ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พาราเรล ออนไลน์ [ online ]

    ลำดับตอนที่ #13 : ตอนที่ 9 ภารกิจพิเศษแห่งท้องทะเล

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 982
      3
      13 ม.ค. 56

    ตอนที่ 9 ภารกิจพิเศษแห่งท้องทะเล

        จักรพรรดิหน้าตายขอคุยกับมิเชลสองคน จั๊งค์สงสัยว่าทำไมต้องมีความลับระหว่างกัน แต่ยอมเดินออกไปให้ ขณะนั้น เด็กหญิงกำลังอยู่ในอารมณ์เลือกไม่ถูกว่าจะหัวเราะหรือตะโกนโหวกเหวกดี ความบังเอิญขนาดนี้ในโลกก็มีด้วย

        ผู้เป็นพี่ชายขยับดาบเล่มยักษ์ข้างเอวสองสามทีก่อนเปิดปากพูด

        “พี่เอง”

        เธอทำหน้าเหวอ  ทีแรกตั้งใจจะทำเนียนไม่รู้จักเพราะวางตัวด้วยลำบาก แม้เป็นพี่น้องกันก็ไม่เคยนึกสนิทใจกับคนอย่างเขาเลย ตั้งแต่พี่มิลเลอร์ออกจากบ้านไปอยู่หอตอนเข้ามหาวิทยาลัย มิเชลเลยค่อยหายใจได้ทั่วท้องขึ้น เธอไม่ต้องทนอึดอัดเวลาสัมผัสถึงแรงกระเทือนบนพื้นยามเขาเดินผ่านอีก

        มิเชลไม่ได้ยินและมองไม่เห็น วิธีสื่อสารเพียงหนึ่งเดียวคือการสัมผัสทางกาย ทว่า... พี่กลับเลี่ยงที่จะเข้าใกล้ตลอดเวลา เมื่อลองพูดเรื่องนี้กับพ่อ พ่อมักตอบว่าเพราะพี่ไม่รู้ภาษามือ

        สมัยยังเล็ก...เธอเคยเชื่อคำพูดนั้น แต่ตอนนี้โตแล้วจึงรู้ว่าไม่ใช่ นอกจากภาษามือ ยังมีภาษากายอย่างเช่นการกอดหรือหอมแก้มตามแบบฉบับคนในครอบครัวเดียวกันที่พึงกระทำอยู่

        การอาศัยในบ้านหลังเดียวกับคนที่ปฏิบัติต่อเธอเสมือนไม่มีตัวตนเป็นเรื่องน่าอึดอัดมาก ขนาดโทนี่ยังพอจะได้พูดคุยกับพี่มิลเลอร์บ้าง แม้เขาบอกว่าครั้งล่าสุดนั่นมันหลายปีมาแล้วก็ตามที... มิเชลรู้สึกถูกพี่ชายจงใจเมินอย่างชัดเจน

        “ฉันรู้เรื่องเธอกับโทนี่จากพ่อแล้ว พอจั๊งค์บอกว่ามีเพื่อนใหม่ชื่อมิเชลกับโทนี่ ก็เลยรู้สึกว่าน่าจะใช่” เขาอธิบายเสียงเรียบ “ทีแรกตั้งใจเพิ่มเลเวลอีกสักหน่อยก่อนมาหาเธอ ไม่นึกเหมือนกันว่าจะได้เจอกันเร็วขนาดนี้”

        “พี่ตั้งใจจะมาหามิเชล?..” เธอรู้สึกสับสน “แล้วทำไมพี่ถึงรู้ว่า... นี่คือมิเชล?”

        เธอสงสัย เพราะตอนนี้อยู่ในร่างหนุ่มผมยาว ถึงดูคล้ายๆ มิเชลตัวจริงแต่ก็ไม่มีทางที่จะเชื่อมโยงผู้หญิงผู้ชายมาเป็นคนเดียวกันได้แน่นอน

        “พ่อบอกทั้งหมดนั่นแหละ พ่อเข้าถึงข้อมูลไอดีเธอได้้” ชายหนุ่มก้มลงกดกำไล กรอบสี่เหลี่ยมเด้งขึ้นตรงหน้าเขา พี่มิลเลอร์เอานิ้วจิ้มโน่นนี่หลายครั้ง “เธอเล่นเกมไม่เป็นเวลา ตอนนี้พ่อสั่งให้มาคุมเธอ ฉันเองก็มีเงื่อนไขของฉัน แต่ถ้าไม่ยอมรับเงื่อนไข ก็จะบอกพ่อว่าน้องไม่เชื่อฟังแล้วให้พ่อถอนเกมออกจากเครื่อง”

        กรอบหน้าต่างสี่เหลี่ยมเด้งขึ้นทางฝั่งมิเชลบ้าง

        “จักรพรรดิยื่นข้อเสนอให้เข้าร่วมสมาพันธ์จักรพรรดิโลกเกม”

        “กดรับสิ”

        มิเชลยืนค้างอยู่หลายวิก่อนยอมจิ้มปุ่มตกลง ที่จริง  เพราะเคยถูกเมินมาตลอด เธอจึงตั้งอคติไว้สูงลิ่ว และสงวนระยะห่างไว้พอสมควร

        พอยอมกดตอบรับ คราวนี้เสียงของระบบดังขึ้นตามมาทันที

        “จักรพรรดิแต่งตั้งมิเชลเป็นรองหัวหน้าสมาพันธ์ลำดับที่ 1”

        “นี่คือเงื่อนไขหรือคะ?” เธอถาม

        “อือฮึ”

        “แล้ว รองหัวหน้าต้องทำอะไร?”

        “แค่เดินเท่ๆ ก็พอ เป็นถึงรองหัวหน้าสมาพันธ์ของจักรพรรดิอย่างฉันเชียวนะ ฉันแค่ต้องการคนหุ่นดี หน้าตาดีมาเดินเฉิดฉายเล่นๆ เท่านั้น”

        “หมายความว่าไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น? แค่ทำตัวไปตามปกติ?”

        “เป็นเงื่อนไขที่ง่ายดีไหมล่ะ? แถมมี...”

        เขาพูดยังไม่ทันจบประโยค จั๊งค์ก็พุ่งพรวดเข้ามาในห้องพร้อมเรเชล ทั้งคู่จ้องมิเชลทีนึง แล้วหันไปมองพี่มิลเลอร์ทีนึง จากนั้นโจรหนุ่มโพล่งคำถามขึ้นก่อนคนแรก

        “นายคิดจะใช้เจ้าหมอนี่เป็นกันชน!?” จั๊งค์หันไปเขย่าไหล่มิเชล “แน่ใจนะ ตำแหน่งรองหัวหน้าเวลานี้เนี่ยแย่มาก นายจะไม่ได้เล่นเกมแบบปกติแน่นอน”

        “จริงด้วย! ถ้าขึ้นทวีปใหม่เมื่อไหร่ พวกมันต้องเพ่งเล็งแน่ๆ” เรเชลเสริม “พี่มิเชลอาจจะถึงกับเข้าเมืองไม่ได้เลย”

        “คิดดีๆ พวกเกราะแดงมันไม่อยากให้คนลุกขึ้นต่อต้าน โดยเฉพาะจักรพรรดิหน้าตาย ซึ่งก็คือไอ้หมอนี่!” จั๊งค์ยกนิ้วชี้พี่ชายของเธอ “แค่จ่ายเงินให้ศาลากลาง 100เหรียญ ก็ขอรายชื่อของหัวหน้าสมาพันธ์กับรองหัวหน้าได้ทั้งเกมแล้ว ไอ้บ้าหน้าตายเนี่ยยังไงก็อยู่ไม่เป็นสุขแน่นอน แต่ตำแหน่งรองหัวหน้าหมายความว่าจะพ่วงนายเข้าไปด้วยนะเฟ้ย”

        “พวกเราตกลงกันเรียบร้อยแล้ว” พี่มิลเลอร์คั่นกลาง เขาฉีกยิ้มแบบเทพบุตรให้ “มิเชลยินดีให้ความร่วมมือด้วย”

        “เฮ้ย จริงง่ะ นายเข้าใจจริงๆ นะ...” จั๊งค์ทำตาโตใส่เธอ “มันก็ดีที่มีคนช่วยเบนความสนใจอีกคน ไม่งั้นไอ้บ้าที่อ้อยอิ่งอยู่นานกว่าจะเข้ามาเล่นเกมโดนรุมตายแน่ เพียงแต่นายไม่เกี่ยวอะไรด้วยเลย..”

