ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พาราเรล ออนไลน์ [ online ]

    ลำดับตอนที่ #17 : ตอนที่ 12 นักสะกดรอยที่ล้มเหลวมากที่สุดในประวัติศาสตร์ (ครึ่งแรก)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 934
      3
      13 ม.ค. 56

    ตอนที่ 12 นักสะกดรอยที่ล้มเหลวมากที่สุดในประวัติศาสตร์

        ตะกร้าทองเหลืองวางอยู่ข้างประตูเหล็กสีเงินโค้ง มิเชลหยิบผ้าที่วางคลุมไว้ออก ทุกคนเลือกหยิบลานไปคนละอัน เธอได้ลายยูนิคอร์น ส่วนโทนี่ได้รูปนกฟินิกซ์ บนป้ายเขียนว่าห้ามหยิบเกินหนึ่งชิ้น เด็กหญิงจึงต้องตัดใจจากลายหงส์ขาวแสนน่ารัก

        เมื่อก้าวผ่านประตูโค้ง ก็พบเมืองบรรยากาศประหลาด มีทั้งส่วนผสมของความทันสมัยและทรุดโทรมปะปน แต่ละตึกต่างใช้วัสดุเพียงชิ้นเดียวประกอบขึ้นมา อย่างอาคารใกล้ๆ นั้น กำแพงเป็นเหล็กที่สนิมขึ้นทุกอาณาบริเวณ ทว่าหลังถัดไปกลับสร้างจากโลหะสีเหลืองล้วน ไกลอีกหน่อยเห็นบ้านอลูมิเนียมแวววาวตั้งแถวเรียง เสริมด้วยเสียงล้อกับฟันเฟืองหมุนกระทบกันดังทั่ว

        อาคารทุกหลังฝังฟันเฟืองอยู่ในประตูหน้าต่าง บ้างก็กำลังหมุน ดังนั้นจึงสามารถแอบมองทะลุผ่านรูช่องว่างพวกนั้นได้แน่นอน

        มิเชลได้ยินเสียงกรีดร้องจากด้านหลัง เมื่อหันไปจึงเห็นตุ๊กตาทหารเครื่องแบบสีดำขนาดเท่าคนจริง มันกำลังดึงหอกออกจากศพผู้เล่นรายหนึ่ง แล้วเดินกลับเข้าในแนวประตูโค้งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกคนเข้าไปมุง และเห็นที่ไขลานสี่อันคาอยู่ในมือ ชายเจ้าของร่างไร้วิญญาณหยิบเกินจำนวนที่ถูกห้ามไว้จากบนป้าย  แต่มิเชลคิดว่าเขายังโชคดีอยู่บ้างที่มาจากเรือลำเดียวกัน เพราะสามารถวาร์ปไปกลับระหว่างท่าเรือได้ฟรี อย่างมากแค่เลเวลลดนิดหน่อยเท่านั้น

        ทว่า พอแสดงตัวอย่างให้เห็น ก็ไม่มีใครกล้าทำผิดกฎอีก หลังจากนั้นมิเชลมุ่งหน้าไปยังป้ายแผนที่เมือง เธอรอจนโทนี่จำภาพได้ทั้งหมด แล้วค่อยตรงเข้าสมาคมผู้กล้า

        แต่.. มันล็อค

        ประตูบานสีฟ้าไม่มีกลอนประตู แต่มีรูให้เสียบกุญแจ มิเชลกับโทนี่พยายามช่วยกันผลักอยู่สักพักใหญ่ๆ ก่อนยอมแพ้ ทว่า... ประตูกลับกระแทกเปิดเองอัตโนมัติ

        “สวัสดีค่ะ!”

        ผู้เปิดให้คือเอลฟ์สาวสวยแต่งตัววาบหวิว เธอไว้ผมสีแดงซอยสั้นทั้งหัว สวมเกาะอกเงินแวบวับ ส่วนล่างเป็นกางเกงในเหล็ก.. มิเชลเรียกมันว่ากางเกงในเหล็กเพราะมีกระทั่งแม่กุญแจห้อยอยู่ด้านข้างสะโพก เด็กหญิงพยายามนึกภาพความยุ่งยากเวลาเข้าห้องน้ำ แต่นี่คือเกม ต้องไม่คิดมาก..

        “สุดหล่อ... มาทางนี้เลยค่ะ..” เธอกระโดดกอดแขนมิเชลแล้วฉุดกระชากเข้าด้านใน คนโดนจู่โจมถึงกับตั้งตัวไม่ทัน

        มิเชลกับโทนี่ถูกลากไปนั่งบนเก้าอี้พร้อมผ้าเย็น เธอยกผ้าขึ้นเช็ดหน้าแบบงงๆ ที่นี่คือสมาคมผู้กล้า มีทั้งร้านเหล้าและเคาน์เตอร์รับภารกิจ บรรดาเมืองก่อนหน้าก็เห็นคนนั่งเต็มแทบทุกโต๊ะ แต่ดูสภาพรอบแล้วๆ เหมือนว่าพวกเขาจะเป็นลูกค้าเพียงกลุ่มเดียว

        “ในที่สุด... ก็มีเรือลำใหม่มาจนได้ ฉันรอจนเบื่อแล้วค่ะ!” สายตาเธอเป็นประกาย “ตั้งแต่ราชาปลากระเบนยักษ์ปรากฏตัว ก็ไม่มีเรือมาถึงที่นี่สักที ทีมจากเรือของพวกคุณคงปราบมันได้สินะคะ!”

