ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Heroes Builder (ผม?) นี่แหละวีรบุรุษ (รอรีไรท์)

    ลำดับตอนที่ #1 : บทเริ่มแห่งตำนาน : ใต้เปลวไฟแห่งอัสดง องค์ที่1 100%

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 250
      1
      14 ก.ค. 60

    วีรบุรุษ... 

    ไม่ได้กำเนิดขึ้นมาเป็นวีรบุรุษ 

    แต่ถูกสร้างขึ้นให้เป็นวีรบุรุษ

    ไม่ว่า ‘เขา’ จะยินยอมหรือยินดีกับมันหรือไม่ตาม

     

     อาบาทอส อาราฟิค้า (วีรบุรุษคนแรกของโลก)

    Abatos  Arafika (First Hero of Erath)

    …………………………………………….

    Begin of Legend

    Greena’s Escape

    การหนีของกรีน่า บาเด็น

               

                ฉันชื่อกรีน่า

                กรีน่า บาเด็น...เป็นผู้ส่งสารลำดับที่แปดของประเทศคาซัคและ...ฉัน

                ...ไม่มีเวลาเหลืออีกแล้ว...

     

                วันที่ 24 เมษายน อาคาทาที่ 60 เวลาโดยประมาณ 17.00 น.

                ณ.ประเทศซีบิล เมืองหลวงแห่งอาคาทา

                เสียงฝีเท้าเป็นสิ่งเดียวที่ทำลายความเงียบของเขตร้าง แสงอาทิตย์อาบไล้บ้านเรือนด้วยสีสันราวกับเลือดคล้ายกับบอกว่าทุกสิ่งของที่นี่กำลังถูกคุกคามด้วยลางร้าย

                และ..ลางร้ายก็กำลังไล่ตามเธอมา

                กรีน่าวิ่งผ่านความเสื่อมโทรมอย่างไม่คิดชีวิต ที่นี่เป็นที่อยู่ของทาสชาวซีเกตุในยุคปัจจุบัน เศษซากความสกปรกกระจายให้เห็นมากมายบนทางแผ่นหินส่งกลิ่นเหม็นตลบอบอวล

                ขวามือคือบ้านของชาวซีเกตุที่เรียงต่อกันตลอดแนวซึ่งทรุดโทรมหากเทียบกับสิ่งก่อสร้างทางซ้าย ถนนเส้นนี้เป็นเสมือนเส้นกั้นเขตระหว่างชุมชนทาสและเมืองหลวงอาคาทา ประตูไม้ผุๆ ถูกเปิดเข้าไปในบ้านซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นอิฐสีขาว หน้าต่างก็เช่นกันบ่งบอกว่าเคยมีผู้คนอยู่ที่นี่ แต่เวลานี้กลับว่างเปล่าวังเวง

                เสียงปืนดังขึ้นถี่รัวจากจัตุรัสกลางเมืองเรียกความสนใจของหญิงสาว ควันสีดำเป็นสายกำลังลอยขึ้นสูง แม้จะอยู่ค่อนข้างไกลแต่เธอก็เห็นส่วนบนของโบสถ์แบล็กเพิร์ลวิบไหวระหว่างช่องไฟ...โบสถ์สีดำที่กษัตริย์ซีบิลทรงสร้างเพื่อเป็นเกียรติให้กับ แม่ชีอาคาทา วีรสตรีแห่งความซื่อสัตย์และสันติ

                แม้โบสถ์จะถูกสร้างขึ้นให้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เพื่อชำระล้างบาปของมวลมนุษย์ แต่การที่ศาสนสถานซึ่งบริสุทธิ์เช่นนั้นต้องตั้งอยู่ท่ามกลางสงครามกลางเมืองซึ่งกำลังจะเปลี่ยนโฉมหน้าของประเทศซีบิลไปโดยสิ้นเชิงนี้ มันก็ไม่ต่างอะไรกับการเป็นพยานให้กับประวัติศาสตร์เลือดในครั้งนี้เลย  

                หนูตัวเป้งร้องลั่นเมื่อหญิงสาววิ่งข้ามตัว กรีน่าหันไปมองข้างหลังเพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างว่างเปล่าก่อนเลี้ยวเข้าไปในตรอกเล็กๆ ข้างทางหินลาดอย่างรวดเร็ว

                นอกจากเสียงฝีเท้าและการเต้นถี่รัวของหัวใจ หูอันอื้ออึงของเธอแทบจะไม่ยินดีต้อนรับเสียงใดๆ อีก กรีน่าชะลอความเร็วลงแต่ก็ไม่อาจลดความระแวงลงได้ เธอมองไปรอบทิศไม่เว้นแม้แต่ด้านบนก่อนจะเคาะประตูไม้โทรมๆ กลางตรอกพลางรอด้วยใจระทึก...

