็มีผู้แนะนำให้จัดมวยปล้ำระหว่างผู้ที่แข็งแรงที่สุดของเกาะเพื่อบวงสรวง เพราะทราบว่าพระอาทิตย์สนใจและชอบดูมวยปล้ำ ฉะนั้นซูโม่จึงได้ถูกจัดขึ้นทำให้พระอาทิตย์ไม่สามารถจะทนความยั่วยวนในสิ่งที่ตนชอบในถ้ำได้ จึงออกมาจากถ้ำทำให้มนุษย์ สัตว์ และพืช ได้รับแสงสว่างอีกครั้งหนึ่ง
ส่วนทางอินเดียก็มีการแข่งขันมานานราว 2,000 ปี ที่ตุรกีมวยปล้ำก็เป็นกีฬาประจำชาติแม้กระทั่งปัจจุบันนี้ ตุรกีก็ยังคงนิยมการเล่นมวยปล้ำอยู่ และสามารถครองแชมป์มวยปล้ำในกีฬาโอลิมปิกไว้เสมอ
ในปี 648 ก่อนคริสตศักราช แพนคราตั้น (Pancratun) ก็ถูกนำเข้ามาแข่งขัน ซึ่งแพนคราตั้นสามารถเตะ ต่อย และเหวี่ยงได้ ซึ่งเป็นแบบหนึ่งของมวยปล้ำที่ได้รับความนิยมมาก การแข่งขันครั้งนี้ทำให้การกีฬาตกต่ำ เพราะนำไปสู่กีฬาอาชีพและมีการติดสินบนเพื่อการแพ้ชนะด้วย
กีฬามวยปล้ำเริ่มได้รับความสนใจในสมัยกลางอีกครั้งหนึ่ง หลังจากซบเซาในยุคมืดและได้รับความนิยมมากในศตวรรษที่ 18 มีบันทึกเรื่องราวที่กล่าวถึงมวยปล้ำมากมาย รวมทั้งเรื่องเล่าเกี่ยวกับการต่อสู้มวยปล้ำระหว่างพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ของอังกฤษ กับพระเจ้าฟรานซิสที่ 1 ของฝรั่งเศส ที่สนามโคลัช ออฟโกลด์ ซึ่งกีฬามวยปล้ำได้รับความสนใจในส่วนต่างๆ ของโลก โดยเฉพาะทางตะวันตกของยุโรปสหรัฐอเมริกา และดินแดนที่ชาวยุโรปเข้าไปตั้งหลักแหล่ง มีการจัดชิงแชมเปี้ยนตามภาคพื้นต่างๆ ของโลก มวยปล้ำจึงเป็นกีฬาที่ทำให้เกิดกีฬาการต่อสู้หลายๆ ประเภทในเวลาต่อมา
มวยปล้ำในกีฬาโอลิมปิก
Baron Pia De Coubatin ชาวฝรั่งเศส เป็นผู้ฟื้นฟูกีฬาโอลิมปิกขึ้นมาใหม่ โดยครั้งแรกจัดที่กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ ในปี พ.ศ. 2439 แต่มวยปล้ำก็ยังไม่ได้เป็นกีฬาที่ใช้แข่งขัน จนกระทั่งโอลิมปิก ครั้งที่ 3 ในปี พ.ศ. 2447 ซึ่งจัดที่เมืองเซนต์หลุยส์ รัฐมิสซูรี่ สหรัฐอเมริกา มวยปล้ำจึงเป็นกีฬาที่อยู่ในการแข่งขันด้วยและมีในการแข่งขันโอลิมปิกเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบัน ซึ่งการแข่งขันมวยปล้ำในกีฬาโอลิมปิกมีถึง 3 แบบคือ ฟรีสไตล์ เกรโกโรมัน และแซมโบ ดังนั้นเหรียญสำหรับกีฬาประเภทนี้จึงมีถึง 30 เหรียญ
ในเอเชียมวยปล้ำเริ่มเป็นกีฬาในการแข่งขันเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 2 ซึ่งประเทศฟิลิปปินส์ เป็นเจ้าภาพ โดยจัดให้มีการแข่งขัน 2 ประเภทคือ แบบฟรีสไตล์และแบบเกรโกโรมัน ซึ่งการแข่งขันมวยปล้ำในเอเชียนเกมส์ก็ยังคงมีอยู่จนกระทั่งปัจจุบัน
มวยเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ที่ว่าเป็นศาสตร์เพราะเป็นวิชาการที่ทุกท่าน อาจจะศึกษาหาความรู้ได้เช่นวิชาแขนงอื่นๆ และเป็นศิลป์อย่างสูงของนักมวยคนหนึ่งยากที่นักมวยอีกคนหนึ่งจะพึ่งปฎิบัติสืบทอดต่อไปได้ ดังที่ทุกท่านตระหนักดีว่า มวยเป็นศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวอย่างหนึ่งตามธรรมชาติ ปัจจุบันมีมวยอยู่ 2 ชนิดคือ มวยปล้ำและมวยชกแบ่งเป็น 2 แบบคือ ชกด้วยหมัด บวกกับการต่อสู้ด้วยเท้าตามแบบมวยไทย และชาติเพื่อนบ้าน โดยชกด้วยหมัดเพียงอย่างเดียว อันเป็นที่นิยมกันทั่วโลก เรียกว่า มวยสากล (Boxing)
มวยสากลนั้นมีมานานแล้วตามหลักฐานซึ่ง Sir Ather Evan ได้ค้นพบเศษรูปสลักของนักมวยโบราณ ซึ่งแยกออกเป็นชิ้นๆ ในปี พ.ศ. 2443 ที่เมืองบอซซุส อันเป็นโบราณสถานเก่าแก่แห่งหนึ่งในเกาะครีตของประเทศกรีซ ทางตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน จากหลักฐานทำให้ทราบว่า มวยโบราณสมัยกรีกก่อนคริสต์ศักราช แบ่งออกเป็น 3 ระยะ
- ระยะแรก เป็นสมัยของโฮมเมอร์ ประมาณ 900-600 ก่อนคริสต์ศักราช ตอนนี้ใช้หนังอ่อนๆ ยาว 10-12 ฟุต พันตั้งแต่ข้อมือถึงข้อศอก จุดประสงค์เพื่อป้องกันมือของผู้ชก กติกาก็มีเพียงเล็กน้อยแต่ยุติธรรม มีความแข้มแข็ง กล้าหาญ ทนทาน และฝีมือดี จึงจัดว่าเป็นสิ่งสำคัญ
- ระยะที่สอง ระหว่าง 400-200 ปี ก่อนคริสต์ศักราช มีการดัดแปลงเล็กน้อยคือ พันมือแน่นและหนักขึ้นกว่าเดิม และเป็นที่นิยมในสมัยนี้ ผู้เข้าแข่งขันจะต้องฝึกอย่างน้อย 9 เดือน เมื่อใกล้ถึงวันแข่งจริงจะทำการจับคู่คล้ายกับปัจจุบัน วิธีการชกคือ นักมวยเข้าหากันเป็นเส้นตรง ชกกันตลอดเวลาไม่มีการพักยกจนกว่าข้างหนึ่งข้างใดจะหมดกำลัง หรือยอมแพ้ ไม่มีผู้ตัดสิน และไม่มีกำหนดน้ำหนัก
- ระยะที่สาม ระหว่าง 400 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ลงมาจนถึงสมัยโรมันรุ่งเรือง สมัยนี้การชกมวยเป็นการต่อสู้ของพวกพวก Giadaiors ซึ่งอาจจะตายไปข้างหนึ่งต่อมาในราวปี พ.ศ. 937 โรมันเสื่อมอำนาจลง การชกมวยก็ได้เสื่อมไปด้วย
เมื่อครั้งโรมันเข้ายึดครองอังกฤษ ได้นำเอามวยเข้าไปเผยแพร่ในอังกฤษด้วย ซึ่งนักบุญเบอร์นาร์ดได้เขียนเรื่องมวยในประเทศอิตาลีไว้อย่างละเอียด ในปี พ.ศ. 1783 ตอนหนึ่งท่านกล่าวว่า มวยเป็นกีฬาประเภทหนึ่งที่ฝึกคนให้เป็นอัศวิน
มวยสากลของอังกฤษแบ่งเป็น 3 ระยะคือ
ระยะแรกในระหว่างปี พ.ศ. 2241 ถึง 2333 เรียกว่า สมัยมงกุฎผีสิงเพราะส่วนมากจะได้มงกุฎเป็นรางวัล Jim Fick เป็นผู้ชนะเลิศมวยมือเปล่าคนแรกของอังกฤษโดยชนะเลิศในปี พ.ศ. 2283 เขาได้ดำเนินการสอนมวยสากล และเป็นบุคคลแรกในปี พ.ศ. 2486 ที่ได้กำหนดกติกามวยสากลขึ้น จนได้ชื่อว่า บิดาแห่งมวยสากลอังกฤษ
