ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พาราเรล ออนไลน์ [ online ]

    ลำดับตอนที่ #15 : ตอนที่ 10 ร่วมมือ (ครึ่งหลัง)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 975
      5
      13 ม.ค. 56

            ก่อนได้เริ่มต่อสู้เกิดการสั่นโคลงเคลงครั้งใหญ่ ทุกคนล้มกลิ้งกระจัดกระจาย พวกเกราะแดงรีบกอดคอกันเองเพื่อทรงตัว ส่วนมิเชลกับจอร์เจียยึดเสากระโดงเรือเป็นที่มั่น จากนั้นหัวเรือค่อยๆ ยกขึ้นสูง... และหางเรือกำลังจะจม

        อีหรอบนี้จะศัตรูหรืออะไรก็ต้องพักรบไว้ก่อน ขามิเชลกับจอร์เจียเริ่มลอยขึ้นจากพื้น ทั้งคู่กอดเสากระโดงเรือแน่นและจับมือกันไว้ เธอเห็นว่าสีหน้าหญิงสาวแสดงอาการวิตกอย่างหนัก

        “ไม่น่าเลย พวกเราเสียเวลากับเรื่องไร้สาระมากไป...” จอร์เจียโอดครวญเสียงแผ่ว “ภารกิจล้มเหลวแล้วค่ะ...”

        มิเชลคิดอะไรไม่ออก พลางเอาไหล่โอบเพื่อนใหม่เอาไว้เพราะกลัวร่างเล็กๆ นั่นอาจโดนลมพัดปลิว เธอเคยได้ยินว่าเวลาเรือจมต้องหนีไปไกลๆ เนื่องจากมันจะเกิดน้ำวนยักษ์และดูดกลืนทุกสิ่งทุกอย่าง แต่นี่คือเกม... ขออย่าให้เป็นแบบที่รู้มาเลย เพราะโทนี่ เกล็นและอีกหลายคนยังลอยคออยู่ด้านล่าง

        หัวเรือยังคงยกขึ้นเรื่อยๆ ร่างทั้งสองเริ่มทำมุมเก้าสิบองศากับพื้น ดูอย่างไรก็คว่ำแน่นอน มิเชลฝืนปีนขึ้นเสาแล้วดึงจอร์เจียขึ้นมาด้วยกัน ปรากฏว่าหญิงสาวทรงตัวเก่งกว่าจึงช่วยประคองให้มิเชลไม่ล้ม

        พลัน เรื่องอัศจรรย์ปนงุนงงบังเกิดขึ้น จากเรือใกล้คว่ำ จู่ๆ พลิกกลับมาตั้งตรงและสงบนิ่งกะทันหัน มิเชลกับจอร์เจียที่กำลังยืนกายกรรมบนเสาจึงหล่นมากองทับกันบนพื้น น้ำทะเลบางส่วนทะลักขึ้นเรือแต่ไม่มาก

        แน่นอนว่าพวกเกราะแดงก็ด้วย ทั้งกลุ่มนั่งแหมะนอนอีเหลกเขละขละแบบหมดสภาพ มิเชลแอบนับจำนวน ดูเหมือนจะหายไปสองคน..

        “ตะกี้มันอะไร” มิเชลถาม แต่ก็ไม่ได้คาดหวังคำตอบจากคู่สนทนา

        “ราชาแห่งท้องทะเลได้สังเวยมนุษย์ครบสามร้อยชีวิต เข้าสู่สภาวะจำศีลหนึ่งชั่วโมง”

        เกิดเสียงประกาศจากระบบเฉลยข้อข้องใจ มิเชลกับจอร์เจียหันมามองหน้า ต่างฝ่ายต่างทำท่าจะอ้าปากพูดในเวลาเดียวกัน สุดท้ายหญิงสาวจึงเป็นฝ่ายเงียบให้ก่อน

        “สามร้อยชีวิต มันกินคนไปเยอะขนาดนั้นแล้ว!”

        “มองด้วยตาตอนนี้ พวกคนที่ยังรอดก็เหลือไม่ถึงสามร้อยแล้ว... เราเป็นชุดสุดท้าย มันคงไม่จำศีลอีกแล้วค่ะ”

        มิเชลรีบวิ่งไปเกาะขอบเรือ เธอก้มมองกวาดตาหาเพื่อน และถอนหายใจเมื่อพบว่ายังอยู่เป็นสุขดี โทนี่ลอยห่างจากตัวเรือพอสมควร ดูเหมือนเขายังว่ายน้ำแจกออกซิเจนอัดเม็ดอยู่ ส่วนเกล็นก็ชูสองนิ้วให้เป็นสัญญาณว่าพร้อมเสมอ

        ทันใดนั้น ลูกธนูหนึ่งลูกพุ่งเฉียดหน้ามิเชล เธอหลบทันเพราะแอบได้ยินเสียงตั้งแต่ตอนเริ่มง้าง พวกเกราะแดงพร้อมรบแล้ว... กลุ่มนั้นจะรีบลุยกันเร็วไปหน่อยไหมนะ..

        มิเชลกำดาบอสูรอัคคีทั้งสองเล่มแล้วยกควง เธอนึกว่าพวกนักสู้ที่ไม่รู้จักกันจะโจมตีไม่เป็นระบบ แต่เปล่าเลย.. ทั้งกลุ่มเป็นมืออาชีพและเลือกแม่ทัพสำหรับออกคำสั่งไว้หนึ่งคน นั่นคือชายอาชีพนักรบคลั่งที่สวมกางเกงตัวเดียว พอเขาโบกมือ ลูกธนูก็สาดเข้ามาพร้อมกัน

        จอร์เจียใช้สนับมือต่อยทิ้ง ส่วนมิเชลหมุนดาบทั้งสองเล่มปัดลูกธนู เธอเร่งพลังไฟออกจากดาบอสูรอัคคีแล้วกรีดพื้น มันลุกไหม้เป็นวงล้อมรอบช่วยทั้งคู่ ตามด้วยท่าสาดน้ำโปะใส่ตาพวกนักเวทแล้วชูแขนเขวี้ยงดาบใส่ตัวหัวหน้า

        “ซื้อเวลาให้ฉันหน่อยค่ะ!” จอร์เจียตะโกนบอก “ฉันจะจัดการนักเวทก่อน แต่ช่วยคุ้มกันให้ด้วย”

        “อื้ม” มิเชลตอบโดยไม่ได้มองเธอ “งั้นก็ก้มหัวลง!”

