ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    RE;My Best Friend

    ลำดับตอนที่ #1 : My Best Friend 1 : Wake up

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 193
      0
      12 มิ.ย. 60

    My Best Friend

    1

    Wake up ; ลืมตาตื่น

    ยินดีต้อนรับเข้าสู่โลกที่ถูกลืม

     

     

    เอาล่ะ มาสรุปสถานการณ์กันอีกครั้ง

     

    เราชื่อตอง อายุ15ปี อยู่โรงเรียนรดาวรรณ เป็นนักเรียนชั้นม.ปลายปี1 สายศิลป์คำนวณ เพิ่งเริ่มใช้คำนำหน้าชื่อว่านางสาวได้ไม่นาน ถึงตรงนี้ก็ปกติดี

     

    แล้วหลังจากนั้นล่ะ ? ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้ ?

     

    ไม่ว่าจะพยายามคิดอย่างเยือกเย็นสักกี่ครั้ง ตองก็ไม่สามารถยกอะไรที่มีเหตุผลพอจะมาอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นได้ สิ่งสุดท้ายที่ดูพิลึกน้อยสุดของวันนี้คือการตื่นนอนมาโรงเรียนและจัดเตรียมงานกีฬาสีตามปกติ หลังจากนั้น ก็เป็นเหมือนโขยงปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติเกิดตามกันถี่ๆ ตองคิดระหว่างปัดเศษปูนที่เกาะออก

     

    “...ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ ? เอ๊ะ เรื่องอะไรล่ะ” ตองขมวดคิ้ว “ไม่สิ ก่อนจะตกลงมาจากข้างบน เราทำอะไรอยู่? อะไรเนี่ย...มองอะไรไม่เห็นเลย...มืดอย่างกับตีหนึ่ง....กี่โมงแล้วเนี่ย...คนอื่นไปไหนกันหมด”

     

    ดูเหมือนความทรงจำจะหายไปส่วนหนึ่ง เด็กสาวผมทองวิ่งไปที่ประตู เอื้อมมือไปเปิดประตูเหล็กดัด เหล็กเขรอะสนิมส่งเสียงลั่นเหมือนจะพังให้ได้ตรงนั้น บรรยากาศภายนอกซึมเข้ามาสัมผัสทุกรูขุมขนบนร่างกาย มันหนักอึ้งจนรู้สึกได้ว่าไม่ควรเปิด แม้กริ่งระวังภัยในหัวเธอจะกรีดร้องบอกว่าไม่ควรเปิด มือก็สัมผัสลูกบิดเย็นเฉียบจนไม่น่าเชื่อไปแล้ว ตองรู้สึกถึงบางอย่างหลังประตู

     

    แกร่ก

     

    “เปิดไม่ออก?!”

     

    นี่มันบ้าอะไรเนี่ย เราถูกขังหรอ! ไม่สิ ประตูพวกนี้มันไม่เคยล็อกนี่ เกิดอะไรขึ้น?

     

    ตองถอยหลังมาหนึ่งก้าว ลูบแขนที่รู้สึกหนาวขึ้นมา มองความมืดรอบตัว แล้วเธอก็รัวคำถามออกมาปนกันไปหมด ตองไม่รู้ว่าจะเริ่มตั้งคำถามจากตรงไหนก่อนด้วยซ้ำ ผิดวิสัยที่ปกติเป็นคนฉลาดและใจเย็น ดูเหมือนตอนนี้สมองเธอจะแล่นได้ไม่ดีเท่าที่ควร เมื่อคิดได้แบบนั้นตองก็ค่อยๆสูดหายใจเข้าลึกแล้วตั้งสติใหม่ เธอใช้ส้นเท้ากระแทกพื้นเบาๆ

     

    ตุบตุบ

     

    “ฟู่ ใจเย็นไว้ เอาล่ะ พื้นคงไม่ถล่มแบบเมื่อกี้แล้วสินะ โอเค...ต่อไปก็ สำรวจของติดตัว”

     

    ตองสรุปสิ่งสุดท้ายที่จำได้พร้อมตั้งเป้าหมายสิ่งที่จะทำต่อไป นึกขอบคุณตัวเองที่เคยเล่นเกมแนวเซอร์ไววัลและสยองขวัญมาบ้าง เลยพอจะมีตัวอย่างให้เลียนแบบว่าต้องทำยังไงเวลาคับขัน แม้จะยังไม่เข้าใจสถานการณ์แต่การควบคุมตัวเองก็เป็นสิ่งสำคัญ เราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง บางทีตอนที่ตกลงมาเมื่อกี้อาจจะเพราะแผ่นดินไหวหรือฟ้าผ่า ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ต้องเตรียมรับมือไว้ ไม่งั้นพวกอาจารย์หรือหน่วยกู้ภัยคงมาช่วยไม่ได้ นั่นคือสิ่งที่ตองคิด แม้ในใจลึกๆจะไม่ได้เห็นด้วยสักนิดว่าสาเหตุมาจากการเกิดภัยธรรมชาติจริงๆ 

