ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    โรงเรียนศาสตร์มืดแห่งดาร์คแลนด์ (เปิดเทอม)

    ลำดับตอนที่ #64 : ชั้นที่ 2 ชั้นนักพยากรณ์ลึกลับ

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 968
      1
      11 ธ.ค. 59

    ชั้นที่ 2 ชั้นนักพยากรณ์ลึกลับ


    สวัสดีเหล่า "นักพยากรณ์ลึกลับ"
    หากเจ้าต้องการเป็นนักเวทย์ผู้เปี่ยมพลังมนตราแล้วไซร้
    ที่ห้องเรียนนี้ เจ้าจะต้องเรียนรู้การทำนาย เเละพยากรณ์
    ดูลูกแก้ว ส่องใบไม้ จ้องกระจก เข้าญาณ
    ในชั้นเรียนนี้ หากเจ้าไม่เข้าใจอันใด สามารถถามได้ที่กล่องคอมเม้นด้านล่าง










    ภารกิจ

    ภารกิจ คือ สถานการณ์จำลอง เพื่อทดสอบทักษะของท่าน
    ในชั้นนี้ มีภารกิจทั้งหมด 4 ภารกิจ ท่านจะภารกิจเหล่านี้หรือไม่ก็ได้
    และเลือกทำกี่ภารกิจก็ได้
    โดยคะเเนนจากภารกิจที่ท่านทำ จะช่วยในการสอบเพิ่มระดับของท่าน
    และเมื่อทำภารกิจเสร็จสิ้น ท่านจะไ้ด้รับรางวัล
    ท่านสามารถเลือกทำ "ภารกิจ" ต่างๆดังนี้



    ข้อควรระวัง
    อนึ่ง ระว่างการเดินทางทำภารกิจของท่าน
    ท่านอาจจะต้องแวะตามสถานที่ต่างๆ และจำเป็นต้องโพสคอมเม้น
    เมื่อท่านโพสคอมเม้น  ไม่ว่าที่ใดก็ตามในดาร์คแลนด์
    ให้แนบบัตรประ
    นักเรียนศาสตร์มืดแห่งดาร์คแลนด์ด้้วยเสมอ
    และผลการทำภารกิจของท่าน จะปรากฏที่หอพักของท่าน ทุกวันศุกร์




    การสอบเลื่อนระดับ

    หากท่านศึกษาบทเรียนในชั้นนี้จนถ่องแท้แล้ว กรุณาทำข้อสอบ
    เพื่อสอบเพิ่มระดับ...เข้าสู่ ชั้นที่ 3 ชั้น "พ่อมดแม่มดตัวน้อย"
    หากท่านสอบผ่าน จะได้รับเหรียญตราให้เข้าเรียนในชั้นต่อไป


    คลิกเพื่อทำข้อสอบเลื่อนระดับสู่ชั้นต่อไป





    บทเรียนที่ 1 การทำนายและพยากรณ์จากธรรมชาติ

    การทำนาย และ พยากรณ์จากธรรมชาติ ถือว่าเป็นการทำนายที่เก่าแก่ที่สุดที่ใช้กันมาตั้งแต่โบราณ ใช้เพื่อการการพยากรณ์อากาศ หรือไพบิบัศทางทำธรรมชาติต่างๆ การทำนายได้จากการสังเกตธรรมชาติรอบตัวไม่ว่าจะเป็น สายลม กระแสน้ำ สภาพท้องฟ้า พฤติกรรมของสัตว์ เช่นว่า ม้าจะวิ่งอย่างตื่นตระหนกก่อนที่จะมีลมพายุรุนแรงพัดมา หมูจะโกยเอาฟาง ใบไม้และกิ่งไม้มารวมกันไว้ก่อนจะมีพายุกระหน่ำ ดอกไม้จะหุบลงก่อนหน้าพายุจะเกิด กระแสคลื่นทะเลที่ลดรดับอย่างรวดเร็ว อาจเป็นสัญญาณของคลื่นยัก

