ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Step into my World : The Truth of SATAN and The Lie of GOD

    ลำดับตอนที่ #22 : บทที่ 20 และแล้ว...เจ้าชายกับเจ้าหญิงก็ครองรักกันอย่างมีความสุข

    • อัปเดตล่าสุด 14 เม.ย. 56


     

    บทที่ 20 และแล้ว...เจ้าชายกับเจ้าหญิงก็ครองรักกันอย่างมีความสุข

    "หลังจากพระเจ้าใช้พลังนั้น ทุกอย่างจบสิ้นลง เพียงแต่พระองค์ก็ได้ถูกอำนาจอันมหาศาลสะกดให้อยู่ในสภาวะหลับใหลอย่างไม่มีกำหนด พลังนั้นยังทำให้จอมทัพและฟ้าหญิงแห่งสวรรค์ฟื้นคืนชีพ ทั้งคู่สมรสกันเพื่อขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดเพื่ออำนาจในการปกครองสวรรค์ จอมทัพที่เป็นรักษาการตำแหน่งพระเจ้าได้ทำลายภพนรกและศาลมหาเทพตามเงื่อนไขของการคืนชีพอันเป็นปริศนา จึงทำให้เราเชื่อกันว่า วิญญาณมนุษย์ทุกคนหลังจากเหตุการณ์นั้นยังคงวนเวียนอยู่ในภพมนุษย์เพื่อรอการตื่นบรรทมของพระเจ้าที่แท้จริง นอกจากนั้นยังเชื่อกันว่า เมื่อวันที่พระเจ้าตื่นจากการบรรทม วันนั้นจะเป็นอวสานของโลกมนุษย์ ทุกๆ คนจะได้รับการพิพากษาโทษจากพระเจ้าโดยตรง ผู้ที่ทำแต่ความดีงามจะได้รับการชำระบาปและได้ขึ้นไปรับใช้พระเจ้าในฐานะนางฟ้าบนสวรรค์ ส่วนผู้ที่คิดหรือทำไม่ดีจะถูกโยนลงบึงไฟกำมะถันที่อยู่ด้านหลังบัลลังก์พิพากษาทันที..."

    เสียงหวานนุ่มราวขนมมาชเมลโลหยุดลง เรียวปากอวบอิ่มยกยิ้มอบอุ่น มือที่เริ่มเหี่ยวย่นปิดหนังสือปกหนา ตามด้วยเสียงปรบมือน้อยๆ ที่ดังเปาะแปะ

    "ว้าว...อย่างกับได้เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์จริงๆ แน่ะค่ะ เนอะ ทริคซี่"

    หญิงอีกคนที่กำลังปรบมือเอ่ยอย่างชื่นชม แม้เธอจะมีอายุน้อยกว่าหญิงชราผู้เล่าเรื่องเพียงไม่มาก แต่รูปร่างหน้าตาหรือผิวพรรณของเธอนั้นราวกับถูกหยุดเวลาเอาไว้ที่ยี่สิบกว่าๆ หลานสาวตัวน้อยเองก็ปรบมือพร้อมยิ้มแฉ่ง ก่อนเธอจะบอกผู้เป็นย่าทั้งสองด้วยรอยยิ้มนั่น

    "ถ้าสวรรค์เป็นแบบนั้นหนูก็ไม่อยากไปอยู่เลยค่ะคุณย่า"

    หญิงชราหัวเราะน้อยๆ พลางกุมมือเล็กๆ ของหลานสาว

    "ถ้าไม่อยู่ที่สวรรค์หนูก็จะถูกโยนลงบึงไฟนะจ๊ะ"

    "หวา...จริงด้วย งั้นหนูต้องทำความดีเยอะๆ เพื่อจะได้ไปอยู่สวรรค์ใช่มั้ยคะ?"

