คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : Chapter 9
*ยังไม่แก้คำผิด*
หลังจากที่อูฮยอนหมดสติ ซองกยูก็รีบนำตัวร่างบางกลับมายังบ้านของเขาทันทีพร้อมกับซองยอล
ร่างหนาอุ้มคนตัวเล็กขึ้นมาวางไว้บนเตียงในห้องของตนก่อนจะปลีกตัวออกมาหาซองยอลที่กำลังยืนรอเขาอยู่หน้าห้อง
ด้วยภาระหน้าที่ที่เขาต้องจัดการทำให้ซองกยูไม่สามารถอยู่ดูแลอูฮยอนจนกว่าจะฟื้นได้
เพราะฉะนั้นคนที่ต้องรับหน้าทีต่อจากเขาคงจะหนีไม่พ้นเด็กตรงหน้าเขาในตอนนี้
“อีกไม่นานคงตื่น ฝากดูแลทางนี้ด้วย”
ซองยอลรีบพยักหน้ารับคำสั่งของซองกยูในทันทีก่อนจะยิ้มให้อีกฝ่ายสบายใจว่าไม่ต้องห่วง รอยยิ้มของผู้เป็นนายที่นานครั้งจะได้เห็นผุดขึ้นมาบนใบหน้าคมจนซองยอลอดดีใจไม่ได้
เขารู้ดีว่าคนตรงหน้าต้องเฝ้ารออูฮยอนนานขนาดไหนกว่าจะถึงวันนี้
มันไม่ง่ายเลยกับการต้องรอใครสักคนอย่างถวิลหา
แต่รอยยิ้มบางๆตรงหน้าก็แสดงออกได้อย่างชัดเจนแล้วว่า
ชายหนุ่มผู้มีหัวใจหม่นหมองมาตลอดหลายสิบปีถูกกำลังถูกใครอีกคนเข้ามาแต่งแต้มสีสันให้หัวใจกลับมาสดใสอีกครั้ง
“มีเรื่องด่วนหรอครับ”
และมันก็น่าแปลกที่วันนี้จริงๆแล้วซองกยูก็น่าจะว่าง
แต่ทำไมถึงต้องออกไปทั้งที่อูฮยอนยังสลบอยู่แบบนี้ มันจะไม่น่าสงสัยเลยถ้ามยองซูไม่โทรมาบอกเขาว่ามีเรื่องด่วนต้องไปจัดการเหมือนกัน
“เราจับความเคลื่อนไหวของ เขา ได้แล้ว” ซองกยูมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นอีกครั้ง
นี่คงเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าเวลาแห่งความสุขมันมักจะสั้น
อูฮยอนและเขาพึ่งจะปรับความเข้าใจได้ไม่นานแต่แล้วกลับมีมารผจญลงมาขัดขวางเขาอีกครั้ง
และครั้งนี้ใครคนนั้นคงไม่ปล่อยเรื่องให้มันค้างคาอีกต่อไปแน่
“ผมไม่คิดว่ามันจะเร็วขนาดนี้”
ซองยอลหน้าสลดลงในทันทีที่รู้ข่าว
“จะช้าจะเร็วยังไงมันก็ต้องเกิด” ซองกยูมองหน้าซองยอลด้วยแววตาหนักแน่น
แขนแกร่งทั้งสองจับเข้าที่หัวไหล่ของคนตัวบาง
“นายมีหน้าที่แค่ดูแลอูฮยอนไป ไม่ต้องห่วงอะไรทั้งนั้น
มันจะไม่เกิดเรื่องซ้ำสองอีก เชื่อฉัน” เป็นอีกครั้งที่ซองยอลพยักหน้ารับคำของร่างสูง
ซองกยูรู้ดีว่าซองยอลเป็นห่วงอูฮยอนมากไม่ต่างจากเขา
และนี่คงเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้ร่างบางเบาใจลงได้บ้าง
“ครับคุณซองกยู”
