คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : Niger - V
V
“หมดธุระแล้วก็กลับไป คงไม่ต้องส่งหรอกนะ”
ถ้อยคำเย็นชาแล้งน้ำใจที่เอ่ยไล่ ยังไม่ทำให้สีหน้าของนายแบบหนุ่มเปลี่ยนแปลงไปสักนิด
ร่างสูงเพียงยักไหล่ ก่อนจะก้มลงหยิบเสื้อเชิ้ตมีราคาของตนกลับมาสวมบนร่าง กลัดกระดุมทีละเม็ดอย่างใจเย็นเหลือเกิน ขณะที่สายตา...จับจ้องอยู่กับเจ้าของร่างประเปรียวบนโซฟา...ไม่คลาดคลา
คยองซูพยายามเมินมองสายตาหยาบคายจาบจ้วงนั้นของอีกฝ่าย ทว่าลมหายใจก็ยังสั่นพร่า ความรู้สึกขยะแขยงชิงชังแล่นวาบเสียดขึ้นจากหัวใจจรดยังปลายนิ้วเย็นเฉียบ ดังนั้นก่อนที่อีกฝ่ายจะทันใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยเขาก็รวบรวมกำลังฝืนหยัดยืนขึ้นอย่างอดรนทนไม่ไหว
สะกดกลั้นความอับอายยามสิ่งที่คั่งค้างอยู่ในกายไหลรินอีกครั้งตามแรงโน้มถ่วง...เรื่อยระเปรอะเรียวขาขาวเปล่าเปลือย ...ตั้งแต่โคนขาถึงปลายเท้า ทั้งยังทิ้งร่องรอยโสมมเอาไว้บนพื้นเป็นด่างดวง
ชายหนุ่มเม้มริมฝีปาก ยังคงฝืนเหยียดกายให้ตั้งตรงงามสง่า ไม่ยินยอมให้ค่าของตนถูกทำให้แปดเปื้อนด้อยลง เปิดเผยความอ่อนแอบอบช้ำจากการถูกบังคับข่มเหงให้อีกฝ่ายได้สาแก่ใจ สักนิดก็จะไม่...จะไม่...
เขาก้าวเท้าเร็วรี่เท่าที่จะทำได้ พาตัวเองกลับเข้าไปในห้องนอน ...ที่ห้องน้ำด้านใน
แผ่นหลังแนบอิงกับผนังกระเบื้องเยียบเย็น ขณะที่เปิดฝักบัวรินรดน้ำอุ่นร้อนสู่ผิว เพื่อชำระคราบไคลโสโครกทั้งหลาย และสัมผัสที่ชวนให้สะอิดสะเอียนซึ่งยังคงตกค้างบนกาย...
ร่างประเปรียวที่เดิมทีเหยียดตรงเข้มแข็งค่อยๆ อ่อนกำลัง ไถลทรุดลงนั่งคุดคู้ ชายหนุ่มซบใบหน้าลงกับเข่า ...อย่างเงียบงันอยู่ภายใต้การประพรมของหยาดน้ำ สองไหล่ลาดที่กำลังสั่นสะท้านอยู่นั้น...ไม่ทราบว่าด้วยเหน็บหนาว....
หรือว่า...
แม้แผ่นหลังที่เปรอะไปด้วยร่องรอยของตัวนั้นจะลับหายไปเบื้องหลังบานประตูเนิ่นนานแล้ว ทว่าจงอินก็ยังจับจ้องประตูไม้สีเข้มบานนั้นเหมือนปรารถนาที่จะมองทะลุถึงข้างใน สีหน้าของนายแบบหนุ่มแม้เยียบเย็น ทว่าที่ในดวงตา...กลับค่อยๆ เต็มปริ่มเอ่อล้นด้วยความรู้สึกผิดเศร้าสร้อยขึ้นมา
เขานิ่งอยู่อีกครู่ใหญ่กว่าที่จะสามารถหักใจหมุนกายเดินออกมาจากห้องได้
ยามที่ก้าวเดินออกมาด้านนอก และปิดประตูตามหลัง ในอกก็ปรากฏความรู้สึกวูบโหวงหนึ่งสาย ด้วยทราบดี...ว่านี่คงจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้มาเหยียบเยือน...
