ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พาราเรล ออนไลน์ [ online ]

    ลำดับตอนที่ #21 : ตอนที่ 14 หมู่บ้านอนธกาล (ครึ่งแรก)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 799
      3
      13 ม.ค. 56

    ตอนที่ 14 หมู่บ้านอนธกาล

        "เมื่อวาน ทุกคนกลายเป็นผีดิบกันหมด" มิเชลบอกกับสาวหมาป่าตรงๆ

        "ท่านผู้กล้าก็เลยฆ่าพวกเราทิ้งสินะ แต่พวกเราไม่ตายหรอก" เธอใช้อุ้งเท้าหน้าดึงแขนมิเชลให้ก้าวออกจากกระท่อม "ไม่ว่าจะกี่หมื่นกี่พันคืน พวกเราจะฟื้นขึ้นมาใหม่ถ้าหมอกยังอยู่.."

        “หมอกพวกนี้เหรอ?” เธอมองไปรอบๆ หมู่บ้านแห่งนี้ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาแน่นจนแสงส่องผ่านมาได้น้อย หมาป่าสาวจะหมายถึงพวกนี้หรือเปล่า?

        “ถ้าสามารถตามข้ามาได้ ท่านผู้กล้าจะรู้อะไรมากขึ้น”

        เจ้าหล่อนเดินหายไปในดงหมอก.. หมาป่าสาวสามารถก้าวขาออกนอกหมู่บ้านได้สบาย มิเชลรีบวิ่งตามแต่ถูกกำแพงใสผลักกระเด็นทันที พลัน อินทรียักษ์โผล่มายืนอยู่ข้างๆ แล้วเหลือบตามองต่ำ เขาช่วยฉุดแขนเธอขึ้น หลังคอเขามีรูโบ๋ที่เกิดจากดาบอสูรอัคคีแทงทะลุเมื่อคืน

        มิเชลอึกอักพอถูกจ้อง ที่จริง... พวกเขารู้อยู่แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นใช่ไหม?.. แต่ก็ไม่ได้บอกเธอล่วงหน้า...

        พญาอินทรีวางหลอดน้ำยาสีเขียวสำหรับเพิ่มความเร็วไว้บนพื้นยี่สิบขวด เขาร้องเสียงแหลมแล้วสะบัดปีกใส่กองยา เป็นนัยว่าให้เอาไปใช้ตามสบาย มิเชลจึงเก็บขึ้นมาทั้งหมดพร้อมผงกหัวขอบคุณ

        เมื่ออินทรียักษ์เดินกลับไปยังร้านขายไอเทมตัวเอง เขาขึงป้ายขึ้นและเริ่มจัดของ

        มิเชลรีบเช็คสถานะออนไลน์เพื่อนทุกคน เธอรู้ตัวว่าแค่ตัวเองไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้ เด็กหญิงเริ่มไล่จากรายชื่อกลุ่มที่สนิทด้วยก่อนซึ่งก็คือจั๊งค์ โจรหนุ่มหัวฟ้าเป็นหนึ่งในพวกที่ออนไลน์แทบตลอดเวลา ไม่ว่าเช้าสายบ่ายเย็นหรือดึกดื่นค่ำคืนขนาดไหนจะต้องเห็นชื่อเขา

        "จั๊งค์! อยู่หรือเปล่า จั๊งค์"

        "อยู่ นั่นใคร.. เฮ้ เดี๋ยวนะ.. นี่นายเองเรอะ ทำไมเสียงแปลกจังฟะ?"

        ร่างของเด็กมีเสียงเล็กแหลมกว่า ทำให้จั๊งค์รู้สึกไม่คุ้น

        "ตอนนี้ติดอยู่ในภารกิจนึง ออกจากเกมไม่ได้เลย อยากให้จั๊งค์ช่วยหน่อย ไม่รู้ต้องทำไงต่อ"

        "เออ เดี๋ยวช่วย แล้วจะบอกพวกในสมาพันธ์ให้ช่วยดูด้วย"

        "จริงเหรอ ขอบคุณมากจั๊งค์!"

        "นายเป็นคนของสมาพันธ์เราเหมือนกัน อย่าห่วงเลย เล่ารายละเอียดมาให้ด้วยว่าภารกิจนี้มันให้นายทำอะไร"

        "ได้ แต่เรื่องที่พวกเขาพูดมันกว้างมาก ไม่รู้ต้องเริ่มจากไหน"

        "เอาน่า เล่ามาก่อน เฮ้! เรวิน มาช่วยฉันฟังนี่หน่อย หมอนั่นเจอภารกิจยากๆ อะไรไม่รู้.. "

        มิเชลได้ยินเสียงเรวินลอดผ่านกำไลแว่วๆ ว่าไม่ว่าง

        “ก็ว่างซะตอนนี้เลยเซ่! รองหัวหน้าเรากำลังมีเรื่องเดือดร้อน ช่างไอ้คุณหัวหน้าไปก่อน!”