        ทั้งคู่ยิ้มเขินๆ แทนคำตอบ

        “ตอนนี้เรือคงวิ่งสะดวกไปอีกสักพักเพราะไม่มีปลายักษ์ขวางทาง เฮ้อ! ทีแรกกลัวจะไม่ทันเพราะเรากำลังจะมีงานค่ะ! ทั้งคู่ต้องเข้าร่วมให้ได้นะคะ!” เธอหยุดสักพัก ทำหน้าเหมือนนึกอะไรออก “เอ้อ ลืมแนะนำตัวเองไปนิดดด ดิฉันคือ NPC ภารกิจประจำสมาคมค่ะ!”

        “อ้อ ถ้างั้นคุณก็..” มิเชลกำลังจะถามว่าเธอเต้นตอนกลางคืนด้วยหรือเปล่า

        “ใช่ค่าาา ดิฉันทำหน้าที่จัดงานเทศกาลพิเศษด้วย! คริสมาสต์ไงคะ! แต่เราจะจัดล่วงหน้าเพราะการมอบรางวัลต้องทำในวันคริสมาสต์!” NPC สาวพูดขัด แต่เธอตีความไปอีกแบบ

        “แล้ว...”

        “จะถามว่าทำไมล็อคประตูสินะคะคะ! ฮึ่ม! ฉันว่ามันเป็นระบบที่น่าเบื่อของเมืองนี้ เวลาคุณจะเข้าไปที่ไหนต้องเอาลานที่ได้จากหน้าเมืองไขเข้าไปค่ะ!”

        ที่จริง มิเชลคิดจะถามเรื่องงานเทศกาล แต่ช่างเถอะ.. เพราะได้รู้เรื่องที่ไขลานก็ดีเหมือนกัน

        “และจะไขได้เฉพาะประตูที่มีลายเหมือนกับที่ไขลานของพวกคุณเท่านั้น ถ้าอยากเข้าตึกหรือร้านอะไรก็ต้องขอเอาจากผู้เล่นคนอื่น เรียกว่าแลกๆ กันไขนั่นแหละค่ะ ยุ่งยากใช่ไหมล่ะ!” เธอพูดรวดเดียว ไม่มีการพักช่วงหายใจ “แต่ว่าเฉพาะสมาคมผู้กล้าเท่านั้นแหละค่ะที่อนุญาตให้ NPC อย่างดิฉันเปิดให้ลูกค้าได้ เห็นไหมคะว่าหน้าประตูไม่มีลายอะไรเลย! เพราะฉันต้องเป็นคนอธิบายเรื่องพวกนี้ให้พวกคุณฟังนั่นแหละ ตอนแรกก็เบื่อนะ! พูดเรื่องเดิมซ้ำซากตลอดเวลา แต่ตอนนี้เบื่ออีกแบบ ไม่มีคนเข้ามาจนน้ำลายบูดหมดแล้วค่ะ!”

        เด็กหญิงเชื่อเรื่องน้ำลายบูดจริงๆ เพราะจำต้องทนฟังอะไรที่ไม่จำเป็นต่ออีกยาวยืด เธอเริ่มจากเรื่องประวัติศาสตร์ของเมืองไขลานโซเนียเมื่อหนึ่งพันปีก่อน แล้วเล่าอย่างละเอียด.. คนสำคัญคนไหนจะเกิดแก่เจ็บตายคลอดลูกก็เอามาพูดจนครบ และเมื่อไล่ถึงยุคปัจจุบัน มิเชลกับโทนี่ฟุบหลับคาโต๊ะเรียบร้อย

        ทีแรก มิเชลพยายามฝืนลืมตาเพราะแอบหวังรางวัลฟังทนแบบที่เคยได้จากโจเซ่ แต่ไม่ไหวจริงๆ แม่ NPC สาวชุดวาบหวิวสามารถพูดไปเรื่อยๆ กับธาตุอากาศ และกว่าจะวกเข้าเรื่องสำคัญก็ตอนจบโน่น

        “เทศกาลคริสมาสต์! เรามีการแข่งขันค่ะ เมืองนี้แหละ! ถ้านับตามเวลาโลกจริง อีกสองอาทิตย์กว่าๆ จะเป็นวันคริสมาสต์! ดังนั้นเราจะจัดแข่งไปเรื่อยๆ! จนถึงวันคริสมาสต์เป็นวันที่ได้ผู้ชนะ! และรางวัล... เป็นของดีมากค่ะ!”

        เด็กทั้งสองเงียบ รอเธอเล่าต่อ พวกเขาไม่มีคำถามใดๆ เพราะรู้ว่าไม่สามารถแทรกแซงได้ มิเชลคิดว่าตนได้ยินเสียงคนเคาะประตูสมาคมเพื่อขอเข้าข้างในด้วย แต่เจ้าหล่อนคงไม่สนใจอีกแล้วเนื่องจากกำลังเมามันส์กับการพูดอย่างหนัก

        เจสสิก้าที่รู้จักจากเมืองแรกสุดเคยบอกว่า NPC ตำแหน่งนี้เป็นคนจริงเล่น แล้วใครจ้างเธอเข้ามาทำงานล่ะเนี่ย...