        มิเชลมองพี่ชายตนด้วยความรู้สึกประหลาด ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ที่ผ่านมาเหมือนคนแปลกหน้าแต่ไม่นึกว่าจะทำกันแบบนี้... สักพัก โทนี่เดินตามหลังจั๊งค์พร้อมกับส่งยิ้มเจื่อนๆ ให้ แล้วปิดประตู เขาขยิบตาใส่เธอหนึ่งที

        หลังจากนั้น พี่มิลเลอร์ขอให้จั๊งค์กับเรเชลกลับไปรอที่โรงแรมก่อน เขาอ้างว่าอยากทำความรู้จักสมาชิกใหม่ พอทั้งคู่หายตัว เพื่อนรักของเธอก็ปลดปล่อยอาการตื่นเต้นออกมาเต็มพิกัด

        “สุดยอดเลย! ไม่นึกว่าจักรพรรดิหน้าตายที่เขาพูดถึงคือพี่นี่เอง!” โทนี่โพล่งทันที เท้าสองข้างกระโดดเขย่งขึ้นลงเพราะไม่รู้จะเอาความตื่นเต้นไปพักไว้ที่ไหน

        “อืม ขอบใจ”

        “โทนี่รู้ด้วยว่าเป็นพี่... และมิเชลก็ไม่เคยรู้ว่าทั้งคู่สนิทกันขนาดนี้” มิเชลรู้สึกงอนนิดหน่อย เพราะเพื่อนซี้ที่สุดดันไปสนิทกับพี่ชายที่เธอไม่ชอบหน้า

        “สนิท? ไม่หรอก คุยกันครั้งล่าสุดก็เมื่อสี่ปีก่อนโน้นตอนไปบ้านเธอ” โทนี่แย้ง “แต่พี่มิลเลอร์เป็นฝ่ายจำหน้าฉันได้ก่อน เขาบอกว่าหน้าฉันไม่เคยเปลี่ยน... นี่.. ตาฉันมองไม่เห็นนะ แค่เสียงอย่างเดียวฉันนึกไม่ออกหรอกว่าเป็นพี่ชายเธอ”

        "เรื่องคุยเล่นพักไว้ก่อน” ชายหนุ่มในชุดเกราะอัศวินยกมือขวางบทสนทนาของทั้งสอง เขาพูดโดยเก๊กเสียงหล่อเต็มที่ “มิเชล..มีคนรู้ว่าเธอเป็นเด็กผู้หญิงชั้นม.1 บ้างหรือเปล่า"

        "ไม่น่ามี.. เพราะไม่เคยพูด"

        "แต่แน่ใจสินะว่าไม่มีคนรู้เรื่องที่เธอเป็นเด็กอายุสิบสาม"

        "คิดว่า.." พอพยายามนึกย้อน แทบทุกคนที่รู้จักในเกมปฏิบัติกับมิเชลเหมือนอายุเท่ากันหมด.. เด็กสุดก็เรเชลที่อยู่ม.4 แต่เขายังเรียกเธอเป็นพี่ด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงตอบไปว่า 'แน่ใจ'

        "ดี ต่อไปนี้ให้เป็นผู้ชายอายุ20 ถ้ามีใครถามก็บอกไปแบบนั้น... สมาพันธ์ของคนที่ทั้งหล่อและสมบูรณ์แบบอย่างฉันไม่ต้องการเด็กผู้หญิงเป็นรองหัวหน้า" พี่มิลเลอร์สะบัดชายผ้าคลุมหนึ่งครั้ง แล้วจับคางเธอเชิดขึ้น "เธอในสภาพนี้ก็หน้าตาดีใช้ได้ เราจะใช้มันเป็นจุดขาย.."

        คนเป็นน้องสาวถึงกับอึ้ง เขาเดินมาลูบคลำเสื้อคลุมพ่อมดของเธอ พลางใช้มือดึงปีกหมวกทรงแหลมไปข้างหลัง พี่จงใจจะเปิดให้เห็นหน้ามากกว่าเดิม

        "พ่อมด.. ไม่เลว ภาพลักษณ์ตัดกับฉันดี.. ใช้ได้ๆ.. ตัวสูง แต่ไม่ผอมบางจนเกินไป... เห็นเรวินบอกว่าฝีมือดีด้วยนี่ ขอดูอาวุธหน่อย"

        เธอส่งกิ่งไม้ให้ ตอนนี้มันเลเวลสิบหกแล้ว อีกไม่นานจะใช้ทักษะธาตุดินได้ พอเห็นอาวุธของมิเชล พี่ตัวแสบก็ฉีกยิ้มกว้าง ตาเบิกโพลง

        "เยี่ยมยอด กิ่งไม้! โอเคล่ะ ต่อไปนี้.. เธอคือท่านชายผู้อบอุ่นอ่อนโยนและรักธรรมชาติ!"

        "พี่กำลังพูดถึงเรื่องอะไร...."

        "รองหัวหน้าฉันทุกคนต้องมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว... จั๊งค์คือจอมกะล่อนร้อยเล่ห์ ส่วน เรวินเป็นนักบวชพยาบาท ฉันคิดให้ทุกคนเองเลย" เขายิ้มแป้น หน้าตาท่าทางภูมิใจมาก "อย่าลืมว่า... เธอต้องเป็นหนุ่มวัยฉกรรจ์ อายุ20 บุคลิกอ่อนโยนและอบอุ่น! ถ้าออกนอกลู่นอกรอยจากเส้นทางนี้เมื่อไหร่จะบอกพ่อให้เธอเลิกเล่นเกมทันที!"

        โทนี่กลั้นหัวเราะไม่อยู่ เขาจงใจหลุดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นเป็นคำว่า 'คุณชายมิเชล' มิเชลรีบใช้ดวงตาสีดำสนิทค้อนเพื่อน เธออยากได้ไอ้เจ้าฉายานี้ซะเมื่อไหร่กันล่ะ..

        "คงไม่ใช่ว่าจักรพรรดิหน้าตายพี่ก็ตั้งให้ตัวเองนะ..."

        "รู้ได้ไงเนี่ย!! สมกับเป็นรองหัวหน้าของฉันจริงๆ ด้วย! สุดยอดจริงๆ! ท่านชายผู้แสนอบอุ่น!"

        โทนี่หัวเราะดังกว่าเดิม ส่วนมิเชลพูดไม่ออกเลยทีเดียว

        เธอรู้สึกว่าเถียงกับพี่ชายตัวเองไม่รู้เรื่องสักนิด ถัดจากนั้น มิเชลกับโทนี่โดนบังคับให้ออกจากเกมเพื่อไปกินข้าวเย็น เด็กหญิงรีบจัดการยัดใส่ปากด้วยความเร็วสูงก่อนสวมหมวกเข้าเล่นเกมอีกครั้ง แล้วพบว่าพี่มิลเลอร์ยังคงรออยู่ในห้องประชุม เขานั่งไขว่ห้างบนโซฟาสีครีม แขนสองข้างวางพาดพนักพิง และกำลังวางท่าเชิดหน้าอย่างคนขี้เต๊ะทั่วไป...

        "เงยหน้าค้างอยู่แบบนั้นไม่เมื่อยคอเหรอ.."