ในปีเดียวกัน Brutan ก็ได้ประดิษฐ์นวมขึ้นในการชก แต่คงใช้ในการสอนศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวเท่านั้น สำหรับมวยอาชีพยังใช้มือเปล่าอยู่ ต่อมาในปี พ.ศ. 2335 Carepier Mandesa ได้ครองตำแหน่งชนะเลิศ และได้พยายามรักษาตำแหน่งไว้จนถึงปี พ.ศ. 2338 ถึงได้เสียตำแหน่งให้แก่
ต่อมาเนื่องจากการให้รางวัลนักมวย ด้วยเงิน จึงมีการแข่งขันกันมากโดยการติดสินบนแก่ผู้จัดการของนักมวย มวยจึงเป็นเครื่องมือหากินของเจ้าของเงินนั้นไป สามคมหลายแห่งต้องล้มเลิกในระยะต่อมา ทางราชการอังกฤษจึงไม่ร่วมมือด้วยนักมวยก็ละเมิดกติกา จึงมีอันตรายเกิดขึ้นเนืองๆ ในที่สุดวงการมวยสากลของอังกฤษก็เสื่อมลงไประยะหนึ่ง
ต่อมาเมื่อวิเคราะห์กติกามวยสากลที่บูรตันคิดค้นแล้วจะเห็นว่ายังไม่รัดกุม เช่น จำนวนยกกำหนดไว้ไม่แน่นอน เพียงแต่แข่งขันกันจนนักมวยคนหนึ่งคนใดถูกน็อคหรือถูกเหวี่ยงจนล้มไม่สามารถลุกขึ้นมาต่อสู้ได้ภายในเวลา 30 วินาที การฟาวล์ก็มีเพียง 2 ข้อคือ การชกขณะล้มและกอด หรือยึดต่ำกว่าเอว
กติกาเหล่านี้ภายหลังได้ชื่อว่าเป็นกติกามวยชิงรางวัลแห่งกรุงลอนดอน ต่อมาในปี พ.ศ. 2381 บาควิสที่ 6 แห่งควินสาบอรี่ จึงได้ยกร่างกติกาใหม่ด้วยความร่วมมือของ John B. Chember ในปี พ.ศ. 2409 จึงได้รับความนิยมจากบุคคลทั่วไปว่าเป็นกติกาสากล อันเป็นรากฐานแบ่งการแข่งขันออกเป็น 3 ยก 2 ยกแรก ยกละ 3 นาที ยกสุดท้าย 4 นาที
การตัดสินก็โดยความเห็นชอบจากฝ่ายข้างมากของผู้ตัดสิน ผู้ใดชกล้มถือว่าแพ้ ถ้าไม่ลุกขึ้นมาภายใน 10 วินาที การชกต้องสวมนวมตลอดเวลา ผู้ชี้ขาดจะต้องอยู่ในสังเวียนเพียงคนเดียวกับนักมวยอีกสองคนเท่านั้น กติกานี้วงการมวยสมัครเล่นนำไปใช้ทันที แต่สำหรับมวยอาชีพค่อยๆ นำไปใช้ในตอนหลัง มวยอาชีพได้มีการเปลี่บนแปลงเรื่องจำนวนยก คือสู้กี่ยกก็ได้แล้วแต่จะตกลงกัน ในปี พ.ศ. 2424 ได้วางกติกามวยสมัครเล่นขึ้นใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่จะคล้ายของเดิม เพียงแต่เพิ่มระเบียบการตัดสินและการบันทึกให้รัดกุมเท่านั้น
การใช้นวมเริ่มกันอย่างจริงจังในสมัยการใช้กติกาควีนสเบอรี่ (Queensberry) ปี พ.ศ. 2403 นี้เอง ก่อนนั้นนิยมการพันมือแทนนวม และค่อยๆ เปลี่ยนมาเรื่อยๆ จนถึงสมัยกิจกรรมมวย ได้ถูกยกย่องขึ้นเป็นศิลป์ ความจริงการใช้นวมทำให้การชกลดอันครายลงได้มาก และทำให้การชกรวดเร็วขึ้น ผู้ชกไม่ต้องห่วงถึงอันตรายเกี่ยวกับมือหักหรือเคล็ดอีกต่อไป
ในปี พ.ศ. 2425 John L. Sulrivan ชาวอเมริกัน ได้ชกชนะ Patty Ryan ชาวอังกฤษ และได้รับการยกย่องให้เป็นผู้ชนะเลิศแห่งอเมริกาในการชกตามกติกามวยชิงรางวัลแห่งกรุงลอนดอน 9 ยก ที่เมืองมิสซิสซิปปี้
ต่อมาอีก 3 ปี James Smith ชาวอังกฤษ ได้เป็นผู้ชนะแห่งอังกฤษ โดยชนะ Jack Davids
ในปี พ.ศ. 2430 Jack Kirlan อเมริกา เสมอกับ James Smith อังกฤษและในการแข่งขันครั้งนี้ได้เป็นที่ยอมรับกันว่าทั้งคู่คือผู้ครองเข็มขัดชนะเลิศแห่งโลกเป็นครั้งแรก