ซองยอลยิ้มให้บางๆก่อนจะปล่อยให้ร่างสูงเดินจากไปจนแผ่นหลังนั่นลับสายตา
มือบางหมุนลูกบิดประตูอกกช้าๆก่อนจะก้าวเข้าไปหาร่างบางที่กำลังนอนหมดสติอยู่บนเตียง
ซองยอลไม่รู้ต้องทำอะไรก่อนดีเพราะถ้าจะให้เขานั่งเฝ้าคนตรงหน้ามันก็ดูจะน่าเบื่อเกินไป
สายตากลมโตกวาดมองไปรอบห้องก่อนจะสบเข้ากับห้องน้ำที่ประตูถูกแง้มออกเล็กน้อยจนเขาสามารถมองเห็นโถแก้วที่ถูกวางอยู่ตรงอ่างล้างหน้า
ขาเรียวเดินไปหยิบมันขึ้นมาก่อนจะนำน้ำใส่ลงไปพร้อมกับหยิบผ้าสะอาดที่ถูกพับเก็บไว้ในชั้นวางของออกมา
เมื่อของครบมือแล้วซองยอลก็จัดการนำมาเช็ดตัวให้กับคนตัวเล็ก
เมื่อความเย็นของน้ำกระทบเข้ากับผิวกายของอูฮยอนทำให้ประสาทของเขากลับมาทำงานดังเดิม
อูฮยอนลืมตาออกช้าๆก่อนจะมองคนตรงหน้าอย่างไม่เขาใจว่ากำลังทำอะไรเขาอยู่
“ซองยอล”
คำพูดบางเบานั่นทำให้ซองยอลต้องหันกลับไปมองคนเป็นนายอย่างดีใจ
“นายน้อย”
นั่นคงเป็นคำพูดที่ซองยอลเคยใช้จนชินไปแล้วแต่กับอูฮยอนมันช่างขัดหูจนร่างบางต้องขมวดคิ้มใส่
อูฮยอนพยายามยันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งโดยมีซองยอลช่วยประคอง
สายตายังคงจับจ้องไปยังแวมไพร์หนุ่มที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนรักของเขาอย่างบอกอารมณ์ไม่ถูก
จะดีใจที่ได้เจอกันอีกก็ใช่ จะโกรธที่ปิดบังเรื่องจริงก็ไม่เชิง
“นาย เป็นเพื่อนฉันจริงๆใช่มั้ย” อูฮยอนถามซองยอลอย่างจริงจัง ซองยอลเองก็คงไม่จำเป็นต้องปกปิดความจริงอะไรอีกแล้วในเมื่อเรื่องทุกอย่างถูกคลี่คลาย
“ขอรับนายน้อย”
ซองยอลตอบพลางยิ้มให้อีกคนอย่างบริสุทธิ์ใจ ยิ้มที่ทำให้อูฮยอนสัมผัสได้ว่าคนตรงหน้าคือเพื่อนของเขาจริงๆ
ถึงแม้ว่าตอนนี้คนตรงหน้าจะไม่ใส่สิ่งมีชีวิตแบบเดียวกับเขาก็ตาม แต่อย่างน้อยการที่เราได้กลับมาเจอกันอีกครั้งหลังจากห่างหายกันไปนานก็ถือว่าเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่งในชีวิต
ยิ่งกับคนตรงหน้าด้วยแล้ว มันยิ่งทำให้เขาอดมีความสุขไม่ได้
“งื๊ออ ฉันคิดถึงนายจัง”
อูฮยอนพุ่งเข้ากอดเพื่อนรักของตนอย่างแรงจนซองยอลนิ่วหน้าเพราะรู้สึกเจ็บที่ท้อง
แต่ชายหนุ่มกลับเก็บอาการนั้นไว้และระบายยิ้มออกมา
อูฮยอนเอาแต่ซุกหน้าลงกับคอขาวของซองยอลอย่างที่เขาเคยทำเมื่อก่อนจนซองยอลหลุดขำออกมา
“ฮ่าฮ่า นายน้อยผมจักจี้”
และอะไรบางอย่างก็ดลใจให้อูฮยอนรู้สึกหัวเสียขึ้นมาดื้อๆ