        “เอาลานไขที่นี่เลยค่ะ! ไขสิคะ! ไขเลย!” จู่ๆ เธอก็ยื่นตุ๊กตานางฟ้ามาให้ ด้านหลังมีรูสำหรับเสียบลาน “ชักช้าจัง! อ๊ะ! ขอโทษค่ะที่ไม่สุภาพ แต่รีบๆ ไขสิคะ!”

        มิเชลยื่นลานลายยูนิคอร์นเสียบเข้าไปแล้วเริ่มหมุน แต่กลับหมุนได้ลื่นปรื๊ด ไม่ได้รู้สึกถึงเสียงแกร๊กๆ อะไรที่ควรมีเวลาเล่นกับพวกตุ๊กตาไขลาน

        “โอ๊ย! ผิดด้านค่ะ อีกทีค่ะ! อีกที!”

        พอหมุนไปในด้านที่ถูกต้อง หญิงสาวก็รีบดึงตุ๊กตาออกเอง แล้วเริ่มกดดันให้โทนี่ไขบ้าง เด็กชายจึงทำตามคำพูดเธอ อย่างไรซะ แม่เอลฟ์สาวสุดไฮเปอร์เป็นพนักงานของเกม คงมีความหมายอะไรบางอย่างแหละน่า

        “ขอบคุณที่สมัครเข้าร่วมกิจกรรมคริสมาสต์ค่ะ! บันทึกชื่อไว้แล้ว! คุณมิเชลอาชีพนักมายาธาตุ เข้าร่วมหมวดโจมตีทางเวทมนตร์! ส่วนคุณโทนี่อาชีพช่างฝีมือ ดังนั้นแข่งในหมวดโจมตีทางกายภาพ! งานแข่งอีกหนึ่งอาทิตย์ สองทุ่มของเวลาจริง เข้าร่วมให้ได้นะคะ!”

        ทั้งคู่เป็นงง พยายามเรียบเรียงลำดับเหตุการณ์อีกรอบเพราะเธอรัวจนบางคำฟังไม่ทัน โทนี่ปล่อยให้เธอพูดถึงเรื่องความสำคัญของงานกิจกรรมคริสมาสต์ รวมถึงความรักจากซานตาครอสจนพอใจก่อนแทรกคำถามเข้าไป

        “แปลว่า สองทุ่ม วันศุกร์หน้า? ต้องมาที่สมาคมนี้หรือครับ” โทนี่เริ่มต้นถาม

        “ว๊าย! ไม่ใช่ค่าาา ต้องไปที่เวทีกลางเมืองที่เราจัดเอาไว้! ในวันนั้นลานกลางเมืองจะโดนขยายใหญ่สิบเท่าเพื่อรองรับจำนวนผู้เข้าร่วม! แหม... ไม่ตั้งใจฟังกันเลย!”

        ต่อให้เป็นคนจับใจความเก่งแค่ไหน แต่ถ้าต้องตั้งใจฟังเธอ ถือว่ายากเอาการ

        “ถ้างั้นที่นี่มีการ--”

        มิเชลโดนเพื่อนขัดขวางไม่ให้ถามอะไรต่อ

        “ขอบคุณมากครับ! จะไปล่ะครับ!” โทนี่รีบลากเธอออกจากที่นั่นทันที

        เมื่อมาอยู่นอกร้าน โทนี่รีบแจงทันทีว่าดูจากลักษณะแล้ว ถึงถามแค่ประโยคเดียว เธอคงตอบไล่ตั้งแต่ยุคไดโนเสาร์มาถึงยุคปัจจุบัน แล้วอาจลากยาวไปถึงความน่าจะเป็นในโลกอนาคตโน่นเลย และเขาอยากทำอะไรอย่างอื่นบ้าง ไม่ใช่การนั่งแช่บนเก้าอี้เพื่อฟัง NPC โม้ทั้งวัน

        “แล้วตกลง พวกเราจะเข้าร่วมงานนี้ด้วย? ที่จริงก็น่าสนุกดีนะ..”​มิเชลเปรย “วันศุกร์หน้า สองทุ่ม แต่โทนี่ต้องเข้านอนสามทุ่ม ก็ไม่น่าไหวนะ..?”

        “วันศุกร์คงพอขอนอนดึกได้ จะขอให้พ่อช่วยพูดกับแม่ให้ เธอล่ะ เคอร์ฟิวตอนนี้อยู่ที่ห้าทุ่มใช่เปล่า?”

        “อื้ม!”

