สาวฮอตหน้าใสปะทะนายวายร้ายสุดเท่
เรื่องนี้ได้รับการตีพิมพ์กับชูการ์เรนแล้วจ้า
ผู้เข้าชมรวม
10,292
ผู้เข้าชมเดือนนี้
20
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
|
ผลงานอื่นๆ ของ Devil’s Bride ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Devil’s Bride
"สาวฮอตหน้าใสปะทะนายวายร้ายสุดเท่"
(แจ้งลบ)สาวฮอตหน้าใส ปะทะนายวายร้ายสุดเท่ นิยายเรื่อง “สาวฮอตหน้าใส ปะทะนายวายร้ายสุดเท่” เป็นนิยายเรื่องแรกของ Devil’s Bride ที่ผู้เขียนบอกว่าใช้เวลาในการแต่งเรื่องนี้เพียง 10 วันเท่านั้น เมื่ออ่านแล้วพบว่านิยายเรื่องนี้ไม่ได้แหวกออกจากงานแบบซีรี่เกาหลีแนวนักเลงหรือแนวยากูซ่าญี่ปุ่นเท่าใดนัก ที่วางตัวให้ตัวเอกคังมินยงเป็นเด็กนักเ ... อ่านเพิ่มเติม
สาวฮอตหน้าใส ปะทะนายวายร้ายสุดเท่ นิยายเรื่อง “สาวฮอตหน้าใส ปะทะนายวายร้ายสุดเท่” เป็นนิยายเรื่องแรกของ Devil’s Bride ที่ผู้เขียนบอกว่าใช้เวลาในการแต่งเรื่องนี้เพียง 10 วันเท่านั้น เมื่ออ่านแล้วพบว่านิยายเรื่องนี้ไม่ได้แหวกออกจากงานแบบซีรี่เกาหลีแนวนักเลงหรือแนวยากูซ่าญี่ปุ่นเท่าใดนัก ที่วางตัวให้ตัวเอกคังมินยงเป็นเด็กนักเรียนมัธยมซางตง ผู้ซึ่งเป็นเหมือนหัวหน้าแก๊งที่มักจะยกพวกตีกันกับเด็กนักเรียนโรงเรียนอื่นอยู่เสมอ และเพิ่มการพล๊อตเรื่องของนิยายรักเข้าไปด้วยการให้สร้างให้นางเอกของเรื่องเป็นที่หมายปองจากชายหนุ่มหลายคน จนแต่ละคนต้องยื้อแย่งเพื่อให้นางเอกมาเป็นแฟนของตน การเปิดเรื่องในตอนแรกทิ่อ่านนั้น ทำให้นึกถึงฉากคลาสสิกของการ์ตูนญี่ปุ่นที่มักจะสร้างสถานการณ์ให้นางเอกพบกับชายหนุ่มที่เป็นตัวละครสำคัญของเรื่อง โดยสร้างฉากให้นางเอกกระโดดลงจากรั้วโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นการหนีโรงเรียน หรือมาโรงเรียนสายจนต้องปีนรั้วโรงเรียนเข้าไปเพื่อไม่ให้ถูกลงโทษ ในเรื่องนี้ก็เช่นกัน นางเอกของเรื่องยานางิ เรย์ ก็ตัดสินใจปีนรั้วโรงเรียนเพื่อหนีไปดูคอนเสิร์ตของวง Slim และจังหวะที่กระโดดลงมาจากรั้วนั้น ทำให้เธอล้มไปทับซองแจวอน นักเรียนชายหน้าตาดีจากโรงเรียนมัธยมเทปัน ซึ่งการพบกันครั้งนี้ทำให้ชะตาชีวิตของคนที่คู่ต้องผูกพันกันนับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา เช่นเดียวกับฉากการพบกันระหว่างเรย์กับคังมินยง ตัวละครชายสำคัญอีกตัวหนึ่งก็ไม่ต่างกัน ก็เป็นฉากที่มักพบอยู่เสมอทั้งในการ์ตูน และในซี่รี่เกาหลีและญี่ปุ่น นั่นคือ ฉากที่นางเอกต้องวิ่งหนีแล้วก็มาเจอกับตัวเอกของเรื่อง และในนิยายเรื่องนี้ Devil’s Bride ก็เพิ่มฉากที่ส่งให้สถานการณ์การพบกันครั้งนี้น่าตื่นเต้นขึ้นไปอีกด้วยการให้เรย์จูบคังมินยง