ชายหนุ่มรีบผลักซองยอลออกจากตัวก่อนจะกลับมานั่งกอดอกมองอีกคนโดยไม่มีทีท่าว่าจะพูดอะไร
ซองยอลเองก็ไม่เข้าใจการกระทำของอูฮยอนได้แต่นั่งมองด้วยสายตางงงวย
“นายไม่ใช่เพื่อนฉัน”
ซองยอลเมื่อได้ยินดังนั้นก็รีบเข้ามาหาอูฮยอนแต่อีกคนกลับถอยหนี
“น นายน้อยขอรับ ผมไงอีซองยอล
เด็กหน้าหวานประจำโบสถ์ไงครับ” ซองยอลพูดเพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองคือเพื่อนของชายตรงหน้าจริงๆ “คนที่วิ่งเล่นกับนายน้อยเมื่อตอนเด็ก
คนที่คอยมานอนเป็นเพื่อนเวลาซิสเตอร์ไม่อยู่ คนที่อาบน้ำด้วยกันบ่อย
และเป็นคนเดียวที่รู้ว่าปานของนายน้อยอยู่ที่ อื๊ออออ...” ยังไม่ทันที่ซองยอลจะได้พูดอะไรต่ออูฮยอนก็รีบกระโจนเข้ามาปิดปากคนพูดมากตรงหน้าทันทีก่อนจะปล่อยมือออกไปพร้อมกับสายตาตำหนิของคนเป็นนาย
“ย่า จะไม่ได้เป็นคนเดียวที่รู้ก็คราวนี้แหละ” อูฮยอนอาละวาดชายตรงหน้า
ต่อว่าที่กำลังจะเอาความลับของเขามาพูดในที่แบบนี้
ซองยอลเมื่อเห็นแบบนั้นก็แอบหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนที่ทั้งสองจะต้องตากันอีกครั้งและหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข
นานเท่าไหร่แล้วที่เขาทั้งสองไม่ได้อยู่ด้วยกันแบบนี้
“สรุปว่านายน้อยเชื่อผมแล้วใช่มั้ยขอรับ”
“ไอจะว่าเชื่อก็เชื่ออยู่หรอก”
อูฮยอนพูดลากเสียงยาวจนซองยอลต้องตั้งใจฟัง “แต่จะให้บอกว่าเป็นเพื่อนทั้งที่ยังเรียกฉันว่านายน้อยคงไม่ได้มั้ง”
อูฮยอนหรี่ตามองซองยอลที่ดูจะเฟลไปเล็กน้อยเพราะคำพูดนั่น
เอาจริงๆแล้วเขาก็อยากจะเรียกให้เหมือนเมื่อก่อนตอนที่ยังเป็นเพื่อนกันอยู่
แต่ดูสถานะเขาตอนนี้สิ มันไม่มีสิทธิ์ที่จะใช้คำแบบนั้นเลยด้วยซ้ำ แค่คิดยังรู้สึกว่ามันผิดเลย
“แต่ว่าเรามันคนละระดับกันนะครับ”
ซองยอลก้มลงมองเตียงแทนที่จะมองใบหน้าของร่างบาง
แต่แล้วสัมผัสอุ่นๆก็ถูกวางลงบนไหล่ข้างซ้ายของเขาก่อนที่ซองยอลจะเงยหน้าขึ้นไปมองอูฮยอนอีกครั้ง
“ไม่มีคำว่าอยู่ระดับไหนทั้งนั้นแหละซองยอล” อูฮยอนลูบไหล่อย่างแผ่วเบา “เราต่างก็มีชีวิตจิตใจ มันแสดงให้เห็นอยู่แล้วว่าเราเท่าเทียมกัน
การกระทำต่างหากที่จะบอกว่าใครอยู่สูงกว่าหรือต่ำกว่า” รอยยิ้มแต่งแต้มลงบนใบหน้าของคนทั้งสองอีกครั้งก่อนที่อูฮยอนจะเข้าไปกอดซองยอลอย่างอ่อนโยน “ทำเหมือนกับที่เคยทำเถอะ
ฉันอยากเราเป็นเหมือนเดิม”
“คุณซองกยู..”