        นักรบคลั่งยกดาบเล่มยักษ์ขึ้นมาปัดดาบมิเชลทิ้ง แต่ครั้งนี้มิเชลได้แอบเอาเชือกผูกไว้จึงดึงมันกลับเข้ามือโดยง่าย เด็กหญิงกำอาวุธแน่น แขนทั้งสองข้างเหยียดตรง เธอเริ่มหมุนตัวด้วยความเร็วสูง ดูน่ากลัวราวกับพัดลมติดใบมีดขนาดยักษ์ จะใครหน้าไหนก็ไม่กล้าอยู่ใกล้

        จอร์เจียหย่อนก้นลงไปนั่งกับพื้นตั้งแต่โดนบอกให้ก้ม มือล้วงมีดสั้นออกจากกระเป๋า แล้วจับเล็งขว้างใส่คอนักเวทฝ่ายศัตรู

        นักเวทสามคนเอามือกุมคอดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้น ปากอ้าพะงาบๆ แต่ไม่มีเสียงเล็ดรอดออกมา พวกเขาติดสถานะใบ้ด้วยอาวุธลับของเธอ ทว่า ยังเหลืออีกสองคนที่สามารถกางบาเรียขึ้นกั้นทันเวลา จอร์เจียจึงทำหน้าเซ็ง และบอกให้มิเชลหยุดหมุนดาบได้แล้ว

        “อ๋อย...​เวียนหัว” มิเชลเข่าทรุดกับพื้นทันที่ปิดสวิตท์พัดลมมนุษย์ โลกหมุนไปหมด หัวก็พร้อมทิ่มลงดินตลอดเวลา จอร์เจียต้องช่วยคุ้มกันลูกธนูให้จนกว่าเธอจะหายเบลอ

        เมื่อเริ่มมีสติพอยันกายลุกขึ้นมามองรอบข้างไหว เธอพบว่านักเวทของฝ่ายโน้นจัดการดับวงล้อมไฟเรียบร้อย จังหวะนั้นคมดาบและหอกจึงแทงเข้ามาพร้อมกัน มิเชลควงดาบอสูรอัคคีช่วยกันให้จอร์เจียหนึ่งครั้งก่อนไถลกายลอดใต้ขามือทวนเพื่อหนี ไม่วายยังแอบฟันก้นแถมไปด้วย

        ด้านจอร์เจียโดดหนีออกจากวงแล้วยืนตั้งหลักอยู่บนโต๊ะที่ห่างออกไปสองเมตร มิเชลไม่จำเป็นต้องช่วยดูแลเธอเลยเพราะรายนั้นสามารถเอาตัวรอดได้เอง

        หญิงสาวกระโจนเล็งเล่นงานคอนักเวทอีกสองคนที่เหลือ แต่ถูกลูกธนูยิงสกัดจึงต้องถอยหลังร่นหนีจนถึงหัวเรือ ฝ่ายมิเชลเองก็คลานกลิ้งบนพื้นไถลตัวไปท้ายเรือเช่นกัน

        พวกเกราะแดงสิบสามคนแบ่งออกป็นทีมละหกกับเจ็ดแล้วแยกกันไล่ล่า เด็กหญิงรีบลุกขึ้นยืน เธอเลียนแบบจอร์เจียด้วยการเล็งนักเวทก่อนนักรบ แน่นอนว่าบรรดานักรบนักธนูในทีมต้องไม่ยอม ลูกธนูพุ่งมาแบบเทกระจาด เด็กหญิงเอี้ยวตัวหลบได้เพราะคำนวณไว้ล่วงหน้า จากนั้นเซอร์ไพรส์ด้วยการกระโจนเข้าฟันแขนนักธนูสองคนขาด ทั้งคู่ไม่ทันเตรียมป้องกันตัวเองเลยสักนิดเดียว...

        เท่ากับว่าตอนนี้จากเจ็ดเหลือห้า เป็นนักเวทหนึ่งและนักรบอีกสี่ ส่วนกลุ่มหกคนนั้นแยกไปไล่ตามจอร์เจียแทน

        พลัน ทวนยาวพร้อมกับเวทสายฟ้าพุ่งหลาวเข้ากลางท้อง ส่วนอีกสามคนแทงดาบใส่จากข้างหลัง ซ้าย และขวา เธอมองหาช่องว่างแล้วหนีรอดแบบฉิวเฉียด อาวุธพวกนั้นทิ่มมาพร้อมกันก็จริง แต่มันยังเปิดรูโหว่ใหญ่พอจะพาร่างมุดลอดไปได้

        ทั้งห้าทำหน้าขึงขังมากกว่าเดิมเมื่อเห็นฝีมือคนตรงหน้า และพร้อมใจกันรับรู้ได้ว่าห้ามประมาทเด็ดขาด อีกนิดเดียว ราชาสัตว์อสูรต้องเป็นเหยื่อเฉพาะของพวกตนเท่านั้น    