ซึ่งการจูกกันครั้งนี้ยังเป็นการขโมยจูบแรกของคังมินยงไป จนเรย์ต้องรับผิดชอบด้วยการถูกบังคับให้เป็นแฟนกับเขาไปโดยปริยาย ในส่วนของการดำเนินเรื่องนั้นจะเห็นว่า Devil’s Bride เล่นกันความสัมพันธ์รักสามเศร้าของคนสามคน นั่นคือ เรย์ คังมินยง และ ซองแจวอน ในมิติของความสัมพันธ์นั้นเราจะได้เห็นการแสดงความรักในหลากรูปแบบที่ต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกให้เห็นว่ารักและห่วงใยอย่างเปิดเผยของซองแจวอน ทั้งคำพูดและการกระทำ เพราะเมื่อซองแจวอนแน่ใจว่าเขารักเรย์ เขาก็มักจะบอกเรย์ให้รับรู้ถึงความรู้สึกของเขาอยู่เสมอ ในช่วงแรกๆ ที่เขาเริ่มประทับใจเรย์เขาก็สารภาพกับเธอว่า “ถ้าฉันสนใจผู้หญิงคนไหน ฉันก็ควรจะรู้เรื่องส่วนตัวของผู้หญิงคนนั้นสิ” (หน้า 59) แต่ต่อมาเมื่อเขามั่นใจแล้วว่าเรย์คือผู้หญิงที่ใช่ เขาก็ให้สัญญากับเรย์ว่าเขาจะไม่ทำให้เธอเสียใจ ขณะที่ความรักของคังมินยงนั้นต่างจากซองแจวอนโดยสิ้นเชิง เพราะเป็นความรักที่ไม่แสดงออกอย่างอ่อนหวานและอ่อนโยนเหมือนซองแจวอน แต่แสดงออกในรูปของการบังคับ ขู่เข็ญ ดุว่า ลักษณะเช่นนี้ถือเป็นการแสดงความห่วงใยแบบดิบๆเถื่อนๆ อันเป็นลักษระเฉพาะตัวของเขา เช่น ตอนที่เขากลัวเรย์จะหนาวก็ถอดเสื้อตัวเองมาให้เรย์ แต่สิ่งที่เขาแสดงออกนั้นไม่นุ่มนวลหรืออ่อนโยน เพราะ “คังมินยงถอดเสื้อกันหนาวของตัวเองออก แล้วจัดการเหวี่ยงเสื้อตัวนั้นมาคลุมหัวไหล่ให้ฉันทันที...” (หน้า 69) อย่างไรก็ดี Devil’s Bride ก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการกระทำที่ดูเหมือนว่าเขาไม่แคร์นั้นเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อซ่อนเร้นความห่วงใยที่เขามีต่อเรย์ อีกทั้งทุกครั้งที่เรย์ตกอยู่ในอันตราย คังมินยงก็จะอยู่เคียงข้างเพื่อปกป้องเธออยู่เสมอ สำหรับเรย์ การแสดงออกในเรื่องความรักนั้นต่างจากทั้งสองคน เพราะเรย์เป็นคนที่ปิดบังความรู้สึกของตน จนไม่กล้ายอมรับว่าแท้จริงแล้วเธอชอบใคร กว่าที่เธอจะรู้ตัวว่ารักใครนั้น ก็มีเหตุให้เธอกับเขาต้องยุติบทบาทและความสัมพันธ์ในฐานะคู่รัก และเธอต้องทนอยู่กับความเสียใจที่ต้องเลิกเป็นแฟนกับเขา ในเรื่องนี้ต้องยอมรับว่า Devil’s Bride ปูทางออกที่สวยงามให้กับความสัมพันธ์ของคนสามคนไว้อย่างน่าประทับใจ แม้ว่าจะเต็มไปด้วยความเศร้า แต่ความสัมพันธ์รักของพวกเขาก็จะสามารถคงอยู่ได้ตลอดไป โดยไม่มีใครจะมาต่อว่าเรย์ได้ ในขณะเดียวกันเรย์ก็สามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่าเธอจะเก็บความรักของชายทั้งคู่ไว้กับเธอจนตลอดชั่วชีวิตได้ แม้ว่านิยายเรื่องนี้นำเสนอเรื่องราวชีวิตของเด็กนักเรียนเกาหลี