        มิเชลกับโทนี่ออกสำรวจเมือง มันเริ่มกลายเป็นสูตรสำเร็จทุกครั้งที่มาเยือนสถานที่ใหม่ และพบว่าที่ไขลานของพวกเขาใช้เข้าได้แค่ร้านขนมหวานกับร้านของชำ ร้านของชำยังมีประโยชน์อยู่บ้าง แต่ขนมหวานถือเป็นของฟุ่มเฟือยในเกม เก็บเงินไว้สำหรับอาวุธชุดเกราะแพงๆ ดีกว่า

        หลังจากสำรวจเสร็จแบบคร่าวๆ ทั้งสองต้องไปยืนรอหน้าร้านขายเครื่องป้องกัน และคอยถามหาใครก็ตามที่มีลานไขลายกริฟฟินเหมือนบนประตู มิเชลอยากได้เสื้อผ้าใหม่ที่สีและลายไม่เหมือนตัวเก่า ถึงเธอจัดการชุดคลุมตัวเองซะเละจนค่าพลังป้องกันเหลือแค่หนึ่งในสาม แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่อยากใส่ของดี

        “เราช่วยไหม เรามีลานไข”

        มิเชลมองดูผู้พูด เอลฟ์หนุ่มร่างผอมเพรียว เส้นผมสีดำยาวมัดขึ้นเป็นกระจุกหางม้า และสวมชุดหนังเนื้อบาง กางเกงก็รัดรูปจากเอวไปถึงข้อเท้า เธอพยายามนึกให้ออกว่าเขาอยู่บนเรือลำเดียวกันหรือเพิ่งมาเจอกันเอาตอนนี้ เด็กหญิงบันทึกชื่อทุกคนเอาไว้ ถ้าลืมคงจะน่าเกลียด

        โทนี่รู้ความคิดเพื่อน จึงช่วยแอบบอกเป็นภาษามือว่าคนนั้นเพิ่งเจอ เขาจำทุกคนได้ด้วยประสิทธิภาพการจำอันแสนจะเหลือเชื่อ

        เอลฟ์หนุ่มเอาลานลายกริฟฟินของตัวเองไขประตูเสียงดังแกร๊กๆ อยู่ห้าหกรอบก่อนมันกระแทกเปิดเอง ทั้งคู่บอกขอบคุณ แล้วเข้าไปในร้าน และรู้สึกแปลกใจเมื่อชายในชุดรัดรูปยังเดินตามหลังมา มิเชลคิดว่าคงจะอยากเข้าร้านเหมือนกันพอดี

        แต่เธอกลับไม่สบายใจมากขึ้น ไม่ว่าดูเสื้อผ้าอะไรอยู่ตรงไหน จะรู้สึกว่ามีสายตาสีดำคมๆ นั่นแอบลอบมอง มิเชลจึงจ้องกลับ และเอลฟ์หนุ่มก็จ้องตอบ ทั้งคู่แลกสายตาโดยไม่เกิดอาการขวยเขินใดๆ แม้เป็นคนแปลกหน้ากัน

        โทนี่กำลังก้มดูป้ายราคา พอเงยหน้าเลยพบบรรยากาศสุดแสนประหลาด เขาแอบสะกิดถามเพื่อนว่าทะเลาะอะไรกัน แต่เธอส่ายหัวและตอบว่าแค่ต่างคนต่างมอง

        มิเชลเป็นฝ่ายเลิกมองก่อน เด็กหญิงเริ่มสนใจเงินที่เหลือในกระเป๋าประมาณห้าพันเหรียญ แต่เสื้อผ้าที่นี่ราคาแพงและคุณภาพดีกว่าเมืองที่แล้ว เธอคิดว่าอยากสะสมเงินจำนวนหนึ่งค่อยกลับมาซื้อ สุดท้ายจึงชวนเพื่อนออกไปล่าสัตว์อสูรหาเงินนอกเมือง

        หลังออกจากร้าน เอลฟ์ชุดรัดรูปยังตามมาอยู่ พอเธอก้าวขาให้ยาวขึ้น เขาก็ก้าวยาวขึ้นตาม มิเชลจึงลองลากโทนี่เดินวนรอบตึกเพื่อสังเกตให้มันชัดเจน ปรากฏว่าชายลึกลับหยุดยืนรอเฉยๆ

        แค่นี้ก็ชัดเจนสุดๆ แล้ว!

        “ตามพวกเรามาทำไมครับ?” มิเชลยิงคำถามใส่ทันที “เราสองคนมีลานลายยูนิคอร์นกับนกฟินิกซ์ ถ้าอยากยืมก็บอกสิ”

        “ไม่ใช่หรอก เราแค่อยากรู้เฉยๆ”

        “อยากรู้ว่า..?”

        “อยากรู้ว่าพวกนายเก่งมากแค่ไหน”

        เป็นคำถามที่กว้างจนทำให้คนโดนถามยืนนิ่ง เด็กหญิงมั่นใจว่าตัวเองเก่ง แต่ครั้นจะตอบว่าเก่งก็รู้สึกแปลกๆ เพราะมันสื่อได้หลายความหมาย เธอว่องไว หากเมื่อพบจอร์เจียจึงรู้ว่าตนยังขาดอะไรอีกมากมาย และโทนี่ก็แก้สถานการณ์ต่างๆ ได้ดีกว่าเสมอ แล้วคำถามนั้นพูดถึงเก่งแง่ไหนล่ะ?