        มิเชลพยายามเล็งโจมตีนักเวทประจำกลุ่มอีกครั้ง แต่เขาถูกคุ้มกันอย่างดีโดยมือทวน เธอกลายเป็นฝ่ายถอยหนีเมื่อโดนลูกบอลสายฟ้าตามจี้ไปจนเกือบตกเรือ นักดาบสามคนก็ไล่ตามมาติดๆ แล้วยังกะจังหวะฟาดดาบลงมาพร้อมกันตั้งใจไม่ให้หลบ เด็กหญิงยกดาบสองเล่มขึ้นปัด ทว่า สู้แรงด้วยไม่ไหว สุดท้ายจึงกระเด็นร่วงลงทะเลหายไป

        ทั้งสามยิ้มกระหยิ่ม หนึ่งในนั้นโชว์ดาบที่เปื้อนเลือดของมิเชลต่อหน้าพรรคพวกแล้วหัวเราะร่า... จากนั้นจึงตามไปสมทบช่วยกันจัดการจอร์เจียที่หัวเรือ ทว่า กลับมีคนทำคิ้วขมวด แสดงสีหน้ามึนตึง และยังยืนระแวดระวังภัยให้นักเวทประจำทีมไม่ยอมห่าง

        "ตอนเจ้านั่นตกลงไปฉันไม่ได้ยินเสียงน้ำ ถ้าไม่เช็คก่อนฉันจะไม่ถอยจากตรงนี้เด็ดขาด" มือทวนเตือนพรรคพวก

        เด็กหญิงแอบเอาดาบปักเรือห้อยขาต่องแต่ง และเมื่อได้ยินบทสนทนาของพวกนั้นเลยต้องรีบย้ายทำเลโดยขยับไปโหนตัวอยู่ทางกราบเรือด้านซ้ายแทน ทีแรก มิเชลตั้งใจรอให้เผลอแล้วเตรียมรวบหัวรวบหางจัดการนักเวท แต่ต้องผิดแผนเพราะดันมีคนรอบคอบในกลุ่มศัตรู

        เธอค่อยๆ กระดื๊บเกาะผนังเรือไปพร้อมกับกัดฟันอดทนพิษบาดแผลจากสีข้าง เลือดไหลเลอะเสื้อคลุมโดยรอบเป็นวง

        เกล็นแอบเฝ้ามองจากข้างล่างจึงโยนน้ำยาฟื้นพลังช่วยได้ทันที ท่าทางอาชีพเซียนจะไม่มีทักษะเติมค่าเลือด แค่ช่วยรักษาอาการผิดปกติเท่านั้น มิเชลหันมาสบตาเพื่อขอบคุณแล้วเอาดาบปักไขว้ไปทางซ้ายเรื่อยๆ อีกนิดเดียวก็ถึงจอร์เจียแล้ว

        ระหว่างที่ใต่ไปตามผนังเรือ เธอมองเห็นอะไรมากมาย คนเกือบสองร้อยลอยคออยู่กลางทะเล โชคดีที่โทนี่ไล่แจกออกซิเจนอัดเม็ดจึงพอช่วยไว้ทัน และบนเรือก็น่าจะมีพวกแอบซ่อนอยู่ในห้องโดยสารอีกหลายกลุ่มเสียด้วย

        มิเชลสงสัยว่ามันคุ้มหรือ รางวัลจากราชาสัตว์อสูรที่แลกกับคนจำนวนมากขนาดนี้ ทั้งเงินค่าตั๋วและเวลาของแต่ละคน จอร์เจียยืนยันว่าแค่สิบเก้าคนไม่มีทางชนะ ถ้าแบบนั้น.. ตอนนี้ก็เหมือนทั้งสองฝ่ายกำลังตัดกำลังกันเองอยู่นี่นา..?

        สุดท้ายต้องรีบหยุดคิด เธอได้ยินเสียงฝีเท้าของทั้งห้าคนนั้น พวกเขาเปลี่ยนมาโจมตีจอร์เจียแล้ว เด็กหญิงยื่นหน้าแอบดูโดยโผล่แค่ลูกกะตา แล้วเขวี้ยงดาบเล็งฟันขานักรบที่เปิดช่องว่าง ต่อด้วยการปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางความตกใจของศัตรู

        จอร์เจียมีเลือดเปรอะทั้งตัว แต่ทั้งหมดเป็นแค่แผลเฉี่ยวๆ ไม่ร้ายแรง เธอเองก็ตกใจพอเห็นมิเชล

        “ที่จริงเรื่องรางวัลเนี่ย รู้แล้วหรือว่าจะเป็นอะไร?” มิเชลโพล่งถามขึ้นกลางวง “ไม่ลองคิดดูบ้างว่าอาจจะไม่มีอะไรเลยก็ได้!?”

        แน่นอนว่าไม่มีใครฟังเธอ มิเชลเริ่มวิ่งหนีไปรอบๆ ข้างหลังมีทั้งลูกบอลสายฟ้า ไฟและก้อนพายุหมุน รวมถึงดาบอีกหลายเล่มไล่หลัง เด็กหญิงกระโดดขึ้นเกาะเสากระโดงเรือแล้วปีนขึ้นสูง

        "พี่สาวคนนั้นยืนยันว่าต้องใช้คนเยอะถ้าอยากชนะ แล้วเราจะสู้กันไปทำไม!" มิเชลพูดพร้อมกับเอาเท้ายันหน้าพวกที่พยายามจะดึงเธอลงจากเสา "คิดสิว่าจำนวนคนเยอะขนาดนี้รางวัลจะแจกให้แบบไหน? คงไม่ใช่ของไม่กี่ชิ้นเพื่อให้คนแย่งชิงหลังจากนั้นแน่นอน!"

        "คุณมิเชล..." จอร์เจียอุทานเบาๆ

        "รางวัลอะไรจะยกให้หมดเลย! แต่ต้องให้ทุกคนบนเรือโดยสารไปถึงอีกฝั่งอย่างปลอดภัย" เธอแกว่งดาบติดไฟของตัวเองเพื่อป้องกันตัว มืออีกข้างก็พยายามปีนหนีขึ้นไปข้างบน "ว่าไงล่ะ!"