แต่ขณะที่อ่านนั้นรู้สึกว่าไม่สามารถที่จะซึบซับจิตวิญญาณของความเป็นเกาหลีได้ นอกจากที่รู้ว่าเรื่องนี้เป็นเกาหลีจากชื่อต่างๆที่เป็นภาษาเกาหลีเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นชื่อตัวละคร ฉาก (มัธยมเทปัน มัธยมซางตง ห้างสรรพสินค้ากลางกรุงโซล) หรืออาหารที่กิน (เหล้าโซจู แพกรู หรือต๊อกโบกี) อีกทั้ง ในเรื่อง Devil’s Bride มักจะสอดแทรกมุกที่เป็นเรื่องของไทยเข้ามาเป็นระยะๆ ไม่ว่าจะการที่เรย์มักจะเปรียบเทียบตัวเองเป็นอีเย็นในเรื่องนางทาส เช่น แง้ ~ ไอ้พี่บ้าใช้น้องอย่างกับทาส อีเย็น! ฉันคืออีเย็น อ่า...แล้วจะเริ่มเก็บตรงไหนก่อนดีล่ะ เริ่มต้นไม่ถูกเลย ก็มันสกปรกไปทั้งห้องขนาดนั้น (หน้า 28) หรือ การพูดถึงเรื่องเทศกิจจับแม่ค้า เช่น “ฉะ...ฉันไม่ได้โทรไปหาตำรวจนะ ฉันโทรไปหาเทศกิจไปจับแม่ค้าแผงลอย” (หน้า 90) แม้ว่าการสอดแทรกมุกต่างๆ เลห่านี้อาจะเป็นที่ถูกใจของผู้อ่านชาวไทย แต่ขณะเดียวกันก็ต้องไม่ลืมว่าการที่ Devil’s Bride เหมือนจะลืมตัวสอดแทรกมุกแบบไทยๆเข้าไปในเรื่องที่ต้องการจะสื่อสารเกี่ยวกับเกาหลีนั้น จึงทำให้มุกที่ใส่เข้าไปดูจะแตกต่างและไม่กลืนเป็นเนื้อเดียวกับเรื่องราวทั้งหมดที่พยายามสื่อความเป็นเกาหลีออกมา การสร้างตัวละคร จะพบว่าตัวละครชายที่เป็นนักเรียนทั้งหมดในเรื่องนี้ Devil’s Bride สร้างให้เป็นคนป่าเถื่อน ชอบยกพวกตีกันทั้งสิ้น ไม่ว่าตัวละครนั้นจะอยู่โรงเรียนใดก็ตาม และจะเห็นว่าตัวละครเอกในเรื่องก็ยังคงเป็นตัวละครในแบบฉบับนิยายหวานแหววทั้งหลาย คือ ต้องหล่อ เท่ เก่ง (ในที่นี้คือต่อยตีเก่ง และเรียนเก่ง โดยเฉพาะวิชาเลข) ไม่ว่าจะเป็น คังมินยง ซองแจวอน หรือ ยานางิ เรียว (พี่ชายเรย์) ต้องรวย คือ ซองแจวอน ที่เป็นลูกชายประธานบริษัท แปซิฟิคคอร์เปอร์เรชั่น ซึ่งเป็นบริษัทอู่ต่อเรือที่ใหญ่ที่สุดในทวีปเอเชีย ในขณะที่ตัวละครเอกผู้หญิงเอกก็คงป็นคนหน้าตาสวย เป็นที่หมายปองของชายหนุ่ม อ่อนแอ และโง่ ทั้ง เรย์ และ เชอรรี่เพื่อนสนิทของเรย์ ความสมเหตุผลของเรื่องนั้น บางตอนขณะที่อ่านยังรู้สึกว่ายังอ่อนเกินไป ไม่ว่าจะเป็นการที่ให้เรย์ ที่ตั้งแต่ต้นเรื่องมา Devil’s Bride ย้ำอยู่ตลอดเวลาบอกว่าสอบได้ที่ 199 จากนักเรียน 200 คน ทั้งยังมักจะโดดเรียน และหยุดเรียนอยู่ตลอดเวลา แต่คนที่ดูโง่และไม่สนใจเรียนเช่นนี้กลับใช้เวลาเพียง 1 สัปดาห์เท่านั้นในการติวเลขกับซองแจวอน ที่ถึงแม้จะเก่งจนเป็นตัวแทนของเกาหลีไปแข่งคณิตศาสตร์ระดับโลกก็ตาม แต่การติวที่ทำเพียงแค่ช่วงหลังเลิกเรียนเท่านั้นก็ไม่น่าจะช่วยให้เรย์สามารถที่จะสอบชิงทุนคณิตศาสตร์ไปเรียนที่ญี่ปุ่นได้ แต่เมื่อประกาศผลเรย์กลับสอบผ่านและได้ไปเรียนที่ญี่ปุ่น หรือการให้คิมจียองอดีตแฟนเก่าของคังมินยงที่เอาโทรศัพท์ที่อัดการสนทนาระหว่างคังมินยงกับเพื่อนที่พูดถึงเรื่องเหตุผลในการที่คบกับเรย์ก็เพื่อเป็นเครื่องมือในการแก้แค้นแจวอน การกระทำในครั้งนั้นก็ทำให้เรย์ตัดใจจากคังมินยง แต่เวลาผ่านไปไม่นานจียองก็กลับเป็นคนที่มาบอกเรย์ว่าที่จริงแล้วมินยงรักเรย์มาก และยังสารภาพอีกว่าการที่จียองกลับมานั้นก็เพราะมีคนไม่อยากในมินยองกับเรย์รักกัน และยังอวยพรให้ความรักของเรย์และมินยงเป็นไปด้วยดี การที่ Devil’s Bride มอบหน้ที่ให้จียองเป็นทั้งคนที่สร้างความร้าวฉานให้เรย์กับมินยอง และก็เป็นคนที่มาแก้ความเข้าใจผิดนี้ด้วยตัวเอง ดูจะเป็นการสร้างเรื่องที่ยากจะรับได้ เพราะการกระทำทั้งสองมีวัตถุประสงค์ที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ในขณะเดียวกันก็ไม่มีเหตุการณ์ที่จะสำคัญมากพอที่จะพลิกความมุ่งหมายของคนๆหนึ่งจากดำเป็นขาวเช่นนี้ จึงทำให้รู้สึกว่า Devil’s Bride แก้ปัญหาความเข้าใจผิดระหว่างเรย์กับมินยงง่ายเกินไปหรือเปล่า ประเด็นต่อมาในเรื่องการเขียนจะเห็นว่า Devil’s Bride มักจะใช้อีโมติคอนในการแสดงอารมณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอารมณ์ทางสีหน้าของเรย์แทนการบรรยาย และมักชอบใช้อิโมติคอนเป็นการจบประโยคเป็นส่วนใหญ่นั้น ในด้านหนึ่งก็ต้องยอมรับว่าการใช้อีโมติคอนเพื่อแสดงสีหน้าและอารมณ์เช่นนี้บางครั้งก็ให้ภาพที่ชัดเจนกับผู้อ่านอย่างมาก แต่บางครั้งการที่ Devil’s Bride ใช้ลักษณะนี้บ่อยจนดูเหมือนว่ารูปแบบที่ใช้จนติดก็ว่าได้ ซึ่งการใช้ลักษณะรูปประโยคเช่นนี้ในช่วงติดๆกันมากเกินไปก็ดูเฝือเกินไป จึงเสนอว่าควรเปลี่ยนมาใช้การบรรยายแทนบ้างก็น่าจะดีกว่า เช่น ในหน้า 28 ที่เพียง 11 บรรทัด มีการใช้อีโมติคอนถึง 7 ตัว อาจะเรียกได้ว่าเกือบจะใช้ในทุกบรรทัด และในบางประโยคก็ใช้อีโมติกคอนเพียงตัวเดียว โดยไม่มีคำบรรยายหรือคำพูดใดๆ ประกอบเลย เช่น O_o, OoO, T_T, O.O โดยส่วนตัวเห็นว่าในประโยคที่ใช้อีโมติคอนเดี่ยวๆ เช่นนี้ น่าจะใช้คำพูดบรรยายอารมณ์ตัวละครแทนก็จะช่วยให้ผู้อ่าเนข้าถึงความรู้สึกและจิตใจของตัวละครได้อย่างลึกซึ้งและชัดเจนมากกว่า หากจะกล่าวโดยสรุปเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คงจะต้องบอกว่า “สาวฮอตหน้าใส ปะทะนายวายร้ายสุดเท่” ของ Devil’ s Bride ก็ยังคงเป็นนิยายดำเนินตามแบบนิยายแนวนี้ส่วนใหญ่ ทั้งในเรื่องการสร้างตัวละคร พล๊อตเรื่อง หรือ การใช้อีโมติคอน โดยยังไม่มีส่วนใดของเรื่องที่สามารถฉีกแนวหรือสร้างความแปลกใหม่อย่างโดดเด่นมากพอที่จะสร้างให้นิยายเรื่องนี้แตกต่างจากงานแนวนี้เรื่องอื่นๆ ได้ ---------------------------------- อ่านน้อยลง