นายแบบหนุ่มพรูลมหายใจยาว เงยหน้าขึ้นมองเพดานสะอาดสะอ้านด้านบน ...ครรลองสายตาพร่ามัว...ด้วยหยาดน้ำที่พยายามสะกดกลั้นเอาไว้
ดีแล้ว
เขาบอกกับตัวเอง
อย่างนี้ดีแล้ว
ตอกย้ำหวังจะให้เข้าใจ
หากไม่สมควรจะได้รับการอภัย ไม่ว่าจะทำอย่างใดก็จะไม่มีวันได้รับโอกาสนั้นได้
ถ้าหากว่าเป็นอย่างนั้น ก็เกลียดชังกันเถอะ เกลียดให้สุดขั้วหัวใจ เผชิญหน้าด้วยการหันด้านเหลี่ยมแหลมคมเข้าใส่กัน ทำร้ายอีกฝ่ายและสลักตัวตนของกันและกันไว้ในรูปแบบของรอยแผลที่บนร่างกาย...ที่หัวใจ...
มาจุดเพลิงสงครามนี้ให้ยิ่งลุกโรม ผลาญกันให้สิ้นจนกว่าจะเหลือเพียงธุลี
แบบนั้น...อาจจะเจ็บปวดน้อยกว่าการเฝ้าฝันหาสันติความสงบใจ...ที่ไม่มีวันจะคว้าได้มาไว้ในครอบครอง
“คุณว่าจริงไหม...คยองซู?”
ท่ามกลางเพลิงไฟที่ยังคงแผดเผาหัวใจ เข็มนาฬิกาก็ยังเดินไป วันที่บนปฏิทินก็ยังเปลี่ยนแปลง...
วงการบันเทิงของเกาหลีนั้น...บางครั้ง...ก็คับแคบกว่าที่ผู้คนต้องการให้เป็น
“นายแบบจะมาถึงเมื่อไหร่ครับ?” เสียงเรียบเย็นเสียงหนึ่งถามออก แม้ไม่มีความคาดคั้นเอาเรื่องในน้ำเสียง ทว่าคนฟังก็ยังรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่บีบคั้นเข้าหา อีกฝ่ายเป็นเพียงช่างภาพคนหนึ่งแท้ๆ ...ทว่ากับช่างภาพมากฝีมือผู้เป็นที่รู้จักในระดับประเทศอย่างโดคยองซูคนนี้ ต่อให้เป็นผู้รับผิดชอบงานที่มีอำนาจในมืออย่างเขาก็ยังต้องให้ความเกรงใจ
“นายแบบที่ติดต่อไว้ประสบอุบัติเหตุระหว่างมาที่นี่เลยมาไม่ได้ ทางเรากำลังติดต่อกับทางต้นสังกัดอยู่ครับ ต้องขอโทษจริงๆ ที่ล่าช้าถึงขนาดนี้”
ชายหนุ่มฟังแล้วก็ได้แต่ขมวดคิ้ว ริมฝีปากรูปหัวใจเม้มเป็นเส้นตรง กิริยาไม่ใช่อย่างคนกำลังรู้สึกอารมณ์ดี
เพียงแค่การล่าช้าของแผนงานเดิมทีก็เป็นอะไรที่น่าหงุดหงิดมากพอแล้ว อย่าว่าแต่หลายวันมานี้สภาวะอารมณ์ของเขายิ่งไม่ใกล้เคียงกับคำว่าปรกติสักเท่าใด ดังนั้นความขุ่นเคืองเพียงเล็กน้อยก็ยังสามารถทบทวีกัน...สุมขึ้นเป็นเพลิงไฟ ...พร้อมจะโหมไหม้ทำร้ายผู้คน