        การต่อสู้หยุดชะงักเกือบสิบวิแล้วดำเนินการต่อ จอร์เจียคิ้วขมวดทันทีที่ได้ยินข้อเสนอจากปากมิเชล เพราะมันคือส่วนของเธอ เธอต้องคัดค้าน.. อย่างน้อยจะไม่ยอมตกลงให้ตัวเองเสียเปรียบเด็ดขาด

        "หยุดสู้ก่อนสิ ก็บอกแล้วไงว่าจะยกรางวัลให้หมดทุกอย่าง!" มิเชลยังคงตะโกนอยู่  ตอนนี้เธออยู่สูงพอคุมเชิงไหวแล้ว และยังสามารถใช้ดาบปัดป้องให้ตัวเองได้ "หลังจัดการราชาสัตว์อสูรตัวนั้น ถ้าเราตกลงกันไม่ได้ค่อยมาสู้กันใหม่เถอะ คิดสิว่าถ้าราชาสัตว์อสูรพยายามพังเรือระหว่างนี้ พวกเราก็ตายกันหมดอยู่ดี!"

        ดูเหมือนคำขู่สุดท้ายจะได้ผล ยกเว้นจอร์เจียกับนักดาบอีกสองคน ทั้งสามยังไม่หยุดสู้กัน

        "คุณจอร์เจีย!" เธอร้อง

        "เงื่อนไขเสียเปรียบ ฉันไม่ตกลงหรอกค่ะ"

        มิเชลอึ้งไป ทีแรกนึกว่าจอร์เจียคงเลือกผลลัพธ์ให้ออกมาดีที่สุดสำหรับทุกคน

        "คุณมิเชลคงเข้าใจฉันผิดไป ที่ฉันทุ่มขนาดนี้ไม่ได้ทำเพื่อใครค่ะ”

        “แต่ว่า... คุณยังเคยช่วยผมไว้ แล้ว...เมื่อกี้...” มิเชลหมายถึงตอนที่จอร์เจียพยายามผลักเธอตกทะเลเพื่อให้หนีจากกลุ่มเกราะแดง

        ”ฉันไม่ใช่คนใจร้ายขนาดไม่ช่วยคนผ่านทางไปมาในเกมเลย... และเมื่อกี้เพราะว่าฉันถูกใจคนแบบคุณ เพียงแต่...” เธอเว้นวรรค ​“กับคนพวกนี้ ฉันจะไม่ยอมเสียเปรียบเด็ดขาด!"

        จอร์เจียกำหมัดขวาจ่อหน้านักดาบที่กำลังตะลุมบอนกันอยู่ ส่วนมือซ้ายใช้จับล็อคแขนของเขาแล้วบิด นักดาบผู้โชคร้ายร้องลั่น พอพรรคพวกจะเข้าช่วย หญิงสาวก็ยื่นเอาตัวประกันในมือขึ้นมาบัง

        “พวกนาย...เลือกมา เราทุกคนต้องได้ส่วนแบ่งเท่ากัน” หญิงสาวหักแขนตัวประกันโชว์ต่อหน้า “เห็นฝีมือเราทั้งคู่แล้วสินะ จะฆ่าตายกันเองตรงนี้แล้วไม่มีใครได้อะไรหรือแบ่งทุกอย่างกันแฟร์ๆ”

        มิเชลตะลึงจนแทบตกจากเสากระโดงเรือ... จอร์เจียที่ยิ้มหวานอยู่เสมอ.. ตอนนี้มีแววตาดุดันเกินผู้หญิง น่ากลัวว่าแหย่นิ้วเข้าไปจะโดนกัดขาดเอาง่ายๆ แค่ฟังเสียงโอดครวญของตัวประกันแล้วยังเจ็บแทน

        การเจรจาของจอร์เจียเป็นไปด้วยดี คำพูดเธอทำให้พวกนั้นคิด มิเชลไต่ลงจากเสา เด็กหญิงหย่อนเชือกช่วยดึงโทนี่กับเกล็นขึ้นจากน้ำ ตอนนี้เป็นเวลาสงบศึก เกล็นจึงช่วยรักษาอาการแขนหักและแก้อาการใบ้ให้นักเวทอีกฝ่ายด้วย

        อาชีพนักบวชขาวที่มีเวทฟื้นพลังชีวิตดูจะรักษาอาการผิดปกติได้แค่ระดับพื้นฐาน อย่างเช่นติดพิษ แก้ชา หรือแก้ง่วง ส่วนเซียนค่อนข้างครอบจักรวาลกว่า แต่ข้อเสียจุดใหญ่คือยังต้องพึ่งน้ำยาฟื้นพลังอยู่

        โทนี่กับมิเชลช่วยกันเรียกให้คนว่ายกลับขึ้นเรือ ถึงจะดูไม่น่าวางใจ แต่หากต้องรวมคนจำนวนมากเพื่อประชุม คุยกันข้างบนง่ายกว่าลอยคออยู่ในทะเลแน่นอน จอร์เจียปูผ้าใบบนพื้นเรือ เธอหักเอาเศษไม้จากกล่องสินค้ามากองเยอะๆ แล้วจุดไฟ ใครเปียกก็จะเข้าไปผึ่งตัว

        “เพิ่งนึกขึ้นได้อย่างหนึ่ง ทำไมเราไม่ติดสถานะอาชญากรกันเลยสักคน ซัดกันตั้งขนาดนั้น” มิเชลโพล่งถามหลังจากช่วยดึงคนสุดท้ายขึ้นจากน้ำ