    หญิงชราพยักหน้าตอบรับ ทริคซี่เด้งขึ้นมาจากตักอุ่นและเอ่ยถามอย่างแจ่มใส

    "แล้วซาตานถูกหัวหน้าลูซิเฟอร์คนนั้นปราบไปแล้วจริงๆ ใช่มั้ยคะ? หนูคิดว่าเค้าไม่น่ายอมแพ้ไปง่ายๆ เลยนะ"

    หญิงชราสบตากับแขกสาวแวบหนึ่งก่อนจะตอบ

    "ใช่จ้ะ เขาไม่ยอมแพ้ง่ายๆ มีเรื่องเล่าว่าเขาใช้พลังสุดท้ายระเบิดร่างตัวเองเป็นละอองความมืด และแผ่กระจายลงมายังโลกมนุษย์เพื่อฟักตัวอยู่ในจิตใจของคนเรานี่ล่ะจ้ะ"

    "หา? งั้นตอนนี้ในตัวหนูก็มีซาตานฟักตัวอยู่น่ะสิคะคุณย่า"

    แขกสาวผมบ๊อบเทขำขันกับกิริยาน่ารักของหลานสาว หญิงชราวางหนังสือเล่มหนาซ้อนกับแฝดอีกสองเล่มของมันและหันมาตอบคำถาม

    "จ้ะ มีสิ แต่ว่าเขาอ่อนแรงมาก เราเอาชนะเขาได้ด้วยการทำความดี ถ้าหากใครที่คิดไม่ดีทำไม่ดี ซาตานจะมีพลังมากขึ้น และกินคนๆ นั้นเข้าไปเลย ที่นี้ซาตานก็จะฟื้นคืนชีพ หนูไม่อยากให้เป็นแบบนั้นใช่มั้ย?"

    "ใช่ค่ะ หนูจะเป็นเด็กดีของคุณย่า ของคุณพ่อ และของทุกๆ คน เพื่อไม่ให้ซาตานคืนชีพขึ้นมา...อ๊ะ..."

    "อะไรจ๊ะสาวน้อย?" แขกสาวเพื่อนสนิทหญิงชราถามทริคซี่ เด็กสาวลุกขึ้นยืนก่อนจะตอบ

    "หนูยังไม่ได้ให้อาหารมิ้นท์กับมูนนี่เลยค่ะ หนูต้องขอตัวนะคะ"

    ว่าแล้วเด็กน้อยก็เดินหายไปยังห้องครัวซึ่งอยู่ไม่ไกลจากห้องนั่งเล่น หญิงทั้งสองมองตามเส้นผมสีน้ำตาลหนานุ่มจนหนูน้อยเดินออกมาพร้อมกล่องอาหารสำหรับกระต่าย ก่อนจะพาร่างเล็กๆ หายไปทางหลังบ้าน

    เสียงเพลงอาร์แอนด์บีจบลง แต่กลับเป็นเพลงเดิมที่เล่นซ้ำขึ้นมาอีกครั้ง หญิงสาวผมบ๊อบจึงแสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยรอยยิ้ม

    "เพลงนี้ก็เพราะดีอยู่หรอกนะคะ แต่ฟังทุกวัน วันละหลายๆ รอบไม่เบื่อบ้างเหรอคะ?"

    ถึงจะว่าอย่างนั้นแต่เธอก็เลื่อนเปลือกของดวงตาสีฟ้าราวอัญมณีลง เรียวปากอวบอิ่มสีชมพูมันวาวด้วยลิปกรอสฮัมเพลงที่ได้ยินเบาๆ

    "ก็เป็นเพลงที่เขาชอบนี่คะ I stay in love ของ Mariah Carrey ฟังแล้วเหมือนกับเขายังนั่งอยู่ข้างๆ" หญิงชรายกแก้วชาหอมกรุ่นขึ้นจิบก่อนจะพูดต่อ "ขอพูดอะไรสักนิดได้ไหมคะ?"

    หญิงผมบ๊อบลืมตาขึ้นและมองด้วยความประหลาดใจไปที่ดวงตาสีน้ำตาลหวาน ต้นแบบของดวงตาหลานสาว

    "บางที...ดิฉันก็รู้สึกว่า'นี่'แหละ เป็นสิ่งที่เขาต้องการจริงๆ"

    "หืม...?"

