ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Dr.Pop's The White Road 1 (Re-birth)

    ลำดับตอนที่ #11 : Chapter 3 : Message (Finale)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.19K
      10
      4 ส.ค. 51

    ผมยิ้มด้วยหัวใจเบิกบาน รู้สึกได้ว่ามันพองโตจนแทบระเบิด! ดวงตาผมเปล่งประกายแห่งความถวิลหา และในที่สุดความยินดีปรีดา ก็ดีดผมให้กระโดดตัวลอยราวกับติดปีกบิน!

    ฉันกลับมาแล้ว! ฉันกลับมาแล้ว!”

    ช่างเป็นนาทีที่เปี่ยมไปด้วยความสุข ราวกับเพิ่งรู้ว่าการสอบปลายภาคถูกยกเลิกอย่างไม่มีกำหนด ผมแทบอยากจะจูบพื้นดิน แต่ไม่อ่ะ หนูตัวหนึ่งเพิ่งวิ่งผ่านไป ผมจึงโผเข้ากอดอเล็กซ์กับโทนี่ (แต่ไม่ได้จูบเขานะ)  นี่ไงบ้านของฉัน นายเห็นหรือยัง ฉันกลับมาแล้ว พระเจ้าส่งฉันกลับมา พระเจ้าได้ยินฉัน!”

    ถ้าพระเจ้าของนายใส่แว่น อเล็กซ์เอ่ย

    และสวมสูทสีขาว ก็คงใช่โทนี่เสริม

    ความรื่นรมย์ถูกหยุด เมื่อหันไปมองรีเมียสซึ่งยืนขรึมห่างไปสามฟุต

    กระนั้นรอยยิ้มอันแสนเบิกบานของผมก็ยังอยู่

    ตามฉันมา

    เขาเดินนำออกไปตามทางที่ผมคุ้นเคย และผมรู้ได้เลยว่าเขากำลังเดินไปที่ไหน

     

    นั่นทำให้ความร่าเริงทั้งหมดของผมหายไป

     

    ไม่มีที่ใดจะเงียบเฉียบและชวนขนหัวลุกได้เท่าสุสานแห่งคอร์เคล

    มันเป็นบริเวณเดียวที่ไม่มีวัยรุ่นสุมหัวเสพยา ไม่มีคุณตัว ไม่มีโต๊ะแทงบอล ถือเป็นแหล่งปลอดอบายมุขในอุดมคติของทุกกระทรวง แต่ทำไมถึงไม่ถูกเสนอเป็นมรดกโลกก็ไม่รู้ ที่นี่ไม่มีมนุษย์ แต่ถูกครอบครองโดยสิ่งที่เคยเป็นมนุษย์  

    หรือกำลังจะกลับไปเกิดเป็นมนุษย์

    ตลอดทางมีเงาของต้นไม้ทอดผ่านเป็นกิ่งก้านดูคล้ายปีศาจ สายลมเอื่อยๆพัดพาใบไม้แห้งปลิวละเลียดไปตามยอดหญ้า มีแต่เสียงจักจั่น แต่ไม่มีเสียงหมาหอน เพราะหมาครึ่งหนึ่งของคอร์เคลถูกจับตอนจนหมดอารมณ์หอน อีกสี่สิบเปอร์เซ็นต์ถูกจับไปทำลูกชิ้นส่งขาย และอีกสิบเปอร์เซ็นต์ที่เหลือหิวโซใกล้ตาย มันจึงเป็นสุสานที่ไม่น่ากลัวเท่าไหร่

    พอๆกับที่ไม่ค่อยมีใครสนใจมันเท่าไหร่

    ผ่านการเดินทางมาหลายนาที หลังจากถูกโทนี่กับอเล็กซ์เบียดเสียดเพราะความปอดแหกหลายครั้ง รีเมียสก็หยุดอยู่หน้าป้ายหลุมศพหลุมหนึ่ง

    หมู่เมฆเคลื่อนจาก แสงจันทร์ทอดผ่าน และเผยให้เห็นว่าชื่อบนหลุมศพนั้นเป็นใคร

     

    เออร์เน็ต เอลแกน

     

    เพียงเท่านั้นผมก็หยุดหายใจ

    พอล ฉันเอ่อเสียใจ ตอนเย็นที่พูดออกไปอย่างนั้น

    โทนี่บอกบอกด้วยท่าทีประหม่า

    แต่สายตาผมยังคงอยู่ที่ชื่อบนป้ายหลุมศพ

    ฉันไม่ได้ตั้งใจ ฉันแค่โง่มากเกินไป โทนี่ยังพูดต่อ

    สายตาผมยังคงอยู่ที่ชื่อบนป้ายหลุมศพ

    ความจริงฉันก็ผิดด้วยที่เริ่มก่อน อเล็กซ์

    สายตาผมยังคงอยู่ที่ชื่อบนป้ายหลุมศพ

    ฉันน่าจะรู้อะไรมากกว่านี้ อเล็กซ์พูดอีกครั้ง

    แต่สายตาผมก็ยังคงอยู่ที่ชื่อบนป้ายหลุมศพ

    มาอีกแล้ว ความเจ็บปวดกำลังครอบงำผมอีกแล้ว มันมาทีละสเต็ปๆ เหมือนเมื่อครู่นี้ เริ่มจากเสียงของเออร์เน็ต ภาพของเออร์เน็ต รอยยิ้มของเออร์เน็ต แววตาของเออร์เน็ต ไม่ได้ ผมจะร้องไห้ไม่ได้ ผมจะให้ใครเห็นความอ่อนแออย่างนี้ไม่ได้ ข่มเอาไว้ กลั้นเอาไว้พอล นายทำได้