        โทนี่กับจอร์เจียส่ายหัว ทั้งคู่ต่างไม่รู้

        “พวกเธอทั้งสามเล่นโดดลงทะเลไม่รอเสียงประกาศจากระบบเลยน่ะสิ” เกล็นตอบ เซียนเฒ่ายังคงวุ่นวายกับการทำให้เครายาวๆ ของตัวเองแห้ง “ที่ฉันตกลงมาเพราะมีการประกาศเป็นอาณาเขตโจมตีอิสระ มันเลยวุ่นวายทะเลาะกันซะขนาดนั้น มีคนโดนพวกนั้นฆ่าหลายคนเหมือนกัน แต่ทางรอดง่ายสุดคือลงทะเล”

        พอเล่าจบเซียนเฒ่าก็ขอตัวเดินดูรอบเรือ เขาอยากสำรวจความเสียหายหน่อยว่าเรือลำนี้ทนทานแค่ไหน ส่วนโทนี่บอกทั้งคู่ว่าจะไปเคาะเรียกคนมาเพิ่มจากห้องผู้โดยสาร

        “แต่คุณจอร์เจียก็สุดยอดไปเลย คุมสถานการณ์ได้เก่งขนาดนั้น” มิเชลเอ่ยชมเมื่อเหลือเพียงสองคน

        “ไม่เลยค่ะ ที่จริงฉันโดนบรรยากาศพาไป คุณมิเชลต่างหากที่ดึงฉันกลับมา” เธอกำลังเอาเข่าหักกล่องไม้เพื่อโยนเข้าเป็นเชื้อไฟ “คุณมิเชลห้ามยอมเสนอเงื่อนไขที่เสียเปรียบแบบนั้น คุณมีคนในความรับผิดชอบหลายคนนะคะ”

        มิเชลทำตาแป๋ว หมายถึงโทนี่เป็นคนในความรับผิดชอบ? แต่นั่นก็แค่คนเดียว... หรือรวมพวกบนเรือที่ช่วยจากน้ำด้วย?

        จอร์เจียเฉลยคำตอบนั้นด้วยแมกกาซีนหนึ่งเล่ม บนหน้าปกมีรูปชายหนุ่มหน้ามน ผมสีดำยาวมัดไปข้างๆ กับดวงตาคม สวมชุดนักเวท และถึงหมวกพ่อมดบังหน้าอยู่ก็ดูออกว่านั่นคือตัวเธอก่อนตัดผม

        "หนังสืออะไร ทำไมมีภาพแบบนี้ด้วย.." มิเชลอ้าปากค้าง

        "แมกกาซีนรายสัปดาห์เกี่ยวกับข่าวสารในเกมค่ะ" เธอตอบ "มีสัมภาษณ์เกี่ยวกับตัวคุณไว้ในนี้ตั้งสามหน้า ให้สัมภาษณ์โดย หัวหน้าสมาพันธ์จักรพรรดิโลกเกม"

        นั่น.. คงหมายถึงพี่มิลเลอร์ แล้วพี่ทำอะไรไปนะ.. สัมภาษณ์งั้นหรือ

        มิเชลรีบขอหนังสือเล่มนั้นมาดูไล่ตั้งแต่สารบัญ ส่วนใหญ่พูดถึงเรื่องคนดังเป็นหลัก พอเปิดถึงหน้าที่มีเรื่องของตัวเองก็แทบผงะ

        จะมีใครน่าสงสารและน่ารันทดกว่านี้อีกไหม? มิเชล รองหัวหน้าคนใหม่ประจำสมาพันธ์จักรพรรดิโลกเกม ในชีวิตจริง เขาต้องเลี้ยงเด็กถึงห้าคน! พ่อแม่ของชายหนุ่มจากไปหลายปีโดยทิ้งน้องเล็กๆ ไว้ให้เลี้ยง..

        พออ่านถึงตรงนี้มิเชลถึงกับต้องอ่านซ้ำอีกรอบเผื่อว่าเปิดผิดหน้า พ่อของเธอยังไม่ตาย และเธอก็เป็นน้องคนเล็กสุด!

        ด้วยปัญหาด้านปากท้อง ทั้งที่มีฝีมือเล่นเกมกลับต้องยอมอำลาวงการไปเกือบแปดปี ทว่า.. อุบัติเหตุไม่คาดฝันนั้นซ้ำรอยเดิม น้องทั้งห้าเสียชีวิตพร้อมกันหมด.. ดวงใจอันเข้มแข็งเป็นต้องแตกสลายเมื่อไร้ที่ยึดเหนี่ยว

        เมื่อท่านจักรพรรดิติดต่อไปและรู้เรื่องทั้งหมดจึงรีบดึงเขาออกจากภวังค์แห่งความเศร้าหมอง และเปิดโอกาสให้ชายผู้นี้กลับมาแสดงพลังอันเคยรุ่งเรืองในอดีตอีกครั้ง!


        "ดูไม่ค่อยออกเลยว่ากำลังเศร้าอยู่" จอร์เจียเอียงคอ "แต่ฉันไม่ค่อยเห็นด้วยกับเรื่องบริจาคเท่าไหร่เลยนะ"

        "บริจาค?"

        มิเชลรีบกวาดสายตาอ่านต่อ ต้นตอมันคงอยู่ในเจ้าบทความเพี้ยนๆ นี่แหละ


        อย่างน้อยเราก็คาดหวังว่าจะให้พี่ชายที่แสนดีและรักน้องผู้นี้ได้ลิ้มรสความสุขในโลกสมมุติ หากผู้เล่นใดมีจิตอนุเคราะห์ ติดต่อ ศูนย์สมาพันธ์ได้ทุกเมืองและแจ้งความจำนงค์ขอบริจาคสินทรัพย์ต่อสมาพันธ์จักรพรรดิโลกเกม ทางเรารับรองว่าเขาจะต้องมีความสุขที่สุดอย่างที่ไม่เคยหาได้จากในโลกจริง

    กรุณาเป็นกำลังใจให้กับรองหัวหน้าของเราด้วย
    จักรพรรดิ ณ จักรพรรดิโลกเกม


        มิเชลยืนตัวแข็งอยู่หลายวินาที พี่มิลเลอร์สร้างบุคคลสมมุติขึ้นมาหนึ่งคนและบังคับเอามันสวมลงบนตัวเธอดื้อๆ แถมยังเป็นละครชีวิตสุดน้ำเน่าไว้เรี่ยไรเงินอีกต่างหาก แล้วในฐานะรองหัวหน้า ควรจะพูดความจริงกับจอร์เจียหรือตามน้ำไปดีล่ะ...