คยองซูถอนหายใจแรงๆ ไม่คิดปิดบังความโกรธเกรี้ยวขุ่นใจ มือเรียวยกเสยเรือนผมที่ปรกตาให้พ้น ก่อนจะหยิบมวนบุหรี่ขึ้นมาคาบไว้ระหว่างกลีบปากอิ่มของตัวแล้วจุดไฟ สูดรับนิโคตินเข้าปอดหวังจะช่วยให้ตนสงบลง ข่มความรู้สึกอยากอาละวาดที่ตื้นเต็มขึ้นมาในอกลงได้
ควันบุหรี่สีเทาขุ่นพรูออกมาเป็นสาย น้ำเสียงกระด้างเอ่ยออกอีกครั้ง
“ตอนนี้สิบเอ็ดโมงแล้ว ผมหวังว่าคุณจะหานายแบบคนใหม่มาแทนได้ก่อนเที่ยง ไม่อย่างนั้นก็คงต้องขอให้งานนี้เป็นงานสุดท้ายระหว่างเราแล้วนะครับ”
เมื่อได้ยินคำคาดโทษอย่างนั้น ทางผู้รับผิดชอบก็ได้แต่ค้อมตัวก้มศีรษะลง ขอโทษขอโพย
“ซ...ทราบแล้วครับ! ต้องขอโทษอีกครั้งนะครับ!”
ช่างภาพหนุ่มมองท่าทีลนลานของฝ่ายนั้น ทำอะไรไม่ได้นอกจากพ่นควันขุ่นออกมาอีกระลอกหนึ่ง หมุนตัวสาวเท้าเดินไปยืนหลบสูบบุหรี่อยู่ที่มุมไกลๆ พิงแผ่นหลังลงกับต้นไม้ใหญ่ แผ่กำแพงไม่น่าเข้าใกล้ไว้รอบตัวหลีกเลี่ยงที่จะเสวนากับใครก็ตามเพื่อที่จะได้ไม่เผลอระเบิดอารมณ์ลง
ยามที่แว่วยินเสียงสั่งการคาดคั้นให้หาตัวนายแบบอย่างเร่งด่วนก็ได้แต่พรูลมหายใจออกมาอีกครั้ง
รอคอย...
“ว่ายังไงนะ ได้แล้วหรือ?”
“ครับ ทางนั้นบอกว่ามีนายแบบที่ถ่ายทำใกล้ๆ นี่พอดี เสร็จงานของกองนั้นแล้วด้วยจะมาถึงในอีกสิบนาทีครับ”
“ฮู่...ค่อยยังชั่วหน่อย บอกให้เจ้าตัวรีบมาเถอะ ทีมงานรอกันแย่แล้ว”
คยองซูหลับตา ปล่อยให้สายลมยามสายปัดเป่าความร้อนของแดดที่ลอดผ่านร่มเงาใบไม้ สูดลมหายใจลึกยาว...คลื่นอารมณ์ที่หมุนม้วนอยู่ในอกค่อยๆ สงบลง
ทว่าเขาไม่ทราบหรอก ...ว่าในอีกสิบนาทีต่อมา ความสงบนั้นจะถูกทำให้เป็นจุลไป
ท่ามกลางไฟกองนั้นที่ยังคงลุกโรจน์ จะโรยแสงแม้สักนิดก็หาไม่... คยองซูก็ตระหนักถึงคำนั้นได้
...วงการบันเทิงนั้นแคบเล็กกว่าที่ผู้คนต้องการให้เป็น
“สวัสดีครับ”
ดวงตาเยียบเย็นมองนายแบบที่ปรากฏตัวทักทายตรงหน้า มีความกร้าวลึกประการหนึ่งผุดพรายขึ้นมาในลูกแก้วคมหวาน
ช่างภาพหนุ่มเอียงใบหน้ามองผู้รับผิดชอบการถ่ายทำที่ยืนอยู่ข้างกัน มองรอยยิ้มประจบประแจงเอาใจที่ฝ่ายนั้นส่งให้อย่างเฉยชา แล้วกล่าวเสียงเรียบ หนักแน่นมั่นคง...โดยไม่จำเป็นต้องครุ่นคิดลังเลแม้สักเสี้ยววินาทีเดียว
“ผมไม่ถ่าย”
“เอ๊ะ แต่ว่า...!”