    แต่จู่ๆ ไหล่ของผมก็รับรู้ได้ถึงสัมผัสอันแผ่วเบาจากมือข้างหนึ่ง

    จนผมอดคิดถึงภาพฝ่ามือของเออร์เน็ตที่เคยวางบนบ่าผมไม่ได้

    ไม่เป็นไรหรอก รีเมียสเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน แม้จะไม่ได้หันไปมอง แต่ผมก็แทบจะรู้สึกได้เลยว่าเขากำลังยิ้ม มันไม่ผิดอะไรเลย

    เพียงเท่านั้นจิตใจผมก็ท่วมท้นไปด้วยความโศกเศร้าเกินจะทนไหว และในที่สุดมันก็กระชากผมให้ล้มลงอีกครั้ง มือขวาของผมแนบไปกับป้ายหลุมศพ ผมเงยหน้ามองชื่อนั้นทั้งน้ำตาที่ไหลพราก

    อยากจะบอกเขาเหลือเกินว่าผมเสียใจแค่ไหน

    อยากให้เขารู้ ให้เขาได้ยินว่าผมอาลัยเพียงใด

    อยากจะบอกว่าเขาประเสริฐยิ่งกว่าใคร

    อยากให้เขารู้ว่าไม่มีใครสามารถมอบความอบอุ่นได้อย่างเขา

    อยากจะบอกว่าผมมีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ได้เพราะใคร

    อยากจะขอโทษที่บางครั้งผมทำให้เขาเสียใจ

    อยากจะอ้อนวอนให้เขากอดผมอีกซักครั้งจะได้ไหม

    อยากจะบอกว่าผมรักเขา รักเขามากที่สุด มากกว่าสิ่งใด

    แต่ผมทำไม่ได้ ผมพูดอะไรออกมาไม่ได้เลย ความปวดร้าวมันสุมกายแผ่ขยายมาอุดกล่องเสียง ทำได้เพียงแค่ปล่อยให้น้ำตาเป็นตัวแทนทุกสิ่งที่อยากเอ่ยวาจา ภาพของเออร์เน็ตภาพแล้วภาพเล่าปรากฏขึ้นในความทรงจำ ราวกับโฮมวีดีโอที่ย้ำให้เห็นถึงนาทีอันมีค่าที่เราเคยอยู่ด้วยกัน

     

    ไม่หิวเหรอครับ?

    ผมถาม เมื่อเออร์เน็ตวางไก่ทอดชิ้นโตใส่จานผม

    ไม่หรอก ฉันไดเอต

    ผมจำแววตาแสนใจดีคู่นั้นได้

    และจำได้ด้วยว่าเออร์เน็ตไม่ได้ทานข้าวเย็นมาแล้วสองวัน เพราะยังไม่มีงานทำ

    อาหารทั้งหมดเขายกให้ผม กระนั้นใบหน้าเขาก็ยังเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม

     

    ไง วันนี้เรียนสนุกไหม?

    นั่นคือคำถามเดิมๆ ที่ถูกถามเมื่อเราเจอกันทุกครั้งหลังโรงเรียนเลิก เออร์เน็ตจะเป็นผู้ปกครองคนแรกเสมอ และเขามักมาพร้อมกับไอศกรีมที่ผมชอบเสมอ

     

    สุขสันต์วันเกิดนะพอล

    ผมตาลุกวาวกับเค้กวันเกิดที่เออร์เน็ตทำเองกับมือ ผมจำได้ว่ามันหวานไปนิด แล้วแป้งก็น้อยไปหน่อย แต่อย่างน้อยเออร์เน็ตก็ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองพิเศษทุกครั้งในวันเกิด แม้เราจะมีงานสังสรรค์กันแค่สองคน แต่มันก็เป็นวันที่สนุกสุดๆไปเลย   

     

    ขอผมนอนด้วยได้ไหมครับ?

    ผมในวัยแปดขวบยืนตัวสั่น กอดตุ๊กตาหมีอยู่หน้าห้องนอนเออร์เน็ต ตอนนั้นเป็นเวลาเที่ยงคืน เออร์เน็ตดูเพลีย หัวเขายุ่งเหยิง ตายังลืมไม่เต็ม

    เป็นอะไรล่ะพอล?

    กระนั้นเขาก็ยังคงยิ้ม

    คือผม…” ผมหันกลับไปมองห้องตัวเองอีกครั้งแล้วก็ขนลุกซู่ ผมกลัวผี…”

    โธ่ พอล ผีไม่มีในโลกหรอกนะ เออร์เน็ตนั่งลงในระดับเท่ากับผม

    แต่ผมได้ยินเสียงมันจริงๆนะครับ ผมหน้าเบ้

    โอเค โอเค งั้นรอเดี๋ยว เขาหายเข้าไปในห้อง แป๊บเดียวก็ออกมา

    พร้อมกับหมอน ผ้าห่ม และหมอนข้าง

    จะไปไหนครับ? ผมงง

    ไปนอนกับเธอไง เออร์เน็ตบอก เธอโตแล้ว เธอต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ในสิ่งแวดล้อมของตัวเอง ฉันจะสอนให้เธอรู้ว่าเธออยู่ได้

    แต่มันมีผี…”

    ลองมันมา เออร์เน็ตจะจัดการให้โอเค๊ เขาขยิบตา แล้วพาผมเข้านอน

     