        “ไม่อ่านต่อแล้วหรือคะ”

        เธอรีบยัดหนังสือคืนเจ้าของไปเลย....

        แค่นั้นก็ไม่อยากมองหนังสือเล่มนั้นให้รับรู้อะไรเพิ่มอีกแล้ว เพราะนอกจากความเป็นพี่ชายผู้รักน้องยังโดนเติมคุณสมบัติประหลาดอีกหลายอย่าง ทั้งสุภาพ อบอุ่น ขยัน มีรอยยิ้มดุจพระอาทิตย์สว่างไสว รสจูบอ่อนโยนเหมือนวานิลาที่นุ่มละมุน ก้นเป็นรูปกระจับ ไอ้ช่วงหลังๆ ชักจะยังไงๆ อยู่...

        ข้อตกลงคือการเป็นรองหัวหน้า แต่พี่ชายประหลาดดันพ่วงของแถมพิลึกพิลั่นมาอีกเพียบนี่สิ...

        ด้านโทนี่ได้ไปช่วยเคาะเรียกพวกแอบหลบอยู่ในห้องโดยสาร เด็กชายพยายามแจ้งให้รู้ว่าศึกระหว่างผู้เล่นด้วยกันจบลงแล้ว แต่หลายคนยังกลัวจึงขังตัวปิดตาย สุดท้าย พวกที่ยอมตามออกมามีแค่สิบกว่าคนเท่านั้น

        *********************************

        ระหว่างทุกคนกำลังผึ่งตัวให้แห้ง ต่างก็เริ่มสังเกตเห็นบุคคลหนึ่งแต่งตัวแปลกแยกจากชาวบ้าน เขาสวมชุดกะลาสีมีปกและร่วมผิงไฟอยู่กับบรรดาผู้เล่น ชายหนุ่มถอดหมวกออก เผยให้เห็นเส้นผมที่เรียบติดหนังหัว

        มิเชลมองสำรวจเขา เธอรู้สึกคุ้นๆ ผิวขาวซีด และใบหน้าแบบนั้น..แม้จะแต่งตัวเป็นนายกะลาสีอยู่ แต่เชื่อว่าตนต้องเคยเห็นมาก่อน

        เครื่องแบบที่เขาใส่มันเป็นแบบเดียวกับชุดของ NPC บนเรือจึงกลายเป็นจุดสนใจของทุกคนโดยเร็ว และเมื่อรู้ตัวว่าถูกมอง ชายหนุ่มก็หันมาโปรยยิ้มอย่างสุภาพพร้อมโค้งหัวให้

        “ท่านผู้โดยสาร..”

        "หมอผีโจเซ่..." เธออุทานทันทีเพราะจำเสียงนี้ได้

        เขาหันขวับมามองตามเสียง มุมปากยกเบะขึ้นสูง และยังทำหน้าเหมือนเห็นผี มิเชลจึงมั่นใจว่าใช่แน่

        "เงียบ ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ขอร้องล่ะ!"

        เธอยิ้มขำกับกระแสจิตที่เขาส่งตรงถึงสมอง โจเซ่เคยเป็นทั้งคนแนะนำผู้เล่นใหม่และรับตำแหน่งผู้คุมกฎของภารกิจก่อน มาคราวนี้เล่นบทกะลาสีหรอกหรือ แถมยังแต่งผมซะเรียบติดหนังหัว เกือบหาเค้าเดิมไม่เจอ

        "ผู้โดยสารทุกท่าน ดูเหมือนบรรยากาศจะสงบเรียบร้อยดีแล้ว ข้าคือรองกัปตันเรือลำนี้ และจะอธิบายสิ่งที่พวกท่านต้องทำเพื่อจัดการราชาสัตว์อสูร" เขาโค้งตัวลงด้วยความนอบน้อม ภาพลักษณ์หนนี้ต่างจากบทบาทเก่าอย่างเห็นได้ชัด "เราต้องการพลังเวทจากนักเวทหนึ่งร้อยคนเพื่อสยบเจ้าอสูรกายแห่งท้องทะเล"

        โจเซ่ล้วงเอาแหปลาที่พับเก็บไว้ออกมาคลี่ แล้วชี้ให้ดูส่วนที่เป็นปมสีแดงเล็ก หากมองดีๆ ข้างในมีลูกแก้วใสแจ๋วหนึ่งลูกแทรกอยู่

        "เห็นปมเชือกสีแดงอันนี้ใช่ไหมครับ" โจเซ่ยื่นให้ทุกคนดู "ทั้งหมดมีหนึ่งร้อยปม พอใช้แหคลุมตัวปลากระเบนยักษ์ได้เรียบร้อย ก็ต้องการนักเวทหนึ่งร้อยคนจับไว้พร้อมกันเพื่อถ่ายทอดพลังเวทเข้าแห กรุณาเผื่อพลังเวทมนตร์ไว้ยี่สิบเปอร์เซ็นต์จากจำนวนเต็มด้วย"

        ทุกคนเงียบกริบ เขาพูดเหมือนการเอาแหไปห่อตัวสัตว์ประหลาดตัวเท่าเรือนั้นง่ายมาก

        “หลังจากที่เติมพลังเวทให้แหจนเต็ม มันจะออกฤทธิ์ชาหนึ่งนาที เวลานั้นคือช่วงที่ท่านผู้โดยสารสามารถแทงอาวุธลงไปในผิวหนังมันได้ กรุณาใช้เวลานั้นให้เป็นประโยชน์”