“ถ้าคุณจะใช้นายแบบคนนี้ ก็ไปหาช่างภาพคนอื่นมาซะ ผมไม่ถ่าย”
ดวงตากลมคมหันเบือนกลับมา มองเครื่องหน้าหล่อเหลามีเสน่ห์ของผู้ชายตรงหน้าด้วยสายตาที่ยิ่งทวีความรังเกียจชิงชัง แทบจะในทันทีที่กล่าวคำสุดท้ายในประโยคจบ ทว่าเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกรั้งเอาไว้ด้วยการยึดยื้อของใครอีกคน
“เดี๋ยวสิครับ”
สัมผัสจากมืออุ่นจัดที่รัดรั้งต้นแขน... ทำให้ความขยะแขยงพะอืดพะอมแล่นริ้วจากจุดที่สัมผัสกันไปยังทั่วทุกส่วนของร่างกาย คยองซูสะบัดมืออย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ กิริยาหุนหันก้าวร้าวจากคนที่วางตัวสง่างามเสมอมาทำให้ใครต่อใครประหลาดใจ
“ทำตัวให้เป็นมืออาชีพหน่อยสิครับ คุณคยองซู”
ใบหน้าของช่างภาพหนุ่มซีดเผือดราวกับหน้ากากที่ทำขึ้นจากขี้ผึ้งชั้นเลว ทว่าก็ยังจะฝืนทนไว้
“ผมเป็นมืออาชีพอยู่แล้ว คุณไค” เขาเชิดหน้า กล่าวเสียงเรียบของตนต่อไป “ถ้าคิดใช้คำนั้นกับผม คุณก็ควรจะลองพิจารณาดูใหม่ ว่าใครกันแน่ที่ไม่มีความเป็นมืออาชีพ”
เจตนาเป้าหมายของคำนั้น อยู่ที่ผู้รับผิดชอบที่ยืนละล้าละลังอึกอักอยู่ไม่ห่างออกไป
“ผมไม่คิดเลยว่าทีมงานของคุณจะไม่มีความรับผิดชอบไม่ใส่ใจขนาดนี้ได้ งานชิ้นนี้ของพวกคุณเป็นงานที่จะใช้ใครแบบไหนมาเป็นนายแบบก็ได้งั้นหรือ?” ไม่มีใครกล้าจะเถียงคำเสียดสีเย็นชานั้นสักคน ก็ในเมื่อนายแบบหนุ่มผิวแทนตรงหน้า ช่างแตกต่างกับนายแบบคนเก่าที่ตกลงกันไว้จริงๆ
ถึงแม้ว่าก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะปรับเปลี่ยนคอนเซ็ปต์เพื่อให้งานดำเนินต่อไป... ทว่า...
โดคยองซูไม่นึกอยากทำ
“ในเมื่อนายแบบจะเป็นคนไหนก็ได้ ช่างภาพก็คงไม่ต่างกันกระมัง อย่างนั้นผมขอตัว”
ในที่สุดก็สามารถสะบัดมือออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่ายได้สำเร็จ คยองซูคว้ากล้องและกระเป๋าอุปกรณ์ส่วนตัวของตนมาไว้ในมือได้ ก็ผละจากไปโดยไม่ฟังคำร้องขอทัดทานของใครหน้าไหน
จากไปทั้งที่ทราบดี... ว่าการแสดงออกอย่างนี้ จะทำให้เกิดผลกระทบอย่างไรตามมา
“แล้วทีนี้จะทำยังไง...” ผู้รับผิดชอบงานได้แต่ร้องครวญสิ้นหวัง “ทำให้เขาโกรธแบบนี้ เห็นท่าจะแย่แล้วจริงๆ...”