bluewhale | 20 มี.ค. 52
21
2
"สาวฮอตหน้าใสปะทะนายวายร้ายสุดเท่"
(แจ้งลบ)สาวฮอตหน้าใส ปะทะนายวายร้ายสุดเท่ นิยายเรื่อง “สาวฮอตหน้าใส ปะทะนายวายร้ายสุดเท่” เป็นนิยายเรื่องแรกของ Devil’s Bride ที่ผู้เขียนบอกว่าใช้เวลาในการแต่งเรื่องนี้เพียง 10 วันเท่านั้น เมื่ออ่านแล้วพบว่านิยายเรื่องนี้ไม่ได้แหวกออกจากงานแบบซีรี่เกาหลีแนวนักเลงหรือแนวยากูซ่าญี่ปุ่นเท่าใดนัก ที่วางตัวให้ตัวเอกคังมินยงเป็นเด็กนักเ ... อ่านเพิ่มเติม
สาวฮอตหน้าใส ปะทะนายวายร้ายสุดเท่ นิยายเรื่อง “สาวฮอตหน้าใส ปะทะนายวายร้ายสุดเท่” เป็นนิยายเรื่องแรกของ Devil’s Bride ที่ผู้เขียนบอกว่าใช้เวลาในการแต่งเรื่องนี้เพียง 10 วันเท่านั้น เมื่ออ่านแล้วพบว่านิยายเรื่องนี้ไม่ได้แหวกออกจากงานแบบซีรี่เกาหลีแนวนักเลงหรือแนวยากูซ่าญี่ปุ่นเท่าใดนัก ที่วางตัวให้ตัวเอกคังมินยงเป็นเด็กนักเรียนมัธยมซางตง ผู้ซึ่งเป็นเหมือนหัวหน้าแก๊งที่มักจะยกพวกตีกันกับเด็กนักเรียนโรงเรียนอื่นอยู่เสมอ และเพิ่มการพล๊อตเรื่องของนิยายรักเข้าไปด้วยการให้สร้างให้นางเอกของเรื่องเป็นที่หมายปองจากชายหนุ่มหลายคน จนแต่ละคนต้องยื้อแย่งเพื่อให้นางเอกมาเป็นแฟนของตน การเปิดเรื่องในตอนแรกทิ่อ่านนั้น ทำให้นึกถึงฉากคลาสสิกของการ์ตูนญี่ปุ่นที่มักจะสร้างสถานการณ์ให้นางเอกพบกับชายหนุ่มที่เป็นตัวละครสำคัญของเรื่อง โดยสร้างฉากให้นางเอกกระโดดลงจากรั้วโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นการหนีโรงเรียน หรือมาโรงเรียนสายจนต้องปีนรั้วโรงเรียนเข้าไปเพื่อไม่ให้ถูกลงโทษ ในเรื่องนี้ก็เช่นกัน นางเอกของเรื่องยานางิ เรย์ ก็ตัดสินใจปีนรั้วโรงเรียนเพื่อหนีไปดูคอนเสิร์ตของวง Slim และจังหวะที่กระโดดลงมาจากรั้วนั้น ทำให้เธอล้มไปทับซองแจวอน นักเรียนชายหน้าตาดีจากโรงเรียนมัธยมเทปัน ซึ่งการพบกันครั้งนี้ทำให้ชะตาชีวิตของคนที่คู่ต้องผูกพันกันนับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา เช่นเดียวกับฉากการพบกันระหว่างเรย์กับคังมินยง ตัวละครชายสำคัญอีกตัวหนึ่งก็ไม่ต่างกัน ก็เป็นฉากที่มักพบอยู่เสมอทั้งในการ์ตูน และในซี่รี่เกาหลีและญี่ปุ่น นั่นคือ ฉากที่นางเอกต้องวิ่งหนีแล้วก็มาเจอกับตัวเอกของเรื่อง และในนิยายเรื่องนี้ Devil’s Bride ก็เพิ่มฉากที่ส่งให้สถานการณ์การพบกันครั้งนี้น่าตื่นเต้นขึ้นไปอีกด้วยการให้เรย์จูบคังมินยง ซึ่งการจูกกันครั้งนี้ยังเป็นการขโมยจูบแรกของคังมินยงไป จนเรย์ต้องรับผิดชอบด้วยการถูกบังคับให้เป็นแฟนกับเขาไปโดยปริยาย