     

    ตองสลัดความคิดทุกอย่างพร้อมล้วงกระเป๋ากระโปรงและเสื้อนอกทั้งหมด

     

    “ไหนดูซิ....มีโทรศัพท์ที่แบตหมด กระเป๋าตังค์ ยางรัดผม แล้วก็ดินสอ? ดูไม่มีอะไรใช้การได้เลยแฮะ” ตองยิ้มแห้งๆ “งั้นขั้นต่อไปก็...สำรวจห้องสินะ”

     

    เด็กสาวพยายามฝืนทนต่อความกลัวบางอย่างที่มองไม่เห็น มือที่สั่นถูกกำและแบหลายครั้งกว่าจะนิ่งจนจับหนังสือบนชั้นได้ ไม่ได้คิดไปเอง...บรรยากาศที่นี่มันผิดปกติอย่างรุนแรง ทั้งตอนจะเปิดประตูแล้วก็ตอนนี้ ตองมองสำรวจคร่าวๆไปแล้วครั้งหนึ่งแต่ก็ทำซ้ำอีกเพื่อความแน่ใจ ดวงตาสีน้ำเงินประกายสั่นริกควบคุมไม่ได้เหมือนมือ

     

    ในห้องมันมีอะไรแปลกๆเหมือนมีอะไรอยู่ อะไรที่มองไม่เห็น ?

     

    สังหรณ์ร้ายแล่นไปตามผิว แม้จะไม่รู้ถึงตัวตนของความไม่สบายใจนั้นตองก็เลือกที่จะหันหน้าเข้าชั้นหนังสือและลงมือสำรวจอย่างจริงจัง เหงื่อทำให้ต้นคอเย็นวูบวาบจนรู้สึกไม่ดี มือบางไล้ไปตามสันปกหาหนังสือที่น่าจะมีประโยชน์ โดยมีความหวังว่าอยากจะออกไปจากตรงนี้เร็วขึ้นสัก1วินาทีก็ยังดี แล้วเธอก็เจอหนังสือเล่มหนึ่งที่สัมผัสแปลกกว่าหนังสือเล่มอื่น

     

    “อะไรเนี่ย....นี่มันสมุดไม่ใช่หรอ?”

     

    ตองดึงหนังสือออกมาจากช่องว่างระหว่างพจนานุกรม สมุดสันห่วงถูกอัดหล่นลงมาพร้อมกระดาษที่เสียบอยู่ แมลบสาบวิ่งออกมาจากข้างในผ่านขาไป ตองแทบจะกัดลิ้นตอนกรี๊ดออกมา หลังผ่านการปัดด้วยอาการสยองขวัญเกือบสิบทีและตรวจจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีแมลงสาบและแมลงอื่นๆเหลือรอดอยู่ เธอก็พิจารณา มันเป็นสมุดที่ดูเก่ามาก หน้าปกเป็นกระดาษที่ตกแต่งด้วยดอกไม้แห้ง กระดาษข้างในเป็นสีเหลือง มีที่คั่นหนังสืออยู่ในหน้าหนึ่ง

     

    “หนังสือเล่มนี้เป็นสมบัติของ....ราขึ้นเยอะจนอ่านไม่ออกเลยแฮะ”

     

    ตองถอนใจ แล้วเปิดไปหน้าอื่นอย่างเบามือ ดูเหมือนสมุดเล่มนี้จะเป็นบันทึกอะไรสักอย่างเพราะมีการจดวันที่ไว้โดยละเอียด แต่เนื้อหาอ่านไม่ได้เกือบทุกหน้า ตองพยายามแล้วแต่ก็ได้แค่ข้อความที่อ่านไม่รู้เรื่องเรียงๆกัน ส่วนสำคัญในแต่ละหน้ากลายเป็นแหล่งแพร่พันธุ์ของราชั้นดีไปแล้ว

     

    “....แปลกจัง”

     

    ตองพึมพำขณะพลิกหน้าสมุดไปเรื่อยๆ มีอะไรสะกิดใจเธอหลายอย่างตั้งแต่หยิบสมุดออกมาแล้ว

     