        “อ่า... ถ้าไม่ว่างก็ไม่เป็นไร..” เธอเริ่มรู้สึกว่ามารบกวน

        “ไม่เป็นไร ฉันว่าเรื่องของนายสำคัญกว่าฟ่ะ”

        มิเชลจึงเริ่มต้นเล่าโดยมีคนรอฟังระยะไกลสองคน เรวินจะคอยบอกให้พูดช้าๆ เพราะจดโน้ตไม่ทัน และพอเล่าว่าสาวๆ ทั้งหมู่บ้านเป็นสัตว์ป่า ก็ได้ยินเสียงจั๊งค์ถอนหายใจด้วยความเสียดาย

        "สรุปว่าตื่นมาตอนเช้า แม่สาวหมาป่านั่นขู่นายแบบนั้นเรอะ?" โจรหนุ่มย้อนถาม "ไม่ว่าจะกลางวันกลางคืนก็ระวังหัวตัวเองไว้เถอะ"

        "พวกเราจะช่วยเช็คให้ แต่เดาว่านายเป็นคนแรกที่ได้ภารกิจนี้ คงหาอะไรไม่เจอหรอก" นักบวชขาวบอก

        "ไม่เป็นไร อย่างมากที่สุดก็ตายกลับเมือง" เธอตอบพวกเขา "งั้นตัดการติดต่อก่อนนะ จะได้ลองส่งไปถามคนอื่นนอกจากจั๊งค์กับเรวินบ้าง"

        "เออ แล้วไหงเสียงนายโคตรงุ๊งงิ๊งจังฟะ ฟังแล้วจั๊กจี้ไงไม่รู้"

        “นั่นเพราะกลับมาเป็นเด็ก... เอ้ย! ไม่ใช่! ตอนนี้... ติดสถานะผิดปกติอยู่ แค่นี้นะ!”

        มิเชลกดตัดการสื่อสารผ่านกำไลโดยเร็ว เธอเกือบหลุดปากแล้ว โชคดีที่แก้คำพูดทัน..

        เธอพลิกหน้าสมุดรายชื่อเพื่อนอีกครั้ง และสะดุดกับสถานะออนไลน์ของลาล่ากับอิล! ทั้งคู่เคยบอกว่าติดสอบจึงไม่ได้คุยกันเสียนาน เด็กหญิงรีบจิ้มชื่อลาล่า จากนั้นก็ร่ายเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟังทันที!

        ลาล่าคือเอลฟ์สาวนักธนู ส่วนอิลเป็นนักเวทหนุ่มเผ่ามนุษย์ ทั้งคู่เคยช่วยพามิเชลเพิ่มเลเวลสมัยเพิ่งเริ่มเกมใหม่ๆ และตอนนี้พวกเขาไม่ว่างเพราะติดอยู่บนต้นไม้ หญิงสาวขอเวลาฆ่าฝูงสัตว์อสูรจนหมดก่อนถึงจะลงไปทำอะไรต่อได้

        “น่าจะนานพอตัวทีเดียวแหละ กว่าจะฆ่าหมด ไม่ต้องรอพวกฉันนะ” ลาล่าตอบกลับ “มันมารุมอยู่รอบต้นไม้เลย... ลงไปได้เมื่อไหร่จะช่วยหาข้อมูลให้จ้ะ​ ว๊าย!... อิล มันปีนต้นไม้!!“

        “ลาล่า!?” มิเชลตะโกนใส่กำไลเรียก

        “ขอโทษจ้ะ!... คุยด้วยไม่ได้แล้ว! พวกฉันเจอกับสัตว์อสูรตัวที่ขึ้นต้นไม้ได้!”

        “ค่ะ ไม่เป็นไร” มิเชลตอบไม่ทัน ฝ่ายโน้นรีบตัดการสื่อสารเสียก่อน

        พวกเขาก็ยังสู้ด้วยวิธีเดิม ทั้งสองเป็นสายโจมตีระยะไกลจึงชอบหาตำแหน่งเหมาะๆ หลบแล้วซุ่มยิง มิเชลรู้สึกผิดที่เผลอไปรบกวนเอาช่วงเวลาฉุกเฉิน

        เธอเลือกติดต่อหาจอร์เจียเป็นคนสุดท้าย หญิงสาวรับปากว่าจะช่วยออกจากเกมไปโทรถามเพื่อนให้ แต่เจ้าหล่อนกระซิบตอบด้วยเสียงแผ่วเบา คล้ายกับคนแอบโทรศัพท์ในโรงหนังแล้วรีบกดปิดกำไลทันที

        แม้มิเชลตาบอดหูหนวกแต่ก็รู้ว่าการโทรศัพท์ในโรงหนังนั้นเสียมารยาท การ์ตูนบางเรื่องมีสอดแทรกเรื่องนี้เพื่อสอนเด็ก จึงพอเดาได้ว่าจอร์เจียอยู่ในสภาพที่ต้องงดใช้เสียง ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม แต่เธอเผลอไปรบกวนเข้าแล้ว

        เธอตั้งใจเดินวนรอบๆ หมู่บ้านอีกครั้งก่อนไปรบกวนคนอื่น เมื่อวานมิเชลคิดว่าดูจนครบ แต่มันคงต้องมีอะไรบางอย่างหลุดรอดสายตา... เด็กหญิงลองเขวี้ยงหินออกนอกเขต มันพุ่งทะลุกำแพงใสแล้วกลิ้งกระทบพื้นด้านนอก ทว่า พอลองก้าวขาข้ามไป ก็ถูกแรงปริศนาผลักกลับทันที

        “เจ็บ..”

        มิเชลลูบก้นแล้วยันตัวลุกขึ้น เมื่อใช้กิ่งไม้อาวุธประจำกายแหย่ก็ถูกผลักกลับมาเหมือนเดิม ครั้งนี้จึงลองวิ่งเข้าใส่กำแพงโปร่งใสด้วยความเร็วสูง

        “โอ๊ยยย!”