                “กรีน่า?” หญิงสาวรีบแทรกตัวเข้าไปอย่างเร่งร้อนแทบทันทีที่เปิด โดยไม่สนคำอุทานของเจ้าของที่เลยสักนิด

                “รีบปิดประตูเลยค่ะ”

                “กรีน่าเกิดอะไรขึ้น?” ชายชราถามขึ้นทันควันหลังจากทำตามคำสั่งอันร้อนรนนั่น หนวดสีดอกเลางอหงิกเป็นก้อนฟูล้อมหน้ากลมๆ สีแทนแทบไม่ต่างอะไรกับเอาขนแกะมาแปะ พุงล้นๆ ปริเสื้อเชิ้ตและกางเกงเอี๊ยมจนตึงเปรี๊ยะ ร่างของเขาสูงเลยไหล่ของเธอไปเพียงนิดเดียว

                เขาเดินตามหญิงสาวซึ่งเดินตัวปลิวไปยังราวแขวนผ้าที่อัดแน่นไปด้วยบรรดาชุดต่างๆ และเริ่มเลือกมัน

                “หนูต้องการออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ค่ะลุงอัลบาโก้ เซเซนตี้หนูขอใช้รหัสหลบหนีเสียงหวานฟังดูร้อนรนจนไม่อาจปิดได้ ชายชราเห็นดังนั้นจึงเลือกจะใช้เสียงที่อ่อนโยนลงโดยหวังให้เธอรู้สึกสงบลงบ้าง

                “กรีน่า? หลานเอ้ยเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า..แล้วเซียร์ล่ะ เขาหายไปไหน?

                มือบางชะงักกึก ก่อนจะเคลื่อนไหวต่อ

                “เซียร์...เขาคลาดกับหนูค่ะ” กรีน่าอธิบายก่อนจะหยิบเสื้อตัวหนึ่ง มันคือชุดนักเดินทางสำหรับสตรีซึ่งทำผ้าฝ้ายและหนัง

                “คลาด?” อัลบาโก้ทวน กรีน่าถอดวิกผมสีน้ำตาลยาวผูกสูงออก ปลดปล่อยสีแดงประกายลงมา แม้จะสั้นเหนือคางแต่ก็เข้ากับหน้าขาวๆ และกลมกลืนกับดวงตาสีน้ำตาลอ่อน “ลุงรู้ว่าข้างนอกกำลังวุ่นวายแต่ด้วยทักษะของพวกเธอที่เป็นนักส่งสารแห่งคาซัค...”

                “พวกซีเกตุบุกเข้ามาในคฤหาสน์ที่พวกเราไปส่งสารน่ะค่ะ” กรีน่าอธิบาย “แล้วคงคิดว่าเราทำงานให้กับทางซีบิลค่ะเลยเล่นงานพวกเรา หนูกับเซียร์ไม่อยากผิดกฎแสดงฐานะก็เลยหนี แต่ว่าพวกเขาตามไม่เลิกเราเลยต้องแยกกันหนีน่ะค่ะ” จากนั้นอัลบาโก้ก็ต้องเห็นใบหน้าอ่อนเยาว์ปริ่มน้ำตา

                “มันน่ากลัวมากเลยค่ะพวกเขาไล่ล่าเรายังกับสัตว์ป่า ตอนนี้ทั้งซีบิลและซีเกตุกำลังต่อสู้กันอยู่ที่จัตุรัส ตอนนี้พวกซีบิลกำลังจะปิดเมืองหลวงไม่ให้ใครเข้าออกแล้วด้วย” ตัวของเธอสั่นเทาแต่ก็พยายามสะกดกั้นอาการทั้งหลายไว้ด้วยการเม้มปาก