        โจเซ่ หรือรองกัปตันเรือวางแหปลาไว้กับพื้น แล้วเดินแทรกฝูงผู้เล่นเข้าห้องโดยสารหายไป

        "เฮ้ นายชื่ออะไร.." จู่ๆ มือทวนฝ่ายเกราะแดงที่เคยสู้กับมิเชลสะกิดเรียกแล้วส่งมือมาให้ เธอจำเขาได้แม่นกว่าคนอื่นเพราะคิ้วสีม่วงเข้ม แต่ผมกลับเป็นสีขาว เรียกว่าขัดกันอย่างแรง

        "มิเชล" เธอส่งมือไปจับตอบ "นายล่ะ"    

        "ฉันแรนดัล เรื่องที่เราสู้กันเมื่อกี้ลืมๆ ไปซะนะ ตอนนี้มาร่วมมือกัน"

        "ได้สิ" เธอยิ้มรับ

        "ทุกคนฟังฉัน!"

        มิเชลหันไปมองตามเสียง คนที่พยายามตบมือตะโกนเรียกชาวบ้านคือชายอาชีพนักรบคลั่ง ผู้นำชั่วคราวจากกลุ่มนักสู้ใหม่ของเกราะแดง เขาถูกขนาบข้างด้วยพรรคพวกที่เหลืออีกสิบเอ็ดคน ส่วนแรนดัลแอบหนีมายืนข้างหลังเธอหน้าตาเฉย

        "ฉันไม่ชอบเด่นน่ะ" มือทวนคิ้วม่วงกระซิบบอกมิเชลเสียงเบา

        "ฉันชื่อเวห์น และคนพวกนี้คือทีมของฉัน" ผู้นำชั่วคราวประกาศชื่อตัวเอง "พวกเรามีฝีมือพอ ดังนั้นขอให้ฟังและเชื่อใจ"

        หลังประกาศจบก็เกิดความเงียบขึ้นมาทันที ทุกคนจ้องมองเวห์น เขามีหุ่นล่ำบึ้ก แถมยังสูงเป็นยักษ์ปักหลั่น ดังนั้นเสียงพูดจึงใหญ่และทรงพลังตามไปด้วย

        "เราจะจัดกลุ่ม นักเวททุกคนออกมายืนตรงนี้ ส่วนนักรบยืนแถวข้างๆ" เขาสั่งรวมพล แต่ไม่มีใครขยับ ทุกคนยืนนิ่ง

        มิเชลเกือบได้ออกไปหัวโด่อยู่คนเดียวถ้าหากโทนี่ไม่ดึงชายเสื้อเธอไว้

        "อย่าเพิ่งสิ เห็นไหมว่าไม่มีใครออกไปยืนตามที่เขาบอก" เด็กชายรั้งเพื่อน "ฉันรู้สึกไม่ชอบหมอนั่นเท่าไหร่"

        "แต่.. เวลาจะไม่มีแล้วนะ" มิเชลยกนาฬิกาขึ้นโชว์ เหลือแค่ยี่สิบนาทีก่อนเจ้าปลากระเบนยักษ์นั่นจะตื่นจากการจำศีล

        "ทำตามโทนี่ถูกแล้ว ดูบรรยากาศคนข้างๆ สิคะ" จอร์เจียช่วยเสริม

        มิเชลมองหน้าคนอื่นและเริ่มเข้าใจในความหมาย บรรดาคนตกจากเรือทั้งหลายคือกลุ่มที่แพ้จากการตะลุมบอน ส่วนนายเวห์นกับพรรคพวกอยู่รอดเป็นทีมสุดท้าย ก่อนนี้คงได้ต่อยกันไปหลายยกอยู่ จะโดนเกลียดก็ไม่น่าแปลกอะไร

        "ไอ้ท่าทีแบบนั้นมันอะไร พวกเราจะจัดการกันเอง!" หนึ่งในฝูงชนโวยวายขึ้นกลางป้อง

        "ฉันจำได้ นายผลักฉันตกเรือ" อีกเสียงเสริม คราวนี้ดังมาจากคนล่ะฝั่ง

        “ใครให้นายมีสิทธิมาสั่งคนอื่น!”

        บางกลุ่มกรูทยอยกันเข้าไปหาเรื่องเพราะตั้งใจเอาคืน แต่พรรคพวกเขาไม่ยอมให้ผ่านทาง การต่อสู้ระหว่างผู้เล่นจึงบังเกิดอีกครั้ง ใครอยู่ไกลก็ขว้างปาข้าวของกับลูกบอลเวท คนไหนใกล้ก็ฟาดอาวุธใส่ตรงๆ  ความชุลมุนยิ่งวุ่นหนักข้อขึ้นเมื่อเวห์นตอบโต้กลับ สักพักกลายเป็นจลาจลขนาดย่อม แรนดัลทำท่ากระอักกระอ่วนเล็กน้อยก่อนตัดสินใจช่วยเสริมกำลังให้เวห์น

        เขาเริ่มยกทวนฟาดคนที่เข้าไปโจมตีหัวหน้าชั่วคราวของตน ทว่า โดนมิเชลชิงคว้าข้อมือเอาไว้

        "เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งเข้าไปเพิ่มความวุ่นวายเลย ช่วยกันหยุดดีกว่า"

        "ช่วยไม่ได้ นั่นมันพวกเดียวกับฉัน" มือทวนสะบัดแขนเธอทิ้งแล้วเข้าร่วมทีมตะลุมบอนกับกลุ่มเกราะแดงทั้งหมด “โทษทีนะ! เดี๋ยวเราค่อยมาเป็นเพื่อนกันใหม่ละกัน!”