        "คนเป็นจักรพรรดิต้องเชิดคอเพื่อจะได้มองคนอื่นจากที่สูงกว่าเสมอ" พี่มิลเลอร์เชิดหน้าขึ้นสูงกว่าเดิม "ไม่ต้องห่วง สำหรับท่านชายผู้แสนอบอุ่นแค่ยิ้มอย่างอบอุ่นก็พอแล้ว"

        "ตามใจเถอะ"

        มิเชลนึกเสียใจที่พูดคำนั้นออกไป เพราะอีกสิบวินาทีถัดมา เธอต้องฝึกยิ้มอย่างอบอุ่นอยู่ร่วมสามชั่วโมง ปากทั้งเกร็งและเมื่อย โทนี่ก็นั่งหาวรอจนหลับ กว่าพี่มิลเลอร์จะยอมปล่อยตัวออกมาเรียกว่าแทบหมดแรง... เหนื่อยใจนี่มันแย่กว่าเหนื่อยกายหลายเท่า...

        "จะไม่ขอยิ้มไปอีกสามวันล่ะนะ"

        โทนี่ยังคงขำต่อไป

        ทั้งคู่ล้วงกระเป๋านับเงิน มิเชลมี 7220 เหรียญ ส่วนโทนี่มี 5203 เหรียญ เธอเรียกจั๊งค์ผ่านกำไลเพื่อขอให้ช่วยสอนวิธีขายของเพราะอยากเคลียร์ดอกบัวสีดำทิ้ง พอเก็บไว้นานๆ ก็เริ่มรู้สึกว่ามันเข้ามาเกะกะเนื้อที่ในเป้โดยเปล่าประโยชน์

        โจรหนุ่มตอบกลับมาเป็นเสียงงัวเงียว่าให้เดินหาร้านของชำ อยากรู้อะไรคุยกับคนขายเอาเอง พอพูดจบก็รีบกดปิดช่องการสื่อสารทันที มิเชลเดาว่าเขาคงนอนอยู่ในโรงแรม แต่เธอส่งข้อความไปปลุกจนตื่น

        พวกเขามุ่งไปยังร้านของชำ พอก้าวขาเข้าข้างใน คนขายก็เดินออกมาต้อนรับอย่างรู้งาน ลูกค้าที่แวะเวียนมาส่วนใหญ่มักจะขอให้สอนวิธีขายของทั้งสิ้น

        "เบาะ?" มิเชลรับเบาะรองนั่งสีเขียวจากอาเจ๊เจ้าของร้าน เธอเป็น NPC เผ่าคนแคระ ร่างตุ้ยนุ้ย มีแก้มสีชมพูอ่อน ใครเห็นก็ต้องเกิดความรู้สึกอยากเอานิ้วจิ้มให้มันบุ๋มลงดูสักที

        "ใช่แล้วจ้ารูปหล่อ คนขายของคงไม่ทนยืนกันทั้งวันหรอกเนอะ" เธอตอบเสียงใส "อย่าได้คิดว่าจะไปนั่งบนพื้นหินแข็งๆ เชียว มันแข็งทิ่มก้นซะระบมน่าดูเลยล่ะ ซื้อไปเถอะ แค่พันเดียวเอง! แลกกับความสบายแล้วคุ้มมาก!"

        ทั้งคู่จึงตกลงซื้อกันคนละใบ ถัดจากนั้น มิเชลกับโทนี่ได้ชั้นขายของเล็กมาอีกคนละชุด มันเป็นชั้นวางของเตี้ยๆ  มีแผ่นไม้กั้นแบ่งเป็นสามช่องให้ใส่สินค้าสามประเภท ถ้าเป็นสินค้าประเภทเดียวกัน จะสามารถยัดลงช่องเดียวกันมากสุดได้ยี่สิบชิ้น

        พอได้ของเรียบร้อย พวกเขาก็เดินมายังท่าเรือ สถานที่มีการขายเกิดขึ้นมากสุดในเมือง มิเชลกับโทนี่พยายามเดินฝ่าฝูงพ่อค้าแม่ค้านับร้อยเพื่อหาตำแหน่งว่างๆ แต่บริเวณดีๆ ดันโดนจับจองกันไปหมดแล้ว สุดท้ายเลยได้พื้นที่ๆ เกือบหลุดสายตาคน

        มิเชลใส่ดอกบัวลงไปหมดทุกช่องแล้วนั่งรอ ส่วนโทนี่เอาหมวกมาวาง ระบบซื้อขายเป็นแบบอัติโนมัติ ถ้าหยิบของแล้วพาสินค้าออกห่างจากร้านเกินระยะห้าเมตร เงินจะโอนจากกระเป๋าลูกค้าเข้ากระเป๋าเธอทันที ทำให้บรรดาพ่อค้าแม่ค้าไม่ต้องตั้งสมาธิเฝ้าร้านทั้งวัน

        "ตั้งราคาเท่าไหร่ดีล่ะ?" เธอหันไปถามเพื่อน

        "เธอบอกว่ามันเข้าไปเอายาก ก็เอาแพงๆ เลย"

        "แล้วต้องแพงเท่าไหร่ถึงจะดี? มิเชลใช้เวลาประมาณครึ่งวันเข้าไปเอาออกมา ครึ่งวันนี่ถ้าสู้กับสัตว์อสูรจะได้เงินประมาณ 500เหรียญ"

        "งั้นก็เอาสักสองเท่า เพราะเธอเข้าไปคนเดียวในนั้นก็ไม่รอด แถมยังเสี่ยงตายอีก"

        มิเชลเลือกตั้งราคาตามที่โทนี่บอก ตอนแรกสุด ไม่มีใครสนใจเลย ทั้งคู่ดูกลมกลืนไปกับพ่อค้าแม่ค้ามากมายเต็มท่าเรือ แต่พอมีคนเริ่มสังเกตเห็นดอกบัวสีดำ เขาก็ทำตาโตแล้วเหมาหมดเท่าที่เงินมี

        เธอตกใจที่เงินไหลเข้ามาพรวดเดียว มิเชลขายหมดภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง สงสัยจะตั้งราคาไว้ถูกเกินไป... หลังจากนั้น เด็กหญิงค่อยได้ยินเอาเองทีหลังว่า พวกจั๊งค์เอาไปปล่อยดอกละสามพัน ส่วนของเธอน่ะพันเดียว น่าเสียดายชะมัด

        ด้านโทนี่มีกิจการรุ่งเรืองไม่แพ้กัน หมวกของเขาขายดีมาก พอวางอะไรลงไปก็มีคนหยิบไปตลอด เด็กชายเลยลองเพิ่มราคาขึ้นอีกหน่อยแต่ยังขายได้อยู่ดี

        ผ่านไปได้สามชั่วโมงของก็หมด หลังจากกันเงินค่าตั๋วเรือออกมา ส่วนที่เหลือเท่ากับเป็นกำไรไว้เพื่อการช็อป มิเชลรีบร้องจะซื้อกระเป๋าใหม่เพราะเป้ใบเก่าความจุชักจะไม่พอเสียแล้ว ส่วนโทนี่อยากถือโล่เจ๋งๆ บ้าง

        มิเชลเลือกกระเป๋าแพงสุดในร้าน มันเป็นเป้ที่จุของได้หนึ่งพันช่อง โทนี่เองก็ซื้อใบเดียวกัน นอกจากนั้นทั้งคู่ยังตุนน้ำยาฟื้นพลังขนาดกลางไว้คนละห้าร้อยขวด แล้วเติมกับข้าวปิ่นโตไปจนเต็มทุกกล่องถนอมอาหารที่มี

        “ไม่รู้บนเรือจะมีของกินรึเปล่า เติมให้เต็มไว้ก่อน” โทนี่บอกเธอ “แค่หกกล่องไม่พอหรอก ซื้อเพิ่มอีกสักเท่านึงสิ”

        “จ้า” มิเชลตอบเสียงเอื่อย เรื่องอาหารการกินเธอมักผลักให้เป็นภาระโทนี่ผู้รอบคอบเสมอ

        และนึกไม่ถึงว่าตอนที่กำลังจะซื้อตั๋วเรือ ใครบางคนก็ดันโผล่หน้าขึ้นมาดื้อๆ ชายหนุ่มผมบลอนด์ตาสีฟ้า ผู้มีหน้าตาหล่อแบบสมมาตรค่อยๆ ก้าวเดินออกจากเงามืด เหมือนว่าเขายืนหลบอยู่ใกล้ๆ พลางจงใจแอบดูอยู่นานแล้ว เธอรู้สึกว่าพฤติกรรมของพี่มิลเลอร์ชักเข้าใจยากขึ้นไปเรื่อยๆ

        “ทำอะไรคะ” เธอกลั้นใจถาม

        “ตรวจสอบว่ารองหัวหน้าของฉันทำตามข้อตกลงรึเปล่า...”