                ชายชรามองดูอย่างเงียบๆ เขาทั้งสงสาร เห็นใจและไม่แปลกใจเลยหากเธอจะกลัว

                ‘กรีน่า บาเด็น เป็นพิราบส่งสารติดอันดับคนใหม่ที่พึ่งขึ้นมาแทนนักส่งสารอันดับเดียวกันซึ่งหายตัวไปได้เพียงสองสามเดือน แถมยังมาประจำในเขตการทำงานนี้ตอนที่เหตุการณ์ของประเทศซีบิลกำลังคุกรุ่นอยู่อีก ทุกอย่างเริ่มต้นมาจากพวกซีบิลตัดสินใจประหารเด็กคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้สืบทอดเชื้อสายราชวงศ์คนสุดท้ายของชาวซีเกตุ

                และสาเหตุของมันนั้น...เกิดจากการกินผลไม้เพียงหนึ่งผล  

                “งั้น...เดี๋ยวเซียร์ต้องกลับมาที่นี่แน่นอน” เขาว่าแต่กรีน่ากลับส่ายหน้า

                “เซียร์จะไม่กลับมาที่นี่อีกแล้วค่ะ...เขาตัดสินใจออกนอกเมืองหลวงเลย เขาตั้งใจจะล่อพวกนั้นออกจากหนูเพื่อให้หนูได้ใช้ทางลับหนีกลับไปยังคาซัค” แล้วประโยคถัดมาก็ทำให้อีกฝ่ายตกอยู่ในความตื่นตะลึง “ประเทศนี้ไม่ใช่ที่ที่พิราบติดอันดับอย่างเราจะอยู่ได้อีกแล้ว ถ้าเรายังอยู่และโดนจับได้ล่ะก็พวกเราอาจจะกลายเป็นอุปกรณ์ทางการสงครามของพวกเขาแน่”

                “พวกเขาไม่มีสิทธิทำแบบนั้น!” อัลบาโก้พูดจนเกือบตะโกน อีกฝ่ายพลันสะอึกสำนึกได้ว่าตัวเองทำพลาด “ตราบใดที่คาซัคมี สนธิสัญญาแห่งคาซัค อยู่ เรื่องแบบนั้นจะไม่มีวันเกิดขึ้น”

                กรีน่าเงียบใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจ “มันไม่ใช่แค่นั้นค่ะ”

                “หมายความว่าไง?”

                เสียงหวานแผ่วเบานั้นเป็นเหมือนถ้อยคำประกาศิต “พวกเรารู้เบื้องหลังของสงครามครั้งนี้เข้าแล้วล่ะค่ะ...เพราะแบบนั้นพวกเขาถึงต้องการฆ่าพวกเรายังไงล่ะคะ”   

                “โอ้อัลแซสม่า” อัลบาโก้อุทาน “หลานกำลังจะบอกว่าสงครามกลางเมืองครั้งนี้มีเบื้องหลังอย่างนั้นเหรอ?...งั้นพวกที่ไล่ฆ่าพวกหลานไม่ใช่แค่ชาวซีเกตุพวกเดียว...อย่าบอกนะว่าจริงๆ แล้วซีบิลเป็นคนจัดฉากเรื่องทั้งหมดขึ้น..แต่เพื่ออะไรล่ะ?”

                 กรีน่านิ่งเงียบ “หนูไม่รู้ แต่หนูกับเซียร์ได้ยินสิ่งเขาพูดกันยังไม่ทันจบก็โดนเห็นเข้าเสียก่อนจากนั้นก็ถูกไล่ล่า การที่พวกเขาตั้งใจปิดประตูเมืองสาเหตุก็เพราะพวกเขาไม่อยากให้พวกหนูออกไป อัลบาโก้ดูหนูตอนนี้สิ! หนูเสี่ยงตายมาที่นี่เพราะมาขอความช่วยเหลือ ดูสิคะ ดูสภาพชุดหนูสิคะ!” กรีน่าหันหลังให้กับอัลบาโก้ รอยสีแดงดวงใหญ่ปรากฏบนเสื้อผ้าฝ้ายสีขาว “มีคนจับหนูได้จนหนูล้มหน้าคะมำแล้วตอนที่เขาคร่อมและกำลังจะแทงหนู เซียร์เขาก็เลยต้องแทงคน...”