    ผมในวัยสิบห้ากำลังนั่งอยู่ที่โซฟา เออร์เน็ตนั่งอยู่ข้างหน้า สายตาเขากำลังมองผลการเรียนที่มีวิชาหนึ่งผมสอบตก บรรยากาศเป็นไปอย่างกระอักกระอ่วน

    เอ่อผมอธิบายได้นะครับ

    ผมรีบพูด เมื่อเขาทำท่าจะพูดบางอย่าง

    ว่ามา

    คือว่าวิชานั้นมันก็ตกกันหลายคนนะครับ แล้วก็เป็นวิชาที่ เอ่อ ยากมาก

    เออร์เน็ตแสดงสายตารับรู้

    มันก็เลย เป็นแบบแบบนั้น

    ผมก้มหน้าอย่างหมดหนทาง มันเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกผิดหวัง ไม่ใช่แค่กับตัวเอง แต่เพราะผมเพิ่งทำให้เออร์เน็ตผิดหวังด้วย

    ไม่เห็นเป็นไร เออร์เน็ตยิ้ม ผมเงยหน้าเขา เออร์เน็ตเดินเข้ามานั่งข้างผม เธอพยายามใหม่ได้นี่นา

    ผมมองตาชายที่เสียสละเวลามาติวให้ผมทุกคืน ผู้ชายที่คอยหาหนังสือเรียนดีๆมือสองมาให้ผม คนที่แบ่งเงินอันน้อยนิดมาเป็นค่าขนมให้ผม  เพียงแค่นั้นความขมขื่นทั้งหมดก็พรั่งพรู

    ผมขอโทษครับ ผมขอโทษผมพูดทั้งสะอื้น

    เฮ้ย ขี้แง ไปได้ เออร์เน็ตลูบหัวปลอบผม นั่นยิ่งทำให้บ่อน้ำตาผมแตกเข้าไปใหญ่ ฉันว่าเราไปเลี้ยงฉลองกันดีกว่า

    ครับ?

    ผมทำหน้างง จู่ๆน้ำตาก็หยุดไหล

    เลี้ยงฉลองที่เราสอบตกวิชานี้เหมือนกันไง เขาหัวเราะ

     

     

    กลับมาแล้วครับ

    เธอไปไหนมา?

    ผมหยุดอยู่ระหว่างประตู เออร์เน็ตจ้องผมตาเขม็งอยู่บนโซฟา นาฬิกาบอกเวลาห้าโมงเย็น ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าจากวันนี้เป็นต้นไปห้ามกลับถึงบ้านหลังสี่โมงครึ่ง

    มีกิจกรรมที่โรงเรียนนิดหน่อยครับ

    เชื่อผมเหอะ เด็กอายุสิบเจ็ดทุกคนใช้ข้ออ้างนี้กันทั้งหมด

    เธอโกหก เออร์เน็ตเดินเข้ามาหาผม เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาแสดงความไม่พอใจใส่ผม

    ผมไม่ได้โกหกนะครับ…”

    เธอไปมีเรื่องกับพวกนั้นมาอีกใช่ไหม? เออร์เน็ตพูดแทรก ทำหน้าแบบผู้รู้ ต้องให้บอกกี่ครั้งกี่หนว่าอย่ามีเรื่องกับใคร ทำไมไม่ฟังฉัน เมื่อวานก็ทีนึงแล้ว เธอยังไม่สาแก่ใจหรือไง วันนี้เธอยังจะหาเรื่องอะไรมาให้ฉัน ฉันนึกว่าจะเลี้ยงดูเธอให้รู้จักคุณค่าของตัวเองได้ แต่เธอกลับเลือกจะเป็นพวกไร้ค่าแบบไอ้พวกนั้น เธอยังสติดีอยู่หรือเปล่า!”

    แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณด้วยเล่า คุณไม่ใช่พ่อผมสักหน่อย!”

    เพียงเท่านั้น เสียงของผมก็หายไป เมื่อถูกกลบด้วยเสียงตบเต็มๆปาก

    เราสองคนสบตากันอย่างไม่เข้าใจ เออร์เน็ตดูเหมือนไม่คาดฝันในสิ่งที่เขาทำลงไป นาฬิกาชีวิตราวกับหยุดเคลื่อนไหว และตอนนั้นผมก็โมโหเกินกว่าจะเก็บอารมณ์ไว้ได้

    พรุ่งนี้ผมจะไปจากที่นี่ แล้วคุณจะไม่เห็นผมอีก!

    ผมเดินปึงปังขึ้นห้องนอนไป โดยไม่ใส่ใจเสียงเออร์เน็ตที่เรียกตามหลัง

                    หัวค่ำวันนั้น ผมเก็บของที่จำเป็นทุกอย่างใส่กระเป๋า ทั้งที่ไม่รู้เลยว่าจะไปไหน ไปอยู่กับใคร เอาเงินที่ไหนใช้ ผมทิ้งตัวลงบนเตียงด้วยความโกรธ โมโหจนขว้างตุ๊กตาหมีที่เออร์เน็ตเคยซื้อให้ ผมรู้สึกได้ว่าลมหายใจร้อนผ่าวอยู่อีกพักใหญ่

    และนาทีต่อมาผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้า

                    พอล…”

                    เออร์เน็ตเรียก แต่ผมไม่ตอบ

                    อาหารเย็นเสร็จแล้ว ลงมากินเถอะน้ำเสียงเขาช่างอ่อนโยน และเปี่ยมด้วยความเมตตาเหมือนคนเดิม ฉันทำไก่ทอดที่เธอชอบด้วยนะ

    เขาทำเสียงร่าเริง แต่ผมไม่ตอบ

    เออร์เน็ตเคาะประตูเรียกผมหลายครั้ง ผมก็ไม่เปิดให้เขา แม้เขาจะพยายามแค่ไหน ผมก็ย้ำบอกตัวเองว่าจะไม่มีทางให้อภัย ไม่มีวัน!