        “ที่เดินตามพวกผมเพราะจะรอจนออกนอกเมือง แล้วสู้สัตว์อสูรให้ดูหรือครับ?” โทนี่กลั่นกรองอยู่ในหัวแล้วค่อยถามออกมา มันจึงช่วยตอกย้ำความคิดมิเชลว่าเขาเก่งกว่าในเรื่องแนวนี้จริงๆ

        “ก็เกือบใช่ ที่จริงรอดูพวกนายทั้งคู่สู้กับคนอื่นนอกเมืองมากกว่า”

        “ทำไมพวกผมต้องสู้กับคนอื่นนอกเมืองด้วย?” โทนี่เริ่มทำท่าไม่ไว้ใจ

        “พวกนายไม่ได้อ่านข้อมูลบนเว็บบอร์ดหรือ? ถ้าออกนอกเมืองเมื่อไหร่ก็ต้องเตรียมพร้อมเพราะเป็นเขตโจมตีอิสระ”

        “หมายถึงจะไม่มีการติดสถานะอาชญากรนอกเมือง?” เธอเบิกตากว้าง

        “แบบนั้นแหละ.. ที่จริงเราไม่ค่อยถนัดสะกดรอยใครเท่าไหร่ แต่มันเป็นมติของสมาพันธ์ จะเล่าให้ฟังเลยละกัน ถ้าพวกนายเก่ง เราก็จะชวนเข้าร่วมกลุ่มต่อต้านเกราะแดงด้วย”

        “แต่เพื่อนผมมีสมาพันธ์อยู่แล้ว” โทนี่ชิงพูดแทน

        “ไม่จำเป็น จะมีสมาพันธ์หรือไม่มีไม่เกี่ยว ขอแค่เก่งก็ร่วมมือกันได้” เอลฟ์ชุดรัดรูปตอบ “เอ่อ.. ที่จริงนั่นเป็นคำที่หัวหน้าสมาพันธ์เราบอกมาน่ะ..​ อย่าถือสานะ ถ้าเราจะสะกดรอยขอดูฝีมือพวกนายไปเรื่อยๆ”

        เด็กทั้งสองรู้สึกว่าตรรกะความคิดของเอลฟ์หนุ่มผู้นี้ประหลาดมาตั้งแต่เสื้อผ้าที่เลือกใส่ การสะกดรอยก็เรียกว่าล้มเหลวก่อนจะเริ่มเสียอีก
        
        สุดท้าย การเดินชมรอบเมืองเลยมีเงาตะคุ่มตามหลังทุกฝีก้าว ทั้งคู่ไม่มีเหตุผลต้องปฏิเสธอะไรอยู่แล้วจึงปล่อยให้เขาทำตามใจ แต่เอาเข้าจริงๆ ก็รู้สึกอิหลักอิเหลื่อชอบกล

        ตอนนั้นเป็นช่วงพลบค่ำ แสงอาทิตย์จึงเริ่มคล้อย แผนออกนอกเมืองเลยถูกพับเก็บไว้ก่อนเพราะโทนี่ทักท้วง เขาคิดว่าอยากรอจนดึกกว่านี้แล้วค่อยแฝงตัวไปกับความมืด และมิเชลก็เห็นด้วย หากมีคนรอลอบโจมตีอยู่จริงๆ ก็จะขอใช้ความมืดช่วยกำบัง

        ทั้งคู่งัดปิ่นโตออกมากินกันบนม้านั่งบริเวณกลางเมือง ส่วนเอลฟ์ผมดำในชุดรัดรูป จากที่เดินตามโดยเว้นระยะแบบห่างๆ ชักเริ่มขยับเข้ามาใกล้ขึ้น แล้วทำเสียงกลืนน้ำลายดังหลายเอื๊อก มิเชลทนฟังอยู่นานจนไม่ไหวจึงต้องยกให้ไปกินกล่องหนึ่ง

        “ขอบคุณสำหรับมื้ออาหาร”

        เขาทำท่าพนมมือไหว้ข้าวกล่อง หลังจากนั้นก็โซ้ยด้วยความเร็วสูงและเอาไปล้างกับก๊อกน้ำสาธารณะก่อนส่งคืน

        “ที่จริงมาด้วยกันเลยก็ได้” มิเชลเสนอ ให้เขาเดินข้างกันยังรู้สึกดีกว่ามีคนย่องตามหลังโดยเว้นระยะห่างห้าเมตรไม่ขาดไม่เกิน

        เอลฟ์หนุ่มครุ่นคิดพักใหญ่ เขาทำหน้าปั้นยากก่อนตอบตกลง

        “เราชื่อเมสโซ่”

        มิเชลกับโทนี่จึงแนะนำตัวเองบ้าง

        “ถ้าออกนอกเมือง เราจะซ่อนตัว จะหลบ จะไม่ช่วยพวกนายนะ” เขาบอกเงื่อนไขตัวเอง “เราอยากรู้ว่าพวกนายเก่งไหม”

        “ตามสบายครับ” โทนี่ตอบแบบเซ็งๆ

        เมื่อกินเสร็จทั้งสามจึงนั่งรอเวลา ระหว่างนั้นโทนี่ล้วงเอาทั่งตีเหล็กออกมา เขาพยายามเปิดหนังสือคู่มือประจำอาชีพเพื่อหาทักษะใหม่จากมัน มิเชลเองก็ช่วยคิดด้วย แต่สุดท้ายฟ้ามืดเสียก่อนโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น เด็กชายจึงต้องเก็บไอเทมพิเศษชิ้นนี้ลงกระเป๋า

        มิเชลกำลังจะเปลี่ยนกิ่งไม้ให้เป็นดาบคู่ แต่สังเกตเห็นลูกแก้วสีเหลืองส่องประกายแปลกๆ จึงรีบเรียกหน้าต่างสถานะจากกำไล และร้องบอกเพื่อนว่าอาวุธประจำกายเธอเลื่อนขึ้นเป็นเลเวลยี่สิบห้า!