                “นี่ฆ่าคนด้วยเหรอ!?” หญิงสาวพยักหน้า ชายชราแทบทรุด “นักส่งสารห้ามฆ่าคนนะ”

                “หนูขอโทษเซียร์เองก็รู้ แต่เขาก็ช่วยหนูไว้จริงๆ” น้ำตาที่อัดอั้นไว้หลุดร่วงลงมาในที่สุด “สิ่งที่หนูพูดคือความจริงนะคะ สงครามครั้งนี้มีเบื้องหลังแล้วพวกเขากำลังต้องการจะฆ่าเรา

                เพราะงั้นลุงอัลบาโก้ได้โปรดช่วยเปิดทางลับให้กรีน่าด้วยเถอะค่ะ ตอนนี้เซียร์กำลังดึงความสนใจของพวกเขาอยู่ หนูเองก็ต้องพยายามเหมือนกันอัลบาโก้..หนูขอร้อง ถ้าช้าไปกว่านี้พวกเขาอาจจะหาที่นี่เจอแล้วเราก็อาจจะตายทั้งคู่”

                “โอ้ อัลแซสม่า” ชายชราพึมพำซ้ำไปซ้ำมา เขาเดินไปเดินมาพร้อมกับกุมขมับแม้จะเร่งด่วนแค่ไหนแต่กรีน่าเข้าใจดี

                การเปิดทางลับหมายถึงสัญญาณแห่งความโกลาหลอย่างแท้จริง การหลบหนีของนักส่งสารหรืออีกชื่อพิราบ ผู้โบยบินอย่างอิสระในทุกซีกโลกใบนี้ด้วย สนธิสัญญาแห่งคาซัค หากมีการเปิดใช้ทางลับขึ้นมาย่อมหมายถึงกำลังมีบางอย่างคุกคามชีวิตของนักส่งสาร

                การที่ผู้ดูแลที่กบดานจะถามไถ่จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพราะหากเปิดทางลับโดยเหตุผลไม่สมควร ทั้งนักส่งสารและผู้ดูแลจะมีความผิดตามกฎของประเทศคาซัคเพราะทางลับจะถูกอนุญาตให้ใช้เมื่อเป็นทางเลือกสุดท้ายแล้วจริงๆ เท่านั้น

                เธอได้แต่หวังว่าอัลบาโก้จะยินยอมเปิดทางลับให้เพราะการจะเปิดทางลับได้นั้นขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้ดูแลที่กบดานแต่เพียงผู้เดียว ถ้าอัลบาโก้ไม่ยอมเปิดทางลับเธอคงต้องดิ้นรนออกจากประเทศนี้ด้วยตัวเอง

                กรีน่าอธิษฐานขออย่าให้เป็นอย่างหลังเลย

                “...ได้งั้นลุงจะเปิดให้อีกครึ่งชั่วโมงเตรียมตัวนะกรีน่า อุ๊บ!” นักส่งสารสาวเข้าสวมกอดชายชราโดยไม่ทันตั้งตัว เสียงถอนหายใจดังข้างหูคล้ายกับอีกฝ่ายได้ยกภูเขาออกจากอก มืออวบอูมตบหลังเธอเบาๆ ราวกับเด็กน้อย เมื่อผละออกจึงได้เห็นใบหน้านวลดูแจ่มใสขึ้น

                “ขอบคุณค่ะ ขอบคุณมากนะคะลุงอัลบาโก้ หนูขอโทษที่ทำให้ลุงต้องมาติดร่างแหไปด้วย”

                ‘แล้วก็ต้องขอโทษนะคะที่กรีน่าไม่ได้พูดความจริงทั้งหมด

                หวังว่าเขาจะไม่รู้อีกถ้อยคำที่เธอเก็บซ่อน

     