        มันผลักเธอกระเด็นพร้อมส่งกระแสไฟฟ้าช็อตเป็นของแถม ค่าพลังชีวิตถึงกับหายไปหนึ่งในสี่ มิเชลกระดกน้ำยาฟื้นพลังใส่ปากแล้วลุกขึ้นใหม่ จากนั้นเปลี่ยนมาเดินเลียบแนวกำแพงใสเพราะจะหาช่องว่างหรือรูโหว่ด้วยการยื่นกิ่งไม้สะกิดดูตลอดแนว

        ถ้าใช้แค่กิ่งไม้สะกิด มันจะดีดกลับเบาๆ แต่เมื่อพุ่งเข้าสุดตัว กลายเป็นว่าโดนไฟฟ้าช็อต บางทีเจ้านี่อาจตอบโต้ตามแรงที่ใส่ มิเชลจึงเริ่มประมาณกำลังได้ถูก เธอเอากิ่งไม้เขี่ยให้เบามือที่สุด แล้วเดินเกาะกำแพงใสไปเรื่อยๆ เพื่อเช็คดูอย่างละเอียด

        เมื่อเดินวนจนครบก็แอบสะกิดใจอะไรบางอย่าง รูปร่างก้อนหินมุมหนึ่งดูแปลกตา มันเป็นทรงถ้วยและกลมเกลี้ยงคล้ายโดนขัดจนเงา ที่จริงสมควรเรียกว่าถ้วยหินเสียมากกว่า มิเชลหยิบมันขึ้นมา จากนั้นจึงเห็นสัญลักษณ์ลายเส้นบนพื้นที่ซ่อนอยู่

        มันเป็นรูปของ.. นกกางปีก... แต่นกตัวนั้นมีปีกข้างเดียว

        มีหินทรงถ้วยวางอยู่อีกหลายมุม ทุกมุมนั้นจะติดกับกำแพงโปร่งใส มิเชลเริ่มสังเกตได้ว่าอาณาเขตของหมู่บ้านก็ไม่ใช่รูปทรงเรขาคณิตเรียบๆ มันมีส่วนเว้าส่วนโค้งหลายจุด ตอนนี้เธอยืนอยู่บนส่วนที่ยื่นออก มันคล้ายกับ... อะไรบางอย่าง... อย่างเช่น ส่วนปีกของนก

        เด็กหญิงรีบถอยหลังกลับเข้าหมู่บ้านและมองดูอีกรอบหนึ่ง เธอจึงเห็นว่าอาณาเขตของหมู่บ้านก็เป็นรูปของนกมีปีกข้างเดียว! มันอาจพยายามสื่อถึงอะไรบางอย่าง.. ถ้าเป็นนกมีปีกข้างเดียวคงบินไม่ขึ้น และหากตกลงมาก้นเหวแห่งนี้ น่าจะติดแหงกอยู่ที่นี่ตลอดไป ความหมายของการติดแหงกสามารถเกี่ยวพันกับเรื่องเมื่อคืนได้หรือไม่นะ...

        เธอเผลอไปสบตากับเจ้าของร้านขายไอเทม เขาจ้องตอบ นัยน์ตาสีแดงลอบยิ้มกลับ มิเชลมองพญาอินทรีในเสื้อกั๊กสีเทาขาดรุ่ยพร้อมกับก้มดูสัญลักษณ์ลายเส้นบนพื้น เธออ้าปากเหวอและเทียบดูอีกสองสามครั้งเพื่อความมั่นใจ พอคิดว่ามั่นใจแน่แล้วจึงเดินเข้าไปหา

        “ขอโทษค่ะ” เธอเรียกเขา “อาณาเขตของหมู่บ้านนี้เป็นรูปนกอินทรีมีปีกข้างเดียว... และคุณก็เป็นนกอินทรีที่มีปีกข้างเดียวเหมือนกัน.. มันคงมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรบางอย่างสินะคะ?”

        พญาอินทรีร่างยักษ์ดันขวดน้ำยาสามประเภทออกมาให้เธอดู จากนั้นจัดป้ายราคาไว้ จะงอยปากนกไม่สามารถยิ้มได้ เขาจึงชดเชยด้วยการหยีตาให้หวานที่สุดเพื่อต้อนรับลูกค้า  แต่มิเชลไม่ได้มาซื้อของ

        “ไม่ได้มาถามถึงไอเทมค่ะ แต่เป็นเรื่องอาณาเขต” มิเชลพยายามทำมือไม้เพื่อสื่อความหมาย เธอเดาว่าเป็นเพราะเขาไม่เข้าใจภาษา

        เขาก็ยังคงดันกองน้ำยาออกมาให้อยู่ดี

        “หมายถึงให้ซื้อก่อนถึงจะบอกหรือคะ?” มิเชลชี้ที่น้ำยาพวกนั้น แล้วชี้ต่อไปยังกำแพงใส

        เจ้าของร้านขายไอเทมร้องตอบด้วยสีหน้าพึงใจ เธอจึงยอมควักเงินซื้อทุกอย่างที่โดนเสนอมา และมิเชลหวังว่าคงสื่อสารได้ถูกต้อง ไม่ใช่ว่าตนคิดเออเองคนเดียว พอกำลังจะกวาดกองน้ำยาลงเป้ เขาก็เอาปีกที่เหลืออยู่ข้างสุดท้ายขวาง เด็กหญิงเงยหน้ามองพญาอินทรีแบบงงๆ

        พญาอินทรีทำท่าซดน้ำยาให้ดู

        “ตอนนี้เลยเหรอ มันเปลืองนะ..”