ยังไม่ทันที่ซองยอลจะได้พูดอะไรแต่ชายหนุ่มที่กำลังกอดเขานั้นกลับเข้าใจอะไรผิดไปนิดนึง
“เอะอะอะไรคุณก็ซองกยู เค้าเป็นเจ้าชีวิตนายรึไง
จะมาห้ามกับแบบนี้ไม่ได้นะ”
อูฮยอนอาละวาดใส่ซองยอลจนซองยอลไม่มีโอกาสได้อธิบายอะไรทั้งสิ้น
“ห้ามอะไร”
ถ้ามันเป็นน้ำเสียงของคนที่อูฮยอนกำลังกอดอยู่ก็คงจะดีกว่า
ร่างบางรีบถอนกอดออกจากเพื่อนของเขาด้วยความตกใจเพราะเขารู้ดีว่าเสียงนั่นเป็นเสียงของเจ้าของชื่อในบทสนทนาเมื่อสักครู่
อูฮยอนหันกลับไปมองชายหนุ่มสองคนที่พึงเข้ามาใหม่ราวกับว่าตนกำลังเป็นสุนัขที่กำลังจะถูกเจ้านายทำโทษ
“ให้ความรู้สึกเหมือนสุนัขหางลีบเลยอะฮยอง” หนึ่งในชายหนุ่มพูดติดตลกใส่ชายอีกคนที่กำลังจ้องอูฮยอนอยู่อย่าคาดโทษ
ซองยอลเมื่อเห็นว่าอูฮยอนกำลังรู้สึกกลัวจึงรีบเข้าคลี่คลายสถานการณ์
“เอ่อ คุณซองกยูครับคืออูฮยอนไม่ได้มีเจตนาว่าคุณนะครับ เขาก็แค่.. เข้าใจผิดนิดหน่อยหน่ะครับ” ซองยอลเอาแต่พูดแก้ต่างให้คนตัวเล็กจนซองกยูต้องบอกให้ร่างบางหยุดพูดให้คนตัวเล็กได้แล้ว
ซองกยูเดินมาหยุดอยู่ข้างหน้าคนตัวเล็ก
ซองยอลที่เห็นดังนั้นจึงลุกออกจากเตียงไปยืนอยู่ข้างๆมยองซู
“ไม่คิดจะพูดอะไรหน่อยหรอ”
ซองกยูเชยคางร่างบางขึ้นมาเพื่อให้สายตาของเขาสบเข้ากับอีกคน
การที่เราคุยกับใครก็ต้องมองหน้ากันสิไม่ใช่ต่างคนต่างหันไปทางแบบนี้
“ผมขอโทษ”
นี่คงเป็นคำพูดเดียวที่ผุดออกมาจากสมองของร่างบาง
สายตาที่คมกริบของร่างสูงมันทำให้เขาแทบจะขยับตัวไปไหนไม่ได้
ไม่ใช่เพราะถูกต้องมนต์เหมือนในละครแฟนตาซีเรื่องอื่น แต่มันเป็นเพราะเขากลัว
กลัวล้วนๆ
“ก็แค่นั้น” ทุกคนหันมามองซองกยูเป็นตาเดียวเพราะไม่คิดว่าชายตรงหน้าจะมีอาการที่เรียกว่า
เฉยๆ กับสิ่งที่ร่างบางพูด ทั้งที่ก่อนหน้านี้ใครก็ห้ามด่าซองกยูเป็นอันขาด
ถ้าหากวันใดมันลอยมาเข้าหูของร่างสูง แน่นอนว่าคนที่พูดจะได้ลองของดีไปซะทุกราย
แต่ซองกยูก็ไม่ได้ดูแปลกใจกับสายตาที่กำลังมองเขา
มิหนำซ้ำเขากลับยิ้มออกมาจนคนที่อยู่ในห้องต่างแปลกใจไปตามๆกัน
ไม่เว้นแม้กระทั่งร่างบางที่คิดว่าตนเองจะโดนคนตรงหน้าดุเอาเสียแล้ว
“คุณ.. ไม่โกรธผมหรอ”
อูฮยอนมองซองกยูอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก
จากที่ร่างสูงดูจะโกรธแต่กลับมายิ้มให้เขาซะงั้น