เขาเหลือบมองทางนายแบบที่ยังยืนนิ่งอยู่อีกครั้ง คล้ายจะมองเห็นความเจ็บปวดบางเบาในแววตางดงามทรงเสน่ห์ ด้วยคร่ำหวอดอยู่ในวงการอย่างนี้มาไม่ใช่ชั่วระยะเวลาสั้นๆ ดังนั้น...จึงเริ่มรู้สึกถึงบางสิ่งได้ลางๆ
“คุณควรจะบอกแต่แรก ว่าช่างภาพเป็นเขา...” จงอินว่าเพียงเท่านั้น ก่อนจะเงียบไปไม่บ่งชัดถึงบทสรุปของข้อความ เปลี่ยนเป็นการเอ่ยปากขอถอนตัวจากงานไปอีกคน
การถ่ายทำดำเนินต่อไปไม่ได้โดยไม่มีช่างภาพ ยิ่งปราศจากนายแบบอย่างนี้พวกเขาก็ได้แต่พักกองไว้ก่อน หลังจากนั้นงานจึงค่อยได้เริ่มขึ้นใหม่หลังจากการไกล่เกลี่ยกับช่างภาพคนดังผ่านพ้นไป โดยในการเจรจาครั้งนั้น...เงื่อนไขหนึ่งเดียวที่แจ้งบอก....คือการระบุชื่อของคนที่ไม่ประสงค์จะทำงานร่วมกัน
เรื่องการกระทบกระทั่งกันระหว่างนายแบบและช่างภาพอย่างนี้ความจริงเป็นเรื่องเล็กน้อยอย่างยิ่ง ปรกติแล้วอาจมีพูดถึงกันบ้างสองสามครั้งก่อนถูกข่าวคาวมืดดำน่าสนใจอย่างอื่นกลบฝังจมหาย ทว่าคนที่เกี่ยวข้องในเรื่องราวนี้บังเอิญเป็นโดคยองซู....ช่างภาพมากฝีมือผู้ไม่เคยให้ปัจจัยอื่นใดมาทำให้เสียงาน
ข่าวยิ่งลือยิ่งไกล และด้วยผลกระทบจากข่าวนั้น ...ก็ทำให้จงอินตระหนักถึงอิทธิพลของอีกฝ่ายที่มีต่อวงการนี้ได้ชัดเจนกว่าที่เคยรู้
[...จงอิน งานตอนบ่ายพรุ่งนี้ไม่ต้องแล้วนะ ทางนั้นแคนเซิลมา งานของนิตยสาร M วันอาทิตย์ก็เหมือนกัน]
“ครับ” คิมจงอินตอบรับเพียงแค่นั้น เมื่อได้รับฟังคำจากปากผู้จัดการส่วนตัว
สีหน้าของนายแบบหนุ่มเฉยชาไม่ยินดียินร้าย แม้ว่าหนนี้จะเป็นการยกเลิกสัญญาครั้งที่ 5 ภายในเวลาแค่สองอาทิตย์ ...ตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่ได้พบกันกับคนๆ นั้น
[…] ที่ปลายสายเงียบอยู่นาน ทว่าก็ไม่ได้ตัดไป จงอินเองก็ไม่ได้ว่าอะไร รู้ว่าอีกฝ่ายคงจะมีคำใดอยากบอกกับตนจึงได้รอคอย
และในที่สุด...จงแดก็เอ่ยออกมา
[จงอิน เรื่องคุณคยองซูน่ะ ไม่รู้ว่าพวกนายมีปัญหาอะไรกัน... แต่...ลองไปขอโทษเขาสักหน่อยไหม?]
เสียงนั้นระมัดระวังในการเลือกใช้คำ ทราบดีหรอกว่าศักดิ์ศรีความยึดมั่นที่อีกฝ่ายยึดถือไว้นั้นหนักหนาเพียงไร หากปลดวางกันได้ง่ายๆ จงอินก็คงจะทำไปแล้ว ไม่ต้องรอให้เขาเอ่ยเตือน
นายแบบหนุ่มพรูลมหายใจ... ไม่บ่งบอกอารมณ์...