        เขายังทำท่าเดิมซ้ำพร้อมกับตีปีกพั่บๆ แสดงอาการร้อนใจ มิเชลจึงยอม เธอเพิ่งสังเกตว่าน้ำยาพวกนี้สีขุ่นกว่าแบบปกติที่เคยกิน ในหลอดสีน้ำเงินมิเชลเห็นกากเพชรลอยอยู่ ส่วนหลอดสีแดงมีอะไรคล้ายๆ กับสนิม และหลอดสีเหลือง.. อืม.. มันเหมือนน้ำปัสสาวะ แต่คงไม่ใช่กระมัง...

        ทั้งหมดมีสามหลอด สามสี มิเชลกลั้นใจดื่มเข้าไป ปรากฏว่ามันอร่อยกว่าที่คิด คล้ายน้ำผลไม้ อย่างน้อยสีเหลืองก็เป็นน้ำสับปะรด

        เธอไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงใดๆ จึงส่งสายตาถามพญาอินทรี แต่เขาชี้ให้มองออกไปนอกหมู่บ้าน... มิเชลพบว่าหมอกขาวกลายเป็นหมอกหลากสีไปแล้ว! มันมีทั้งสีแดง น้ำเงิน เหลือง และอีกหลายสีที่ดูเหมือนเกิดจากการผสมกัน!

        หมอกไม่เคยหยุดนิ่ง ยิ่งเห็นเป็นสีสันจึงรู้ชัดเจนว่ามันขยับตัวตลอดเวลา และเมื่อแต่ละสีเลื่อนมาทับซ้อนกันจะเกิดการผสมกลายเป็นสีใหม่ มิเชลตาลาย เพราะมันผสมปนเปจนมั่ว เธอเบือนหน้าหนี ไม่อยากมองต่อ แต่หนนี้พญาอินทรีจับหัวลูกค้าหมุนกลับไป บังคับให้ต้องจ้องดูทั้งที่กำลังมึนๆ

        เด็กหญิงมึนมากจึงหลับตาหนี แต่พญาอินทรีจับตัวเธอเขย่าเอาดื้อๆ สุดท้ายเลยต้องยอม เพราะแบบหลังชวนเวียนหัวยิ่งกว่าเดิมอีก

        “ทำไม.. ต้องพยายามให้ดูขนาดนั้น..” เธอโอดครวญ

        เขาอ้าจะงอยปากร้องเสียงแหลมเป็นเชิงรำคาญที่โดนบ่นอุบอิบ

        “ดูก็ได้ จะบอกว่ามันคงมีอะไรซ่อนอยู่ในนั้นสินะ...” มิเชลกลั้นใจมอง เธอหรี่ตาสุดฤทธิ์ พอแอบเบือนหน้าหนีก็โดนบังคับให้ดูอีก เลยกลายเป็นว่าต้องทนจ้องหมอกชวนตาลายอยู่นาน

        จุดที่ไม่มีทั้งสามแม่สี จะเว้นเป็นรูโหว่ใสๆ พญาอินทรียกปีกชี้เป็นนัยว่าให้มิเชลออกไปตามช่องนั้น ทว่ามันเล็กพอๆ กับแขนเธอ เธอมองหน้าเขาเพื่อถามว่าพูดจริงหรือเปล่า?

        พญาอินทรีเดินไปหารูโหว่ใสๆ แล้วตีปีกเพื่อปัดหมอกกระจาย มันส่งผลให้ช่องว่างกว้างขึ้น เขาร้องเสียงแหลมดัง มิเชลพอจะเดาความหมายได้ จึงลองพุ่งหลาวออกไปตามนั้น และตัวเธอหลุดออกนอกอาณาเขตในที่สุด!

        ด้านนอกอาณาเขตไม่มีหมอก มิเชลรู้สึกแปลกใจเพราะขามาก็โดนอุ้มฝ่าดงหมอกพาเข้าหมู่บ้าน เธอเปลี่ยนกิ่งไม้ให้เป็นดาบไฟกับถุงมืออย่างละข้างเพื่อเตรียมรับสถานการณ์

        พอไม่มีหมอก ก็เห็นท้องฟ้าชัดเจน ต่างกับตอนอยู่ในหมู่บ้านที่บรรยากาศออกสลัว รอบข้างเป็นกำแพงหน้าผาสูง มิเชลจึงค่อยรู้สึกว่าตัวเองยืนอยู่ใต้เหวลึก และเธอคงร่วงลงมาสูงน่าดู เพราะมองขึ้นแล้วเจอขอบผาอยู่ไกลลิบๆ

        ก้นเหวนั้นมีลักษณะแบบทางยาวหลายกิโลเมตร ส่วนหมู่บ้านหมอกตั้งขวางอยู่ เมื่อมิเชลหลุดออกมาได้เลยลองเดินตามเจ้าทางสุดยาวเหยียดนั่นดู ปกติเธอเป็นจอมหลง แต่เพราะมันเป็นเส้นตรงจึงคิดเอาว่าน่าจะไม่เป็นไร