                    งั้น หิวแล้วค่อยลงมานะ

                    เออร์เน็ตจากไปด้วยเสียงแห่งความผิดหวัง ผมถอนหายใจ รู้สึกว่าทั้งบ้านปกคลุมด้วยความเงียบเนิ่นนาน และหลายนาทีต่อมา ซองจดหมายซองหนึ่งก็ถูกสอดผ่านช่องใต้ประตู ผมรู้ว่าเออร์เน็ตยังอยู่ตรงนั้นผ่านเงาที่วูบวับของเขา ผมแสร้งทำเป็นไม่สนใจ รอจนได้ยินเสียงเออร์เน็ตจากไป แล้วจึงค่อยๆย่องไปหยิบมันขึ้นมาเปิด

                     พอล

     

                    สิบแปดปีที่ผ่านมา ฉันพยายามอย่างมากที่จะเป็นผู้ปกครองที่ดีที่สุดของเธอ ฉันทำทุกอย่างโดยคิดถึงเธอก่อนเสมอ ฉันมีความสุขทุกครั้งที่ได้เห็นรอยยิ้มของเธอ และเสียงหัวเราะของเธอ แม้ฉันจะลำบาก แต่ฉันอยากให้เธอรู้ว่าฉันไม่เคยเหนื่อย ไม่เคยท้อ ไม่เคยหมดหวังที่จะทำให้เธอมีความสุข มาวันนี้ที่เธอบอกว่าเธอจะจากฉันไป เธอไม่รู้หรอกว่ามันทำร้ายจิตใจฉันแค่ไหน

    แต่ไม่เป็นไร ตอนนี้เธอก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว หากเธอมั่นใจว่าเธอสามารถดูแลตัวเองได้ ฉันเป็นใครมีสิทธิอะไรรั้งเธอไว้

                    สิ่งที่ฉันอยากจะบอกก็คือ ไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหน ได้โปรดรักษาตัว ได้โปรดดูแลตัวเองให้ดีที่สุด อย่าให้ตัวเองต้องเดือดร้อน อย่าให้ตัวเองต้องเสี่ยงกับอันตราย เพราะฉันคงทำใจไม่ได้หากเธอต้องเป็นอะไรไป ส่วนฉัน ฉันจะยังคงอยู่ที่นี่ รอเธออยู่ตรงนี้ หวังว่าสักวันเธอจะกลับมาหา หากมีเรื่องอะไรที่เธอคิดว่าไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเอง ได้โปรดขอความช่วยเหลือจากฉัน ฉันจะรีบไปหาเธอให้เร็วที่สุดเท่าที่ฉันจะสามารถทำได้ ก็อย่างที่ฉันเคยบอก ฉันจะอยู่กับเธอเสมอไม่ว่าเธออยู่ที่ไหน โปรดจงจำไว้ว่าถึงแม้ฉันไม่อาจเป็นพ่อของเธอได้ แต่ฉันจะขอเป็นผู้ปกครองที่รักและห่วงใยเธอตลอดไป

     

                    ไม่ว่ายังไง เธอก็ยังคงเป็นพอลคนเดิมสำหรับฉันเสมอ ที่นี่ยินดีต้อนรับเธอเสมอ

     

                                                                                                                                                       ดูแลตัวเองให้ดี

    รัก

             เออร์เน็ต

     

                      สิ่งที่มาพร้อมกับซองจดหมายไม่ได้มีแค่กระดาษ แต่ยังมีเช็คอีกใบที่เซ็นจำนวนเงินพอจะให้ผมอยู่อย่างดีได้หลายเดือน! มันคงจะเป็นเงินเก็บของเออร์เน็ต เงินที่เขาได้มาอย่างลำบากโดยการทำงานตรากตรำไม่ว่างเว้น แต่นี่เขายินดียกให้ผมทั้งหมด ใช่ เขาไม่ได้คิดถึงตัวเองเลยว่าจะอยู่ต่อไปยังไง จะกินอะไร หรือจะต้องทำงานลำบากแค่ไหนเพื่อมาเงินมาใช้ ผมนั่งอยู่ตรงนั้นพักใหญ่ด้วยหัวใจที่เต้นไม่ถูกจังหวะ ใจหนึ่งผมอยากจะวิ่งไปกอดเขาและขอโทษที่ทำให้เขาเสียใจ แต่อีกใจผมก็อีโก้มากเกินกว่าจะยอมเสียศักดิ์ศรีได้ นาทีนั้นผมคิดไม่ตกว่าควรทำอย่างไร ผมพูดออกไปอย่างนั้นแล้ว ผมจะยอมขายหน้าได้ยังไง