    หนังสือเพิ่มเติม
    http://www.navy.mi.th/navymet/wxfolk.html





    บทเรียนที่ 2 การดูดวงดาว

    เป็นการทำนาย และการพยากรณ์ โชคชะตาของมนุษย์, ปรากฏการณ์ต่างๆ ของบ้านเมือง และของโลก โดยอาศัยตำแหน่งของดวงดาวต่างๆ บนท้องฟ้า เป็นเครื่องชี้ แล้วบันทึกไว้เป็นสถิติ คือการพยากรณ์โดยอาศัย เวลา และ ตำแหน่งของดวงดาวต่างๆ บนท้องฟ้า เป็นสำคัญ หรือที่เราเรียดอย่างคุ้นหูว่า โหราศาสตร์

    โหราศาสตร์ เป็นวิชาที่ต่างกับวิทยาศาสตร์ โดยที่วิทยาศาสตร์ เป็นวิชาที่มีกฏเกณฑ์ และอาศัยเหตุผลประกอบนำมาทดลอง และพิสูจน์ให้เห็นประจักษ์ สามารถสรุปออกมาเป็นทฤษฎีได้ ส่วนโหราศาสตร์นั้นเป็นวิชาที่ค่อนข้างลึกลับ ยากแก่การพิสูจน์ และทดลองโดยวิธีเช่นเดียวกับวิทยาศาสตร์ ด้วยเหตุนี้นักวิทยาศาสตร์จึงไม่รับรองโหราศาสตร์ เป็นศาสตร์อย่างหนึ่ง

    เกณฑ์การพยากรณ์ทางโหราศาสตร์ประกอบด้วย:

    ดาวเคราะห์ (planets)
    โหราศาสตร์ มีความเกี่ยวพันแนบแน่น กับดวงดาวทั้งหลาย ดังนั้น สิ่งแรกที่จำเป็น ต้องเรียนรู้ ก็คือ เรื่องของดวงดาวซื่งก็คือดาราศาสตร์ ซื่งดาวเคราะห์ที่เราใช้มีทั้งหมด ๑๐ ดวง ได้แก่ จันทร์ พุธ ศุกร์ อาทิตย์ อังคาร พฤหัส เสาร์ มฤตยู เนปจูน และพลูโต เรียงลำดับตามอัตราการโคจรจากเร็วที่สุดไปช้าที่สุด แต่ดาวที่สำคัญกว่าเพื่อนคือ อาทิตย์กับจันทร์ ดาวเคราะห์เป็นสัญลักษณ์แทนพลังงานของเราที่แสดงออกในด้านต่าง ๆ

    จักรราศี (zodiac)
    ตามที่เราได้ศึกษาในเรื่องดาราศาสตร์พื้นฐานสำหรับนักโหราศาสตร์ได้เกี่ยวเนื่องไปสู่เรื่องจักรราศี (zodiac) จักรราศีนี้คือทางเดินของดาวเคราะห์ต่าง ๆ เมื่อดาวเคราะห์โคจรอยู่ที่ราศีใด พลังงานของบุคคลที่แสดงออกตามความหมายของดาวเคราะห์นั้น จะถูกปรุงแต่งด้วยลักษณะของราศี เปรียบเหมือนตัวละครที่ถูกแต่งด้วยเสื้อผ้าแบบต่าง ๆ แล้วแสดงออกมาตามบทบาทนั้น ๆ

    เรือนชะตา (houses)
    เรือนชะตาเป็นพื้นที่หรือเรื่องราวที่พลังงานของดาวเคราะห์แสดงออก เปรียบเหมือนฉากในละคร แบ่งออกเป็น 12 เรือนซะตา

    มุมสัมพันธ์ (aspects)
    เนื่องจากจักรราศีเป็นทางวงกลม ดาวเคราะห์พเนจรไปเป็นวงกลม ทำให้ดาวแต่ละดวงอาจจะมีความสัมพันธ์กันเชิงมุม หรือทำมุมต่อกันได้ ดาวที่ทำมุมกัน จะมีปฏิสัมพันธ์กัน เหมือนตัวละครที่มีบทบาทร่วมกัน การผสมความหมาย