ในส่วนของการดำเนินเรื่องนั้นจะเห็นว่า Devil’s Bride เล่นกันความสัมพันธ์รักสามเศร้าของคนสามคน นั่นคือ เรย์ คังมินยง และ ซองแจวอน ในมิติของความสัมพันธ์นั้นเราจะได้เห็นการแสดงความรักในหลากรูปแบบที่ต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกให้เห็นว่ารักและห่วงใยอย่างเปิดเผยของซองแจวอน ทั้งคำพูดและการกระทำ เพราะเมื่อซองแจวอนแน่ใจว่าเขารักเรย์ เขาก็มักจะบอกเรย์ให้รับรู้ถึงความรู้สึกของเขาอยู่เสมอ ในช่วงแรกๆ ที่เขาเริ่มประทับใจเรย์เขาก็สารภาพกับเธอว่า “ถ้าฉันสนใจผู้หญิงคนไหน ฉันก็ควรจะรู้เรื่องส่วนตัวของผู้หญิงคนนั้นสิ” (หน้า 59) แต่ต่อมาเมื่อเขามั่นใจแล้วว่าเรย์คือผู้หญิงที่ใช่ เขาก็ให้สัญญากับเรย์ว่าเขาจะไม่ทำให้เธอเสียใจ ขณะที่ความรักของคังมินยงนั้นต่างจากซองแจวอนโดยสิ้นเชิง เพราะเป็นความรักที่ไม่แสดงออกอย่างอ่อนหวานและอ่อนโยนเหมือนซองแจวอน แต่แสดงออกในรูปของการบังคับ ขู่เข็ญ ดุว่า ลักษณะเช่นนี้ถือเป็นการแสดงความห่วงใยแบบดิบๆเถื่อนๆ อันเป็นลักษระเฉพาะตัวของเขา เช่น ตอนที่เขากลัวเรย์จะหนาวก็ถอดเสื้อตัวเองมาให้เรย์ แต่สิ่งที่เขาแสดงออกนั้นไม่นุ่มนวลหรืออ่อนโยน เพราะ “คังมินยงถอดเสื้อกันหนาวของตัวเองออก แล้วจัดการเหวี่ยงเสื้อตัวนั้นมาคลุมหัวไหล่ให้ฉันทันที...” (หน้า 69) อย่างไรก็ดี Devil’s Bride ก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการกระทำที่ดูเหมือนว่าเขาไม่แคร์นั้นเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อซ่อนเร้นความห่วงใยที่เขามีต่อเรย์ อีกทั้งทุกครั้งที่เรย์ตกอยู่ในอันตราย คังมินยงก็จะอยู่เคียงข้างเพื่อปกป้องเธออยู่เสมอ สำหรับเรย์ การแสดงออกในเรื่องความรักนั้นต่างจากทั้งสองคน เพราะเรย์เป็นคนที่ปิดบังความรู้สึกของตน จนไม่กล้ายอมรับว่าแท้จริงแล้วเธอชอบใคร กว่าที่เธอจะรู้ตัวว่ารักใครนั้น ก็มีเหตุให้เธอกับเขาต้องยุติบทบาทและความสัมพันธ์ในฐานะคู่รัก และเธอต้องทนอยู่กับความเสียใจที่ต้องเลิกเป็นแฟนกับเขา ในเรื่องนี้ต้องยอมรับว่า Devil’s Bride ปูทางออกที่สวยงามให้กับความสัมพันธ์ของคนสามคนไว้อย่างน่าประทับใจ แม้ว่าจะเต็มไปด้วยความเศร้า แต่ความสัมพันธ์รักของพวกเขาก็จะสามารถคงอยู่ได้ตลอดไป โดยไม่มีใครจะมาต่อว่าเรย์ได้ ในขณะเดียวกันเรย์ก็สามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่าเธอจะเก็บความรักของชายทั้งคู่ไว้กับเธอจนตลอดชั่วชีวิตได้ แม้ว่านิยายเรื่องนี้นำเสนอเรื่องราวชีวิตของเด็กนักเรียนเกาหลี แต่ขณะที่อ่านนั้นรู้สึกว่าไม่สามารถที่จะซึบซับจิตวิญญาณของความเป็นเกาหลีได้ นอกจากที่รู้ว่าเรื่องนี้เป็นเกาหลีจากชื่อต่างๆที่เป็นภาษาเกาหลีเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นชื่อตัวละคร ฉาก (มัธยมเทปัน มัธยมซางตง ห้างสรรพสินค้ากลางกรุงโซล) หรืออาหารที่กิน (เหล้าโซจู แพกรู หรือต๊อกโบกี) อีกทั้ง ในเรื่อง Devil’s Bride มักจะสอดแทรกมุกที่เป็นเรื่องของไทยเข้ามาเป็นระยะๆ ไม่ว่าจะการที่เรย์มักจะเปรียบเทียบตัวเองเป็นอีเย็นในเรื่องนางทาส เช่น แง้ ~ ไอ้พี่บ้าใช้น้องอย่างกับทาส อีเย็น! ฉันคืออีเย็น อ่า...แล้วจะเริ่มเก็บตรงไหนก่อนดีล่ะ เริ่มต้นไม่ถูกเลย ก็มันสกปรกไปทั้งห้องขนาดนั้น (หน้า 28) หรือ การพูดถึงเรื่องเทศกิจจับแม่ค้า เช่น “ฉะ...ฉันไม่ได้โทรไปหาตำรวจนะ ฉันโทรไปหาเทศกิจไปจับแม่ค้าแผงลอย” (หน้า 90) แม้ว่าการสอดแทรกมุกต่างๆ เลห่านี้อาจะเป็นที่ถูกใจของผู้อ่านชาวไทย แต่ขณะเดียวกันก็ต้องไม่ลืมว่าการที่ Devil’s Bride เหมือนจะลืมตัวสอดแทรกมุกแบบไทยๆเข้าไปในเรื่องที่ต้องการจะสื่อสารเกี่ยวกับเกาหลีนั้น จึงทำให้มุกที่ใส่เข้าไปดูจะแตกต่างและไม่กลืนเป็นเนื้อเดียวกับเรื่องราวทั้งหมดที่พยายามสื่อความเป็นเกาหลีออกมา การสร้างตัวละคร จะพบว่าตัวละครชายที่เป็นนักเรียนทั้งหมดในเรื่องนี้ Devil’s Bride สร้างให้เป็นคนป่าเถื่อน ชอบยกพวกตีกันทั้งสิ้น ไม่ว่าตัวละครนั้นจะอยู่โรงเรียนใดก็ตาม และจะเห็นว่าตัวละครเอกในเรื่องก็ยังคงเป็นตัวละครในแบบฉบับนิยายหวานแหววทั้งหลาย คือ ต้องหล่อ เท่ เก่ง (ในที่นี้คือต่อยตีเก่ง และเรียนเก่ง โดยเฉพาะวิชาเลข) ไม่ว่าจะเป็น คังมินยง ซองแจวอน หรือ ยานางิ เรียว (พี่ชายเรย์) ต้องรวย คือ ซองแจวอน ที่เป็นลูกชายประธานบริษัท แปซิฟิคคอร์เปอร์เรชั่น ซึ่งเป็นบริษัทอู่ต่อเรือที่ใหญ่ที่สุดในทวีปเอเชีย ในขณะที่ตัวละครเอกผู้หญิงเอกก็คงป็นคนหน้าตาสวย เป็นที่หมายปองของชายหนุ่ม อ่อนแอ และโง่ ทั้ง เรย์ และ เชอรรี่เพื่อนสนิทของเรย์ ความสมเหตุผลของเรื่องนั้น บางตอนขณะที่อ่านยังรู้สึกว่ายังอ่อนเกินไป ไม่ว่าจะเป็นการที่ให้เรย์ ที่ตั้งแต่ต้นเรื่องมา Devil’s Bride ย้ำอยู่ตลอดเวลาบอกว่าสอบได้ที่ 199 จากนักเรียน 200 คน ทั้งยังมักจะโดดเรียน และหยุดเรียนอยู่ตลอดเวลา แต่คนที่ดูโง่และไม่สนใจเรียนเช่นนี้กลับใช้เวลาเพียง 1 สัปดาห์เท่านั้นในการติวเลขกับซองแจวอน ที่ถึงแม้จะเก่งจนเป็นตัวแทนของเกาหลีไปแข่งคณิตศาสตร์ระดับโลกก็ตาม แต่การติวที่ทำเพียงแค่ช่วงหลังเลิกเรียนเท่านั้นก็ไม่น่าจะช่วยให้เรย์สามารถที่จะสอบชิงทุนคณิตศาสตร์ไปเรียนที่ญี่ปุ่นได้ แต่เมื่อประกาศผลเรย์กลับสอบผ่านและได้ไปเรียนที่ญี่ปุ่น หรือการให้คิมจียองอดีตแฟนเก่าของคังมินยงที่เอาโทรศัพท์ที่อัดการสนทนาระหว่างคังมินยงกับเพื่อนที่พูดถึงเรื่องเหตุผลในการที่คบกับเรย์ก็เพื่อเป็นเครื่องมือในการแก้แค้นแจวอน