    อย่างแรกเลย เนื้อกระดาษแบบนี้มันเก่ามาก อายุน่าจะเกิน50ปี เป็นกระดาษที่ทำจากผ้าฝ้าย แต่มันกลับใส่สันห่วง? ยุคนั้นไม่น่าจะมีสันห่วง ที่แปลกที่สุด กระดาษผ้าฝ้ายนี่หลุดออกมาจากยุคไหนเนี่ย น่าจะเก่ากว่ารุ่นพ่อเราซะอีก ทำไมมันมาอยู่ในโรงเรียนได้ล่ะ? แล้วก็ชั้นหนังสือ ทั้งที่หนังสือเล่มอื่นเรียงกันตามขนาดและชื่ออย่างเรียบร้อย ทำไมถึงมีแต่เล่มนี้ที่เอาไปยัดไว้ระหว่างพจนานุกรมที่เล่มเล็กกว่าล่ะ ไม่สิ หรือว่าคนที่เอาสมุดเล่มนี้มาใส่จะเป็นคนละคนกับคนจัดหนังสือ แต่แบบนั้น ถ้าคิดว่าคนจัดหนังสือคืออาจารย์ แล้วคนที่เอาสมุดมาใส่...

     

    เป็นใครกัน...?”

     

    กึ่ก...

     

    เสียงพึมพำลอยปนไปในอากาศที่มีแต่กลิ่นเชื้อรา ตองรู้สึกเย็นวาบ ไม่ใช่เพราะความกดดันแปลกๆในห้อง...แต่อากาศกำลังเย็นลงจริงๆ นิ้วเย็นลงจนไร้ความรู้สึก ตองไม่สามารถหยุดจินตนาการน่าสยดสยองในหัวได้ รู้สึกว่าข้างหลังตัวเองที่กำลังสนใจชั้นหนังสือมีอะไรบางอย่างอยู่

     

    “เขาว่ากันว่าวิญญาณจะดึงความร้อนในอากาศมาใช้เป็นพลังงานในการปรากฏตัว เพราะงั้นเวลาอากาศเย็นขึ้นเลยแปลว่ามีผีอยู่ใกล้ๆไงล่ะ

     

    “พูดอะไรดูบรรยากาศหน่อยได้ไหม....”

     

    “ก็เพราะกำลังดูน่ะสิเลยพูด เจ๋งป่ะล่ะ ถ้าเป็นประเทศไทยคงมีพลังงานพอให้ผีโผล่หัวออกมาทั้งตำบลเลยแหละ”

     

    “ไม่เอาน่า อย่าพูดอะไรชวนให้หนีกลับบ้านตอนนี้เลยได้ไหม...”

     

    “ฮ่าๆ ตองไม่ถูกโรคกับผีหรอ ทั้งที่ชอบเกมสยองขวัญขนาดนั้นแท้ๆ”

     

    เสียงพูดที่จำไม่ได้ว่าเคยได้ยินมาครั้งหนึ่งตอนไหนเจื้อยแจ้วอย่างมีชีวิตชีวาในหัว แต่กลับยิ่งทำให้หายใจติดขัด ตองรู้สึกถึงสังหรณ์ร้ายตามแผ่นหลัง มีเสียงลมหายใจต่ำเหมือนสัตว์ป่า ไม่ต้องหันไปดูก็รู้ว่ามีอะไรอยู่แน่ๆ สำนึกในใจบอกว่าห้ามหันไป เสียงโลหะครูดผนังกับย่างก้าวเหมือนการย่องบอกเจตนาว่าอีกฝ่ายไม่ได้มาดีแน่ ทั้งสัญชาติญาณและความกลัววิ่งสวนกันไปมากระตุ้นให้ก้าวขาออกวิ่งไปซะ ในหัวมีแต่คำว่าอันตรายเต็มไปหมด

     

    ประโยคในสมุดที่ปิดไปพุ่งเข้ามาในสายตา คำที่พอจะอ่านออกพวกนั้นย้อนกลับขึ้นมาเหมือนเป็นภาพหลอน

     

    ....กลับหัว.....วิญญาณ....ตาย.....ออก.....ถูกฆ่า......

     

    ว....วิ่ง ต้องวิ่ง!! แต่จะให้วิ่งไปไหนล่ะ!?

     

    ประตูถูกปิด! ตอนนี้เธอก็เป็นเหมือนสัตว์ในคอก ถูกขัง... ต้องถูกฆ่าแน่ๆ ตองเริ่มกำชายกระโปรงสีน้ำเงิน เครื่องแบบนักเรียนสีน้ำเงินแก่ หากหาทางออกจากห้องไปก็อาจจะใช้ความมืดพรางตัวหลบไปได้ แต่เจอในระยะเผาขนแบบนี้จะทำยังไง! คิดสิตอง คิด!