        “แล้วทำไมพี่ไม่ออกมายืนดูใกล้ๆ ไปเลยล่ะ”

        “ถ้าไม่แอบดูคงไม่รู้หรอกว่าเธอไม่ยิ้มแบบอบอุ่นเลย! แล้วก็คำว่า คะ นั่นอีก!!!” เขายกนิ้วชี้หน้า “ไหน...? ชายหนุ่มอายุ 20 ปีผู้มีรอยยิ้มอย่างอบอุ่นและอ่อนโยนหายไปไหน!!!”

        “ก็เราคุยกันเองแค่สามคนนี่คะ” เธอตอบอย่างเหนื่อยใจ “จะให้เกร็งเป็นแบบที่พี่บอกตลอดเวลาเหนื่อยแย่”

        “ใช้ไม่ได้...​จะไปบอกพ่อให้ระงับไอดีของเธอซะถ้าขืนเป็นแบบนี้”

        มิลเลอร์แสดงอาการฟึดฟัดเตรียมกลับโรงแรม พลางโวยวายว่าจะรีบไปล็อคเอาท์และโทรหาพ่อให้เร็วที่สุด มิเชลจึงต้องแจ้นตามแล้วโดดเกาะแขน อ้าปากร้องขออย่าบอกพ่อ โทนี่ก็เริ่มเห็นท่าไม่ดีเลยออกมาช่วยขวาง เขาพยายามเสนอให้พี่น้องคุยกันดีๆ อีกครั้ง

        “เรื่องแบบนี้พลาดกันได้นะครับ” เด็กชายเชื้อสายจีนยืนกางมือ กั้นไม่ให้พี่มิลเลอร์เดินต่อ

        “หืม... ก็มีตัวอย่างให้ดูอยู่ใกล้ตัวนี่” ชายหนุ่มกระเดาะลิ้น แล้วจับไหล่โทนี่หันมาทางเธอ “นี่แหละ ใกล้เคียงแล้ว แบบนี้เรียกว่าชายหนุ่มมารยาทดี! เลียนแบบบรรยากาศแบบโทนี่ซะ! แล้วปรับให้มันอ่อนลงอีกนิด”

        ทั้งโทนี่และมิเชลรู้สึกว่าโลกของพี่มิลเลอร์ช่างเข้าถึงยากเหลือเกิน....

        “ค่ะ..” เธอตอบเสียงอ่อย “มิเชลจะพูดให้เหมือนโทนี่เลย..”

        “ผู้ชายอบอุ่นต้องลงท้ายด้วย ครับ!! แล้วเรียกตัวเองว่า ผม!!”

        “คะ..ครับ!! ผม..เอ้อ” เธอเกร็งเสียงให้หนักแน่นขึ้นเพื่อเอาใจพี่ชายสุดเพี้ยน

        เรื่องจบตรงที่มิเชลท่องคำว่าครับผมให้ฟังครบสามสิบรอบ พี่มิลเลอร์ช่วยพาทั้งคู่ไปส่งถึงตู้ขายตั๋วเรือและจัดแจงซื้อให้เสร็จสรรพ เขาเอ่ยปากขอตัวทันทีหลังเสร็จกิจ พร้อมกับถ่ายรูปเธอเก็บไว้หลายใบ คนเป็นน้องสาวแอบเขม่นรูปแอบถ่ายอย่างไม่ไว้วางใจนัก...

        "พี่ไม่ขึ้นเรือด้วยกัน?"

        "ลืมข้อตกลงแล้วรึ..เรียกฉันว่า จักรพรรดิ" เขาเก๊กเสียงหล่อ แถมด้วยอาการสะบัดผมให้ดูอีกหนึ่งครั้ง

        "ครับ จักรพรรดิ.." เธอแอบพึมพัมกับตัวเองเพิ่มไปว่า “..ติงต๊อง”

        "อย่าลืมว่าชะตากรรมการเล่นเกมของเธอขึ้นอยู่กับฉัน"

        "ขอโทษครับ จักรพรรดิ.."

        “เยี่ยม แบบนี้แหละ! ถึงจะเป็นรองหัวหน้าของฉัน!”

        จากนั้น มิเชลจึงเลือกปิดปากเงียบเพื่อตัดรำคาญซะ ตอนแรกโทนี่ก็หัวเราะก๊ากไปหลายประโยค แต่สุดท้ายชักขำไม่ออกเพราะอึ้งกับความจริงจังสุดยอดของพี่ชายจอมเพี้ยน โชคดีว่ามิลเลอร์ส่งพวกเขาไกลสุดแค่ตู้ขายตั๋ว  ไม่งั้นต้องมีคนจุกอกตายก่อนถึงทวีปใหม่แน่นอน

        "โทนี่! พอถึงทวีปใหม่ การติดต่อก็จะขาด เราหนีกันไปเลยเถอะ!" เธอโพล่งขึ้นทันทีหลังจากแยกจากพี่ชายตัวเอง สายตายังแอบล่อกแล่กกลัวว่ามีคนแอบฟัง

        "หนีไปไหน ถ้าพี่เธอฟ้องพ่อทำไง?"

        "คนละทวีปจะติดต่อผ่านช่องสื่อสารทางกำไลไม่ได้! พี่...จักรพรรดิไม่รู้หรอก!” ความหลอนชั่วขณะทำให้มิเชลยังคงสรรพนามเรียกพี่ชายจอมเพี้ยนว่าจักรพรรดิ เขายังแอบดูอยู่รึเปล่าก็ไม่รู้..

        “แต่วันนี้ไปนอนได้แล้วล่ะ ดึกมากแล้ว” โทนี่ยกกำไลให้ดู

        “เรือออกพรุ่งนี้พอดีด้วย งั้นก็เจอกันพรุ่งนี้นะ” เธอก้มดูเวลาที่กำไลของตัวเองบ้าง “ออกจากเกมกัน”

        *********************************

        เช้านี้เธอรู้สึกไม่อยากเล่นเกมเท่าไหร่ เพราะแค่นึกว่าต้องเจอกับพี่ชายก็เหนื่อยแล้ว มิเชลจึงลุกขึ้นมาปฏิวัติชีวิตประจำวันที่วนเวียนซ้ำซากอยู่ในโลกเกมเป็นครั้งแรก เด็กหญิงหยิบหนังสือออกจากลิ้นชัก จากนั้นนั่งทบทวนบทเรียนอย่างเดียวจนถึงเวลาของครูสอนพิเศษ ขนาดข้าวเที่ยงยังกินที่โต๊ะ

        มิเชลทิ้งการเรียนไปนาน ตอนนี้จึงเหมือนได้หันกลับมามองดูโลกจริงๆ เสียที กระทั่งครูสอนพิเศษยังแปลกใจ