“ถ้าอยากให้ไป จะไปให้ก็ได้...แต่ผมบอกไว้เลย ว่ามันไม่มีประโยชน์อะไร”
เขาทราบดีนัก ว่าคำขอโทษไร้สาระอะไรนั่น ไม่มีทางจะใช่สิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจากกัน... การได้เห็นเขาย่อยยับลงต่อหน้า นั่นต่างหากคือสิ่งที่โดคยองซูต้องการ
[ไอ้หมีเอ๊ย... นายไปทำอะไรเอาไว้กันแน่วะ] จงแดพึมพำอย่างงุ่นง่านใจเมื่อฟังคำคาดเดาของนายแบบหนุ่มในความดูแล ส่วนจงอินก็ได้แต่เงียบอีกตามเคย
“...”
[เออๆ ไม่อยากตอบก็ไม่ต้องตอบ]
[ยังไงซะ ไปก็ดีกว่าไม่ไป ถ้านายโอเค พี่จะสั่งช่อดอกไม้สำหรับขอโทษให้ไปส่งที่คอนโดนายพรุ่งนี้แล้วกัน] นายแบบหนุ่มส่งเสียงอืมรับคำอย่างว่าง่าย ก่อนจะวางสายโดยไม่โต้แย้งอะไร
ร่างสูงโยนโทรศัพท์มือถือลงกับโซฟาเบดกลางห้อง ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนตาม ใบหน้าคมคายแนบสนิทกับหมอนใบโตในขณะที่สายตา...เหม่อลอย ครู่ต่อมาจึงค่อยหลุบปิดลง...
พรุ่งนี้...
ช่อดอกไม้งดงามถูกส่งมาให้ในตอนเช้าตรู่ ดอกลิลลี่นำเข้าสีขาวดอกใหญ่มีราคาในช่อสีเงินเรียบหรู พร้อมทั้งใบเฟิร์นเขียวสดดูสบายตา เหมาะนักกับการเป็นของขวัญแทนคำขออภัย... ในกรณีอื่นที่ไม่ใช่ความบาดหมางระหว่างพวกเขาน่ะนะ
จงอินมองดอกไม้ช่อใหญ่ในมือ ก้มหน้าลงเล็กน้อยแล้วถอนหายใจ กระนั้นก็ยังก้าวเดินต่อไปด้วยฝีเท้ามั่นคงไปตามทางเดินในสตูดิโอ
“!!” แรงปะทะอย่างกะทันหันที่หัวไหล่ ทำให้นายแบบหนุ่มเซไปเล็กน้อย เมื่อหันกลับมาดูก็เห็นนายแบบรุ่นน้องที่พอจะคุ้นหน้าอยู่บ้างคนหนึ่งกำลังมองมา ด้วยสีหน้าที่บ่งบอกได้ว่าอุบัติเหตุเมื่อครู่ไม่ได้เกิดจากความไม่เจตนา
“ขอโทษนะครับรุ่นพี่ไค พอดีมองไม่เห็น”
“...” ฟังคำขอโทษที่ปั้นแต่งไม่จริงใจอย่างนั้น เขาก็ยังไม่ได้ว่าอะไร เพียงใช้สีหน้าเฉยชามองอีกฝ่ายเช่นเดิม