        เด็กผู้หญิงร่างเล็กผมดำก้าวเดินพร้อมกับระวังภัยหน้าหลัง ดวงตาสีเทาจดจ้องรอบตัว สักพักใหญ่ๆ เธอก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังกลัวธาตุอากาศว่างเปล่าเพราะไม่เห็นจะมีอะไรสักอย่างโผล่มาคุกคาม จากที่ยกดาบขึ้นสูงระดับหน้าเลยค่อยๆ ทิ้งมือลง และเดินแกว่งแบบเนือยๆ แทน มิเชลเริ่มเบื่อความเวิ้งว้างของหุบเหว มันเป็นดินแดนสีแดงไร้ซึ่งต้นหมากรากไม้ใดๆ ตลอดแนว ถ้าโทนี่อยู่ด้วย เขาต้องได้ฟังเสียงบ่นปอดแปดของเธอแน่นอน

        กำแพงหน้าผาทั้งสองฝั่งสูงมาก แม้จะเห็นท้องฟ้าใสแต่ก็ไม่มีแสงแดดส่องถึงพื้น เธอจึงเดินเบื่ออยู่ใต้เงามืด ทันใดนั้น แผ่นดินกลับสั่นไหว เศษหินร่วงกราว เด็กหญิงหันรีหันขวาด้วยความตกใจ

        กบยักษ์กำลังกระโดดมาทางเธอ ตัวมันสูงชะลูดเท่าตึกสามชั้น และร่างกายใหญ่จนเบียดติดกับกำแพงหน้าผาทั้ังสองด้าน ทุกครั้งที่มันกระโดด พื้นจะสั่นสะเทือนอย่างแรง

        โชคดีว่ามิเชลตัวเล็กกว่ามาก มันจึงยังไม่ทันมองเห็น เธอกำลังตกใจและพยายามคิดหาทางออกโดยเร็ว ถ้ายืนเฉยๆ มีสิทธิโดนเหยียบ แต่ถ้าออกตัววิ่ง เจ้ากบนั่นอาจจะเห็นแล้วไล่ตามมาจับกิน

        มิเชลใช้เวลาคิดนานเกิน สุดท้าย มันจึงกระโดดข้ามหัวโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอถอนหายใจเบาๆ

        ทว่า.. ตัวเธอกลับลอยขึ้นฟ้าทันที

        ลิ้นสีชมพูยาวๆ ปลายกลมพันอยู่ทั่วร่าง เธอหันหลังมองและเห็นเพียงปากของกบยักษ์อยู่ชั่วขณะก่อนโดนดึงเข้าไปหา แล้วทุกอย่างก็มืดลง... มิเชลโดนกินโดยไม่ทันตั้งตัว ร่างเล็กลื่นไถลลงคอมันตามทางเดินอาหาร ปลายทางคงเป็นท้องที่มีน้ำย่อยเต็มกระเพาะ เด็กหญิงรีบล้วงเอาดาบออกมาปักเข้ากับผนังด้านในอย่างฉุกละหุก

        พอหลบตามองต่ำก็เห็นสีดำมืดมิด... นั่นคือกระเพาะกบหรอกหรือ และตอนนี้ตัวเธอค้างเติ่งอยู่ในทางเดินอาหารของกบใช่ไหม...

        มิเชลพยายามไต่กลับขึ้นไป นอกจากด้านล่าง พอเจ้ากบยักษ์ปิดปาก ด้านบนก็มืดสนิทด้วย เธอใช้ดาบอีกเล่มปักให้สูงขึ้นสำหรับการปีน แต่เพราะผนังหลอดอาหารของมันลื่นปรื๊ด เมื่อถีบตัวได้สองสามก้าว ดาบที่ปักไว้ก็หลุดติดมือคนปีนแล้วหล่นลงท้องมันพร้อมกัน

        เธอสะบัดมือเปะปะ พยายามหาที่ยึดเหนี่ยว แต่ตัวก็ร่วงลงสู่ความมืดมิดในกระเพาะของมันอย่างสิ้นหวัง

        เมื่อตกถึงพื้นกระเพาะ ทุกอย่างกลับสว่างโร่ ไม่มีน้ำย่อย เธอกำลังอยู่ในถ้ำหินสีแดง แต่สว่างจนมองเห็นสภาพโดยรอบชัดเจน มันเป็นถ้ำที่มีรูโบ๋มากมายตามกำแพง มิเชลเริ่มสับสนกับสภาพรอบข้าง ทำไมโดนกบกินแล้ววาร์ปมาอยู่ในถ้ำได้... ตรรกะนี้ค่อนข้างหลุดโลกไปหน่อย

        รูโบ๋พวกนั้นที่จริงควรเรียกทางเดินต่อเพราะมันใหญ่พอให้คนก้าวเข้าไป แต่มันมีหลายช่องให้เลือก สถานการณ์แบบนี้มิเชลคิดถึงโทนี่ที่สุด ถ้าโทนี่อยู่ด้วยจะไม่มีโอกาสได้หลงเด็ดขาด

        กำไลร้องกะทันหัน ใครบางคนพยายามติดต่อเธอ มิเชลจึงรีบกดตอบรับ

        “สวัสดีค่ะ..”

        “คุณจอร์เจีย!”

        “คุณมิเชลสิ..นะคะ.. ฟังเสียงแล้วแปลกๆ ฉันลองถามเพื่อน ดูเหมือนเพื่อนของเพื่อนฉันจะเคยไปที่หมู่บ้านหมอกนั่น”

        “จริงเหรอ! แล้วเขาทำไงถึงจบภารกิจได้!?”