    ‡‡‡‡‡‡ ‡‡‡‡‡‡‡ ‡‡‡‡‡‡‡‡‡‡‡ ‡‡‡‡‡‡‡‡‡‡ ‡‡‡‡‡‡‡‡‡‡‡‡ ‡‡‡

                กรีน่าผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยความรวดเร็ว เธอถอดชุดผ้าฝ้ายสภาพแย่นี่ออกแล้วทาผิวด้วยน้ำยาที่ทำให้ผิวกลายเป็นสีแทนทั่วร่างเพื่อปกปิดรอยแผลรอยถลอก ก่อนสวมชุดเดินทางที่เลือกเอาไว้ สุดท้ายจึงจัดแจงใส่วิกผมสั้นสีดำ สีผมสีแดงประกายนั้นเด่นเกินไปสำหรับชาวทวีปตะวันตกเพราะสีผมของเธอบ่งบอกถึงเชื้อสายของทวีปตะวันออกอย่างชัดเจน

                ทั้งตัวเธอและพี่สาวเป็นเด็กกำพร้าจึงไม่รู้จริงๆ ว่าตัวเองเกิดที่ไหน แต่ทุกครั้งที่เธอทำงานในทวีปตะวันตกจึงมักจะต้องทำให้ กลมกลืนเสมอและในบางครั้งก็ถึงขั้น ปกปิด

                น้อยคนนักจะพอมีความสามารถมองการปลอมตัวของเธอออก แม้แต่พี่น้องพิราบติดอันดับด้วยกัน ถึงจะมีสิบสองคนยี่สิบสี่ตาแต่ก็มีจริงๆ แค่สามสี่คนเท่านั้นที่ดูออก

                หญิงสาวสำรวจดูตัวเองในกระจกเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อให้แน่ใจว่าวิกเข้าที่และไม่มีสีแดงประกายเส้นใดหลุดรอดออกมาหรือผิวตรงไหนมีรอยขาวให้เห็น เพราะถ้าเธอถูกจับได้มันย่อมหมายถึงชีวิตของเธอเอง

                พลันรู้สึกถึงพื้นสั่นสะเทือนจนร่างเซ และการสั่นสะเทือนนี้ไม่ได้เกิดจากอะไรนอกจาก ทวารเหล็กทั้งแปด ของเมืองหลวงอาคาทาได้เลื่อนลงมาปิดทางเข้าออก ทวารบานสูงชะลูดประจำทิศทั้งแปดทำจากเหล็กกล้าหนาฟุตหนึ่งซึ่งคอยเป็นปราการให้เมืองหลวงมากว่าสองร้อยปี แต่ในตอนนี้มันกลับถูกปิดลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ซีบิลสร้างเมืองหลวงแห่งอาคาทา หลังจากปิดมันลงมาแล้วเมืองหลวงอาคาทาจะตัดถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง

                พวกเขาทำทุกอย่างเพื่อจะฆ่าพวกเธอจริงๆ

                “ใจเย็นๆ กรีน่า เธอต้องทำได้ เธอต้องรอด” มือบางหยิบสร้อยเงินตรงหน้ากระจก จี้รูปดาบมีปีกทั้งสองสยายอยู่เบื้องหลัง มันเป็นสิ่งเรียบง่ายไม่มีเพชรพลอยหรือรอยสลักอันใดหากมันมีความศรัทธาของเธอกับพี่สาวอัดแน่นอยู่ภายในและเชื่อมั่นว่าพระเจ้าผู้มอบสัญลักษณ์นี้ให้แก่โลกจะปกป้องเธอเหมือนอย่างที่เคยเป็นมาตลอดยี่สิบสองปี

                หญิงสาวยกจี้สัมผัสริมฝีปากอิ่มแผ่วเบา แล้วพึมพำคำอธิษฐาน

                “ข้าแต่อัลแซสม่า พระเจ้าผู้เป็นเจ้า ผู้เป็นผู้สร้างทวีปตะวันตก ใต้และท้องทะเล ขอทรงประทานพรให้แก่พวกเรา เซียร์ แลนน์ อัลบาโก้ อามันเดโล่ และข้ากรีน่า บาเด็น ปลอดภัยรอดพ้นจากอันตรายและขอให้ประเทศนี้กลับสู่ในจุดที่มันควรจะเป็นด้วยเถิด ขอขอบคุณสำหรับความเปี่ยมเมตตาของท่าน”

                มือบางยกสร้อยขึ้นสวมพลางยัดเข้าไว้ในเสื้อ เธอพร้อมแล้วและหวังว่าอัลแซสม่าจะเมตตาเธอเพียงพอ