        “ขอให้ทุกวันทำเหมือนวันนี้นะคะ” ครูบอกเธอด้วยภาษามือ

        พอครูสอนเสร็จ มิเชลก็ยังไม่อยากเข้าเกมโดยไม่มีโทนี่ เธอจึงรอ... รอ.. ให้เวลาไหลผ่านโดยการนั่งทำการบ้าน! เธอรู้สึกได้ถึงแรงกระเทือนจากฝีเท้าพ่อที่ผ่านไปผ่านมาเป็นพักๆ เดาว่าพ่อคงแปลกใจอยู่เหมือนกัน เพราะเดินวนเวียนอยู่ใกล้ๆ บ่อยกว่าปกติ

        มิเชลตัดสินใจเดินเข้าไปหาพ่อเอง ปกติพ่อมีงานยุ่ง จึงได้คุยด้วยแค่สองสามวันครั้ง และมักเจอกันในวิช่วลเวิร์ลซะมากกว่า แต่พอเธอติดเกม จึงทำให้เวลาพูดจาอันน้อยนิดนั้นน้อยลงอีก

        “พ่อคะ” เธอเอานิ้วชี้กับนิ้วกลางเคาะเรียก “วันนี้พ่อเลิกงานเร็วจัง”

        พ่อลูบหัวและดึงมือเธอไปสัมผัส

        “ว่าไง เพิ่งอยากคุยกับพ่อเหรอ เกิดอะไรขึ้นสินะ”

        “มิเชลเจอพี่มิลเลอร์ในเกม”

        “อืม” พ่อตอบเธอทันที ไม่มีฉุกคิดเลยแม้แต่นิดเดียว

        “แล้วถ้ามิเชลไม่เชื่อฟังพี่ พ่อจะให้เลิกเล่นด้วยรึเปล่าคะ” เธอตัดสินใจถามตรงๆ เพราะไม่ไว้ใจพี่มิลเลอร์เท่าไหร่ เขามีแต่หาเรื่องประหลาดให้ทำตั้งแต่เจอหน้ากัน

        “ใช่”

        คำตอบของพ่อช่วยตัดสินว่าพี่พูดความจริงทุกอย่าง เธอคงต้องเป็นรองหัวหน้าและคุณชายที่มีรอยยิ้มแสนอบอุ่นหรืออะไรนั่นต่อไป แต่อย่างน้อย สมาพันธ์นี้ยังมีพวกจั๊งค์อยู่ มองในแง่ดีคงไม่เลวร้ายนัก.. เพื่อนใหม่ทั้งสามอาจจะทำให้สนุกจนลืมความเรื่องมากของพี่ตัวเองก็ได้

        แต่จั๊งค์เคยบอกว่าการเป็นรองหัวหน้าจะทำให้เล่นเกมลำบากเพราะต้องมีปัญหากับพวกเกราะแดง... เธอจึงตั้งใจเอาว่า จะแปลงรูปโฉมให้ไม่มีใครจำได้เลยทีเดียว!!

        *********************************

        “มิ..มิเชล”

        โทนี่อ้าปากค้างหลังจากเจอหน้าเพื่อนสาวในเกม มิเชลเปลี่ยนไป จากผมยาวกลายเป็นสั้นเต่อ แต่ตัดได้น่าเกลียดเหลือเกิน.. มันสั้นๆ ยาวๆ ไม่เท่ากัน หน้าม้าก็ออกมาประหลาด

        “แต่นแต๊น! เป็นไง ทรงใหม่!” พอทำการบ้านเสร็จ เธอก็ล็อคอินเข้ามาจัดแจงผมตัวเอง ตั้งใจจะเปลี่ยนรูปลักษณ์ “มิเชลจะปลอมตัว!”

        เด็กชายหัวดำยืนเกาหัวแกรกๆ หรือเพื่อนจะปลอมตัวเป็นขอทาน?... ผมสั้นแหว่งๆ กับหมวกปุปะกับชุดขาดๆ ชายเสื้อคลุมพ่อมดตอนนี้โดนตัดสั้นเต่อเหนือเข่าและไม่ได้เก็บด้ายเข้าให้เรียบร้อย ทั้งที่เมื่อวานยังอยู่ในสภาพดีแถมซื้อมาแพงอีกด้วย

        “เธอเอาดาบตัดผมตัวเองสินะ” เขาถอนหายใจ

        “ช่าย ก็ไม่มีของคมๆ อย่างอื่นให้ใช้แล้วนี่นา”

        “มานี่เลย....”

        โทนี่ทนดูไม่ไหวจึงลากเธอเข้ามุมแล้วหยิบกรรไกรจากอุปกรณ์ช่างออกมาช่วยเล็มให้ เขาเตี้ยกว่าจึงต้องกดไหล่บังคับให้เพื่อนนั่ง

        “แล้วทำไมหมวกราคาแพงถึงเป็นแบบนั้น” เขาเริ่มถามถึงอดีตหมวกทรงพ่อมดที่ตอนนี้มีรูโบ๋ตรงกลาง “ชุดดีๆ ก็ปุปะรุ่งริ่งไปหมด ทำไมไม่ซื้อชุดใหม่”

        “เมื่อวานพี่มิลเลอร์เก็บรูปมิเชลตอนแต่งตัวเต็มยศเอาไว้ คงต้องเอาไปใช้ล่อพวกเกราะแดงหรือทำประโยชน์อะไรให้ตัวเองแน่ๆ มิเชลเดาได้” เมื่อวานเธอเป็นนักเวทผมยาว สวมหมวกทรงแหลม จึงต้องแปลงรูปลักษณ์ใหม่ เอาอะไรก็ได้ขอแค่มันต่างไปจากเดิม “เอ๊ะ ว่าแต่โทนี่ตัดผมเป็นด้วยหรือเนี่ย ไม่เคยรู้”

        “ฉันตัดผมไม่เป็นหรอก... แต่ถ้าแค่เล็มให้มันพอหายน่าเกลียดน่ะพอไหว ที่จริงเธอเป็นคนรักสวยรักงาม นี่กลัวพี่ขึ้นหัวจนต้องทำให้ชุดขาดด้วยเรอะ”

        “ไม่ต้องตัดให้ประณีตมากก็ได้ เรือจะมาแล้ว เดี๋ยวไม่ทัน” เธอเลี่ยงเพราะไม่อยากพูดเรื่องพี่ “แล้วพวกเราจะต้องอยู่บนเรือนานแค่ไหนกว่าจะไปถึงทวีปใหม่”

        "ห้าวัน.. จะออกจากเกมก่อนก็ได้ แต่ถ้าเรือถึงทวีปโน้นเมื่อไหร่ จะมีเวลาเทียบท่าสิบชั่วโมง" เขาอธิบายต่อไป "ถ้ากลับเข้าเกมไม่ทัน เราก็จะติดอยู่บนเรือ ต้องรอมันวิ่งไปกลับอีกรอบ"

        "ตั้งห้าวันเชียว"

        "ไม่นานหรอก ถ้าออกจากเกมก็มีค่าแค่ 1วัน"

        เด็กชายช่วยจัดการให้เสร็จพอดีกับเวลาที่เรือมาเทียบท่า มิเชลรีบปัดเศษผมทิ้งแล้วส่องหน้าตัวเองกับน้ำทะเล พอจะเห็นลางๆ ว่าออกมาเป็นทรงซอยสั้นเปิดเถิกนิดหน่อยเพราะเธอตัดจนแหว่งเกิน โทนี่พยายามแก้แล้วแต่ได้เต็มที่แค่นั้น

        เธอเดินนำหน้าขึ้นเรือด้วยความตื่นเต้น พอยื่นตั๋วให้คนตรวจตั๋ว เขาก็ชี้ให้ไปใต้ท้องเรือ มิเชลกับโทนี่ได้นอนห้องรวมที่มีเสียงเครื่องจักรดังตลอดเวลาและแจกหมอนผ้าห่มแค่คนละชุดเท่านั้น เด็กหญิงรู้สึกว่าสภาพมันผิดกับจินตนาการไว้มากเพราะเคยนึกว่าของราคาแพงก็ควรจะหรูหรากว่านี้ บางทีค่าเงินในเกมอาจโหดร้ายกว่าที่คิด

        สภาพห้องเป็นไม้ มีกลิ่นหืนของรานิดหน่อย ผู้เล่นในห้องก็ต่างรีบจับจองมุมติดกำแพง มิเชลถือว่าโชคดีเพราะมาเร็วจึงได้บริเวณที่ค่อนข้างส่วนตัวและสงบ เธอโยนหมอนผ้าห่มลงไปกองเพื่อเป็นการบอกอาณาเขตแล้วหย่อนก้นลงนั่ง ส่วนโทนี่ก็ปลดสัมภาระออกจากตัวพร้อมนอนเอนหลัง

        “มิเชล ฉันคิดอยู่ว่ามันแปลก” โทนี่ร้องพร้อมกับแกว่งตั๋วเรือให้เธอดู​ “ฉันพลาดเพราะหลงเชื่อใจว่าเป็นพี่มิลเลอร์”

        “อะไรเหรอ” เธอรีบยกตั๋วเรือของตัวเองขึ้นมาอ่านบ้าง “ราคาสามพันเหรียญ...”