    แต่ในที่สุดความผูกพันธ์ระหว่างผมกับเขาก็ตัดไม่ขาด

    ผมตัดสินใจเปิดประตูห้อง แล้วร้องเรียกเออร์เน็ตไปตลอดทางเดิน

    แต่ไม่มีเสียงตอบ

    เออร์เน็ตครับ

    ผมลงไปดูข้างล่างไม่มีใครอยู่ จึงวิ่งไปบนห้องเขา ก็ว่างเปล่า

    เออร์เน็ต

    ผมรู้สึกเหมือนลูกนกที่ร้องหาพ่อ หัวผมอื้ออึงด้วยเสียงตัวเองที่ตะโกนครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงขานรับจากเขา ผมตัดสินใจออกจากบ้าน ตอนนี้ถนนมืดมากแล้ว รองเท้าของเออร์เน็ตไม่อยู่ เขาคงเดินออกไปสงบสติที่ไหนสักแห่ง บ้าจริง ทำไมถึงทำให้เขาเสียใจได้ขนาดนี้ คอร์เคลไม่ใช่ที่ที่คนดีๆอย่างเขาจะออกไปเพ่นพ่าน ผมต้องหาตัวเขาให้เจอก่อนจะมีอันตรายเกิดขึ้น

     

    ไง ไอ้ตัวดี

     

    แต่อันตรายก็ดูเหมือนจะหาผมเจอซะก่อน

    พวกนักเลงห้าคนยืนอยู่ตรงนั้น นำทีมโดยหัวหน้าในเสื้อกล้ามสีขาว แต่ละคนพกอาวุธครบมือ ท่าทางมันบอกชัดว่าไม่ได้มาทักทายอย่างเป็นมิตร

    จัดการ!”

    แล้วฉากการไล่ล่าอันแสนหฤโหดก็เริ่มขึ้น

    ซึ่งมันก็จบลงด้วยการที่ผมจากบ้านมาอย่างที่เคยตะโกนใส่เออร์เน็ต

    จากมาโดยไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าเขาเป็นครั้งสุดท้าย

    จากมาทั้งๆ ที่มีเรื่องมากมายจะบอก

    จากมาทั้งที่ไม่ได้กอดเขา

    จากมาในฐานะคนที่เลวที่สุดกับเขา

     

    ความทรงจำทั้งหมดทำให้ผมจมอยู่กับความเศร้าเนิ่นนานหลายนาที ในที่สุดน้ำตาก็หยุดไหลไม่รู้ว่าเพราะผมเหนื่อยหรือว่าผมทำใจได้ กระนั้นผมก็ยังอยู่ไม่ไกลจากหลุมศพ เมื่อมองไปทางซ้ายผมก็เห็นว่ามีดอกไม้วางอยู่หน้าหลุมศพอันหนึ่ง มองไปทางขวาก็เห็นหลุมศพที่มีช่อดอกไม้ แม้มันจะแห้งกรอบ แต่อย่างน้อยมันก็มี

    แล้วดูนี่ซิ คนที่เป็นดั่งตัวแทนของความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก กลับไม่มีดอกไม้สักดอก

    ไม่มีจริงๆ

    ตอนนั้นเองที่รีเมียสเดินเข้ามาสะกิดผม และเมื่อหันไป ก็พบว่าเขายื่นบางอย่างมาให้

    แค่คิดว่านายต้องใช้

    รีเมียสยิ้มน้อยๆ ขณะบรรจงมอบช่อดอกกุหลาบสีขาวใส่มือผม

    มันช่างเป็นนาทีที่ผมตื้นตันจนพูดไม่ออกจริงๆ สิ่งที่ผมทำได้คือยิ้มตอบเขา แล้วคุกเข่าตรงหน้าหลุมศพ

    คุณคือคนที่ผมรักที่สุด

    นั่นคือสิ่งที่ผมอยากพูด แต่ก็ทำได้แค่บอกมันในใจ

    ผมจะจดจำคุณไว้ตลอดไป

    ผมบอกตัวเองในใจอีกครั้ง แล้ววางช่อดอกไม้ลงอย่างแผ่วเบา

    เพิ่งสังเกตเดี๋ยวนี้เองว่าป้ายหลุมศพของเออร์เน็ตยังไม่มีใครฝากข้อความอะไรทิ้งไว้เลย ไม่มีแม้แต่ปีเกิด ปีตายของเขา ทุกสิ่งถูกจัดฉากแบบลวกๆ จะมีอะไรให้ผมปวดใจได้อีกไหม

    นายต้องการอะไรอีกหรือเปล่า?

    โทนี่ปรากฏกายขึ้นข้างๆ ตาเขาแดงก่ำ อเล็กซ์สั่งน้ำมูกเสียงดัง ผมทำหน้างง

    ฉัน หมายถึง(เขาสะอื้น) นายอยากฝากอะไรถึงเขาเป็นครั้งสุดท้ายไหม?

    ผมคิดด้วยสายตาเลื่อนลอย มองไปทางไหนก็เจอแต่ข้อความซึ้งๆบนป้ายหลุมศพ

    อยากซิ แต่ไม่เป็นไร ผมยิ้มแทนคำขอบคุณ โทนี่จะทำอะไรได้ เขาคงพูดไปอย่างนั้น

    ฉันช่วยนายได้นะ

    โทนี่เดินมานั่งชันเข่าข้างๆ เขากุมมือขวาของผมไว้ด้วยสองมือ แววตาเขาเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจบางอย่างที่ผมสามารถรู้สึกได้ แม้จะไม่เข้าใจมันเลยก็ตาม

