ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    นักเรียนหมอขอเมาท์

    ลำดับตอนที่ #78 : [ วันมหิดล ] : ยี่สิบสี่กันยา พวกเราพร้อมใจมา เทิดนามมหิดล ~

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.18K
      2
      24 ก.ย. 53

                ในฐานะวันนี้ 24 กันยายน ซึ่งป็นวันมหิดลที่พวกเราชาวแพทย์ทั้งหลายให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก วันนี้ พี่จึงขอมาเป็นตัวแทนเล่าพระราชประวัติพระองค์ท่าน สมเด็จพระราชบิดา บุคคลสำคัญที่พวกพี่ให้เคารพรัก ให้พวกน้องๆทุกคนได้รู้กันนะครับ


    ประวัติพระบิดาแห่งแพทย์แผนปัจจุบันของไทย


     


                สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก หรือ สมเด็จพระราชบิดา แห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน เป็นโอรสองค์ที่ 69 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระศรีสวรินทราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรงประสูติ ณ วันศุกร์ขึ้น 3 ค่ำ เดือนยี่ ปีเถาะ ตรงกับ วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2434

                สมเด็จพระราชบิดาทรงเข้าเป็นนักเรียนนายร้อยทหารบกหลังนั้นทรงเสด็จไปศึกษาวิชาการทหารชั้นสูงของเยอรมันนี โดยสำเร็จการศึกษาจาก Imperial German Naval Collegeและทรงเข้ารับราชการในกองทัพเรือเยอรมันเป็นเวลา 3 ปี ต่อมาพระองค์ทรงลาออกจากกองทัพเรือของเยอรมันนี และทรงเข้ารับราชการในราชนาวีไทย ต่อมาพระองค์ทรงพระดำริว่า กิจการแพทย์และสาธารณสุขมีความสำคัญต่อประเทศไทยในขณะนั้นเป็นอย่างมาก และนับวันจะยิ่งสำคัญขึ้น พระองค์ทรงมีพระปรีชาญาณหยั่งการณ์ไกลว่าความเจริญรุ่งเรืองของประเทศชาติและความผาสุกของประชาชนชาวไทยมีความเกี่ยวโยงอย่างใกล้ชิดกับการแพทย์และการสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพสูงเมื่อทรงได้รับการชักชวนจากสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาชัยนาทนเรนทร และหม่อมเจ้าพูนศรีเกษม เกษมศรี ให้มาทรงช่วยงานในโรงพยาบาลศิริราชพระองค์จึงทรงลาออกจากราชการของกองทัพเรือ แล้วทรงอุทิศทั้งพระวรกาย พระปรีชา สามารถและพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เข้าช่วยเหลือ เพื่อวางรากฐานให้กับกิจการแพทย์และสาธารณสุขของประเทศตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

                ด้วยน้ำพระทัยอันมั่นคงกอปรด้วยพระนิสัยทำอะไรทำจริง พระองค์จึงทรงวิริยะอุตสาหะเสด็จไปทรงศึกษาวิชาสาธารณสุขศาสตร์และวิชาแพทย์ โดยได้รับปริญญา C.P.H. และปริญญา Doctor of Medicine (M.D.) จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2460ระหว่างที่ทรงศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดนั้น พระองค์มิได้เคยคำนึงถึงความสุขส่วนพระองค์แม้แต่น้อย ทรงวางแผนที่จะปรับปรุงและพัฒนาโรงเรียนราชแพทยาลัยและโรงพยาบาลศิริราชรวมทั้งได้ทรงเล็งเห็นความจำเป็นในการสร้างหลักสูตรการแพทย์ไทยให้ได้มาตรฐานทัดเทียมกับนานาอารยประเทศ ด้วยพระปรีชาพระวิริยะ และพระจริยวัตรที่น่าเลื่อมใส ศรัทธา เป็นที่ประทับใจแก่ผู้เกี่ยวข้องจึงทำให้การติดต่อกับมูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์ เป็นผลสำเร็จอย่างดียิ่งโดยได้รับความช่วยเหลือเพื่อปรับปรุงด้านการศึกษาแพทย์ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
     
                พระองค์ทรงเล็งเห็นความจำเป็นในการสร้างสรรค์อาจารย์แพทย์และอาจารย์ในสาขาวิชาการต่างๆที่เกี่ยวข้อง จึงพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์เป็นจำนวนมากในการส่งนักเรียนไทยไปศึกษาวิชาการแพทย์แขนงต่างๆ เช่น วิชาแพทย์ วิชาพยาบาล วิชาวิทยาศาสตร์ ตลอดจนวิชาทันตแพทย์ โดยมีพระประสงค์จะให้บุคคลเหล่านั้นกลับมาเป็นครูที่ดี ช่วยปรับปรุงและส่งเสริมความรู้ในสาขาวิชาที่ยังบกพร่องให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นพระราชกรณียกิจของพระองค์ในโรงเรียนแพทย์ ได้ทรงถือหลัก 3 ประการ คือ