        เธอจำได้ว่าเลเวลสิบแปดจะใช้ทักษะที่สองได้.. จึงกระตือรือร้นฉุดกระชากเพื่อนออกไปนอกเมืองโดยเร็ว เมสโซ่ก็รีบวิ่งตามมาติดๆ แต่เมื่อถึงหน้าประตูเมือง เอลฟ์หนุ่มแทบล้มกลิ้งนอนหอบแฮ่กบนพื้น ถ้ามิเชลกับโทนี่ไม่เห็นใจคงแกล้งปล่อยทิ้งแล้ว

        “ขออภัย.. เราแรงน้อย ถ้าวิ่งจะตามไม่ทัน...”

        มิเชลต้องใช้เวทสาดน้ำทำให้เขารู้สึกดีขึ้น แล้วปล่อยให้เมสโซ่ได้พักอีกสิบนาที เมื่อทั้งสามก้าวขาเดินออกพ้นเขตเมือง ใจจึงเริ่มเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ เธอชินกับความมืดในโลกแห่งความเป็นจริง แต่ที่นั่นไม่มีใครเตรียมจ้องจู่โจมอย่างตอนนี้

        รอบข้างมืดสนิท มีเพียงแสงไฟริบหรี่จากตัวเมืองช่วยทำให้มองเห็นได้บ้าง ข้างบนท้องฟ้ายังประดับด้วยดาวระยิบระยับเพราะเป็นคืนเดือนมืด แสงจันทร์ไม่มาบดบังแสงดาว ส่วนอากาศในป่าหน้าเมืองโซเนียแห้งและเย็น มีกลิ่นไม้กับดินผสมปนเปกัน

        เด็กหญิงเริ่มทดสอบจิ้มกดลูกแก้วสีเหลืองบนกิ่งไม้ มันยืดมาพันคลุมมือทั้งสองข้างของเธออย่างรวดเร็ว แล้วกลายสภาพเป็นถุงมือหนังสีน้ำตาลที่แสนจะธรรมดา มิเชลยกขึ้นสำรวจพร้อมกับลองต่อยต้นสนใกล้ๆ แต่คนต่อยกลับต้องเจ็บเสียเอง

        “อาจจะใช้ผิดวิธีล่ะมั้ง” โทนี่แนะในระหว่างที่มิเชลนั่งคุดคู้กุมมือด้วยความเจ็บ

        “ก็นึกว่าเป็นอาวุธคล้ายๆ พวกสนับมือ” เธอโอดครวญแล้วส่งมือให้เพื่อนซี้ช่วยดู

        เขาจับถุงมือทั้งสองข้างขึ้นพลิกไปพลิกมา พยายามหาจุดสังเกตแปลกๆ แต่ดูอย่างไรมันก็เป็นแค่ถุงมือหนังไว้สวมกันหนาว เพียงแต่... เผอิญแอบเห็นลูกแก้วสี่ลูกตามข้อนิ้ว มีสีแดงหนึ่ง ส่วนอีกสามนั้นเป็นสีใส โทนี่จิ้มลูกสีแดงโดยไม่ถาม

        ถุงมือข้างนั้นเปลี่ยนกลับเป็นดาบอสูรอัคคี แต่ไม่ใช่ดาบคู่ มันเปลี่ยนเพียงข้างเดียวเท่านั้น

        “แปลว่าต่อไปนี้มิเชลใช้สองทักษะพร้อมกันได้!?” มิเชลพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เธอรู้สึกว่าต้องปรับตัวให้ชินกับดาบมือเดียวบ้างแล้ว  “เพียงแต่ยังไม่รู้ว่าถุงมือทำงานแบบไหน”

        “ลองสวมทิ้งไว้ตลอดเวลาละกัน จะได้รู้ว่ามันทำงานยังไง” โทนี่เสนอแนวทาง

        “ตกลง”

        เธอยันกายลุกขึ้นยืนโดยใช้มือซ้าย.. มันเป็นข้างที่สวมถุงมือ

        พื้นที่ใช้มือกดสัมผัสลงไปพุ่งสูงขึ้นเป็นกำแพงดิน มิเชลถึงกับกลิ้งหงายหลัง เธอรับรู้ด้วยสัญชาติญาณจึงรีบชักแขนออกทันที

        กำแพงดินสูงประมาณหนึ่งเมตรและความกว้างห้าสิบเซนฯ ตั้งตระหง่านตรงหน้า เธอมองถุงมือตัวเองแล้วเริ่มเข้าใจการทำงานของมัน ถ้าเอามือแตะบนพื้นก็จะสร้างกำแพงดินขึ้นมาได้

        “โห ถ้าใช้คล่องๆ ท่าทางเจ๋งดีนะ” เด็กชายลองสัมผัสกำแพงดิน “มือข้างหนึ่งป้องกัน ส่วนอีกข้างโจมตี เดี๋ยวฉันช่วยฝึกพิเศษเธอเอง!”