    พามือฉันไปตามสิ่งที่นายอยากจะเขียน โอเคนะ

    โทนี่พามือผมไปหยุดตรงป้ายหลุมศพอย่างช้าๆ ถึงผมจะไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร แต่โทนี่คงไม่มีอารมณ์มาล้อเล่นกับคนสิ้นหวังแน่ๆ ผมหลับตาลง คิดทบทวนถึงทุกอย่างในชีวิตที่ผ่านมา คิดหาประโยคสั้นๆเพื่อจะอธิบายถึงความรู้สึกทั้งหมดที่ผมมีต่อเออร์เน็ต คิดย้อนไป ย้อนไปไกล ลึกเข้าไป

    ในที่สุดผมก็ได้คำนั้น

    พร้อมนะ

    โทนี่ถาม ผมพยักหน้าแล้ววาดมือไปบนป้ายหลุมศพ

    ทันทีที่ผมลากเส้น ก็บังเกิดเสียงบนป้ายราวกับมันถูกตัดด้วยมีดอันคมกริบ!

    ใจเย็นๆ นายทำดีแล้ว โทนี่กระซิบเมื่อเห็นผมผงะ โอเค ผมรู้แล้วว่าโทนี่คงใช้พลังแฝงบางอย่างในตัวเขา เอาล่ะ ตั้งใจดีๆพอล ถึงโทนี่จะทำให้นายจารึกข้อความลงบนศิลาได้

    แต่ถ้านายเขียนผิด เขาคงจะลบมันไม่ได้

    ผมสูดหายใจเข้าแล้วเขียนข้อความนั้นต่อไป ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเชื่องช้า ประณีต และพิถีพิถัน

    จนเมื่อมันเสร็จ ผมก็ยิ้มให้มันด้วยความสุขอันเปี่ยมล้น

    เป็นข้อความที่ดี รีเมียสบอก

    นายทำฉันร้องไห้อีกแล้ว โทนี่สั่งน้ำมูก บนเสื้ออเล็กซ์

    เมื่อได้ทำอะไรสักอย่างเพื่อเออร์เน็ต ความเศร้า ความอาลัยทั้งหมดดูจะหายไป ยามนี้ผมรู้สึกว่าหัวใจปลอดโปร่ง โล่งไปหมดเมื่อได้เป็นคนใหม่ที่แข็งแกร่ง

    และผมพร้อมแล้ว ที่จะเริ่มชีวิตใหม่อีกครั้ง

    กลับกันเถอะ

    ผมเอ่ยปาก

    นายไม่อยากอยู่ที่นี่สักคืนเหรอ? รีเมียสมีน้ำเสียงผิดคาด ดูออกเลยว่าเขาคงกะให้ผมค้างที่บ้านตัวเอง

    ไม่ล่ะ ผมปฏิเสธอย่างไม่ต้องคิดมาก แว่บหนึ่งฉันเคยคิดอยากจะกลับมาที่นี่ อยากจะอยู่ในโลกที่มีความทรงจำของฉันกับเขาแบบนี้ แต่ลองคิดดู เขาคงไม่ต้องการให้ฉันจมปรักอยู่ในที่ๆมีแต่ความโหดร้าย โลกใบนี้ไม่ใช่ที่สำหรับฉัน เขาเองก็คงคิดอย่างนั้น และต่อจากนี้ไปไม่ว่าฉันจะอยู่ที่ไหน ฉันก็จะรู้สึกถึงเขาได้เสมอ

    ผมยิ้มยามเมื่อมองกลับไปบนฟ้าอีกครั้ง ดวงดาวมากมายส่องแสงระยิบระยับอยู่บนนั้น และผมมั่นใจว่าต้องมีสักดวงที่เป็นเออร์เน็ต

    ต้องมีสักดวง

    เขาจะคอยนำทางฉันไม่ว่าฉันอยู่ที่ไหน ตราบใดที่ฉันยังเห็นดวงดาวบนฟ้าไกล ฉันจะไม่รู้สึกอ้างว้างอีกต่อไป

    เขาต้องภูมิใจถ้าได้ยินแบบนี้ รีเมียสบอก

    เขารู้ ผมพยักหน้าอย่างมั่นใจ เขาต้องรู้

    ที่แห่งใดแห่งหนึ่งบนฟ้านั่น เออร์เน็ตคงกำลังยิ้มเหมือนกับที่เขายิ้มให้ผมมาตลอดสิบแปดปี เขาคงกำลังมองผมด้วยสายตาแห่งความเอ็นดูเหมือนที่เขาให้ผมทุกวัน ใช่ เขาอาจจะเพิ่งขยิบตาด้วยท่าทางขบขันเมื่อได้ยินคำพูดของผม ผมเห็นภาพเขายืนถือไอศกรีมเหมือนทุกครั้งที่รอผมตอนเลิกเรียน เห็นภาพที่เขากำลังยืนถือเค้กวันเกิด และเห็นภาพเวลาที่เขากอดผมเพื่อปลอบยามร้องไห้ ไม่ว่าผมจะอยู่ที่ไหน เออร์เน็ตจะติดตามผมไป เขาจะรับรู้ทุกอย่างในชีวิตของผม เห็นทุกย่างก้าวบนทางเดินของผม อยู่เคียงข้างทุกชะตาที่ฟ้าลิขิตให้ผม

    เพราะเขาไม่มีวันทิ้งผม

    ก็เขาบอกเองเขาจะรักและเป็นห่วงผมตลอดไป

    นาทีนี้ผมมองกลับมาที่หลุมศพอีกครั้ง จากนั้นผมจึงนั่งลงกอดป้ายหลุมศพของเขาเพื่อซึม