“โกรธแล้วได้อะไรกันหล่ะ.. แต่ว่านะ จะพูดอะไรก็สังเกตดีๆหน่อยแล้วกัน” ร่างสูงนั่งลงข้างๆอูฮยอนก่อนจะยื่นมือข้างหนึ่งไปมือบางของคนตัวเล็กส่วนอีกข้างก็อ้อมเข้าไปโอบแขนของอีกคนจนซองยอลกับมยองซูยังต้องเบ้ปากมองบนโดยเฉพาะกับมยองซูที่ไม่เคยเห็นซองกยูทำท่าทางแบบนี้มาก่อนในชีวิตของเขา
อูฮยอนเมื่อเห็นสายตาของทั้งสองที่กำลังยืนอยู่มองมาที่ตนก็แทบจะเก็บอาการเขินไม่ไหว
ร่างบางพยายามสะบัดให้ร่างหนาเอามือที่โอบเขาอยู่ออกแต่กลับไม่เป็นผล
ตรงกันข้ามซองกยูยิ่งรั้งให้ร่างบางเข้าใกล้กับเขามากกว่าเดิม
“ความอวดเมียนี้” ปากแบบนี้คงมีแค่มยองซูเท่านั้นที่กล้าพูด
ชายหนุ่มหันมามองซองยอลก่อนจะรั้งเอวเข้ามาให้ชิดกับตัวเขาเช่นกันเพื่อไม่ให้น้อยหน้าคนเป็นพี่ “ฮยองอย่าคิดว่าจะอวดได้คนเดียวนะครับ ผมก็มีของผม”
ซองยอลเมื่อได้ยินดังนั้นจึงเอาข้อศอกกระทุ้งเข้ากับท้องของคนที่กำลังทำตัวเป็นปลาหมึกมีหนวดกับเขาอยู่
แต่ใครจะรู้ว่ายังมีชายหนุ่มคนหนึ่งที่ยังงงกับคนทั้งสองตรงหน้า
อูฮยอนหันไปมองหน้าของซองกยูที่กำลังยิ้มให้กับมยองซูก่อนจะเรียกชื่อของชายหนุ่มให้หันมาสนใจเขาบ้าง
“นี่คุณ สองคนนั้นเค้าเป็นแฟนกันหรอครับ” ถึงจะเป็นแค่เสียงกระซิบ แต่ระดับมยองซูแล้ว
คำนินทาที่มีเขาอยู่ในบทสนทนาด้วยนั้นไม่เคยรอดไปจากหูของเขาได้
ซองกยูหันมายิ้มให้อีกคนเป็นคำตอบแต่มีหรอที่มยองซูจะปล่อยผ่าน
แค่แฟนมันน้อยไปสำหรับเขา
“เมียครับเมีย มอ สระเอีย เมีย
ฮ่าฮ่า” ชายหนุ่มขำออกมายกใหญ่เพราะซองยอลตีเขารัวๆเพราะความเขินที่มากจนล้นออกมา
แต่อูฮยอนกลับอึ้งไปชั่วขณะหนึ่งเพื่อให้สมองประมวลผล
“นี่ไปรักกันตอนไหนครับ”
คงเป็นคำถามที่ดูไร้เดียงสามากสำหรับมยองซู ชายหนุ่มรวบมือของคนเป็นภรรยาก่อนจะหันกลับมาหาอูฮยอน
สายตากรุ้มกริ่มดูมีเสน่ห์ ใบหน้าก็หล่อเหลาจนเขาอดชมไม่ได้เลย หรือบางทีเขาก็ต้องยอมรับแหละว่าเหนือความหล่อของคุณซองกยูแล้ว
ยังมีคุณมยองซู
“รักกันนานแล้วครับ ก่อนคุณจะเกิดอีก แต่ว่านะ
คนข้างๆคุณนี่สิยัดเยียดให้ซองยอลไปอยู่กับคุณ กว่าเราจะได้แต่งกันก็รอแทบตาย” อูฮยอนได้แต่พยักหน้ากับคำตอบที่ได้รับ
เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเขาพอจะเรียบเรียงได้บ้างแล้วแต่ข้อสงสับของเขาก็ยังมีอยู่
แต่แล้วอูฮยอนก็ต้องหยุดความคิดของตนก่อนเพราะสายตาของเขาเห็นซองยอลฟุบลงกับพื้นไปต่อหน้าต่อตาทั้งๆที่ตอนแรกก็ยังดีๆอยู่เลย
“โอ๊ะ โอ๊ยยย..”