     

    ในตอนนั้นก็มีความคิดประหลาดผุดขึ้นมา เป็นหนึ่งคำถามที่ไม่ควรจะมาสงสัยตอนนี้

     

    ไม่สิ ที่นี่มันโรงเรียนนะ ใจเย็นไว้ก่อน เรากำลังกลัวอะไร? แล้วใครจะมาอยู่ในที่แบบนี้ตอนกลางคืน อาจจะเป็นภารโรงรึเปล่า? ที่แน่ๆควรจะหันไปดูก่อน...ใช่ หันไปก่อน ยังไงก็ไปไหนไม่ได้อยู่แล้วนี่

     

    ความกล้าทั้งหมดถูกส่งลงไปที่ขา ตองค่อยๆบิดตัวและกลับหลังหันไปมองข้างหลัง เสียงหัวใจกระหน่ำรัวตามเสียงไม้ที่ลั่น

     

    — ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น

     

    ตองถอนหายใจโล่งอก ปลอบตัวเองว่าคิดมากไปเองแล้วเธอก็กอดสมุดไว้แนบอก เอามือทาบอกซ้ายเบาๆเหมือนจะบอกว่าให้ชีพจรกลับมาเต้นแบบปกติได้แล้ว

     

     

    ปึงปึงปึงปึงปึง!!

     

     

    “เฮือก!”

     

    ประตูถูกเคาะอย่างรุนแรง! ตองกัดลิ้นแทบจะทรุดลงไปเพราะความตกใจ คนที่อยู่หลังประตูเคาะอย่างเอาเป็นเอาตายจนแทบจะพังเข้ามา เหล็กดัดที่อยู่ฝั่งนี้สั่นสะเทือนเป็นเสียงดังพอๆกับประตู ตองถอยหลังไปทางหน้าต่าง หน้าเกร็ง ดวงตาสีน้ำเงินเบิกกว้างสั่นริก

     

    “เปิดประตู! เปิดประตูหน่อย มีคนอยู่ใช่ไหม ฉันได้ยิน”

     

    “ค...คุณเป็นใครคะ” ตองละล่ำละลักถามเสียงสั่น “เสียงแบบนี้...อาจารย์อำไพหรอคะ?”

     

    “อาจารย์อำไพ...ใช่ นี่ครูเอง! เปิดประตูเร็วเข้า!!พวกมันมาแล้ว กรี๊ด!!!”

     

    “อ...อาจารย์ เกิดอะไรขึ้นคะ”

     

    “ไม่มีเวลาอธิบายแล้ว! เปิดเร็ว ช่วยครูด้วย!!!”

     

    “แต่ว่าประตูมันล็อกอยู่น่ะค่...”

     

    “ประตูหน้าเปิดได้ แต่มันล็อกจากข้างใน เร็วเข้าๆ!! กรี๊ดดดดดดด”

     

    “ด..ได้ค่ะ จะเปิดให้เดี๋ยวนี้..แหละ?”

     

    ตองวิ่งอ้อมโต๊ะจากหลังห้องไปประตูหน้า ผมหางม้าสะบัด วางสมุดไว้บนโต๊ะ เธอจับลูกบิดสีเงินแล้วก็ตัวแข็งทื่อไป เสียงภายนอกประตู มีลมหายใจเหมือนสัตว์ป่าและกลิ่นสนิมลอยปนทำให้เกิดความลังเลว่าจะเปิดดีไหม ตองสะบัดหัวไล่ความคิดนั้นออกไป

     

    อาจารย์ต้องกำลังบาดเจ็บอยู่แน่ๆ

     

    เธอปลอบใจตัวเองแล้วหมุนลูกบิดสนิมอย่างแรง ระหว่างที่ประตูกำลังเปิด สมองตองก็เริ่มแล่นเร็วขึ้นจนภาพบานประตูที่เหวี่ยงเข้ามาดูเคลื่อนไหวช้าไป เธอได้ยินเสียงความคิดตัวเองอื้ออึงในหู

     

    เดี๋ยวสิ ทำไมอาจารย์ถึงรู้ว่าประตูหน้าล็อกจากข้างในได้ล่ะ...

     

    แล้วก็อาจารย์อำไพเพิ่งเกษียนไปเดือนที่แล้วแล้วไม่ใช่หรอ?

     


     

    “กรี๊ดดดด...ฮึฮึฮึ....”