        “เพื่อนของฉันก็รู้ไม่มาก เขาบอกว่าคนนั้นโดนกบยักษ์กิน จากนั้นถึงไปโผล่ในถ้ำ นอกนั้นเพื่อนฉันไม่ได้ฟังมาเพิ่ม”

        “ที่จริง ตอนนี้ก็เพิ่งโดนกบยักษ์กิน แล้วมาอยู่ในถ้ำเนี่ยแหละ..” เธอหัวเราะเสียงแห้ง

        “งั้นหรือคะ... แบบนั้นสิ่งที่ฉันหามาได้มันคงแทบไม่มีประโยชน์เลย”

        “ไม่หรอก แค่นี้ก็โอเคแล้ว เพราะอย่างน้อยก็รู้ว่ามาถูกทาง” มิเชลตอบตามที่คิด

        “ถ้าอยากรู้แค่นั้น... ฉันคงไม่ต้องบอกเพิ่มสินะคะ”

        “เดี๋ยว! คุณจอร์เจียรู้อะไรมากกว่านี้อีกเหรอ!” เด็กหญิงสะดุ้ง “บอกหน่อยเถอะ!”

        “ไม่บอกค่ะ”

        “อ้าว ทำไม!?”

        “เพราะจริงๆ ก็ไม่รู้มากกว่านี้เหมือนกัน”

        มิเชลเงียบไป จอร์เจียพยายามเล่นมุขอยู่ใช่ไหม? หญิงสาวช่างเป็นคนที่ปล่อยมุขได้แข็งโป้ก... คงเพราะวิธีพูดจาแบบจริงจัง ไอ้แบบนี้หรือเปล่าที่เรียกกันว่ามุขหน้าตาย... เธอเพิ่งเคยเจอเข้ากับตัวครั้งแรก

        ทั้งคู่ตัดการติดต่อเมื่อหมดเรื่องพูดคุย มิเชลได้แต่ต้องเริ่มสำรวจถ้ำกับรูโบ๋และคลำหาทางออกเอาเอง เธอเลือกปีนเข้ารูที่ใหญ่ที่สุดก่อน ด้านในรูมืดมิด เมื่อคลานลึกไปเรื่อยๆ มันก็แคบลงและแคบลง... สุดท้ายแคบลงจนสอดแขนใส่ได้เพียงข้างเดียว นี่มันผิดทางอย่างชัดเจน!

        เธอคลานออกมา เนื้อตัวคลุกฝุ่นไปหมด ชุดคลุมเขียวเริ่มปนเปื้อนสีแดงจากเศษผงในถ้ำ มิเชลเลือกรูถัดไปและก็พบว่าเผลอเหยียบถูกกลไกอะไรบางอย่าง... เสียงน้ำดังซู่พร้อมกับดันร่างเด็กสาวกระเด็น

        “แหวะ.. น้ำเน่า”

        เธอยกชายเสื้อคลุมขึ้นเช็ดปาก และพบว่าตนได้สถานะติดพิษมาเป็นของแถม แต่มิเชลยังไม่เข็ด เธอดื่มยาแก้พิษแล้วกระโดดเข้ารูถัดไป ร่างเล็กมุดอยู่ในรูเกือบสิบนาที จากนั้นก็ต้องวิ่งหนีออกมาสุดชีวิต เพราะถูกฝูงแมลงดูดเลือดประหลาดไล่ตาม เด็กหญิงร่ายเวทจุดไฟจัดการเผาทิ้งทั้งหมดก่อนยกน้ำยาฟื้นพลังซด

        มิเชลฉีกหน้ากระดาษเปล่าจากไอเทมสมุดวาดภาพของแถม แล้วทำเป็นสัญลักษณ์ไว้หน้าปากทางที่เคยเข้า ทุกรูที่เธอลองก้าวเข้าไปล้วนมีกับดักทั้งสิ้น ตั้งแต่กระแสไฟฟ้าช็อต โคลนดูด หรือจู่ๆ ก็เจอกับแสงสุดแสบตาแบบกะทันหัน เล่นเอาติดสถานะมองไม่เห็นอยู่นาน

        นับตั้งแต่เธอตกลงมาในกระเพาะกบ.. ถ้ามันยังเรียกเป็นกระเพาะอยู่ ก็เกือบสี่ชั่วโมง มิเชลได้ทดสอบวิ่งเข้าทุกรูและเจอกับดักรอทุกรูจึงไม่เข้าใจ นัยน์ตาสีเทาเริ่มกลอกไปรอบๆ ถ้าทั้งหมดนี้เป็นกับดักแล้วนี่ตัวเธอกำลังติดอยู่ที่ไหนกัน... แปลว่าต้องหาทางออกอื่นอย่างนั้นหรือ... ทว่า...

        “กับดักทั้งหมดถูกทำลาย... ใครมันบุกรุกถึงถิ่นของข้า...”