    1. ให้การศึกษารักษาผู้ป่วยและค้นคว้าวิจัย ซึ่งในปัจจุบันแพทย์ทั่วไปก็ยังยึดถือเป็นหัวใจในการพัฒนาตนเอง

    2. ทรงปฏิบัติตนเป็นแบบฉบับที่หาผู้หนึ่งผู้ใดเสมอเหมือนได้ยาก

    3.
    ทรงเป็นตัวอย่างของนักศึกษาที่ดีและครูแพทย์ที่สมบูรณ์แบบ

                ทรงปลูกฝังอุดมคติของการเป็นแพทย์ ดังพระราชดำรัสที่พระราชทานไว้ว่า  " ฉันไม่ได้ต้องการให้เธอเป็นเพียงหมออย่างเดียวเท่านั้น แต่ฉันต้องการให้เธอเป็นคนด้วย "

                ด้วยพระคุณธรรมอันประเสริฐและน้ำพระทัยอันสูงส่งเป็นแบบอย่างของการอุทิศพระองค์ เพื่อประเทศชาติและการแพทย์ไทยประชาชนชาวไทยจึงซายซึ้งและเทิดทูนพระเกียรติคุณดังพระราชสมัญญานามว่า "
    พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย"

                พระองค์เปรียบเสมือนหนึ่งดวงประทีปที่ส่องแนววิถีอันประเสริฐ ซึ่งอนุชนรุ่นหลังพึงปฏิบัติตามพระองค์ โดยทรงดำเนินทางสายกลางซึ่งเป็นทางแห่งความพอดีและมีเหตุผลแม้จะทรงเป็นเจ้าโดยชาติกำเนิดแต่พระจริยาวัตรของพระองค์ ก็ได้ก่อให้เกิดความนิยมและจงรักภักดีอย่างลึกซึ้ง ประกอบกับทรงสละพระองค์เองทั้งพระกำลัง พระสติปัญญา และพระราชทรัพย์

                เพื่อสร้างคุณประโยชน์ให้แก่ประชาราษฎร์ เสมือนหนึ่งพระองค์ทรงเป็นผู้รับใช้จนได้รับการถวายพระนามว่า "เจ้าที่มิใช่นาย"ด้วยพระปณิธานอันสูงส่งมิได้ทรงยอมให้ฐานันดรใดๆมากีดกั้นระหว่างพระองค์ท่านและประชาชน พระองค์ทรงมีพระชนม์ชีพเพื่อทรงเกื้อหนุนผู้อัตคัตขัดสนและผู้ประสบโรคาพยาธิ มิได้ทรงเอาพระทัยใส่ต่อพระองค์เองเพราะ
    ทรงมุ่งแต่โอบอุ้มผู้อื่นจนถึงวาระสุดท้ายแห่งพระชนม์ชีพ เมื่อวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2472 เมื่อทรงมีพระชนมายุได้เพียง 37 พรรษาเศษ ซึ่งก็เป็นที่มาของ วันมหิดล ซึ่งถือว่าเป็นวันที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากสำหรับวงการแพทย์ไทย ซึ่งถือว่าเป็นวันที่พวกเราจะได้สำนึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์

                พระองค์ทรงเป็นแบบฉบับของบุคคลทุกอาชีพประกอบด้วยเมตตาธรรมและคุณธรรมอันประเสริฐ ทรงเสียสละให้ผู้อื่นโดยมิได้ทรงหวังผลตอบแทนด้วยลาภ ยศ สุข และสรรเสริญ ประพฤติเหตุทั้งปวง จึงเป็นเครื่องเชิดชูพระเกียรติคุณของพระองค์ในฐานะแพทย์ พระองค์ทรงเป็นตัวอย่างอันประเสริฐแก่แพทย์ทั่วไป ทรงเสียสละเพื่อความเจริญของกิจการแพทย์โดยส่วนรวม แม้พระองค์ได้ทรงจากพวกเราไปสู่สุขคติภพแล้ว คงเหลือแต่พระกรณียกิจและพระเกียรติคุณเป็นรอยตรึงใจจารึกแก่ผู้อยู่เบื้องหลังและเบื้องหน้าต่อไปที่มิอาจลืมเลือนได้ตราบเท่ากัลปวสาน

                พวกเราในนามของนักศึกษาแพทย์วิทยาลัยแพทยศาสตร์กรุงเทพมหานครและวชิรพยาบาลขอยึดเอาพระราชปณิธานของพระองค์ท่าน น้อมนำมาเป็นแนวทางในการปฎิบัติตนเพื่อประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ

                สุดท้ายนี้ ขอให้พวกน้องหลายๆคนที่มีความฝันว่าตัวเองอยากจะเป็นหมอ
    อย่าลืมยึดมั่นในพระราชดำรัสที่พระราชทานไว้ว่า"ฉันไม่ได้ต้องการให้เธอเป็นเพียงหมออย่างเดียวเท่านั้น แต่ฉันต้องการให้เธอเป็นคนด้วย"  และ พี่ก็หวังว่าพวกน้องทุกคนจะสามารถทำตามฝันและเป็นแพทย์ที่ดี ตอบแทนคุณแผ่นดินครับ

    BM 16
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×