                “กรีน่า” หญิงสาวเดินมายังห้องเก็บของหลังร้าน ชายชรายืนอยู่ภายในนั้น มือข้างหนึ่งถือกระเป๋าหนังสะพายใบหนึ่งพร้อมกับยื่นสายหนังที่มีทั้งปืนสั้นและดาบสั้นโค้งมาให้

                “หลานอาจต้องใช้” เขาว่า “ไม่ว่าหลานจะชอบหรือไม่หลานก็ต้องใช้มันถ้ามันจำเป็น”

                “ขอบคุณค่ะ” กรีน่ารับพวกมันมาพลางทำการคาดจนเรียบร้อยหลังจากตรวจปืนและดาบแล้ว เธอจึงรับกระเป๋าเป็นอย่างสุดท้าย

                “ในนั้นลุงใส่ของจำเป็นที่หลานจะต้องใช้และลุงหวังว่ามันจะครบ เอาล่ะ” อัลบาโก้ยื่นมือออกมา “ทันนี้ก็เหรียญประจำตำแหน่ง”

                กรีน่ายื่นเหรียญสำริดขนาดเท่าคุกกี้ชิ้นเล็กๆ ตรงกลางสลักลายเส้นรูปนกพิราบคาบสาร บริเวณปลายริบบิ้นผนึกสารมีเลข 8 อยู่

                “เฮ้อ ถ้าเป็นไปได้ไม่อยากให้มันจบแบบนี้เลย” เขาพูดหลังจากมือบางวางเหรียญไว้บนมือแล้วตามมาด้วยการถอนหายใจ

                “หนูเองก็เหมือนกันค่ะ” กรีน่ายิ้มเศร้า “ถ้าเป็นไปได้ก็อยากกลับมาที่นี่อีก หวังว่า..ทุกอย่างจะสงบลง...ลุงอัลบาโก้คะ”

                เจ้าของชื่อมองเธอนิ่ง กรีน่าเม้มปากราวช่างใจก่อนจะพูดออกมาว่า “ลุง..หนีไปกับหนูก็ได้นะคะ”

                หลังจากเงียบไปเกือบนาที อัลบาโก้ก็หัวเราะพาให้หญิงสาวงุนงง “เป็นคนดูแลที่กบดานนี่ดีจริงๆ เลย! คิดไม่ผิดจริงๆ ที่เลือกอาชีพนี้!...” ชายชราหัวเราะเสียนานราวกับเวลาไม่ใช่เรื่องสำคัญ “เฮ้อ กรีน่าหลานเอ้ยเอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะอย่าพึ่งใจดีกับคนอื่นเลยใจดีกับตัวเองก่อน”

                ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนกระพริบปริบๆ พลันมือข้างหนึ่งสัมผัสกับไหล่บอบบาง “เฮ้อ~ พวกพิราบนี่เป็นแบบนี้ตลอด พอถึงเวลาจริงๆ ดันสละอะไรกันไม่เป็นแถมคิดจะเอาไม้ใกล้ฝั่งมาถ่วงตัว กรีน่าเอ้ยรู้ว่าหลานหวังดีแต่ลุงไปไม่ได้หรอก ถ้าร้านขายเสื้อผ้าใหญ่ขนาดนี้ไม่มีคนเฝ้ามันจะดูน่าสงสัยทันที แล้วที่นี่คงไม่พ้นโดนคุ้ยจนเจอความลับของคาซัค”

                หลานคงรู้นะว่าอะไรจะเกิดขึ้นตามมา ประเทศหลานเป็นประเทศอิสระอย่างนั้น ประเทศอิสระที่ลดทอนความอิสระของผู้คนถึงจะด้วยความเต็มใจก็เถอะแต่ก็ไม่แปลกถ้ามีใครอยากจะทำลายมัน...ใครสักคนที่ไม่หวังดีต่อสันติภาพของโลก”

                “...ขอบคุณค่ะ..ขอบคุณจริงๆ นะคะแล้วหนูก็ต้องขอโทษด้วย”