        เสียงห้าวๆ ของผู้ชายดังก้องทั่วถ้ำ มิเชลหมุนตัวไปรอบๆ แต่หาตัวคนพูดไม่เจอ จากนั้นทั้งถ้ำก็สั่นสะเทือน รูกับดักรูหนึ่งที่เธอจำได้ว่ามีกระแสไฟฟ้าช็อตเริ่มขยายใหญ่ เศษหินโดยรอบปริออก และไปรวมเข้ากับอีกรูที่มีโคลนดูด พอสองช่องรวมเข้าด้วยกัน ก็กลายเป็นทางเดินกว้างๆ พอให้เดินเรียงแถวหน้ากระดานได้ทีละหกเจ็ดคน

        จากนั้นจึงตามมาด้วยเสียงหัวเราะชวนขนหัวลุกสะท้อนก้อง พื้นสะเทือนขึ้นลงตามจังหวะของเสียง มิเชลต้องเกาะผนังถ้ำเอาไว้กันล้ม

        “ผู้บุกรุกอันแสนต่ำต้อย... เมื่อเจ้ากล้ามา ผู้ยิ่งใหญ่อย่างข้าก็รอต้อนรับ”

        ถ้ำหยุดสั่นสะเทือนไปพร้อมๆ กับเสียงหัวเราะที่เงียบลง มิเชลปล่อยมือจากผนังถ้ำ พลัน... มันก็กระเพื่อมขึ้นอีก เธอสะดุดล้มทันทีแต่ยังพอเอาแขนยันพื้นได้ทัน

        “ฮ่า ฮ่า ฮ่า! ตกใจใช่ไหม เจ้าแมลงอันต่ำต้อยในกระเพาะของข้าผู้ยิ่งใหญ่”

        เธอตกใจกับคำศัพท์ที่เขาเลือกใช้เสียมากกว่า แมลงอันต่ำต้อย... มันฟังดูหลงยุคสุดๆ ไปเลย

        “ไม่ตกใจงั้นหรือ... ดีล่ะ...”

        พื้นถ้ำสั่นสะเทือนกว่าเดิม เด็กหญิงล้มกลิ้งหมดสภาพ พอเงยหน้าจึงเห็นขาตัวเองกระเพื่อมจนกลายเป็นภาพซ้อน และเมื่อพยายามลุกขึ้นก็ล้มลงอีกครั้งเพราะแรงไหวมหาศาล รอยปริบนพื้นค่อยๆ แตกออก ตามมาด้วยฝูงอสูรพิษนับร้อยชะโงกหัวโผล่จากรู พวกมันพุ่งใส่เธอทันที

        เธอแปะมือหมายก่อกำแพงดิน ปรากฏว่าเจ้าสิ่งที่เด้งสูงขึ้นมาดันเป็นแผ่นหิน.. ไม่ใช่ดิน.. พื้นถ้ำเป็นหิน ดังนั้นถุงมือจะสร้างกำแพงตามวัตถุดิบอย่างงั้นหรือ?... แต่ร่างเล็กไม่มีเวลาให้คิดมากแล้วจึงต้องรีบถีบตัววิ่ง

        มิเชลเผ่นเข้าทางที่เปิดใหม่ออก ฝูงงูเลื้อยตามมาได้เร็วมาก เธอจุดไฟสลับกับสร้างกำแพงหินทิ้งไว้ตลอดการวิ่งหนี

        ทางใหม่นั้นเป็นทางลาดยาว เมื่อวิ่งนานๆ เข้าชักเหนื่อยและเริ่มหมดความอดทน ก็เลยหันกลับไปฟาดดาบเฉาะหัวงูทิ้งเพื่อตัดรำคาญ แต่เพราะมันมีหลายตัว มิเชลจึงโดนรุมและเริ่มโทษความใจร้อนของตัวเอง ทั่วร่างเธอถูกฝูงงูรุมรัดแน่นจนหายใจไม่ออก กระทั่งข้อมือยังถูกพันธกาลเอาไว้จนขยับดาบไม่ได้

        งูมีสีน้ำตาลอมเขียว ดังนั้นจึงเกิดแท่งขยุกขยิกสีน้ำตาลอมเขียวตั้งเด่นกลางดงงู จากนั้นก็ล้มลงเพราะมิเชลทรงตัวยืนต่อไม่ไหว เหล่างูเลื้อยขยับมาซ้อนทับเป็นชั้นๆ หลายทบ พวกมันไม่ตั้งใจปล่อยให้เหยื่อหลุดรอด...

        แท่งประติมากรรมลายงูเริ่มหยุดดิ้นและนิ่งสนิท ทว่า ผ่านไปได้ไม่ถึงครึ่งนาที ไฟก็ลุกท่วม พร้อมลามต่อเนื่อง ฝูงงูรอบๆ ถูกเพลิงโหมกระหน่ำใส่ แต่พวกมันไม่หนี คล้ายกับโดนป้อนคำสั่งไว้ สักพัก ก็ปรากฏก้อนน้ำลูกโตกลางอากาศแล้วหล่นโครมลงมา มิเชลพยายามดึงซากงูไหม้เกรียมออกจากตัวและสูดอากาศเข้าเต็มปอด

        ทั้งตัวเธอเต็มไปด้วยแผลไฟไหม้ แต่เพราะไม่ได้พกยาแก้สถานะนี้ก็เลยต้องชดเชยด้วยการซดยาฟื้นพลังแทน มิเชลใช้ดาบอสูรอัคคีฟันพวกงูที่เหลือต่อจนหมดทั้งที่ร่างกายอิดโรยสุดๆ

        มิเชลนั่งพักเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วลุกไปต่อ เธอเดินตามทางลาดยาวเบื้องหน้า แสงสว่างเริ่มลดน้อยลงเมื่อใกล้ถึงจุดหมาย... พร้อมกับเสียงกรีดร้องแหลมอย่างทรมาณ คล้ายมีคนถูกเชือด