        “พี่เธอคงฮุบเงินส่วนต่างของพวกเราไปแล้ว...”

        เด็กทั้งสองพร้อมใจกันเงียบเป็นเวลาหนึ่งนาทีครึ่ง พี่มิลเลอร์ของเธอไม่ได้ขี้เก๊กและเรื่องมากอย่างเดียวเสียแล้ว เรื่องเงินๆ ทองๆ ก็ต้องระวังหรือนี่

        “แต่แพนด้าน้อยบอกว่าค่าตั๋วของเขาแปดพัน...” เธอพยายามนึกย้อน ถ้าไม่ใช่เพราะชายร่างหมี ทั้งสองคงไม่ฟิตหาเงินหนักขนาดนี้ “เอ ค่าตั๋วของแพนด้าน้อยแปดพัน แปลว่ามันไม่ได้มีราคาเดียว?”

        “น่าจะมีห้องหลายเกรด และพี่เขาก็ซื้อแบบถูกสุดให้”

        “อื้ม... หวังว่าพวกจั๊งค์คงไม่พลาดให้พี่เหมือนกัน.. จะลองส่งข้อความไปเตือนสักหน่อย” เธอถอนหายใจพลางจิ้มกำไล

        “นอกขอบเขต ไร้สัญญาณ"

        พอบอกโทนี่ เขาจึงทดสอบกับกำไลตัวเองบ้าง และได้ผลลัพธ์แบบเดียวกัน มิเชลเลยลองเปลี่ยนมาหยิบสมุดรายชื่อเพื่อนเพื่อเขียนข้อความส่งไป แต่ยังเหมือนเดิมอยู่ดี

        “ลืมๆ ไปละกัน เราทำอะไรไม่ได้แล้ว จากที่ฟังมา พวกพี่เขาก็เล่นเกมด้วยกันมานาน คงไม่พลาดโดนหลอกกันเองหรอกน่า” เด็กชายบอกเพื่อน มิเชลเองก็พยักหน้าเห็นด้วย

        “เอ้อ... ไหนๆ ก็มาถึงแล้ว.. เรามาสำรวจเรือกันนะ...” เธอหันไปมองโทนี่ ส่งสายตาที่บอกว่าต้องการจะผจญภัย เขาแสดงอาการอิดออดนิดหน่อย... แต่สุดท้ายก็ตามน้ำไป

        “นอกจากหมอนผ้าห่มเน่าๆ ก็อย่าทิ้งอะไรไว้ในห้องนะ คนเยอะขนาดนี้เดี๋ยวหาย” เด็กชายหยิบกระเป๋าเป้ขึ้นสะพาย

        ทั้งคู่เริ่มแย่งกันวิ่งขึ้นบันได ห้องพวกเขาอยู่ชั้นใต้ดินที่สอง ต้องนอนรวมกันเกือบๆ สองร้อยคน นับว่าแออัดมากทีเดียว แถมเสียงเครื่องยนต์ยังดังน่ารำคาญ แต่พออยู่ไปสักพักจะเริ่มทำใจให้ชินได้

        ชั้นใต้ดินที่หนึ่งเองก็มีเสียงรบกวนแต่เบากว่าและแบ่งเป็นห้องรวมหลายห้องแทนที่จะเป็นห้องใหญ่แล้วโยนคนเป็นร้อยเข้าไปอัดอยู่ด้วยกัน มิเชลแอบมองห้องที่ลืมปิดประตูแล้วเห็นเตียงสองชั้น ดูน่านอนกว่าผ้าห่มเน่าๆ ของเธอมาก

        ทว่า ตั้งแต่ชั้นสองขึ้นไปเธอหมดสิทธิผ่าน เพราะเป็นโซนห้องเดี่ยวและห้องคู่ซึ่งมีความเป็นส่วนตัวสูง พนักงานตรวจตั๋วเปลี่ยนมายืนเป็นยามเฝ้าเวรคนขึ้นบันไดแทน มิเชลกับโทนี่จึงสำรวจต่อไม่ได้

        “ถ้าเราซื้อตั๋วเอง อย่างน้อยห้องของพวกเราคงอยู่สักชั้นสามขึ้นไป” โทนี่บ่น

        “ไม่แค่ชั้นสามหรอก มิเชลให้ชั้นห้าเลย เราเหนื่อยกันจะตายกว่าจะเก็บเงินได้ตั้งแปดพัน!” เธอเสริม “แต่ลืมเรื่องนั้นไปเถอะ... ตอนนี้ดูชั้นหนึ่งกันก่อน ร้านเต็มไปหมด! จะมีขนมหรือเปล่า”

        “ถึงมีก็แพงแน่ๆ จำราคาขนมในเมืองไม่ได้แล้วเรอะ”

        เธอกระชากแขนโทนี่เข้าไปดูด้วยกันโดยไม่สนใจฟังคำค้าน มันเหมือนเทศกาลหรืองานวัดที่เคยเห็นในหนังเพราะไม่เปิดไฟดวงใหญ่ และจุดแค่ตะเกียงสลัวๆ เพื่อสร้างบรรยากาศ พอกำลังจะเลือกหยิบเอาของเล่นประหลาดๆ มาก็ถูกห้าม โทนี่อนุญาตให้ซื้อได้แต่ของจำเป็นเท่านั้น

        “ชุดวันพีซสีขาว บิกินี่ลายหมี.... กิ๊ฟติดผมรูปสมอเรือ.... คุกกี้ปลาทอง... ชุดตกปลาของเล่น...” เด็กหญิงพูดพึมพัมไม่หยุด มิเชลจงใจให้ออกมาเป็นเสียงสะท้อนเข้าหูเพื่อน เผื่อว่าเขาจะรำคาญจนต้องยอมให้เธอซื้อ

        “ก็ซื้อออกซิเจนอัดเม็ด... กับกางเกงว่ายน้ำมาแล้วไม่ใช่รึไง”

        “มิเชลเป็นเด็กผู้หญิงนะ... ชุดผู้หญิงก็ต้องมีบ้าง...”

        “ฟังไม่ขึ้นหรอกสำหรับคนที่เพิ่งตัดผมตัวเองจนเละ แถมยังฉีกชุดตัวเองซะโทรม” โทนี่ตอบหน้าตาย “ของมันแพง ห้ามซื้อของไร้สาระเด็ดขาด”

        “ใจร้าย!”