        “พวกนายมีทักษะแปลกๆ ดีนะ คงต้องเก่งแน่ๆ เลย” เมสโซ่ทักขึ้นมาหลังจากที่เงียบจนเหมือนไม่มีตัวตนอยู่นาน

        เมื่อพอใจกับทักษะใหม่ มิเชลกับโทนี่เริ่มออกเดินต่อ พวกเขาก้าวขาแบบเงียบเชียบที่สุดเพราะไม่อยากตกเป็นเป้าหมายโจมตี แต่ผ่านไปแค่ยี่สิบนาที เสียงเหนื่อยหอบของเมสโซ่ทำให้ความพยายามของทั้งคู่หมดความหมาย

        “ขอ.. ขอพัก ไม่ไหวแล้ว..” เอลฟ์หนุ่มหายใจถี่และดัง ตั้งแต่ร่วมทางมาด้วยกัน ก็พบว่าเขาขาดคุณสมบัติทุกข้อของนักสะกดรอยตาม

        ทั้งคู่ยอมให้ชายหนุ่มนอนพักอย่างไม่เต็มใจนัก เวลานี้รอบข้างมืดสนิทเพราะไม่มีแสงจันทร์ แต่มิเชลกับโทนี่ใช้อาวุธตัวเองแทนไม้เท้าขาวจึงเดินไปข้างหน้าได้เรื่อยๆ อย่างปลอดภัย ส่วนเมสโซ่หกล้มเจอแผลถลอกเต็มเข่าตลอดทาง

        “หรือพอ.. พอแค่นี้ก่อนดี.. ไว้สะกดรอยต่อ.. วันหลัง” เขาพยายามฝืนลุกขึ้นยืน ลมหายใจถี่ระรัว

        “พวกเรายังไงก็ได้ แต่ว่าจำทางได้หรือเปล่า?” มิเชลช่วยฉุดเขาขึ้นมาพร้อมกับคิดว่าทางมืดมาก และเธอใช้โทนี่แทนแผนที่ คนอย่างเมสโซ่ก็ไม่น่าจะรอดถึงเมืองคนเดียวเสียด้วย

        “จริงสิ เราจำทางไม่ได้..” เขาตอบเสียงหอบ “เรากลับไม่ได้ ต้องทำงานสะกดรอยพวกนายต่อ”

        “ผมจะไปส่งให้ถึงเมืองละกัน” โทนี่ช่วยสรุป หากตัดเมสโซ่ทิ้ง พวกเขาจะเดินทางได้ราบรื่นขึ้น

        “ไม่ได้.. ผู้สะกดรอยจะต้องเดินตามเป้าหมาย ไม่ใช่สลับเอาเป้าหมายมาเดินตามผู้สะกดรอย พวกนายเดินต่อไปเถอะ เราจะตามเหมือนเดิม”

        ความดื้อของเมสโซ่ช่างไร้ขีดจำกัด เอลฟ์หนุ่มทั้งหอบทั้งล้มกลิ้งตลอดทาง ทั้งคู่ต่างไม่เข้าใจ เหตุใดสมาพันธ์นั้นถึงส่งคนแบบนี้มาทำงานสะกดรอยเพื่อหาคนเก่ง โทนี่ตั้งข้อสงสัยว่าเขาต้องเป็นพวกถูกกลั่นแกล้งและโดนยัดเยียดเรื่องยุ่งยากให้ตลอดเวลาแน่

        ทว่า เกิดเรื่องน่าแปลกขึ้น ไม่ว่าเดินมาไกลแค่ไหนก็ไม่มีสัตว์อสูร มิเชลที่อยากลองใช้ทักษะใหม่จึงเบื่อ

        “ตอนนี้ จะคนหรือสัตว์อสูรก็ได้ ใครก็ได้ทั้งนั้น ออกมาสู้กันหน่อย!” เธอตะโกนก้องกลางป่ามืด

        “ยายบ้า.. ไม่มีก็ดีแล้ว เก็บพลังงานไว้ก่อนซี่ ไม่รู้นะว่าจะเจออะไรบ้าง”

        “ก็เราออกมาล่าสัตว์อสูรหาเงินกัน” มิเชลเถียงกลับ “แต่นี่ไม่มีเลยสักตัว ถ้าต้องตะโกนเพื่อให้พวกมันโผล่ออกมาก็ยอมล่ะ”

        “ถ้าไม่มีอะไรออกมาแบบนั้นเราคงลำบากเหมือนกันนะ เราไม่รู้สักทีว่าพวกนายเก่งหรือเปล่า” เมสโซ่โพล่งขึ้น แต่เวลานี้ ทั้งมิเชลและโทนี่เลิกสนใจคำพูดของเอลฟ์หนุ่มไปแล้ว เพราะเขาชอบพูดอะไรวนเวียนอยู่แต่กับเรื่องการสะกดรอยหาคนเก่ง

        มิเชลจุดไฟลงกลางป่าทันที เธอจงใจประกาศตัวเรียกสัตว์อสูรท่ามกลางคำค้านของโทนี่ เด็กชายกลัวว่ามันจะแห่กันมามากเกินไป

        “มาเร็วๆ มาจัดการพวกเราเร็วเข้า!” เธอโหมไฟให้ลุกหนักกว่าเดิม ตอนนี้จึงสว่างพอจะเห็นหน้าโทนี่ที่กำลังเซ็ง