        เธอรีบเตรียมดาบอสูรอัคคีหนึ่งเล่มกับถุงมือหนึ่งข้างและวิ่งไปดูตามเสียง เสียงนั้นแหลมแสบแก้วหูแถมยังลากได้ยาวผิดปกติ... มิเชลหยุดชะงักเมื่อรู้สึกว่าคนร้องสามารถลากเสียงติดกันมาเกินสองนาทีแล้ว... แถมไม่มีท่าทีจะเงียบลง

        ทว่าแค่ยืนเฉยๆ ก็ทำอะไรไม่ได้ มิเชลจึงเดินต่อ แต่ก็ค่อยๆ ย่องให้เบาที่สุด เธอย่องไปจนถึงส่วนที่น่าจะเป็นปากทางเข้า จากนั้นแอบชะโงกหัวมองข้างใน มันมีหมอกหนาปกคลุมจนไม่เห็นอะไรเลย พลัน บางอย่างพุ่งจู่โจมทันที!

        มิเชลกลิ้งไถลไปกับพื้น เธอแปะมือสร้างกำแพงหินแล้วลุกขึ้น ศัตรูเป็นสัตว์อสูรร่างใหญ่  มีกลิ่นเหม็นเน่าโชยรุนแรง เด็กหญิงมองเห็นไม่ชัดเพราะหมอกหนา แต่แค่ฟังเสียงก็รู้ว่ามันเล็งเธออยู่

        มิเชลชิงฟันก่อนแต่ไม่โดน หมอกทำให้กะระยะพลาด ฝ่ายโน้นโถมตัวเข้าใส่ตรงๆ เธอจึงถอยหลังพร้อมก้มตัวก่อกำแพงหินทิ้งช่วงเรื่อยๆ เด็กหญิงเห็นกำแพงอันแรกๆ ของตนถล่มลงมา และค่อยรู้ว่าสามารถสร้างได้ไม่เกินแปดแถวเท่านั้น ถ้าสร้างแถวที่เก้า แถวแรกสุดจะพังก่อน

        ศัตรูใช้กรงเล็บเป็นอาวุธและพยายามเข้ามาคลุกวงใน มิเชลจึงต้องถอยห่างเพราะตนถือดาบ เดี๋ยวจะฟันไม่ถนัด เธอเริ่มรู้สึกว่าส่วนสูงตอนนี้ทำให้เสียเปรียบอย่างแรง สัตว์อสูรในหมอกตัวใหญ่กว่าเกือบสองเท่า พอฟันแถวขามัน มันก็เตรียมตะปบลงจากข้างบน

        มิเชลหลบได้ทุกครั้ง แต่มันก็เฉี่ยวๆ เพราะเผลอเข้าใกล้เจ้าปีศาจร้ายเหม็นเน่าบ่อยเกิน เวลาเธออยากหันหลังวิ่งหนีกลับไปตั้งหลักก็ช้ากว่าเนื่องจากขาสั้น ทางโน้นก้าวแป๊ปเดียวก็ไล่ทันแล้ว เด็กหญิงสู้โดยต้องระแวงกรงเล็บจะตะปบลงหัวตัวเองตลอดเวลา

        ไฟจากดาบทำให้หมอกระเหยหายไปเป็นช่องว่าง พอสู้กันนานเข้าจึงเริ่มเห็นใบหน้าของสัตว์ร้ายชัดเจน นกอินทรีร่างยักษ์กับปีกหนึ่งข้าง.. พญาอินทรีปีกเดี่ยว!?...

        เด็กหญิงมองเขาเป็นพญาอินทรีปีกเดี่ยว... จนกระทั่งได้เห็นกระโปรงผ้าสีหม่น... มิเชลพอจะจำได้ว่าพญาอินทรีปีกเดี่ยวมีปีกข้างขวา ส่วนสัตว์ร้ายตรงหน้ามีปีกข้างซ้าย และเมื่อดูจากกระโปรงตัวนั้น ก็ควรจะเรียก ‘เธอ’ ไม่ใช่ ‘เขา’ สินะ...

        สภาพร่างกายเธอเน่าเหม็นประหนึ่งผีดิบแบบที่มิเชลเจอเมื่อคืน ขนเป็นสีน้ำตาลคล้ำเหนียวเหนอะ จะงอยปากใกล้จะหลุดมิหลุดแหล่ นางอินทรีปีกเดี่ยวไม่มีบาดแผลบนตัวเหมือนพวกสัตว์ในหมู่บ้าน แต่ดูผอมแห้ง เสื้อผ้าสวมใส่ก็สกปรกและรุ่งริ่งพอๆ กัน

        เธอกำลังคลั่งและส่งเสียงกรีดร้องลากยาว

    *****************************************************************


    จะอัพอย่างช้าที่สุดก็อาทิตย์ละครั้งเน่อ
    ฟิตอัพ ทุกๆ 3-4วัน ได้นานๆ ที 555+

    วันธรรมดา ถึงบ้านอาบน้ำกินข้าวเสร็จก็สามทุ่มแล้ว วันไหนแต่งได้เยอะหน่อยคือนอนตี3-4 แต่ทำทุกวันไม่ไหว


    ******
    ขอบคุณ pulu แก้จากกำแพงดิน เป็นกำแพงหิน

    *******

    รีไรท์ล่าสุด เพิ่มคำพิมพ์ตก


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×