    การผสมความหมาย
    คือเราจะเริ่มแปลที่ดาวเคราะห์คือความสามารถด้านต่าง ๆ ของเรา แล้วผสมกับความหมายราศี ว่าความสามารถด้านนั้นมีลักษณะตามราศีอย่างไร จากนั้นผสมกับความหมายของเรือนชะตา ว่าความสามารถที่มีลักษณะเช่นนั้นแสดงออกมาเกี่ยวกับเรื่องราวใด และถ้าดาวเคราะห์มีมุมสัมพันธ์กัน ก็เอาความหมายของมุมสัมพันธ์มาเชื่อมกัน ได้เป็นรูปแบบการผสมความหมายดังนี้

    ดาวเคราะห์ A ที่มีลักษณะ ราศี B ในเรื่อง เรือนชะตา C มีความสัมพันธ์แบบ มุมสัมพันธ์ D กับ ดาวเคราะห์ E ที่มีลักษณะ ราศี F ในเรื่อง เรือนชะตา G ... เป็นต้น

    ตัวอย่างการผสมความหมาย

    สมมุติว่าดวงชะตาดำเนิดดวงหนึ่งมี ดาวอังคารอยู่ราศีเมษเรือนชะตาที่ ๒ ดวงจันทร์อยู่ราศีมกรเรือนชะตาที่ ๑๑ ทั้งสองทำมุม ๙๐ องศากัน เราสามารถแปลตามขั้นตอนได้ดังนี้

    - พิจารณาอังคาร: การแสดงออกทางกาย หรือแรงขับ (ดูดวงดาว) มีลักษณะ กล้าหาญ ชอบบุกเบิก ผจญภัย (ดูราศี) ในเรื่อง การหารายได้ (ดูเรือนซะตา)

    - พิจารณาจันทร์: สภาวะทางอารมณ์ (ดูดวงดาว) มีลักษณะ เจ้าระเบียบ วิตกกังวล มุ่งมั่น (ดูราศี) ในเรื่อง การรวมกลุ่ม สมาคม หรือความหวังต่อผลที่ลงไป (ดูเรือนชะตา)

    - พิจารณามุมฉาก: เกิดความขัดแย้งอย่างมากระหว่างการแสดงออกทางกายกับสภาวะทางอารมณ์

    - สรุปความหมายโดยรวม: เจ้าชะตาขยันขันแข็งในการทำงานหารายได้ ไม่กลัวที่จะต้องทำอะไรใหม่ ๆ แต่ในจิตใจเขาเป็นคนที่ยึดระเบียบ ไม่ชอบทำอะไรโดยไม่ไตร่ตรอง ออกจะขี้วิตกกังวล โดยเฉพาะการทำงานที่ต้องรวมกลุ่มกันทำ เขาจะต้องประสบความขัดแย้งอยู่เป็นประจำทั้งภายในและภายนอก แต่เมื่อเขามีประสบการณ์มากพอ จนจัดการกับปัญหาต่าง ๆ ได้ดี เขาจะประสบความสำเร็จในการหารายได้ที่ต้องใช้กลุ่มในการขับเคลื่อน ทำให้เห็นว่าการทำธุรกิจขายตรงน่าจะเหมาะกับเจ้าชะตา

    นักเรียนสามาถรหาอ่านเพี่มเตีมได้ที่หนังสือเล่มนี้
    http://www.astrosimple.com/lesson/index.php?item=principle






    บทเรียนที่ 3 การดูลูกแก้ว

    เป็นการเพ่งจิตมองไปยังลูกแก้วอย่างตั้งใจมั่นจนเกิดสมาธิ มีพลังสูงจนภายในของเราเกิดการเชื่อมโยงกับสรรพสิ่ง จะทำให้เกิดการเห็นในใจขึ้นได้ หากผู้ที่จะทำได้ต้องเป็นผู้ที่มีจิตบริสุทธิ์ใสมาก เรียกว่าเป็นดังเทวดาเดินดิน คือยังมีชีวิตอยู่ มีกายสังขารอยู่บนโลกก็จริง แต่จิตของท่านนั้นหลุดพ้นจากความอยากได้ อยากมีเหลือเพียงจิตแห่งการให้ จิตแห่งความรัก ที่ปราถนาดีต่อทุกสรรพสิ่งเช่นนี้การเพ่งเห็นก็เชื่อว่าสามารถทำได้