การกระทำในครั้งนั้นก็ทำให้เรย์ตัดใจจากคังมินยง แต่เวลาผ่านไปไม่นานจียองก็กลับเป็นคนที่มาบอกเรย์ว่าที่จริงแล้วมินยงรักเรย์มาก และยังสารภาพอีกว่าการที่จียองกลับมานั้นก็เพราะมีคนไม่อยากในมินยองกับเรย์รักกัน และยังอวยพรให้ความรักของเรย์และมินยงเป็นไปด้วยดี การที่ Devil’s Bride มอบหน้ที่ให้จียองเป็นทั้งคนที่สร้างความร้าวฉานให้เรย์กับมินยอง และก็เป็นคนที่มาแก้ความเข้าใจผิดนี้ด้วยตัวเอง ดูจะเป็นการสร้างเรื่องที่ยากจะรับได้ เพราะการกระทำทั้งสองมีวัตถุประสงค์ที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ในขณะเดียวกันก็ไม่มีเหตุการณ์ที่จะสำคัญมากพอที่จะพลิกความมุ่งหมายของคนๆหนึ่งจากดำเป็นขาวเช่นนี้ จึงทำให้รู้สึกว่า Devil’s Bride แก้ปัญหาความเข้าใจผิดระหว่างเรย์กับมินยงง่ายเกินไปหรือเปล่า ประเด็นต่อมาในเรื่องการเขียนจะเห็นว่า Devil’s Bride มักจะใช้อีโมติคอนในการแสดงอารมณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอารมณ์ทางสีหน้าของเรย์แทนการบรรยาย และมักชอบใช้อิโมติคอนเป็นการจบประโยคเป็นส่วนใหญ่นั้น ในด้านหนึ่งก็ต้องยอมรับว่าการใช้อีโมติคอนเพื่อแสดงสีหน้าและอารมณ์เช่นนี้บางครั้งก็ให้ภาพที่ชัดเจนกับผู้อ่านอย่างมาก แต่บางครั้งการที่ Devil’s Bride ใช้ลักษณะนี้บ่อยจนดูเหมือนว่ารูปแบบที่ใช้จนติดก็ว่าได้ ซึ่งการใช้ลักษณะรูปประโยคเช่นนี้ในช่วงติดๆกันมากเกินไปก็ดูเฝือเกินไป จึงเสนอว่าควรเปลี่ยนมาใช้การบรรยายแทนบ้างก็น่าจะดีกว่า เช่น ในหน้า 28 ที่เพียง 11 บรรทัด มีการใช้อีโมติคอนถึง 7 ตัว อาจะเรียกได้ว่าเกือบจะใช้ในทุกบรรทัด และในบางประโยคก็ใช้อีโมติกคอนเพียงตัวเดียว โดยไม่มีคำบรรยายหรือคำพูดใดๆ ประกอบเลย เช่น O_o, OoO, T_T, O.O โดยส่วนตัวเห็นว่าในประโยคที่ใช้อีโมติคอนเดี่ยวๆ เช่นนี้ น่าจะใช้คำพูดบรรยายอารมณ์ตัวละครแทนก็จะช่วยให้ผู้อ่าเนข้าถึงความรู้สึกและจิตใจของตัวละครได้อย่างลึกซึ้งและชัดเจนมากกว่า หากจะกล่าวโดยสรุปเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คงจะต้องบอกว่า “สาวฮอตหน้าใส ปะทะนายวายร้ายสุดเท่” ของ Devil’ s Bride ก็ยังคงเป็นนิยายดำเนินตามแบบนิยายแนวนี้ส่วนใหญ่ ทั้งในเรื่องการสร้างตัวละคร พล๊อตเรื่อง หรือ การใช้อีโมติคอน โดยยังไม่มีส่วนใดของเรื่องที่สามารถฉีกแนวหรือสร้างความแปลกใหม่อย่างโดดเด่นมากพอที่จะสร้างให้นิยายเรื่องนี้แตกต่างจากงานแนวนี้เรื่องอื่นๆ ได้ ---------------------------------- อ่านน้อยลง
bluewhale | 20 มี.ค. 52
21
2
ความคิดเห็น