        ถึงมีไฟของมิเชล แต่เพราะเป็นเวลากลางคืน จึงมองทุกอย่างได้ไม่ชัดนัก ดอกไม้ต้นหญ้าบนพื้นค่อนข้างรก แต่ดินแห้ง เดินง่าย ไม่มีโคลนหรือขอนไม้ใหญ่มากีดขวางตามทาง รอบข้างก็ปรากฏต้นไม้ใหญ่หลายต้นให้เห็นแบบมัวๆ

        แม้จะตะโกนมากแค่ไหน.. ทุกอย่างกลับเงียบเชียบ เธอได้ยินแต่เสียงสะท้อนของตัวเองอยู่คนเดียว

        “พอได้แล้ว! เราทั้งคู่ก็ไม่รู้ว่าสัตว์อสูรที่นี่มันจะโหดกว่าทวีปก่อนแค่ไหน” โทนี่พยายามห้าม “จำได้หรือเปล่า ช่วงที่พวกเราหนีหัวซุกหัวซุน ฉันกลัวมันจะย้อนรอยเดิม”

        “จำได้สิ แต่ถ้าเราอยู่เฉยๆ มันก็ไม่ออกมานะ”

        พอจบคำ ร่างสีขาวก็พุ่งกระโจนปาดหน้า เธอโยกหลบแทบไม่ทัน

        “ออกมาแล้ว ดูสิ! ตัวเดียวเอง! ไม่เห็นเยอะเลย!” มิเชลร้องด้วยความดีใจ

        โทนี่เลิกต่อล้อต่อเถียง เขาเปลี่ยนมาถือดาบ ผู้โจมตีคือจิ้งจอกสีขาวโพลนทั้งร่าง มิเชลพุ่งเข้าแทง แต่ไม่รู้สึกถึงน้ำหนักยามเสียบโดน เด็กหญิงได้ยินเสียงลมราวกับตอนที่ฟันอากาศ สัตว์อสูรสีขาวแยกเป็นสองส่วน แล้วประกบกลับมาอยู่ในสภาพเดิม

        ทั้งที่เพิ่งแยกเป็นสองส่วน แต่ตอนนี้มันกลับยืนตระหง่านเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สักพักก็โผล่พรวดมาเพิ่มอีกสามตัว พวกมันมีดวงตาสีขาวน่ากลัว กระทั่งน้ำลายก็ยังเป็นสีขาวขุ่นน่าขยะแขยง!

        มิเชลเพิ่งนึกถึงเมสโซ่... เธอหันหลังกลับด้วยความเป็นห่วง เจ้าจิ้งจอกเผือกคงยังไม่ได้จัดการเขาไปนะ..

        เมสโซ่ถูกรายล้อมด้วยฝูงอสูรร้ายสีขาว ทว่า.. พวกมันยังไม่ทันทำร้ายเขา เอลฟ์หนุ่มนั่งกับพื้นและหายใจถี่เพราะความเหนื่อย แต่ในมือกลับจรดพู่กันอยู่บนกระดาษเพื่อวาดรูปจิ้งจอก มันเป็นจิ้งจอกรูปลักษณ์เดียวกับตัวที่เธอเพิ่งฟันไป

        “เราจะลำบากถ้าไม่รู้ว่าพวกนายเก่งหรือเปล่า ช่วยสู้ให้เราดูหน่อยนะ”

        โทนี่คิ้วขมวด เขาเริ่มฉุกใจคิดอะไรได้และพยายามเดินไปหาเมสโซ่ แต่ถูกจิ้งจอกหกตัวยืนขวาง พวกมันส่งเสียงร้องไม่ให้เข้าใกล้ เด็กชายต้องรีบยกดาบขึ้นป้องกันตัวเอง

        มิเชลถูกจิ้งจอกอีกสี่ตัวกระโจนใส่ทันที พอโจมตีไปจะรู้สึกเหมือนฟันธาตุอากาศ มันเพียงแค่แยกเป็นสองส่วนแล้วเข้ามาประกบติดกันในสภาพเดิม เรียกว่าเป็นสัตว์อสูรที่ขี้โกงมากเพราะสามารถฝังเขี้ยวลงบนแขนเธอโดยที่ผู้เล่นโจมตีกลับไม่ได้

        เมสโซ่ยังคงทำหน้าเลื่อนลอยเฉื่อยชา แต่จากสายตาพวกมิเชล ร่างผอมแห้งของเขาตอนนี้กลับดูใหญ่โตขึ้น ราวกับมีอำนาจลึกลับทรงพลังบางอย่างแอบแฝงอยู่ มือของเอลฟ์หนุ่มวาดรูปจิ้งจอกขยุกขยิกตลอดเวลา พอวาดเสร็จมันก็พุ่งออกจากกระดาษแล้วเข้าร่วมฝูงทันที

        “ลืมไปว่าสัตว์อสูรแถวนี้จะซ่อนตัวจากเราเพราะเราเลเวลสูงมาก” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เราอยากรู้ว่าพวกนายเก่งไหม ถ้าไม่เก่ง หัวหน้าสมาพันธ์เขาบอกให้จัดการแบบไหนก็ได้ทั้งนั้น”


















     
    (ติดนิสัยอัพทีละครึ่งตอนซะแล้ว)


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×