    "เขารักโลกนี้จริงๆ ค่ะ ไม่มีวันที่เขาจะทิ้งโลกนี้ไปแม้จะมีที่ไหนดีกว่า สิ่งที่เขาทำไม่ใช่เพื่อ'ยึดแย่ง' แต่เป็น'ต่อเวลา'ให้โลกนี้อีกหน่อยแค่นั้นเอง ถึงผลลัพธ์จะออกมาตรงกันข้ามกับที่เขาเคยบอกกับเรา แต่ดิฉันคิดว่าที่โลกยังคงอยู่มาจนถึงตอนนี้ได้ ก็เป็นเพราะเขานั่นแหละค่ะ"

    แขกสาวไม่ต้องใช้เวลานานก็เข้าใจเรื่องที่หญิงชราพยายามจะบอกกับเธอ

    "ไม่เคยคิดเลยนะคะเนี่ย ไม่สิ ก็มีบางครั้งที่แวบสงสัยขึ้นมาบ้าง แต่ก็ไม่ได้เข้าใจเขามากเท่าที่คุณเข้าใจหรอกค่ะ...ก็อย่างว่า คนรักกันนี่นะ"

    หญิงสาวประชดด้วยรอยยิ้มทำให้หญิงชราเอียงอายได้ไม่น้อย สาวผมบ๊อบมองกิริยานั่นแบบขำๆ ก่อนถาม

    "แล้วได้ข่าวแม่ของทริคซี่บ้างไหมคะ?"

    คำถามนี้ราวกับสะกิดโดนความรู้สึกส่วนลึกของผู้ที่ต้องตอบ

    "ไม่เลยค่ะ...หลังจากพวกเขาหย่ากันก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย" หญิงชราตอบด้วยน้ำเสียงเจือความเศร้า แขกสาวจึงต้องปรับบรรยากาศเสียใหม่ด้วยการพูดติดตลก

    "ว้า...แย่จังแฮะ อุตส่าห์หาเจอแล้วน้า กะว่าจะเอามาคืนซะหน่อย"

    หญิงชรามองไปที่ข้างตัวแขกสาว ที่นั่นมีถุงกระดาษสีขาวใบหนึ่งวางอยู่ นอกจากถุงกระดาษ เธอยังพบว่าเพื่อนสาวนั้นแสดงน้ำเสียงราวกับอยากให้เธอจับได้ว่ากำลังโกหกอะไรบางอย่าง แต่ก่อนหญิงชราจะได้ถาม โทรทัศน์จอใหญ่ตรงหน้าก็สว่างขึ้นพร้อมวงแหวนกลางจอที่หมุนตามเข็มนาฬิกา

    หญิงชราเลื่อนสายตาไปยังนาฬิกาโรมันเหนือจอก็พบว่า เข็มสั้นได้ชี้ที่ตัวอักษร X แล้ว

    "จริงสิ วันนี้เจ้าตัวแสบรับตำแหน่งนี่นา"

    หญิงสาวผมบ๊อบพูดพร้อมจัดแจงตัวเองให้อยู่ในท่านั่งที่มองเห็นโทรทัศน์ได้ถนัด สีหน้าแสนสุขยิ่งกว่าใครกำลังระบายอยู่บนใบหน้าของหญิงทั้งสอง เพียงไม่นาน ภาพในจอกว้างปรากฏขึ้น แต่ตอนนี้เห็นแค่เพียงเวทีปราศรัยกับจอโปรเจ็คก์เตอร์ขนาดยักษ์อยู่ด้านหลังเท่านั้น สักครู่ ชายหนุ่มผู้ที่ทุกคนรอการปรากฏตัวได้เดินเข้ามาท่ามกลางเสียงปรบมือกึกก้อง

    "อ๊ะ คุณพ่อมาแล้ว" หนูน้อยที่เสร็จจากภารกิจให้อาหารกระต่ายร้องได้อย่างน่ารัก ซึ่งแน่นอนมันดึงความสนใจจากหญิงทั้งสองได้