     

    เสียงโหยหวนทรมานในตอนแรกกลายเป็นการเยาะเย้ย ตองรู้สึกถึงอันตรายเลยกระโดดถอยหลังมาหนึ่งก้าว เป็นเวลาเดียวกับอากาศตรงที่เคยยืนถูกผ่าด้วยมีดทำครัว มีดที่ถูกตวัดอย่างรวดเร็วสร้างแสงสีเงินเป็นภาพติดตาตามขวาง หญิงสูงวัยเลียริมฝีปากอวบหนา มีสีหน้ามืดมน ร่างของเธอชุ่มโชกด้วยของเหลวที่แดงกลิ่นคาว เธอหายใจหอบต่ำเหมือนสัตว์ป่าบาดเจ็บ ตองหน้าซีดถามเสียงแผ่วลงเรื่อยๆ

     

    “ค.....คุณเป็นใคร..คะ?”

     

    “ใคร? ใครงั้นหรอ?” คนถือมีดมารยาทเลวเอียงคอไปมาจนกระดูกลั่น ตองเริ่มกลอกตามองรอบๆห้อง “อาจารย์อำไพไง เธอบอกว่าฉันคืออาจารย์อำไพนี่นา”

     

    “อาจารย์อำไพ....เอ่อ หน้าตาอาจารย์ดูแปลกไปนะคะ”

     

    ไม่สิ ดูเป็นคนละคนเลยล่ะ ตองยิ้มเจื่อน กำไดอารี่ในมือแน่น พยายามพูดให้นุ่มนวลที่สุด ดึงความสนใจไม่ให้อีกฝ่ายรู้ว่ากำลังมองหาทางหนี

     

    “ไม่เหมือนหรอ? อา นั่นสินะ” เธอกอดอกทั้งที่ยังถือมีดอยู่ “งั้นอาจารย์อำไพของเธอหน้าตาเป็นแบบไหนล่ะ?”

     

    แบบนี้หรือเปล่า เธอพึมพำซ้อนกับเสียงร้อง “เอ๋” แสดงความไม่เข้าใจของตอง พริบตานั้น ใบหน้าของเธอก็สั่นไหว ก้อนเนื้อขยับเปลี่ยนรูปร่างอยู่ภายในทำให้ผิวหน้าสั่นเป็นคลื่น มีเสียงเละๆดังแผละทุกการเคลื่อนไหว ตาและจมูก...ทุกส่วนบนใบหน้าขยับตำแหน่งไปสี่ถึงห้าเซนติเมตร ความหนาของปากลดลง

     

    ผ่านไปครู่หนึ่งที่นานจนตองคิดว่าเวลาล่วงไปสัก5นาทีด้วยซ้ำ จู่ๆมันก็หยุด อิมเมจใบหน้าที่เปลี่ยนไปดูแก่ลงกว่าเดิมแต่มีความใจดีเพิ่มขึ้นมา สิ่งมีชีวิตประหลาดที่ขยับเปลี่ยนใบหน้าได้ขยับปาก ลิ้นสีแดงเริงระบำส่งคำพูดออกมา

     

    “แบบนี้ใช่ไหม หน้าของอาจารย์เธอน่ะ?”

     

     

    เอาล่ะ...ตอง หมดความอดทนแล้ว นี่ไม่ใช่เวลาจะมาตั้งสติแล้วนะ

     

    “ก....กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!!!!!”

     

    ปั่บ!!

     

    พร้อมกับเสียงกรี๊ดที่บ่งบอกว่าเธอทนเรื่องบ้าๆนี่ต่อไม่ไหวแล้ว ตองขว้างสมุดออกไปเต็มแรง มันกระแทกหน้าของสัตว์ประหลาด แต่ตองไม่สนใจว่าต่อจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้น รีบฉวยโอกาสตอนที่หนังสือบังหน้ามัน วิ่งสวนออกไปทางประตูทันที! แม้จะเสียดายสมุดนิดๆแต่ตอนนี้ชีวิตสำคัญกว่า เสียงไม้ลั่นดังกวดมาถี่ๆ ตองหลับตาและวิ่งไม่คิดชีวิต

     

    บ้าเอ๊ย! ไปทางไหนดี ทางเชื่อมตึกก็อยู่ด้านหลัง! แล้วทางข้างหน้ามัน...

     

    “กี๊ซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซ!!!!”

     

    เสียงกรีดร้องดังตามมาและดังขึ้นเรื่อยๆจนเกินขีดจำกัดการได้ยินของมนุษย์ สัตว์ประหลาดโก่งตัวและวิ่งด้วยรองเท้าส้นสูง มีดทำครัวถูกปาออกมาโดยเล็งไปที่ข้อเท้าของเด็กสาว

     

    แคร้ง!!