ซองยอลกุมท้องไว้อย่างทรมาน
ซองกยูและอูฮยอนรีบวิ่งเข้ามาหาอีกคนอย่างกังวลใจไม่ต่างจากมยองซูที่เอาแต่ถามไถ่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนตรงหน้า “ผ ผม.. เจ็บ ท้องงง อื๊อออ” เสียงครวญอย่างเจ็บปวดของซองยอลทำให้มยองซูแทบจะทำอะไรไม่ถูก
ในที่สุดอะไรบางอย่างก็ลอดเข้ามาในโสตประสาทของเขา เสียงเด็กผู้ชายคนหนึ่งกำลังร้องเรียกหาเขาในชื่อว่า
พ่อ..
“ลูก..”
มยองซูเมื่อได้ยินดังนั้นก็เข้าใจทุกอย่างดี
ชายหนุ่มรีบอุ้มร่างบางขึ้นจากพื้นก่อนจะบอกลาทุกคนและหายออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว “ซองยอลกำลังจะคลอดครับ ผมขอตัว” ทิ้งไว้แต่ความอึ้งของตัวเล็กอีกครั้ง
ซองกยูหันกลับมามองอูฮยอนก่อนจะถามร่างบางอย่างเป็นห่วง
“ฮูฮยอนอ่า นายเป็นอะไรรึเปล่า”
ร่างสูงลูบหัวทุยๆนั้นอย่างอ่อนโยนก่อนจะได้รับคำตอบจากร่างบางโดยการส่ายหัวไปมา
นั่นยิ่งเพิ่มความน่าเอ็นดูของอูฮยอนขึ้นไปอีก
มือหนายีหัวจนร่างบางต้องจับมือนั้นออกแล้วจัดทรงผมของตนใหม่แต่เขาก็ยังคงส่งสายตาคาดโทษให้ร่างสูงได้อยู่โดยไม่นึกกลัวเกรง
“พอแค่นี้ก่อนมั้ย”
เมื่อร่างบางจัดผมของตนเสร็จซองกยูจึงเรียกความสนใจอีกครั้ง
อูฮยอนหยุดคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะปฏิเสธร่างสูงออกไป
“ไม่ครับ”
ถึงอูฮยอนจะเป็นเด็กหัวดื้อหัวรั้นจนบางครั้งวองกยูก้อยากจะห้ามปราม
แต่ครั้งนี้เขาคงทำอย่างนั้นไม่ได้
อาจจะใช่ส่วนหนึ่งที่ว่ามันเป็นความต้องการของร่างบาง แต่อีกเหตุผลหนึ่งคือ
มันเหลือเวลาน้อยลงทุกที ก่อนที่มันจะสายเกินไป
มือแกร่งจับมือของอูฮยอนก่อนจะจูงให้เดินออกจากห้องนอน
มุ่งตรงไปยังห้องที่อูฮยอนเคยสร้างปัญหาให้กับร่างสูง ห้องที่กุมความลับของเขา
ห้องที่อูฮยอนรับรู้ถึงความเป็นจริงที่ถูกปิดบัง ห้องที่เขาเอาไว้เก็บสิ่งที่ล้ำค่ามากที่สุด
“คุณซองกยูครับ”
อูฮยอนหยุดฝีเท้าลงด้านหน้าประตูของห้องสมุดก่อนจะกระชับมือร่างหนาจนแน่น
นั่นแสดงให้เห็นว่าอูฮยอนรู้สึกประหม่าและกลัวห้องนี้มากแค่ไหน