ต่อมาวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2432 John L. Sulrivan ได้ชิงตำแหน่งชนะเลิศของโลกจาก Jack Kirlan ที่เมืองริชเยอก มลรัฐมิสซิสซิปปี้ ซึ่งเป็นการต่อสู้แบบมือเปล่าครั้งสุดท้าย เป็นจำนวน 75 ยก John L. Sulrivan ผู้ชนะเลิศ ประกาศว่าจะไม่ยอมชกด้วยมือเปล่าอีกต่อไป ตั้งแต่นั้นมาการชกมวยอาชีพในอเมริกาจึงใช้นวมมาตลอด
ในปี พ.ศ. 2457 มี 4 รัฐ ในอเมริกาคือ นิวยอร์ก แคลิฟอร์เนีย หลุยเซียนา เนวาดา และฟลอริดา ได้ตกลงแบ่งการชกออกเป็น 20 ยก เหมือนกัน และในปีนี้รัฐบาลกลางได้ตรากฎหมายควบคุมในรัฐแคลิฟอร์เนียให้การชกเหลือเพียง 4 ยก ในปี พ.ศ. 2458
ระหว่างปี พ.ศ. 2458-2473 นับว่าเป็ระยะที่การชกมวยในสหรัฐอเมริการุ่งเรืองถึงขีดสุด รัฐนิวยอร์ก และรัฐวินคอนซิลได้ตรากฎหมายควบคุมการชกเป็นจำนวน 10 ยก และมีผู้ตัดสินที่มีสมรรถภาพดีเยี่ยมเพื่อให้เป็นตัวอย่างแก่มลรัฐอื่นๆ ส่วนในรัฐแคลิฟอร์เนียยังคงกำหนดการชกเป็น 4 ยกอยู่ เมื่อรัฐบาลกลางตรากฎหมายควบคุม ในตอนนี้กฎหมายควบคุมการชกมวยในมลรัฐต่างๆ เป็นจำนวนทั้งสิ้น 44 มลรัฐ
ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้มีการฝึกซ้อมมวยกันภายในกองทัพเพื่อฝึกหัดให้ทหารมีจิตใจกล้าหาญเพื่อการสู้รบในยามสงคราม ฝึกให้มีสมรรพภาพทางกาย หู ตาไว การทรงตัวดี และเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมตนเองในเวลาต่อสู้และเหนือสิ่งอื่นให้เป็นผู้มีน้ำใจเป็นนักกีฬา มวยสากลจึงเป็นกิจกรรมที่นิยมกันในกองทหารตลอดมา
มวยสากลเข้าสู่สถานศึกษาครั้งแรกในมหาวิทยาลัยฮาวาโด เมืองแคมบริดจ์ มลรัฐแมสซาชูเซตส์ เริ่มศึกษากันอย่างจริงจังในระหว่างปี พ.ศ. 2429-2462 และได้รับการสนับสนุนจากประชาชนอย่างเต็มที่ ถึงกับได้ตั้งสถาบันฝึกหัดมวยขึ้นโดยเฉพาะอีกแห่งหนึ่ง มีผู้สมัครเข้ารับการอบรมเป็นจำนวนมาก ในปี พ.ศ. 2463 ได้บรรจุวิชามวยสากลเข้าในหลักสูตรของมหาวิทยาลัย และโรงเรียนต่างๆ ทำให้กิจกรรมมวยสากลได้แพร่ออกไปอย่างกว้างขวาง ปัจจุบันมวยกากลซึ่งได้กำหนดไว้ในวิชาพลศึกษาในโรงเรียนต่างๆ ทั่วทุกมุมโลกได้ขยายตัวมากขึ้น เพื่อให้นักเรียนทุกคนได้ฝึกเป็นศิลปะแห่งการต่อสู้ป้องกันตัว และทำการแข่งขันกันระหว่างโรงเรียนเป็นประจำ อันเป็นทางหนึ่งที่จะผลิตนักมวยสากลให้แก่สมาคมมวยสมัครเล่น และมวยสากลอาชีพต่อไป
http://www.siamsport.co.th/ |
ผลงานอื่นๆ ของ ผู้กันปลายกระบี่ ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ผู้กันปลายกระบี่
ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้
ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้
ความคิดเห็น