     

    เกิดประกายไฟ ตองหันไปดู มีดตกลงพื้น ท่าจะชนกับไรบางอย่าง เธอตั้งใจจะดูแค่ว่าตัวเองปลอดภัยหรือยังแต่ดันไปเจอะกับหน้าของสัตว์ประหลาดนั่นเต็มๆ ลูกตาเหลวยืดลงมาเป็นสาย ใบหน้าสีขาวเหมือนเนื้อตาย มีสีดำขึ้นเป็นจ้ำๆเนื้อพวกนั้นกำลังเน่าอย่างรวดเร็ว กลิ่นที่คลุ้งปนในอากาศทำเอาตองจะอ้วกเสียให้ได้ ขาเรียววิ่งพาเธอมาจนเกือบถึงบันไดแล้ว สัตว์ประหลาดนั่นวิ่งเร็วแต่ก็ช้ากว่าเธอ ปัญหาคือเรื่องความอึด เพราะอีกฝ่ายไม่มีวี่แววว่าจะเหนื่อยเลย มีอยู่สองทางเลือกตอนนี้คือวิ่งไปเรื่อยๆเพื่อหาความช่วยเหลือกับซ่อนตัว ตองรีบหมุนสมองอย่างรวดเร็ว ในตึกเรียนมืดมาก มองเห็นทางเดินแค่ตรงที่มีแสงลอดมาจากระจก ฉะนั้นตอนนี้มันต้องมองไม่เห็นเธอแน่ๆ

     

    งั้นก็เสี่ยงกันหน่อย

     

     

     

     

    ตุบตุบตุบตุบ

     

    เสียงหนักๆดังห่างออกไป สัตว์ประหลาดเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจเพราะจมูกและลูกตาเละไปแล้วเมื่อกี้ตอนถูกปาหนังสือใส่ มันอยากจะฉีกร่างเด็กสาวให้เป็นหมื่นส่วนอย่างทรมานที่สุดเพื่อชดเชยความเจ็บปวดตอนนี้ คิดแล้วมันก็โกรธยิ่งขึ้น ใบหน้าไร้ลูกตาและจมูกละลายเหมือนเทียน ในนั้นมีความมืดมนที่น่ากลัวกว่าที่เจอตอนแรกอยู่

     

    ร่างของมันหยุดยืนตรงหน้าบันได ก้าวเท้าออกไปดังตึง ทำให้ตองสะดุ้ง

     

    “ฮะฮ้า นังเด็กเจ้าเล่ห์ แกคิดว่าลูกไม้ตื้นๆจะหลอกฉันได้หรอ”

     

    แย่ล่ะสิ โดนรู้แล้วหรอ?! ไม่ตอง ใจเย็นไว้ ความอาจจะยังไม่แตก แต่ต้องมองหาทางหนีทีไล่ให้ดี ถ้าจวนตัวแค่ต้องวิ่งก็พอ ก็แค่วิ่งหนีให้พ้น..

     

    ตองคิดแบบนั้นทั้งที่มันไม่ง่ายอย่างที่คิด แค่วิ่งอาจจะรอดไปได้แต่ก็แค่แป๊บเดียว ถ้าหมดแรงเมื่อไหร่จะถูกจับได้...หลังจากนั้นไม่อยากคิดเลยว่าสภาพศพจะเป็นยังไง คำว่า ก็แค่ ที่พูดไม่ได้ง่ายแบบนั้นสักนิด ตองเลยเลือกจะเดิมพันกับความเงียบในช่วง4-5วินาทีนี้

     

    เงียบให้ได้มากที่สุด! ไม่อย่างนั้นก็ต้องตาย เป็นเรื่องที่เดิมพันด้วยชีวิต..

     

    “มีเสียงฝีเท้าอยู่ข้างล่างแล้วคิดว่าข้าจะตามลงไปรึไง? เฮอะ เพราะข้างล่างมีห้องมากมายให้หลบ แต่ชั้นบนที่เป็นชั้นสี่เป็นชั้นปิดตาย มีทางขึ้นลงแค่ทางเดียว คนฉลาดอย่างแกไม่ไปรนหาที่แบบนั้นหรอ คิดว่าฉันจะคิดแบบนี้ แกเลยคิดจะหลอกฉันด้วยเสียงรองเท้าที่โยนลงไปว่าลงไปชั้นล่างแต่จริงๆอยู่ชั้นบนใช่ไหม เจ้าความคิดนักนะ”