    ซับความรักทั้งหมดเป็นครั้งสุดท้าย และมอบคำสั้นๆ ให้กับชายผู้เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต

    ลาก่อนครับ พ่อ…”

    สายลมพัดผ่านผมไป ทั้งที่มันควรจะหนาว แต่มันกลับอบอุ่นเหมือนมีความรักอันยิ่งใหญ่จากใครบางคนส่งมาให้ ผมยิ้มทั้งน้ำตาด้วยรู้สึกได้เลยว่าเออร์เน็ตอยู่ไม่ไกล

    ไม่ไกลเลยจริงๆ

    และแล้วผมก็เดินนำทุกคนจากไป ทิ้งไว้เพียงช่อดอกไม้ กับ ข้อความสุดท้าย

    ใต้ชื่อชายผู้เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของผม

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    เออร์เน็ต เอลแกน

    แด่ความรักอันยิ่งใหญ่

    พ่อครับ ผมรักพ่อ

    พอล เอลแกน

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                    ทุกสิ่งบนโลกล้วนส่งข้อความถึงเรา โดยไม่จำเป็นต้องเห็นเป็นตัวอักษร

                    บางครั้งเราก็สื่อความเอ็นดูผ่านรอยยิ้ม

     

                    เออร์เน็ตจ้องมองเด็กชายที่หลับใหล ในอ้อมกอดน้อยๆ นั่นคือตุ๊กตาหมีที่เขาเพิ่งซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิด เออร์เน็ตเอื้อมมือไปปิดไฟ ก่อนจะจูบลาที่แก้มเขา แล้วกระซิบอย่างแผ่วเบา

                    ฝันดี เจ้าชายน้อย

     

                    บางครั้งเราก็สื่อความห่วงใยผ่านมือที่สัมผัส

     

                    เออร์เน็ตวางมือบนบ่าของพอล ในวันที่เขาสอบตกวิชาคณิตศาสตร์

                    พรุ่งนี้ต้องดีกว่านี้ เขาพูด เธอเก่งเสมอสำหรับฉัน

     

              บางครั้งเราก็สื่อความใส่ใจผ่านการเสียสละ

     

                    โต๊ะทำงานของเออร์เน็ตถูกถมด้วยภูเขาเอกสาร

    เขาทำงานหามรุ่งหามค่ำมาแล้วสามวัน สภาพร่างกายที่ทรุดโทรมบีบคั้นให้ดวงตาเขาพร้อมจะปิด

    แต่เมื่อได้เห็นรูปของเด็กชายที่วางอยู่บนโต๊ะ

                    รอยยิ้มไร้เดียงสาจากรูปนั้น ก็แปรเปลี่ยนเป็นพลังให้เขาฮึดสู้อีกครั้ง

     

                    และบางครั้ง เราก็สื่อความรักผ่านอ้อมกอด

     

    อย่าร้องนะเด็กดี

                    เออร์เน็ตพร่ำปลอบประโลมเด็กชายในอ้อมกอด นี่ไม่ใช่วันแรกที่พอลถูกรังแก แต่มันดูจะเป็นวันที่สาหัส เพราะตุ๊กตาหมีที่พอลแสนรักถูกฉีกกระชากกลายเป็นเศษขยะ มันเป็นเหมือนเพื่อนคนเดียวของเขา และจังหวะหัวใจของพอลที่เต้นอยู่ใกล้หัวใจเขาตอนนี้ บอกเออร์เน็ตให้รู้ได้ดีว่าเด็กชายเจ็บช้ำเพียงใด

    เดี๋ยวฉันซื้อให้ใหม่ โอเค๊

                    เขาทั้งสองสบตากัน

                    และรอยยิ้มแสนร่าเริงของเออร์เน็ต ก็ทำให้ความเศร้าโศกหายไป

                    เกิดเป็นลูกผู้ชาย ต้องแข็งแกร่ง อย่าร้องไห้ให้ใครเห็นเป็นอันขาด จำคำฉันไว้นะ

     

     

                    ไม่ว่าสิ่งไหนจะส่งข้อความถึงเรา มันก็ไม่สำคัญเท่ากับว่าเราเข้าใจมันหรือไม่

              ถ้าเราเข้าใจ เราก็จะรู้วิธีในการตอบรับข้อความนั้นได้

                    แต่ถ้า ไม่

                    หรือถ้ามันสายเกินไป

                    ก็อาจเป็นเรา ที่เสียใจไปตลอดกาล

     

                    เออร์เน็ตเขียนจดหมายลาด้วยความอาลัยที่ระบายอยู่บนใบหน้า

    เขาหายใจเข้าลึกๆเพื่อห้ามน้ำตาแห่งความสูญเสีย ทุกตัวหนังสือถูกเขียนด้วยความขมขื่นกล้ำกลืน แต่เขาก็ฝืนเขียนมันได้จนเสร็จ เออร์เน็ตลงชื่อบนจดหมาย หยิบกระดาษเช็คขึ้นมาเพื่อเขียนตัวเลขทั้งหมดในบัญชีให้ผู้รับที่ชื่อว่า พอล เอลแกน ไม่มีการคิดไตร่ตรอง ไม่มีการเสียดาย ทุกสิ่งออกมาจากใจ เขายินดียกทุกอย่างให้ หากมันจะทำให้ใครที่เขารักสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ ชายหนุ่มพิงกายไปกับพนักเก้าอี้ เขาเม้มปากข่มความอ่อนแอ และสูดหายใจเข้า เพื่อทำหน้าที่ของผู้ปกครองเป็นครั้งสุดท้าย