                “อย่าร้องไห้ไม่เอาๆ” รอยยิ้มกว้างจนตาหยีของชายชราทำให้เธออดขำไม่ได้ สำหรับหญิงสาวเขาคือคุณลุงผู้ใจดีและยิ้มแย้มอยู่เสมอ ดูแลเซียร์และเธอเป็นอย่างดีราวกับลูกในไส้ แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่การตัดสินใจรับตำแหน่ง พิราบติดอันดับแล้วมาประจำอยู่ที่นี่มันไม่ใช่เรื่องผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว “เอาล่ะ เรามาเริ่มกันเลย”

                ว่าจบอัลบาโก้ถอดสร้อยออกจากคอ มันเป็นสร้อยเงินห้อยด้วยจี้รูปหยดน้ำซึ่งดูออกอย่างง่ายดายว่าเป็นสำริดเช่นเดียวกัน  มือหนาอวบแกะส่วนหลังไร้ลวดลายของตราออก แบ่งมันออกเป็นครึ่ง ด้านหลังที่ไร้ฝาปิดมีช่องรูปหยดน้ำอยู่ กรีน่าเคยลองแกะมันออกอยู่ครั้งหนึ่งจากนั้นมันก็ทำให้เธอสงสัยมาตลอด คำตอบกำลังจะถูกเฉลย  

                ชายชราปลดจี้ออกแล้วใส่เข้ากับช่องรูปหยดน้ำนั้น นิ้วชี้อวบๆ กดเส้นขอบนูนลงไปและเริ่มหมุน เสียงแก๊กดังยาวๆ  บริเวณข้างในที่เคยราบเรียบเกิดช่องเล็กๆ จำนวนหกแถววิ่งหมุนกันไปมา จากนั้นก็กริ๊ก! แล้วอัลบาโก้ก็หงายตราขึ้น เขาจับมันแค่สองนิ้วแล้วยกขึ้นใกล้ตา นิ้วชี้กดปุ่มตรงเลข ‘8’ และ...

                ชิ้ง!

                ลิ่มเหล็กโผล่ออกมาจากช่องเหล่านั้น รอยหยักบนลิ่มนั้นดูไม่ต่างจากก้านกุญแจเลยสักนิด

                “เอาล่ะ ต่อไปก็...” อัลบาโก้เดินไปยังมุมห้อง เขายกตู้เก็บผ้าเล็กๆ ออก ก่อนหันมาทางกรีน่าเป็นเชิงบางอย่าง หญิงสาวรับรู้จึงพยักหน้าแล้วหันไปอีกทาง

                ในความเป็นจริงถึงพวกเขาจะมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันเพียงใดก็ยังมีเรื่องหลายเรื่องเกี่ยวกับหน้าที่ของตนเองที่ไม่สามารถบอกอีกฝ่ายได้เช่นกัน

                กรีน่าได้ยินเสียงกริ๊กตามมาด้วยเสียงหมุน สุดท้ายก็กริ๊กอีกครั้ง ก่อนที่จะรู้สึกถึงพื้นสั่นสะเทือน อัลบาโก้ลุกขึ้นยืน เสียงเฟืองดังกระจายไปทั่วห้องอาจจะเป็นเพราะห้องนี้ไม่ใช่ห้องเก็บของธรรมดาๆ กลไกเบื้องหลังกำแพงกำลังทำงาน       

                แผ่นหินกลางพื้นห้องสี่แผ่นปริแยกออกจากกันกลายเป็นช่องรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ก่อนจบด้วยเสียงปึ้งเบาๆ และทุกอย่างหยุดนิ่งลง

                คนทั้งคู่มองลงไปในหลุม มีเพียงแสงจากหลอดไฟเบื้องบนส่องกระทบใยแมงมุมตรงขอบหลุมและพื้นแผ่นหินข้างล่างเท่านั้น

                “ลุงเคยได้ยินว่าข้างล่างเป็นทางเขาวงกตไม่รู้ว่าจริงไหม?”