     

    ตองได้ยินกระทั่งเสียงเยาะเย้ย ความเครียดทำให้เริ่มแสดงนิสัยเสียด้วยการกัดเล็บ

     

    “แต่เปล่าประโยชน์ถึงแกจะหนีจากชั้นไปได้ แกก็ไปจากที่นี่ไม่ได้หรอก”

     

    เพราะเพื่อนไม่อนุญาตยังไงล่ะ มันพึมพำ ลิ้นที่กลายเป็นสีเนื้อตายแดงคล้ำเลียใบมีดสีเงินที่มีเลือดแห้งกรัง ตองไม่คิดอยากจะสงสัยว่าเลือดพวกนั้นมาได้ไง เพราะถ้าไม่ตั้งสติให้ดีในตอนนี้ เลือดที่จะไปฉาบเพิ่มบนนั้นก็คงเป็นเธอ!

     

    “เฮอะ ทำให้ฉันต้องมาใช้ความคิดจนเหนื่อยซะได้ เตรียมใจไว้ ฉันจะสับแกเป็นชิ้นๆเลยคอยดู!!!”

     

    สัตว์ประหลาดคำรามตั้งท่าจะวิ่งไปชั้นบน ตองกอดตัวเองไว้และเตรียมจะวิ่งออกจากที่ซ่อน พริบตาที่ความกดดันทำให้ได้ยินเสียงอวัยวะภายในทุกอย่างนั่น..

     

    ตุบตุบตุบตุบตุบตุบตุบตุบ

     

    มีเสียงหนักๆจากบันไดลงชั้นล่าง ตองมองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่เข้าใจ ในขณะที่สัตว์ประหลาดหันความสนใจไปทางต้นเสียง ไม่นานมันก็กระโจนลงไปชั้นล่างพลางคำรามหัวเสีย

     

    “เวรเอ๊ย!อยู่ข้างล่างหรอกเรอะ!!”

     

    เสียงการทำลายข้าวของดังไกลออกไป ตองใช้มือปิดปากและยังหลบอยู่ในที่ซ่อน ดวงตาสีน้ำเงินประกายจับจ้องเข้าไปในความมืดของชั้นบนบันไดไปชั้นสี่ มือขาวๆที่ปล่อยลูกบอลลงมาหายไปแล้ว แต่ยังรู้สึกในบรรยากาศว่ามีคนอยู่ ความหนาวเย็นยังเกาะอยู่บนผิวทำให้ลังเลว่าควรขอบคุณดีไหม ในตอนนั้น อีกฝ่ายก็พูดก่อน

     

    “เหนื่อยหน่อยนะ” เป็นเสียงที่เย็นเยียบ ใครก็ตามที่อยู่บนนั้นพูดต่อราวกับกำลังร้องเพลง “ขอโทษที่ต้องพูดแบบนี้แต่เพื่อนของเธออยู่ชั้นล่างน่ะ ถ้าไม่ทำแบบนี้เธอต้องตายแน่ แต่ปล่อยไปแบบนี้เพื่อนเธอก็จะตายเหมือนกัน ฉันให้เธอตัดสินใจแล้วกัน

     

    “อะไรนะ!”

     

    ตองรีบร้อนออกมาจากซอกข้างบันไดที่เป็นห้องเก็บของ เมื่อกี้ถ้าเกิดสัตว์ประหลาดนั่นวิ่งไปข้างบนเธอก็คงจะรีบวิ่งสวนไปยังทางเชื่อมตึกทันทีตามแผนCที่คิดไว้ เมื่อหยัดตัวขึ้นยืนเต็มที่และมองขึ้นไป...เจ้าของเสียงน่าขนลุกนั่นหายตัวไปแล้ว ตองสงสัยว่าเธอหายไปได้ยังไงโดยไม่ได้ยินแม้แต่เสียงฝีเท้า แต่เรื่องนั้นถูกพับเก็บไปก่อนเพราะใจความสำคัญที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ น้ำหนักของการสำรวจทางเชื่อมตึกและการช่วยเพื่อนถูกชั่งอยู่ในหัว เป็นน้ำหนักที่ชั่งได้เข้าใจง่ายอย่างสุดๆ

     

    “โธ่เอ๊ย!!!”