    ส่วนลูกแก้วใส เป็นสัญลักษณ์แห่งความโปร่งใส บริสุทธิ์ และความกลมเป็นเหมือนการควบแน่นของสิ่งต่าง ๆ จากทุกสารทิศมารวมกัน ย่อมเกิดเป็นรูปกลม จึงเหมาะมากกว่าอย่างอื่น ที่จะใช้ในการเพ่งจิต

    ในการฝึกนั้นผู้พยากรณ์ต้อง ฝึกจิตให้แข็งแรงก่อน ให้รู้จักความเป็นไปของโลก รู้ว่าสรรพสิ่งทั้งหลาย เกิด เติบโต และดับไปย่อมเป็นธรรมชาติธรรมดา รู้ว่าสิ่งทั้งหลายล้วนสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน รู้ว่าการแก้ปัญหาทั้งหลายในชีวิต ต้องอาศัยการทำความเข้าใจ การให้อภัย การให้โอกาสซึ่งกันและกัน การเปิดใจกว้างรับฟังกัน ทั้งหมดก็คือการไม่หลงยึดตนเองเป็นศูนย์กลางจักรวาลนั่นเอง เมื่อนั้นเรากับสรรพสิ่งทั้งหลายเชื่อมถึงกันแล้ว จะมีพลังจิตที่ตั้งมั่น เข้มแข็ง การเพ่งเห็น ก็จะไม่ใช่การเพ่งเห็นด้วยกิเลสความคิดส่วนตัว แต่จะเป็นการเห็นจริง ๆ เรื่องนี้สำคัญ เพราะถ้าเราเห็นด้วยความอยาก ความโลภ ความคิดจะเอาเปรียบ เมื่อนั้น เพ่งมาก ๆ จะเป็นบ้าไปได้ โปรดระวังด้วย






    บทเรียนที่ 4 กระจกวารี

    การพยากรณ์โดยใช้กระจกวารีนั้น คล้ายกับการพยากรผ่านลูกแก้ว ใช้โดยการเพ่งจิตไปที่กระจก บางทำคำทำนายก็ปรากดเด่นชัด บางครั้งก็พลาเลือนเหมือนแรงกระเพื่อมของสายน้ำ

    กระจกวารีนั้น เอาแน่เอานอนไม่ได้ ภาพที่มันสท้อนขื้นบ้างก็เป็นเรื่งในอดีด ปัจุบัน หรืออนาคด บ้างก็เป็นแค่ภาพลวงตา บ้างก็สะท้อนตัวตนที่แท้จริงของผู้จ้องมอง หรือแม้แต่สท้อนความปราถณาที่ลึกล้ำที่สุด ขื้นกับผู้พยากรณ์ ต้องมีสม่ธิ และ มีจิตที่แน่วแน่เข้มแข็งจื่งจะเห็นภาพที่ต้องการ ที่มีอยู่จริง หรือกำลังจะเกีดขื้นจริง ไม่เช่นนั้นผู้พยากรณ์หรือผู้ที่จ้องมอง ก็อาจติดอยู่ในภาพลวงตา และ ถูกสูบเข้าไปในกระจกตลอดไป






    บทเรียนที่ 5 การถอดจิต

    จิต หรือกายทิพย์เป็น รูปขันธ์ในลักษณะนามธรรม เพราะมีสภาพลักษณะคล้ายกับอากาศที่โปร่งแสง ซึ่งไม่อาจจับต้องได้ และตาเนื้อก็มองเห็นได้ยาก เราจะรู้ว่านื่คือ "อากาศ" ต่อเมื่ออากาศเคลื่อนตัวเป็นลมสัมผัสกับกาย แต่จะมองเห็นหรือรู้เรื่องวิญญาณก็ต้องอาศัยจากกระแสอำนาจจิตที่บำเพ็ญจนถึง จตุตถฌาน ก็จะสามารถสัมผัสได้รู้เห็นเองเข้าใจถึงสภาวะธรรมชาติของโลกวิญญาณซึ่งเป็น สภาพที่รู้เฉพาะตัว