ความนิ่งสงบอันสง่างามอย่างนั้น พาลทำให้คนที่มาหาเรื่องรู้สึกกลายเป็นตัวตลกไป อีกฝ่ายนิ่งราวกับเขาเป็นแมลงไร้ค่าสักตัว ไม่จำเป็นต้องสังเกตใส่ใจ ดังนั้นหน้ากากแย้มยิ้มที่สวมไว้จึงหลุดล่อนปลดคลาย เปลี่ยนเป็นการแสดงสีหน้าดูแคลนชัดเจน
“คนขอโทษแล้วยังทำเป็นหยิ่งอยู่ได้ ยังคิดว่าตัวเองเป็นนายแบบชั้นแนวหน้าของวงการที่ใครๆ ก็ยังต้องก้มให้อยู่หรือไง?” คู่สนทนาว่าพลางแสยะยิ้มเยาะหยัน
“ไปเหยียบเท้าช่างภาพชื่อดังระดับนั้น แทนที่จะทำตัวจองหองอย่างเดิม เตรียมตัวบอกลาวงการ หาอาชีพอื่นเลี้ยงดูตัวเองไม่ดีกว่ารึครับ?” ใช้ถ้อยคำรุนแรงหยามหยันกันเช่นนั้นจบอีกฝ่ายก็ไป จากเริ่มต้นจนสุดท้ายจงอินไม่ได้พูดอะไรออกมาสักครึ่งคำ
นายแบบหนุ่มหลุบมองช่อดอกไม้ในมือ ถอนหายใจ
ทว่าที่สุดก็ยังเดินต่อไปตามจุดมุ่งหมายเดิมของตัว
ไม่นานร่างสูงก็หยุดยืนอยู่หน้าประตูบานหนึ่ง ป้ายที่ประดับบนนั้นแจ้งให้เขาทราบว่าห้องที่อยู่อีกฝั่งของบานไม้ เป็นห้องพักส่วนตัวที่จัดไว้สำหรับช่างภาพคนสำคัญระหว่างการทำงาน
เขายกมือขึ้น ใช้ข้อนิ้วเคาะลงกับบานประตูสองสามครั้งอย่างเปี่ยมมารยาท กระทั่งได้ยินเสียงเรียบทุ้มดังลอดออกมาว่าอนุญาต จึงเปิดประตูเข้าไป
“...” อากาศในห้องเหมือนอุณหภูมิลดต่ำลงโดยพลันทันทีที่เจ้าของห้องและแขกผู้มาเยือนได้พบเผชิญ
ช่างภาพหนุ่มนั่งนิ่งอยู่ที่โซฟากลางห้อง ในมือถือมวนบุหรี่ไว้ เพลิงไฟที่แผดเผาอยู่ปลายมวนส่องแสงสีส้มอมแดงอาบไล้ใบหน้าคมคายอ่อนเยาว์ ทำให้ดูละมุนละไม...ตรงข้ามกับแววตาทิ่มแทงเยียบเย็น
จงอินลอบสูดลมหายใจลึก ก้าวเท้าเข้าใกล้ ...ช่อดอกไม้งดงามถูกยื่นส่งให้โดยไร้คำพูด
ชายหนุ่มมองดอกไม้นั้น... นิ่งอยู่ ไม่ได้ยื่นมือออกไปรับแต่อย่างใด
“...”
ระหว่างกันยังคงไร้คำวาจา...