        *********************************

        หลังเสร็จจากการซื้อของ ทั้งสองก็กำลังเกาะราวกั้นบนดาดฟ้าเรือชั้นหนึ่ง มีคนยืนแน่นเบียดเสียดกันพอสมควร โทนี่พอจะจำหน้าได้ว่าส่วนใหญ่เป็นพวกที่นอนห้องเดียวกัน สงสัยทุกคนออกมาหลบเสียงเครื่องจักรน่ารำคาญนั่น มิเชลพาดแขนพิงราวกั้น พร้อมกับเอนตัวก้มหน้าดูทะเลสีเขียวปนน้ำเงิน

        บนดาดฟ้าปูพื้นด้วยไม้ทั้งหมด บางส่วนมีรูเล็กๆ แต่ไม่ถึงกับเป็นอันตราย มันดูแข็งแรงมากกว่าตาเห็นด้วยซ้ำเพราะสามารถรับน้ำหนักคนเกือบพัน ลมทะเลก็ค่อนข้างแรง และมักพัดเอากลิ่นเกลือเข้าจมูก มิเชลรู้สึกว่าผมตัวเองเหนียวและหนักขึ้นเหมือนเวลาไปเที่ยวชายหาด เกมนี้ทำได้สมจริงเกินจำเป็นสุดๆ

        ตอนแรกมิเชลก็สนุกดี แต่พอรออยู่เฉยๆ อย่างเดียวแล้วน่าเบื่อมาก เธอเลยนั่งเอาขาหย่อนออกไปนอกดาดฟ้าเรือแล้วเกาะเสาของราวกั้นเอาไว้ สักพักค่อยเปลี่ยนท่าเป็นอะไรที่น่าหวาดเสียวกว่าเดิม และเริ่มแข่งกับโทนี่ว่าใครจะยื่นตัวออกนอกเรือได้มากกว่ากัน

        ระหว่างที่กำลังเบื่อๆ และหมดมุขจะเล่น ครีบปลาสีเงินเริ่มปรากฏพ้นผืนน้ำพร้อมว่ายวนเวียนอยู่รอบๆ ตอนแรกมีเพียงตัวเดียว แต่ไปๆมาๆ เริ่มเพิ่มจำนวนและค่อยๆ ทำการล้อมเรือเอาไว้

        “ปลาฉลาม!!” ใครบางคนตะโกนขึ้น ถัดจากนั้นจึงเกิดความโกลาหลขนาดย่อม ใครที่หย่อนขาก็รีบชักขึ้นแล้วไปรวมกันอยู่ตรงกลางเรือ ฝูงผู้เล่นต่างพยายามไม่ยืนแถวขอบๆ เพราะกลัวโดนมันกระโดดกัด

        มิเชลก็ลุกขึ้นยืนแต่ยังสนใจครีบปลาปริศนานั่นอยู่เลยเกาะราวกั้นไว้ไม่ไปไหน.. เด็กสาวชวนโทนี่เล่นเกมทายว่ามันเป็นตัวอะไร แต่เขาไม่มีอารมณ์จะเล่นต่อแล้ว

        “โทนี่ คิดมากน่า! คนอยู่กันตั้งเยอะ ไม่เกิดอะไรขึ้นหรอก”

        คำพูดของมิเชลได้รับการยืนยันเมื่อเจ้าตัวมีครีบกระโดดขึ้นโชว์รูปร่างสุดน่ารักให้ทุกคนได้ดู มันเป็นปลาโลมา... กับตาสีดำกลมโตใสแป๋ว แถมยังร้องกี๊ซๆ เรียกความสนใจจากบรรดาผู้เล่นให้เข้ามาใกล้

        “น่ารักกกก โทนี่! คิดว่าถ้าลงไปเล่นกับมันแล้วจะกลับขึ้นเรือทันหรือเปล่านะ!”

        “ดูจากตรงนี้ก็พอแล้วน่า อย่าเสี่ยง”

        “ก็.. ดูตามันสิ... ตามัน...” เธอครางไปกับความน่ารักของเจ้าสิ่งมีชีวิตที่ขึ้นชื่อว่าเป็นมิตรกลุ่มนี้และจดจ้องดูฝูงโลมาไม่เลิก  มิเชลก้มหน้าสบตากับมันอยู่นานทีเดียว “มัน.. มันบอกว่า.. มันบอกให้ไปหา...”

        “ฮะ.. อะไรนะ?”

        “ดูตาของมันสิโทนี่ เห็นไหมว่ามันกำลังชวน... มันบอกให้ไปหา” มิเชลก้มหน้าสบตาปลาโลมาตลอดเวลา พร้อมกับดึงแขนเพื่อนไว้แน่น “ไปกับมิเชลด้วยนะ มันบอกให้เราทั้งคู่นั่นแหละไปหา”

        “มิเชล... เธอเป็นอะไร!?” โทนี่เริ่มหลอนเพราะสู้แรงเธอไม่ได้ แล้วตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนตน?.. ในสมองเขาพยายามประมวลผลอย่างเร็วที่สุด มือก็เกี่ยวราวเอาไว้ก่อน

        “อย่าดื้อสิ เขาเร่งแล้ว” มิเชลพูดโดยไม่มองหน้าโทนี่แม้แต่น้อย เธอจ้องปลาโลมาหน้านิ่ง ขาค่อยๆ ปีนราวพร้อมกับกระชากไหล่เพื่อนไปด้วยกัน

        “อย่า!” โทนี่ฝืนแรงยื้อกับมิเชล ในขณะเดียวกัน หลายคนเริ่มปีนราวกั้นและกระโดดลงไปหาปลาโลมา “นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย!”

        มิเชลเห็นภาพตรงหน้ากำลังเอียงแล้วกลิ้งเท่เร่คล้ายกับทีวีเจ๊ง แต่เป็นสีชมพูสวยที่เธอชอบ กลิ่นทะเลเค็มๆ กลับให้ความรู้สึกหอมกว่าปกติ ปลาโลมากำลังเรียกให้ไปเล่นด้วย พวกมันสะบัดครีบส่ายหางกวนน้ำเร่งเด็กสาว

        “รอเดี๋ยว มิเชลไปคนเดียวไม่ได้ รอโทนี่ก่อน” เธอบอกมัน ทั้งที่ไม่รู้ว่าทำไมต้องไป แต่ด้วยนิสัยส่วนตัวไม่อาจทิ้งเพื่อนไว้ได้

        โทนี่พยายามยื้อเธอไว้สุดฤทธิ์ เขาโค้งตัวนอนหมอบอยู่กับพื้น มิเชลออกแรงกระชากเพื่อนสนิทและพูดจาโน้มน้าวใส่หลายชุด แน่นอนว่าไม่สำเร็จเพราะตอนนี้เด็กสาวอยู่ในสภาพเหมือนโดนอะไรเข้าสิง

        พลัน มิเชลรู้สึกว่าพื้นที่ยืนสั่นสะเทือนไปทั้งลำ ภาพสีชมพูแบบทีวีเสียเริ่มซีดลง จากนั้นเปลี่ยนกลับมาเป็นสีเขียวน้ำเงินของทะเลเหมือนเดิม ปลาโลมาส่งแววตาแป๋วๆ กลมโตมาหา แต่เธอรีบหันหน้าออกเพราะดูแล้วเกิดอาการวิงเวียนแบบไม่ทราบสาเหต ร่างของเด็กหญิงตอนนี้ล้ำออกไปนอกเรือเกินครึ่งตัว แถมยังเกือบลากโทนี่ร่วงลงด้วยกัน

        เธอรีบถอยกลับเข้าไปด้านในราวกั้น บนพื้นน้ำมีหลายคนพยายามว่ายเข้าหาฝูงปลาโลมา พวกมันก็อ้าปากต้อนรับ...​ เป็นปากที่มีแต่เขี้ยวแหลมคมเหมือนปลาฉลาม และงับผู้โชคร้ายพร้อมกลืนลงท้องทันที

        สติของเธอกลับมาเต็มที่ ณ เวลานั้นเอง มิเชลรีบคว้าโทนี่เอาไว้ แต่ครั้งนี้ไม่ได้คว้าไว้เพราะต้องการลากลงทะเลไปด้วยกัน เธอทำเพื่อความปลอดภัยของทั้งคู่

        “เกิดอะไรขึ้น” มิเชลร้องถามคู่หู

        “ไม่รู้ จู่ๆ เธอก็กำลังจะลากฉันลงไปตายในทะเลด้วยกัน! แล้วพอเรือสั่น เธอก็กลับมาเป็นปกติ”