                “มีแต่พิราบด้วยเท่านั้นที่จะรู้ทิศทางไป” กรีน่าบอกเสียงเครียด “จากนี้ไปเป็นงานของหนูแล้ว”

                “ยังมีอีกเรื่องที่หลานต้องรู้” อัลบาโก้ยื่นให้อีกเหรียญหนึ่ง แม้ลวดลายคล้ายกันแต่ครั้งนี้กลับเป็นเหรียญเงินและตรงริบบิ้นม้วนสารก็ไม่มีหมายเลขอีกแล้ว “หลานต้องใช้ตรานี้แทนตราเดิม”

                “การเปิดทางลับตามกฎของประเทศเราหมายถึงทางเลือกสุดท้ายหลานคงรู้ และการเปิดประตูก็อย่างที่หลานเห็นว่ามันจะต้องใช้จี้ของผู้ดูแลและตราของนักส่งสาร

                เหรียญตราเงินนี้เป็นเครื่องหมายว่ามีการเปิดใช้ทางลับซึ่งในอีกความหมายหนึ่งคือมีภัยคุกคามร้ายแรงต่อนักส่งสาร ดังนั้นเมื่อเปิดใช้แล้วจะมีการมอบเหรียญเงินแทนเหรียญตราประจำตัวของนักส่งสาร ถ้าถึงคาซัคแล้วหลานต้องแสดงตัวด้วยเหรียญเงินนี้แล้วหลานจะถูกพาไปเข้าเฝ้าต่อหน้ากษัตริย์แห่งคาซัคทันที หลานจะถูกสอบสวนและได้รับการคุ้มครองอย่างดีที่สุดฉะนั้นไม่ต้องกลัว”

                อัลบาโก้มองดวงตาสีน้ำตาลอ่อนนั่น กรีน่าผลิรอยยิ้มบางๆ แล้วถอนหายใจเบาๆ

                “หนูอยากให้ลุงไปด้วยจริงๆ” หญิงสาวหยิบเหรียญเงินพร้อมกับโดดลงเข้าช่องนั้น พลันย่อเข่ารับน้ำหนักตัวก่อนจะเงยหน้าขึ้นมอง

                “มีแท่งแสงอยู่ในกระเป๋า” หญิงสาวลงมือค้นทันที เมื่อสัมผัสได้ถึงแท่งเย็นๆ จึงดึงมันออกมา แท่งแก้วขนาดคืบหนึ่งที่ปลายทั้งสองมีสลักสีเงิน กรีน่าไม่รู้ว่ามันทำจากเงินจริงหรือไม่เพียงแต่มันทำหน้าที่กักของเหลวสีใสข้างในไม่ให้ไหลออกมา

                หญิงสาวเขย่ามัน พลันเกิดแสงสว่างสีเขียวน้ำทะเลจ้าแวบจนต้องผละหนี ดวงตาพร่าไปเล็กน้อย เธอไม่เคยใช้มันแม้แต่ครั้งเดียวแต่เคยเห็นพวกนักส่งสารติดอันดับพี่น้องของเธอเอามาอวดกันอยู่ครั้งหนึ่ง จำได้ว่าคนที่กระตือรือร้นที่สุดคือฟาส์ท เขาเคยพูดว่ามันเหมือนกับเขากำลังถือดวงดาวเอาไว้ในมือ 

                “พอมันอ่อนแสงก็เขย่ามัน หลอดแก้วแข็งมากไม่ต้องห่วงถ้าทำตก พอออกจากที่ซ่อนให้เอาผ้าหรืออะไรพันก่อนไม่ให้แสงมันลอดออกมาแล้วค่อยเก็บไว้ในกระเป๋า อย่าลืมล่ะ” อัลบาโก้มองหญิงสาวก่อนจะเอ่ยถ้อยคำสุดท้าย “ขอให้อัลแซสม่าคุ้มครองหลาน”

                “เช่นกันค่ะ ขอให้ปลอดภัยนะคะลุงอัลบาโก้” เธอได้แต่มองช่องลับถูกปิดลงพลางมองไปยังมือของเธอที่ถือแท่งแสงเอาไว้

                สีเขียวน้ำทะเลทำให้เธอรู้ว่ารอบตัวมีเพียงแต่กำแพงอิฐ ซุ้มประตูไร้บานตรงหน้าเป็นเส้นทางเดียวที่จะไปต่อ กรีน่ารู้สึกเหมือนเห็นทั้งความหวังและความสิ้นหวังในความมืดมิดหลังประตูแม้จะมีแสงในมือคอยเปิดทางให้ แต่ก็ไม่อาจบอกจุดสิ้นสุดของการหนีครั้งนี้

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×