    "ทริคซี่เร็วเข้า เดี๋ยวไม่ทันดูคุณพ่อนา"

    หนูน้อยตอบรับเสียงเนิบของหญิงสาวและเดินมาทันที คราวนี้ทริคซี่เลือกที่จะนั่งบนตักเธอ

    ในที่สุดทั้ง 3 สาวก็อยู่พร้อมหน้าที่หน้าโทรทัศน์ และราวกับชายผู้อยู่ในจอรับรู้ได้ เขาจึงเริ่มพูด

    [สวัสดีครับทุกท่าน วันนี้บอกตามตรงว่าเป็นวันที่น่าตื่นเต้นของผมอีกวันหนึ่ง เชื่อว่าพนักงานและผู้บริหารทุกคนคงรู้สึกตื่นเต้นไม่แพ้กัน แต่ในความหมายที่ว่า 'เฮ้ย ไอ้หมอนี่มาบริหารแล้วบริษัทจะล่มป่ะวะ' ประมาณนี้...]

    เสียงหัวเราะดังสนั่นจอยิ่งกว่าเสียงปรบมือตอนแรก หญิงสองคนก็หัวเราะเช่นกัน

    [...เอาล่ะครับ วันนี้เป็นวันสำคัญจะมาล้อเล่นก็กระไรอยู่ อย่างที่ทุกท่านทราบ วันนี้ตัวผมจะได้ขึ้นมารับช่วงต่อในการบริหารบริษัทไอทียักษ์ใหญ่ของโลก...คารอลคอร์ปเปอร์เรชั่น ต่อจากคุณป้ามาเรีย เพอเพิ้ลเพิล ผู้มีพระคุณ...]

    "ได้พ่อมาเต็มๆ เลยน้า เจ้าหนูตัวแสบนี่ แต่ริมฝีปาก...เขาได้คุณนะรู้ตัวมั้ย?"

    หญิงสาวยกยิ้ม

    "คุณแกรนด์สโตน"

    หญิงชรายิ้มหวานโดยที่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่จอ ลูกชายของเธอยังคงเรียกเสียงหัวเราะจากผู้คนได้เช่นเคย

    "คุณบอกดิฉันจนจำรอบไม่ได้แล้วล่ะค่ะ คุณสเตฟานี่..."

    สาวสวยผมบ๊อบหัวเราะโดยไม่ได้แฝงความหมายใดเป็นพิเศษ

    [ผมจะไม่มีวันนี้ได้เลยหากไร้ซึ่งคำชี้แนะของคุณป้าคนสวยของผมคนนี้ และถึงผมจะพิสูจน์ตัวเองให้เธอรู้ว่าไม่ต้องเป็นห่วงอีกต่อไปได้แล้ว แต่ถ้าไม่มีใครคอยให้คำปรึกษา ผมเองก็คงจะพาบริษัทใหญ่ขนาดนี้ไปไม่รอดแน่นอน เพราะงั้นผมจึงขอร้องแกมบังคับให้คุณป้าท่านมารับตำแหน่งที่ปรึกษาอาวุโส ขอบคุณจริงๆ ครับ ที่ยอมฟังความเอาแต่ใจของผม]

    ชายในจอกวาดตามองไปทั่วพร้อมแจกยิ้ม

    [อันที่จริง คนที่ผมจะต้องขอบคุณที่ทำให้ผมมีวันนี้ได้มีอยู่มากมายก่ายกอง หากนำชื่อพวกเขาเหล่านั้นมาเขียนต่อกันก็สามารถส่งสำนักพิมพ์เพื่อเข้าเล่มเป็นนิยายออกมาได้เลย เพราะงั้นขอบคุณทุกคนจริงๆ ครับ แต่ที่ผมต้องขอบคุณเป็นพิเศษนั้นคือ เหล่าบุคคลต่างๆ ที่ประกอบกันเป็นชื่อของผม...]