        สักพัก พวกเขาเริ่มยืนไม่ติดพื้นเพราะสั่นแรงมากขึ้นเรื่อยๆ มันค่อยๆ ยกตัวขึ้นลอยจากผืนน้ำและทำมุมเอียงจนต้องนอนราบแล้วคลานไป หลายคนกลิ้งตกจากดาดฟ้าเรือกลายเป็นเหยื่อปลาโลมา กระแสลมก็พัดกรรโชกหนักกว่าเดิมจนหูอื้อทั้งสองข้าง

        “เข้าไปในห้องโดยสาร!” โทนี่ตะโกนบอกโดยไม่รู้ว่าเธอจะได้ยินหรือเปล่า เพราะลมเริ่มหนักขึ้น จวนเจียนจะกลายเป็นพายุที่พัดตีกันเสียงดัง แถมยังมีหลายคนแข่งกันตะโกนโหวกเหวงกลางความโกลาหล

        “โอเค” มิเชลลากคอเสื้อโทนี่พร้อมกับไต่ระนาบคลานไปกับพื้น “อย่าปลิวสิ เกาะหลังมิเชลไว้เลย!”

        “ไม่เป็นไร ฉันจะไปเอง” เขาปัดมือเธอออกแล้วพยายามคลานตามมาข้างๆ “จะไม่เป็นภาระเธอแน่นอนเพราะฉันก็ฝึกมาแล้ว”

        “วิ๊ว... เท่จังนะ”

        “ไม่เท่หรอก ตราบใดที่แพ้ผู้หญิงอยู่”

        “ตอนนี้มิเชลเป็นผู้ชายน่า” เธอคลานไปจนถึงตรงกลางเรือซึ่งเป็นบริเวณห้องโดยสาร มิเชลคว้าลูกบิดประตูไว้พลางหมุนออกโดยไว บานประตูกระแทกเปิดอย่างแรง

        “เธอนี่เปลี่ยนเพศเอาตามความสะดวกเลยนะ... ผู้ชายไม่มีใครอยากได้ชุดกระโปรงหรอก” โทนี่ไล่ตามมาติดๆ แล้วโหนตัวกับบานประตูที่เธอเพิ่งเปิดออก

        “อย่าเข้าไปค่ะ!”

        ปรากฏว่ามีคนร้องห้ามทั้งคู่ตอนที่พยายามคลานเข้าข้างในห้องโดยสาร มิเชลหยุดชะงัก พลางหันไปมองหาต้นตอเสียง เจ้าของเสียงเป็นหญิงสาวผมสีส้ม สวมชุดกี่เพ้ากระโปรงสั้นผ่าสูง กอปรด้วยดวงตากลมโตกับใบหน้าขาวใส

        “คุณจอร์เจีย...!!!”

        “บังเอิญจังเลยค่ะที่เรามาขึ้นเรือรอบเดียวกัน...” จอร์เจียเอาทั้งแขนและขาคล้องไว้กับบานหน้าต่างข้างเคียง และห้อยเฉพาะส่วนหัวกับตัวออกมากด้านนอก “ถ้าเรือจมแล้วเราอยู่ในห้องโดยสาร เราจะหนีไม่รอด อยู่ที่ดาดฟ้าปลอดภัยกว่า”

        “อ้อ แบบนี้นี่เอง... ว่าแต่.. ท่านั้นดูสบายดีนะ” มิเชลออกความเห็นให้กับท่าที่ดูประหลาดแต่สามารถเกาะได้เหนียวแน่นดี

        “เสียดายที่มีหน้าต่างแค่บานเดียวนะคะ ท่านี้ฉันเลยใช้ได้คนเดียว” จอร์เจียยิ้มหวาน พร้อมหยอกเล่นไปด้วย

        “ไม่เป็นไร บานประตูก็ไม่เลวนักหรอก” เธอหยอกตอบ “แล้วมันเกิดอะไรขึ้น! พอจะรู้บ้างหรือเปล่า”

        “ไม่รู้สิคะ ก็เลยรอเฉยๆ อยู่ตรงนี้.. สถานการณ์ที่เกี่ยวพันกับผู้เล่นจำนวนเยอะขนาดนี้ยังไงก็ต้องมีคำอธิบาย”

        มิเชลเห็นว่าจอร์เจียค่อนข้างใจเย็นผิดปกติ สำหรับเธอและโทนี่ผ่านสถานการณ์เฉียดตายมาบ้างจึงเริ่มชิน แต่ทั้งคู่ก็ยังออกอาการลุกลี้ลุกลนมากกว่าสาวชุดจีน ถ้าใช้มาตราฐานเดียวกัน เธอนึกไม่ออกเลยว่าคนตรงหน้าเคยลุยสมรภูมิโหดขนาดไหนกว่าจะนิ่งได้ขนาดนี้

        “ถึงผู้โดยสารทุกท่าน ขณะนี้เรือได้แล่นเข้ามาเจอกับราชาสัตว์อสูรแห่งท้องทะเลโดยบังเอิญ ทุกท่านจะถูกบังคับให้รับภารกิจพิเศษ ปราบปีศาจยักษ์แห่งท้องทะเล กรุณาช่วยกันร่วมแรงร่วมใจล้มราชาสัตว์อสูร หากภารกิจล้มเหลวเราจะไม่มีการคืนค่าโดยสาร”

        “นั่นไงคะ” เธอยิ้มหวาน “เป็นแบบที่ฉันบอกเลย”

        “ที่บอกว่าไม่คืนค่าตั๋วหมายถึงถ้าพลาดเราก็จะไปไม่ถึงจุดหมายสินะ..” มิเชลถามโทนี่ และเด็กชายก็พยักหน้าตอบเป็นเชิงเห็นด้วย

        ผู้เล่นกว่าครึ่งโดนสะบัดตกน้ำไปเรียบร้อย โทนี่ล้วงออกซิเจนอัดเม็ดขึ้นมาอมพร้อมยื่นให้มิเชลกับจอร์เจียด้วย หญิงสาวพิจารณามันด้วยสายตาหวาดระแวง แต่คงเพราะสถานการณ์ฉุกเฉิน และคนตรงหน้าก็กินให้ดูเรียบร้อยแล้ว เธอจึงยอมเอาใส่ปากก่อนจะถามว่ามันคืออะไร

        “ออกซิเจนเม็ด เผื่อเราตกน้ำ” โทนี่อธิบายโดยเร็ว “แล้วตกลงเจ้าปลาโลมาพวกนี้คือราชาสัตว์อสูร!?”

        “ไม่หรอก ลูกน้องมากกว่าค่ะ ตัวหัวหน้าคงอยู่ใต้เรือ”

        เรือที่พวกเขาโดยสารสั่นสะเทือนอีกหลายครั้ง คนร่วงตกทะเลมีมากกว่าครึ่ง มิเชลหยิบไม้เท้าแล้วจัดการแปลงมันเป็นดาบอสูรอัคคีที่มีสี่คมเพื่อเตรียมพร้อม โทนี่ก็ทำตามเธอโดยการล้วงดาบออกมาบ้าง

        “ออกซิเจนเม็ดอยู่ได้สิบนาทีสินะ สามเม็ดก็ครึ่งชั่วโมง” เธอโยนใส่ปากเพิ่มอีกสองเม็ด แล้วปล่อยตัวให้ไถลไปกับพื้นที่เอียง ร่างของมิเชลกลิ้งตกจากเรือไปต่อหน้าต่อตา ไม่ทันให้โทนี่ได้แย้งอะไรเลย..

        “เดี๋ยว! ออกซิเจนหนึ่งเม็ดสิบนาที แต่มันต้องกินทีละเม็ด! อมพร้อมกันมันก็ละลายพร้อมกัน!!!” โทนี่ร้องโวยวายตามหลัง แต่ไม่ทันเสียแล้ว















    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×