ซองกยูบีบมือบางตอบก่อนจะใช้มืออีกข้างสัมผัสเข้าที่ใบหน้าของอูฮยอน
ลูบไล้พวงแก้มอย่างอ่อนโยนเพื่อปลอบประโลมอีกฝ่าย
“ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น ตราบใดที่นายยังมีฉันอยู่ข้างๆ”
ริมฝีปากประทับลงบนหน้าฝากมนเพื่อเป็นการยืนยังว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นความจริงและอยากให้อีกคนเชื่อใจในตัวของเขา
อูฮยอนที่หลับตาน้อมรับจูบอันอ่อนโยนในตอนแรกลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะยิ้มให้ร่างสูงท่าทางของชายหนุ่มดูมั่นใจขึ้นกว่าเก่า
เมื่อซองกยูแน่ใจแล้วว่าตนได้ทำให้ความกลัวของคนตัวเล็กทุเลาเบาบางลงไปบ้างแล้วจึงหันกลับไปเปิดประตู
เปิดเข้าไปสู่โลกที่อูฮยอนไม่เคยคิดอยากจะเข้าไปอีกเลยตั้งแต่วันนั้น
“สร้อยนี่..” หลังจากที่ทั้งสองคนผ่านเข้ามาถึงห้องโถงด้านในที่อูฮยอนเคยเข้ามาเมื่อครั้งก่อน
ซองกยูก็จูงมือให้ร่างบางเดินตามเขาไปจนชายหนุ่มหยุดฝีเท้าลงหน้าตู้กระจกตู้เดิมที่เข้าเคยเห็นเมื่อครั้งก่อน
ร่างสูงไขกุญแจก่อนจะเปิดบานกระจกนั้นออกช้าๆ มือหนาหยิบสร้อยที่ถูกสวมอยู่กับตัวหุ่นออกมายื่นให้อูฮยอนดู
และนั่นก็ทำให้ร่างบางเกิดคำถามขึ้นมากมาย ซองกยูแค่มองคนตัวเล็กก็เข้าใจแล้วว่าต้อการจะถามเรื่องอะไร
ซองกยูยิ้มบางๆส่งให้ร่างเล็กก่อนจะเริ่มอธิบาย
“นี่คือสร้อยคริสตัล”
ซองกยูพูดขึ้นก่อนจะยื่นมือเพื่อให้อีกคนส่งสร้อยมาไว้ที่เขาอูฮยอนเองก็ทำตามคำสั่งวางสร้อยไว้บนมือของชายหนุ่มเช่นเดิม “มันเป็นของนาย” นั่นคงเป็นคำที่อูฮยอนแทบจะไม่อยากเชื่อเพราะสร้อยที่เป็นของเขายังคงสวมอยู่ในตอนนี้
แต่ไหนคนตรงหน้ากลับบอกว่าเป็นอันที่ซองกยูถืออยู่
“แต่ของผมก็อยู่นี่นิครับ”
อูฮยอนรีบจับสร้อยของตนออกมาให้ซองกยูดู
สร้อยนี้ร่างบางได้มาจากซิสเตอร์โบรัมเมื่อตั้งแต่เขาจำความได้ และเขารักษามันไว้อย่างดีตามที่ซิสเตอร์บอกทุกประการ
“อันที่นายจับอยู่ฉันสร้างมันขึ้นมาเอง เอาไว้คอยปกป้องนายจากอันตราย” ซองกยูบอกอูฮยอนก่อนจะกลับมาจ้องสร้อยคริสตัลอีกอันที่อยู่ในมือของเขาเอง