                    ยามนี้เออร์เน็ตยืนอยู่ตรงหน้าห้องคนๆหนึ่งที่เป็นทุกอย่างในชีวิตของเขา แต่คนๆนั้นไม่ยินดีที่จะเปิดประตูต้อนรับเขา                 กระนั้นเออร์เน็ตก็ยังมีรอยยิ้มเมื่อถอนหายใจแผ่วเบา

    สำหรับเขาพอลยังคงเป็นเด็กที่น่าเอ็นดูเสมอ

    เออร์เน็ตสอดซองจดหมายลงไปใต้ช่องประตู เขายังอยู่ตรงนั้นอีกครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงที่แสดงว่าคนในห้องเคลื่อนไหว

                    ใช่ มันคงถึงเวลาที่เขาต้องตัดสินใจ

                    สิ่งที่เขาทำลงไปวันนี้ มันคงโหดร้ายเกินกว่าจะได้รับการให้อภัย

                    แม้จะคิดได้เช่นนั้น แต่เขาก็ห้ามความเสียใจไม่ให้ไหลออกมาไม่ได้

                    เออร์เน็ตเดินจากไปด้วยหัวใจที่ห่อเหี่ยว และเมื่อลงมาถึงชั้นล่างที่ปกคลุมด้วยบรรยากาศอันเปล่าเปลี่ยว เขาก็ทำได้แค่มองไปรอบกาย พลางคิดว่าจะเป็นอย่างไรหากพรุ่งนี้ไม่มีเงาของใครคนหนึ่งที่อยู่กับเขามาตลอดสิบแปดปี

                    จะเป็นอย่างไรหากไม่มีเด็กหนุ่มคนนั้นนั่งหัวเราะรายการตลกบนโซฟากับเขา

                    จะเป็นอย่างไรหากพรุ่งนี้จะมีแค่เขาบนโต๊ะอาหาร

                    จะเป็นอย่างไรหากพรุ่งนี้และวันต่อๆไปหลังสี่โมงเย็น จะไม่มีเสียงที่บอกว่า กลับมาแล้วครับ

                    และจะเป็นอย่างไร หากบ้านหลังนี้ไร้วี่แววของคนที่เขารักเหมือนลูก

                    สำหรับเออร์เน็ต บ้านที่ตกอยู่ภายใต้เงื่อนไขเหล่านั้นคงไม่ใช่บ้านอีกต่อไป และเขาก็ไม่อาจทำใจที่จะอยู่เพื่อจินตนาการถึงฝันร้ายที่กำลังจะมาเยือนได้ เออร์เน็ตตัดสินใจผลักประตูบ้านออกไป กระนั้นเขาก็ไม่อาจฝืนใจที่อยากจะเห็นหน้าพอลอีกครั้ง

                    เขาหันกลับไปในบ้าน เงยหน้าไปชั้นสอง สายตาที่มองเปี่ยมไปด้วยความหวัง

                    แต่ไม่พอลไม่ได้เปิดประตูอีกครั้ง

    เขากลั้นหายใจ เผื่อจะได้ยินเสียงฝีเท้าคู่นั้น

                    แต่ก็ไม่เสียงรอบบ้านช่างว่างเปล่าราวกับไม่มีใคร

    นั่นคือ ข้อความที่ส่งตรงถึงเขา ว่าเขาคงไม่ได้รับการให้อภัย

                    ลาก่อน

                    เออร์เน็ตพูดด้วยรอยยิ้ม แล้วเดินออกไป

              ??

              แต่ตอนนั้นเองที่เขาได้ยินเสียงเคลื่อนไหว และเออร์เน็ตสามารถเดาได้ว่าพอลคงกำลังนั่งอ่านจดหมายอยู่ใกล้ๆ ประตู

                    นั่นคือสัญญาณที่ดี เออร์เน็ตคิดอย่างนั้น

    ไม่ว่าปฏิกิริยาหลังจากอ่านจดหมายจะเป็นอย่างไร แต่เขาก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของความหวัง เขาอธิบายไม่ได้ว่าทำไมถึงรู้สึกอย่างนั้น แต่อาจจะเป็นเพราะความผูกพันธ์ระหว่างพวกเขา ที่ทำให้ดวงตาเออร์เน็ตมีประกายแห่งความมั่นใจ

    ดังนั้นเขาควรจะทำอะไรสักอย่างเพื่อทำให้พอลใจอ่อน

                    อืม

    ไก่ทอดสักตัวก็คงดี

                    เออร์เน็ตยิ้มด้วยหัวใจพองโตแล้วรีบเดินจากไป

     

                    โดยไม่มีวันรู้เลยว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้เห็นบ้านหลังนี้

     

                    บ้านที่เต็มไปด้วยความทรงจำอันแสนวิเศษของเขา

                    บ้านที่ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งความสุขของเขา

     

                    และบ้าน ที่เต็มไปด้วยข้อความแห่งรัก จากเขา 


    ขอบคุณมากครับผม


    อ่านจบแล้ว รบกวนทุกคนคอมเมนต์ความรู้สึกเกี่ยวกับบทนี้ด้วยครับผม เพราะป๊อบไม่ค่อยได้ทำแนวดราม่า 
    นี่เป็นจุดเริ่มต้น ป๊อบตั้งใจทำมากๆๆๆๆๆๆ   อยากทราบความเห็นของทุกคนครับผม

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×