        พวกเกราะแดงค่อนข้างเสียเปรียบด้วยจำนวน มิเชลไม่รู้ว่าก่อนหน้านั้นเขาสามารถรอดเป็นทีมสุดท้ายบนเรือได้อย่างไร แต่เวลานี้เห็นกันชัดๆ ว่ากำลังโดนรุมจากผู้เล่นราวห้าสิบคน ส่วนพวกที่เหลือแค่ยืนดูอยู่วงนอก

        "เอาไงดีล่ะ" มือโทนี่วางอยู่บนด้ามดาบ เขาเตรียมพร้อมแล้ว "ที่จริงก็แอบสะใจอยู่นิดๆ แต่แบบนี้ไม่ดีมั้ง"

        “ฉันจะลองทำอะไรดู” เกล็นก้าวออกมา เขาใช้ทักษะเรียกลูกบอล แต่คราวนี้เป็นสีส้ม แดง เขียว  ม่วงแสบตามาแต่ไกล เซียนเฒ่าคุมให้ไปลอยอยู่เหนือหัวเวห์น ศูนย์กลางแห่งความชุลมุน แล้วสร้างระเบิดแสงที่กินพื้นที่กว้าง

        มิเชลรีบหันหัวหนีเพราะมันแยงตาอย่างแรง ต้องรอสักพักจนเจ้าก้อนแสงสุดแสบสันนั่นเลือนหายไป แต่สีพวกนั้นยังติดอยู่บนจอตา เธอจึงยกมือขึ้นขยี้อีกหลายครั้ง

        เซียนแก่ให้ลูกบอลหลากสีล้อมอยู่รอบตัวเพื่อประกาศว่าตนเป็นเจ้าของก้อนแสง และมันได้ผล ทุกคนหยุดสู้พร้อมหันมามองเขา ไม่มีใครโกรธอะไร มีแต่งงซะมากกว่า

        “ฟังคนแก่หน่อย ไม่ว่าใครจะเป็นผู้นำ เราก็ต้องใช้นักเวทหนึ่งร้อยคนเพื่อถ่ายพลังเข้าแห กับนักรบไว้ฆ่ามันไม่ใช่หรือ หยุดเถียงกันก่อนเหอะน่า” เกล็นยกมือยกไม้เพื่อปราม “หลายคนในที่นี้มาเป็นกลุ่ม ส่งหัวหน้าแต่ละกลุ่มออกมาวางแผนร่วมกันก็จบแล้ว ใครมาเดี่ยวหรือกลุ่มเล็กก็ไปหากลุ่มอยู่ซะ”

        “ขอพูดอะไรหน่อยครับ” มิเชลออกมายืนข้างๆ เกล็น แต่ละสายตาเปลี่ยนมามองเธอแทน “คนที่ไม่อยู่บนเรือเมื่อกี้คงไม่ได้ยินเสียงประกาศ ตอนนี้เรือนิ่งเพราะราชาสัตว์อสูรจำศีล แต่อีกยี่สิบนาทีมันจะตื่นแล้ว ถ้าจับกลุ่มต้องภายในสิบนาทีนี้เท่านั้น”

        “ไม่ดีแล้ว... จับกลุ่มสิบนาที ประชุมสิบนาที ไม่มีทางทำได้แน่ๆ” เกล็นคิ้วขมวด “เวลาเหลือแค่นี้ เราต้องการผู้นำตัดสินใจแค่คนเดียวเท่านั้น”

        “งั้นฉันเลือกกลุ่มพวกนายเป็นผู้นำ”

        มิเชล จอร์เจีย โทนี่ชะเง้อมองหาต้นตอเสียง ผู้พูดเป็นนักเวทสาวผมทองถักเปียเดี่ยว

        “เออ เห็นด้วย พวกนายต้องทำให้เรารอดไปถึงอีกเมืองได้แน่ๆ”

        ทั้งสามหันคอไปมองอีกทาง ครั้งนี้คนพูดคือนักรบเผ่าคนแคระร่างบึกบึนแต่ตัวเตี้ย

        “พูดได้ถูกต้อง! ถ้าพวกนายไม่ช่วยพวกเราไว้คงกลับเมืองกันไปหมดแล้ว ถ้าไม่เอาพวกนายแล้วจะเอาใคร คนอื่นคงปล่อยเราตายแน่นอน!”

        “ฉันก็เห็นด้วย”

        “ไม่ต้องเลือกแล้วหัวหน้า พวกนายตกลงอะไรมา เราก็ฟังหมด ขอแค่พาพวกเราจบภารกิจนี้ก็พอ”

        เสียงโหวตกลายเป็นเอกฉันท์ อำนาจและความรับผิดชอบถูกผลักมาวางไว้ที่พวกเขา โทนี่เห็นมันเป็นภาระ เกล็นกับจอร์เจียคิดว่าจะได้จัดการอะไรง่ายขึ้น ส่วนมิเชลมีความรู้สึกปนเปอยู่ในใจ

        มันเป็นภาระชิ้นโต เธอไม่เคยรับผิดชอบหรือโดนฝากความหวังจากคนจำนวนขนาดนี้ ถ้าพลาดแล้วจะต้องรู้สึกแย่มากแค่ไหนกัน.. ทว่า พวกเขาบอกกับเธอว่าขอให้ช่วยเป็นผู้นำพร้อมสายตาที่เชื่อมั่น มิเชลจึงอยากทำ การทำเพื่อคนอื่นอาจเหนื่อยกว่าปกติ แต่ใจกลับอิ่มเอิบและพองโต


















    ขอความเห็นจากคนอ่านหน่อยครับว่า

    ใส่รูปตัวละครแบบเล็กๆ ยังงี้หลังจบแต่ละตอน ที่มีตัวละครปรากฏ
    มันจะทำลายจินตนาการรึเปล่า?
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×