    ผู้ที่ฝึกจิตจนเข้มแข็งเกีดญาณสมาธิแก่กล้า สามารถทำนายผ่านลูกแก้ว หรือกระจกวารีอย่างแม่นยำ สามารถรู้ถึงคำพยากรณ์ได้ด้วยตัวเอง และก้าวสู้จั้นสามารถถอดจิตได้

    การฝึกถอดจิตนั้นสามารถทำได้ทั้งการฝึกขณะนอน และ ฝึกโดยการนั่งสมาธิ

    ข้อห้ามในขณะการฝึกถอดจิต

    จะต้องฝึกในห้องที่ไม่มีใครรบกวน จนกว่าจะถึงเวลาที่จะกำหนดออกจากสมาธิ ถ้ามีความจำเป็นต้องปลุกแล้ว ห้ามแตะต้องร่างอย่างเด็ดขาด และห้ามตะโกนเรียก เพราะเมื่อแตะต้องร่างและตะโกนเรียกแล้ว กายทิพย์จะรีบกระโจนกลับร่างทันที ทำให้ตกใจ หนักๆอาจจะทำให้เสียสติได้ เหตุเพราะว่า คนเราถ้ายังไม่ตายกายทิพย์เมื่อฝึกจนสามารถแยกกับกายเนื้อได้จะมีสายใยทิพย์ ติดกับกายเนื้อ เมื่อเกิดเหตุให้กายเนื้อตกใจ กายทิพย์จะรีบกระโจนกลับคืนร่างทันที เพราะคนยังไม่ตายนั้น กายเนื้อเปรียบดังรังที่จะเกาะอาศัยอยู่เพื่อใช้กรรมต่อไป จนกว่าจะสิ้นอายุขัย จะต้องสวดมนต์ไหว้พระก่อนฝึกวิชานี้ อาราธนาระลึกถึงบารมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ครูบาอาจารย์หลวงพ่อโต และเจ้าที่เจ้าทางช่วยคุ้มครองร่างท่านในระหว่างฝึกจิต ไม่ให้สิ่งเลวร้ายมารมาผจญแฝงหรือทำลายร่างท่านได้ ถ้าเกิดเหตุอะไรที่ทำให้ตกใจให้รีบระลึกถึงครูบาอาจารย์
    และถ้าจะใช้พลังจิตรักษาโรค ก็ให้ระลึกถึงครูบาอาจารย์ทุกครั้ง อย่า

    ริอ่านถอดจิตไปในที่ต่างๆ ซึ่งท่านไม่ควรไป เช่น นรกโลกหรือที่แปลกถิ่น เพราะท่านอาจจะถูกอำนาจจิตที่แข็งแกร่งกว่ากักคุมไม่ให้คืนร่างได้ถ้าวิญญาณ หรือไม่ก็ภูกวิณณาณเร่ร่อน วิณณาณร้ายเข้าสิงสู่ยึดร่างของท่าน หากไม่เข้าร่างเกิน 7 วัน ท่านจะต้องตายและต้องสั่งญาติไว้ว่า ถ้าพบร่างยังอุ่นอยู่ ห้ามโยกย้ายร่างผู้ฝึกถอดจิต เพราะอาจจะเป็นเหตุทำให้กายทิพย์กลับคืนร่างไม่ได้ อย่าเพิ่งเก็บศพอย่างเด็ดขาด เพราะยังไม่ตายคนที่พบเห็น ช่วยจุดธูปหน้าหิ้งพระเรียกร้องให้ครูบาอาจารย์ของผู้ฝึกช่วยเหลือ วิญญาณก็จะกลับคืนร่างได้ จำไว้ว่า ถ้าท่านไม่ทิ้งครูบาอาจารย์แล้ว ท่านย่อมเมตตาคุ้มครองอยู่ตลอดเวลา






     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×