     

    เด็กสาวสบถและรีบวิ่งลงบันไดไป

     

    “....ค่ำคืนฉันยืนอยู่เดียวดาย เหลียวมองรอบกายมิวายจะหวาดกลัว มองนภามืดมัวสลัวเย็นย่ำ ค่ำคืนเอ๋ย

     

    ร่างสีขาวที่หลบอยู่ในความมืดของระเบียงชั้นสี่ ถักทอเสียงท่อนหนึ่งของเพลงนกขมิ้นเบาๆคลอไปกับเสียงฝีเท้าที่รีบเร่ง ดวงตาสีทองหม่นกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกับความมืด ริมฝีปากระบายโค้งน้อยๆ สร้างรอยยิ้มที่ไม่น่าไว้ใจ

     

     

    ยามนี้เราหลงทางกลางค่ำ ยินเสียงร่ำคำบอก เจ้าช่อไม้ดอกเอ๋ย

    เจ้าดอกขจร ฉันร่อนเร่พเนจร ไม่รู้จะนอนไหนเอย เอ๋ย.....หัวอกเอย

     

     


    ——————————————— v ———————————————

     


    ภาพจากจอมอนิเตอร์นับสิบอัดแน่นอยู่เต็มกำแพงจนไม่มีที่ว่าง ราวกับว่าทั้งผนังกลายเป็นจอมอนิเตอร์ แสงสลัวจากจอทั้งหมดสะท้อนในดวงตาไร้แสงสว่าง ภาพที่กระจ่างชัดในดวงตาเป็นหลักฐานว่าตาคู่นั้นมันช่างว่างเปล่า

     

    “เหงาจังน้า.....”

     

    เสียงถูกเอ่ยออกมาอย่างเลื่อนลอย ร่างที่ถูกแสงกระทบจนมองไม่เห็นหน้ามองไปยังทุกคนในจอภาพด้วยแววตาเพ้อฝัน แล้วมือนั้นก็เคลื่อนเข้าใกล้แผงวงจรมากมายตรงหน้า หน้าจอมือถือแบบพับกระพริบแสงสีซีด ร่างนั้นเอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์มาดูใกล้ๆ

     

    ถาดเข้า 1 ข้อความ

     

    “เอาล่ะ งั้นก็มาเริ่มกันเลย”

     

    บุคคลนั้นแสยะยิ้มอย่างไม่น่าไว้ใจ มือก็ขยับไปหาไมโครโฟนและเริ่มกดปุ่มกระจายเสียงไปทั่วโรงเรียน ไมค์หอนอย่างไม่น่าไว้ใจก่อนจะส่งเสียงคุณภาพต่ำออกไป

     

     

    “สวัสดียามค่ำคืนนะทุกคนๆ~ ยินดีต้อนรับเข้าสู่โลกที่ถูกลืม!!”

     

     

    อีกครั้งและอีกครั้ง ส่งเสียงที่ระดับความถี่345เฮิรตซ์ออกไป......ให้ใครสักคนได้ยิน

     

     



     

    WB :  ก็จบกันไปแล้วนะคะกับบทที่1 ด้วยความกากทั้งหมดที่มี วาดรูปประกอบลงไปด้วยค่ะ๕๕๕ ไม่รู้ไปเอาความขยันมาจากไหน เรื่องเวลาอัพอาจจะไม่ค่อยแน่นอนนะคะเพราะเป็นเด็กเตรียมเอนท์แล้ว(แม้จะยังไม่สำนึกตัวเท่าไหร่--) รีไรท์รอบนี้อยากจะลองเขียนเป็นเรื่องสยองขวัญแบบที่ชอบดูน่ะค่ะ อาจจะมีข้อผิดพลาดเต็มไปหมดเพราะชอบลองอะไรแปลกๆเข้าไปบ่อย ขอโทษด้วยนะคะ ฮือ๕๕๕ ถ้ามีคำผิดหรือข้อแนะนำก็บอกได้นะคะ เราชอบอ่านและตอบคอมเม้นค่ะ ฟฟฟฟ

    แล้วก็รีไรท์รอบนี้สิ่งที่จะเปลี่ยนจากอันเดิม(อยู่ในไอดีนี้แหละถ้าใครจะไปขุดอ่านนะคะ)

    1. ตัวจริงของเพื่อน

    2. ตัวจริงของคนทรยศ

    3. เนื้อเรื่องหลายๆอย่าง

    4. บุคลิกของทุกคนและความสัมพันธ์

    5. ปรับให้โลกMBFมีรายละเอียดเยอะขึ้นรวมถึงปรับแมพด้วย

    ตามนี้แหละ พรุ่งนี้ไปเรียนแล้วขี้เกียจจัง๕๕๕ ถ้ามีอะไรก็พิมพ์มาได้เลยนะคะ ฝากผลงานด้วยค่ะ  เลิฟๆรีดเดอร์ จุ๊บๆ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×