    สายตาของชายหนุ่มในจอมองตรงมาราวกับรู้ว่า คนสำคัญในชีวิตของเขากำลังมองเขาอยู่จากหน้าจอโทรทัศน์เช่นกัน

    [ผม...ลูอิส เรย์มอนด์ แกรนด์สโตน ลูอิสเป็นชื่อที่คุณน้าที่น่ารักของผมตั้งให้ คุณน้าสเตฟานี่ เจอกันครั้งสุดท้ายเธอยังคงเป็นผู้หญิงที่ผม...อืม...แบบว่า เห็นแล้วเข็ดฟันทุกทีเหมือนเดิม]

    หญิงสาวที่ถูกพูดถึงหัวเราะร่า อลิซเองก็ขำตัวกระตุกเช่นกัน

    "มันยังชอบกัดเราเหมือนเดิมแฮะ ไม่ได้โตขึ้นเล้ย"

    เธอบอกอลิซอย่างพึงพอใจ

    [ขอบคุณท่านจริงๆ ครับ สำหรับชื่อกลางของผม คือคนสำคัญเช่นกัน หากไม่มีเขา ป่านนี้ผมคงจะเกิดเป็นปรสิตหรือตั๊กแตนไปแล้ว แต่ว่าท่านอยู่ไม่ทันเห็นลูกชายของท่านในวันนี้ ขอบคุณครับพ่อเรย์ หลายคนทักว่าผมหล่อเหมือนพ่อ แต่ผมก็ปฏิเสธไปว่ามันไม่ใช่แบบนั้นหรอก เพราะผมหล่อกว่าพ่อต่างหาก]

    เสียงฮือฮาเคล้าเสียงหัวเราะชอบใจดังขึ้นอีกระลอก

    [สุดท้าย นามสกุลอันทรงเกียรติ แกรนด์สโตน นี้ ผมได้มากจากผู้หญิงคนหนึ่ง เธออุ้มท้องผมมา 9 เดือน เลี้ยงดูผมจนเติบโตขึ้นอย่างงดงาม คอยสอนผมที่หาเรื่องออกนอกลู่นอกทางประจำ เธอเหนื่อยกับลูกชายคนนี้มามากมายเหลือเกิน แต่จากวันนี้ไปไม่ต้องแล้วนะครับ ไม่ต้องเหนื่อยกับผมอีกแล้ว ผมยืนอยู่ตรงนี้แล้วนะครับ คุณแม่อลิซผู้งดงามที่สุดในโลก แต่ท่านอาจจะต้องเหนื่อยกับแก้วตาดวงใจของผมแทน ทริคซี่ ลูกสาวผมครับ สำหรับเจ้าตัวยุ่งนี้ผมก็อยากจะขอบคุณมากจริงๆ ครับ เธอเป็นกำลังใจให้ผมตลอดเวลา และคงตลอดไปครับ...]

    ชายหนุ่มมองออกมาที่จออีกครั้ง รอยยิ้มที่ระบายอยู่บนใบหน้าหล่อบ่งบอกว่าเรื่องที่พูดมาไม่มีคำโกหกแม้แต่คำเดียว

    [...นอกเหนือจากนั้น สิ่งหนึ่งที่คนเป็นประธานบริษัทจะขาดไม่ได้เลยก็คือเลขา หน้าที่สำคัญนี้ผมก็ต้องมอบให้แด่คนสำคัญที่เป็นที่ยอมรับของทุกคน ความสุดยอดของเธอก็เป็นที่รู้กัน พี่ เดซี่ แกรนด์สโตนครับ หลายคนคงรู้ว่าพวกเรานั้นเกิดมาจากพ่อคนละคนกัน แต่เรื่องนั้นมันสำคัญตรงไหนในเมื่อพวกเราต่างก็เกิดขึ้นมาจากความรักของผู้มีพระคุณ สถานะของคนเรา ผมคิดว่ามันสำคัญน้อยจนขนาดว่าเป็นเนื้องอกยังไม่ได้เลยครับ เพราะงั้นใครมีอะไรคลางแคลงใจก็มาพูดกับผมได้ แต่ผมค่อนข้างมั่นใจว่าพนักงานที่นี่จะเห็นด้วยกับผมนะครับ]

    ลูอิสหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ

    [ถึงผมจะพูดอย่างนั้น แต่ผมมั่นใจอีกว่าความคิดแต่ละคนไม่เหมือนกัน คงมีหลายคนที่ยังไม่มั่นใจว่าหน้าใหม่อย่างผมจะคอนโทรลบริษัทระดับคารอลคอร์ปเปอร์เรชั่นไปได้จริง ไหนจะยังมูลนิธิไลท์ฟอร์ไลฟ์อีก ผมก็จะขอตอบตรงๆ ว่าคอยดูกันเอาเองดีกว่าครับ ป้ามาเรียเป็นผู้ที่มีสายตาเฉียบแหลมคนหนึ่งเท่าที่ผมเคยรู้จัก ท่านไม่ดันใครขึ้นมาชุ่ยๆ แน่นอน ตัวผมเองก็มีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าที่จะนำพาเจตนารมณ์ของคุณพ่อให้ไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ สิ่งใดที่ท่านเคยประสบความสำเร็จ ผมจะพัฒนาสิ่งนั้นให้ดียิ่งขึ้นไปอีก และสิ่งใดที่ท่านเคยทำไว้แต่ไม่สำเร็จ ผมคนนี้แหละจะสานงานต่อจากท่านเองไม่ว่าจะเรื่องไหน แต่มือใหม่ก็ยังเป็นมือใหม่ ผมไม่สามารถจะทำธุรกิจไปพร้อมๆ กันกับสิ่งที่ตรงข้ามกันอย่างมูลนิธิที่ไม่หวังผลกำไรได้ เพราะเหตุนั้น ผมจึงมอบตำแหน่งผู้อำนวยการสูงสุดของมูลนิธิไลท์ฟอร์ไลฟ์ให้แก่อดีตภรรยาของผมไปแล้ว ผมโชคดีตรงที่เธอเป็นคนแยกแยะเรื่องทุกเรื่องออกและจัดระเบียบมันได้เป็นอย่างดี จึงทำให้เธอรับปากว่าจะช่วยผมเอง...]

    การปราศรัยของ ลูอิส แกรนด์สโตน ดำเนินไปอีกครู่ใหญ่ หลังจากนั้นเป็นการเปิดตัวนวัตกรรมใหม่ของทางบริษัทที่เป็นที่ฮือฮาตามคาด อลิซ ทริคซี่ และสเตฟานี่นั่งดูจนจบท่ามกลางรอยยิ้มแห่งความสุข

    ก๊อกๆๆ

    คอนเหล็กกระทบกับประตูไม้ เสียงนั่นทำให้ทั้งสามหันไปในทางเดียวกัน

    "แขกของคุณย่าเหรอคะ" ทริคซี่เอ่ยถาม แต่อลิซขมวดคิ้วเล็กน้อย

    "เปล่านี่จ๊ะ"

    "คนนี้แขกดิฉันเองค่ะ"

    ยิ้มอ่านยากของสเตฟานี่เป็นภาพที่อลิซไม่ได้เห็นมานาน

    "ใครเหรอคะ?" อลิซถาม แต่ในใจกลับแน่ใจแล้วว่าผู้ที่อยู่ด้านหลังประตูเป็นใคร ความมั่นใจนี้รวมถึงเรื่องจับผิดคำโกหกเล็กๆ ที่ไม่ได้จงใจปกปิดของสาวสวยได้อีกด้วย

    ผู้ที่ถามถึงแม่ของทริคซี่หยิบของในถุงกระดาษขึ้นมาก่อนจะตอบคำถาม

    "อืม...ใครน้า...เจ้าของตัวจริงของ'นี่'ล่ะมั้งคะ"

    สิ่งที่ถูกชูขึ้นคือผ้าพันคอไหมพรมผืนยาวสีน้ำเงินสดใสและถุงมือสีเดียวกันคู่หนึ่ง

    "ขอโทษที่โกหกค่ะ"

    ทั้งคู่แย้มยิ้มอ่อนโยนให้กันเมื่อเสียงเนิบเอ่ยจบ



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×