อูฮยอนได้แต่จ้องร่างสูงอย่างไม่เข้าใจนักแต่ก็ยังคงปล่อยให้ความเงียบปกคลุมบริเวณโดยรอบต่อไป
“นายรู้มั้ย ว่าสร้อยเส้นนี้มีอำนาจมากขนาดไหน”
อยู่ดีๆซองกยูก็หันกลับมาถามคนตัวเล็กหลังจากที่จ้องสร้อยในมืออยู่นาน
อูฮยอนได้แต่ส่ายหน้าเพราะเขาแทบจะไม่รู้เรื่องอะไรเลยด้วยซ้ำ
ซองกยูจึงว่าต่อ “สร้อยเส้นนี้สามารถทำให้คนที่กำลังครอบครองมีอำนาจมากที่สุด
ใครหน้าไหนก็ฆ่าไม่ได้ ทุกคนต่างแย่งชิงมันมาแม้ต้องเข่นฆ่ากันให้ตายก็ตาม” อูฮยอนหันมามองซองกยูก่อนจะถามขึ้นอีกครั้ง
“งั้นในตอนนี้คุณก็มีอำนาจมากที่สุดแล้วสิครับ”
“ไม่หรอก ฉันไม่ได้กำลังครอบครองมัน” ซองกยูอธิบายสิ่งตรงหน้าอย่างจริงจัง “ฉันกำลังรักษามันไว้ เพื่อนาย”
“เพื่อผม หมายความว่ายังไงครับ”
อูฮยอนถามร่างสูงอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก
ในวันนี้อูฮยอนนับแทบไม่ถูกว่าตนเองนั้นต้องคอยแปลกใจ อึ้ง สับสนไปไม่รู้กี่ครั้ง “ถ้าผมครอบครอง ผมก็จะมีอำนาจงั้นหรอครับ”
ร่างบางยังคงถามต่อไปเรื่อยๆเพราะความไม่รู้จนซองกยูต้องบอกให้หยุดถามก่อนเพราะเขาตอบไม่ทัน
“ไม่มีหรอก นายเป็นเจ้าของไม่มีอำนาจใดๆทั้งสิ้น” ซองกยูกล่าวก่อนจะหันมาสบตาร่างบางอีกครั้ง
สาตาที่ดูหนักแน่นแต่แฝงไปด้วยความอ่อนโยนนั่นทำให้อูฮยอนเริ่มใจไม่ดี
ซองกยูเองก็ไม่อยากจะพูดอีกต่อไปเพราะแน่นอนว่าอูฮยอนต้องไม่ไว้ใจเขาเป็นแน่
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ต้องบอก อย่างน้อยก็เพื่อความสบายใจถึงแม้เขาจะกลัวอีกคนจะเปลี่ยนไปก็ตามที “แต่คนที่จะครอบครองอำนาจนั้นได้.. ต้องมีทั้งสร้อย” ซองกยูสูดลมหายใจเฮือกสุดท้ายก่อนจะพูดออกไปจนทำให้อูฮยอนต้องชะงัก “และนาย”
“แล้วตอนนี้.. ผมควรไว้ใจคุณรึเปล่า คุณซองกยู”
.............................................
วันนี้มาแบบจริงจังนิดนึงเนอะ เรามุ้งมิ้งกันไปแล้ว
เอาเป็นว่ามาลุ้นดีกว่าคะว่าสองคนนี้เค้าจะอะไรยังไงต่อ น่าสงสารคุรซองกยู
อูฮยอนเริ่มลังเลแล้ว เอาใจช่วยทั้งคนแต่งแล้วก็พระเอกของเราด้วยนะคะ
papanins
ความคิดเห็น