“ผมมาขอโทษ”
นานนักกว่าที่คำนั้นจะล่วงผ่านเรียวปากหยักลึกของคนอายุน้อยกว่า เมื่อได้ยินแล้วสีหน้าของช่างภาพหนุ่มก็ยังไม่เปลี่ยน
คยองซูละสายตาจากดอกไม้ เลื่อนชมดูสีหน้าของคนพูดที่ยืนอยู่ห่างกันไม่ไกล
อารมณ์อย่างหนึ่งวูบผ่านนัยน์ตากลมคม มองไม่ออกว่าเป็นอารมณ์ใด ก่อนที่ริมฝีปากงดงามจะบิดคลี่ออกเป็นรูปหัวใจ... รอยยิ้มหยามหยันที่ทำร้ายผู้คนได้มากกว่าคำผุรุสวาทอื่นใด
“ในที่สุดก็มีวันนี้เหมือนกันหรือ”
ชายหนุ่มยังเยาะซ้ำ ยินยอมรับช่อดอกไม้นั้นไว้
คยองซูทราบดีว่าวันนี้จะต้องมาถึงไม่ช้าก็เร็ว ในเมื่อเขาปฏิเสธไม่รับงานใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับนายแบบหนุ่มตรงหน้า แม้ไม่มีใครทราบต้นสายปลายเหตุ ทว่าเพื่อหลีกเลี่ยงที่จะทำให้เขาไม่พอใจคนทำงานอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของวงการบันเทิงก็ย่อมปฏิเสธที่จะจ้างวานนายแบบผู้โชคร้ายโดยไม่ลังเล
เขามีทั้งอิทธิพลและอำนาจ ไม่ใช่คนที่ถูกหยามหยันรังแกแล้วจะทำได้แค่ร้องไห้ เขาสามารถบีบบังคับทางอ้อม กดข่มให้อีกฝ่ายตกต่ำ ลิ้มรสชาติของความแพ้พ่าย ของการถูกทำลายศักดิ์ศรีจนยับย่อยไม่เหลือชิ้นดี
มือเรียวขาวยื่นออกมา เหมือนต้องการจะรับบางสิ่ง และจงอินรู้ดีว่าสิ่งนั้นคืออะไร นายแบบหนุ่มยังคงทำสีหน้าเฉยชา ยื่นมือของตนออกไป และทิ้งเศษพลาสติกแตกหักลงในอุ้งมือนั้น
...เศษซากเหล่านั้น หรือจะใช่...เมมโมรี่การ์ดที่ถูกหักเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย?
คยองซูเลิกคิ้ว ถามออกเรียบๆ
“ไม่ได้เก็บไว้ที่อื่นอีกใช่ไหม?”
“ไม่มี”
“รู้จักเลือกทางที่ฉลาดแล้วนี่” รูปหัวใจที่บนกลีบปากงดงามยิ่งแย้มยิ้มร้ายกาจยิ่งน่าใหลหลง ช่างภาพหนุ่มโยนเศษแตกๆ ของเมมโมรี่การ์ดลงบนโซฟา ก่อนจะก้มหน้าลงสนใจลิลลี่นำเข้าหอมกรุ่นในช่อ ปลายนิ้วเรียวงามที่ติดจะกร้านอยู่บ้างแตะต้องลงบนกลีบ... ลูบไล้กลีบดอกบอบบางสีขาวพิสุทธิ์...ก่อนจะกอบกำ... ขยี้...
“ถ้าไม่เล่นกับไฟตั้งแต่แรก...ก็คงไม่ต้องเจ็บตัวอย่างที่เป็น”
ทำลายจนดอกไม้งดงามกลายเป็นเพียงเศษขยะ
“แต่ว่านะ...แค่นี้ผมยังไม่เห็นความจริงใจในคำขอโทษของคุณสักเท่าไหร่...”
ช่อสีเงินเรียบหรูนั้นถูกยื่นออกมา ปล่อยลงเชื่องช้าบนพื้นข้างตัว...ข้างกันกับปลายเท้า เหมือนเป็นการบอกใบ้
รูปหัวใจที่ประดับบนใบหน้า...ยิ่งทวีความงดงามยิ่งขึ้นไป ขณะที่ชายหนุ่มพูดออกมาช้าๆ ทีละคำ
...เปลวไฟที่ใช้ผลาญเผากันยิ่งนานยิ่งร้อนแรงทบทวี
และใช่...ผู้ที่จะถูกไฟเผาจนมอดไหม้เป็นธุลี ผู้ที่จะแพ้พ่ายในสงครามนี้... จะไม่ใช่เขาอย่างแน่นอน
To be continued
กระดานพลิกแล้ว อิอิอิ
อีกสองตอนจะจบแล้ว (เฮ) ใครสนใจอยากได้รูปเล่มไว้ครอบครองตอนนี้เปิดพรีออเดอร์แล้วนะครับ <3
พูดถึงเรื่องนี้ อย่าลืมติดแท็ก #ฟิคดำKS เจอกันตอนหน้าครับผม
ความคิดเห็น