ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    { FIC } Circle. 「 BaekDo ft. KaiHun 」

    ลำดับตอนที่ #11 : ` c h a p t e r 1 0 ♡ { l o s t & l o v e }

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 880
      6
      9 มิ.ย. 57









    C I R C L E

    ` c h a p t e r 1 0 ♡ { l o s t & l o v e }







     








     

     

       

     









    “โอย เจ็บจังเลยวุ้ย”

     

    ผมพาตัวเองเดินเข้าห้องนอนด้วยความทุลักทุเลเพราะแทบจะทนความเจ็บปวดที่ช่องท้องไม่ไหว หลังจากเดินกุมท้องมาตลอดทาง ตอนนี้ผมเลยรีบทิ้งตัวลงกับเตียงแล้วเลิกเสื้อก้มดูหน้าท้องตัวเองว่าเป็นอะไรมากหรือไม่

     

    ผมรู้ตัวดีว่าผมมันเลว


    เหตุการณ์วิ่งราวในวันนี้ที่สวนสนุกเป็นแผนการของผมเอง... และใช่
    ผมลงมือด้วยตัวเอง

     

    ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะมีเทพบุตรขี่ม้าขาวมาช่วยคยองซูได้ทันท่วงที ไอ้เทพบุตรที่ว่านั่นก็คือไอ้จงอิน คนที่ไม่เคยคุยกับผม แต่ผมกลับรู้สึกไม่ชอบขี้หน้าเอาเสียเลย มันจับตัวผมแล้วคว้ากระเป๋าสตางค์ของคยองซูเอาไว้ ก่อนจะต่อยเข้าที่หน้าท้องผมจนเจ็บระบมไปหมดแบบนี้

     

    โชคดีที่ผมรวบรวมแรงที่เหลืออยู่วิ่งหนีมาได้ก่อน ไม่อย่างนั้นแผนต้องล่มแน่ๆ

     

    การใช้ชีวิตแบบตามเกลียดตามชังแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง ผมรู้ ผมรู้ดีเลยแหละ แต่ผมกลับหยุดไม่ได้แล้วน่ะสิ ผมต้องการทำให้คยองซูรู้ว่าแบคฮยอนปกป้องคยองซูไม่ได้เลยแม้แต่นิด ผมไม่ได้ต้องการจะทำให้คยองซูรู้สึกเจ็บปวด แต่ผมอยากให้ไอ้แบคฮยอนเจ็บปวด ให้มันรับรู้ถึงความเจ็บปวดของผมเสียบ้าง

     

    ผมไม่ต้องการหัวใจของคยองซูอีกแล้ว เพราะผมรู้ว่าผมไม่มีวันได้

    แต่แน่นอนว่าผมไม่ใช่พ่อพระที่จะปล่อยให้สองคนนั้นเสวยสุขกันตามชอบใจหรอกนะ

     

     

    คยองซู ทำอะไรอยู่

     

    ผมทำใจกล้าหน้าด้านทักแชทคยองซูไปราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ใช่แค่เรื่องที่ควรรู้สึกผิดต่อคยองซูในวันนี้ แต่เป็นเรื่องเมื่อวันก่อนที่คยองซูปฏิเสธผม และทำเหมือนกับว่าจะไม่ยอมคุยกับผมอีก

     

    นอนรอข้อความตอบกลับจากอีกฝ่ายจนเวลาล่วงผ่านไปสักพักใหญ่ๆ ในที่สุดคยองซูก็ตอบกลับมา

     

     

    นอนเล่นอยู่น่ะ มีอะไรรึเปล่า

     

    เป็นข้อความที่ดูผิดแปลกไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด ผมรู้ดีว่าคยองซูไม่อยากคุยกับผมอีกแล้ว หนำซ้ำคงไม่อยากจะคบผมเป็นเพื่อนแล้วด้วย แต่ทำไงได้ คยองซูคือสิ่งเดียวที่ทำให้ชีวิตผมขับเคลื่อนไปข้างหน้านี่ แค่ได้คุยกับคยองซู ผมก็รู้สึกดีไปทั้งวันแล้ว

     

     

    CY : ต้องมีอะไรด้วยเหรอ

    KS : ก็ อือ

    CY : รังเกียจเราเหรอ

    KS : ไม่ใช่แบบนั้น

    CY : อย่าทำเหมือนเราไร้ค่าแบบนี้ดิ

    KS : ตกลงแล้วมีอะไรรึเปล่า

    CY : คยองซู

    KS : ถ้างั้นเรานอนก่อนนะ เพลีย

    CY : เดี๋ยว

    KS : ………

    CY : ฝันดีแล้วกันนะ

     

     

    สิ่งเดียวที่ผมรู้แน่ชัด คือผมไม่มีวันได้หัวใจของคยองซู ... ไม่ว่าจะด้วยหนทางไหน ผมก็ไม่มีวันได้มา
     

     

    แต่ก็มีสิ่งเดียวที่ผมพอจะทำได้อยู่เหมือนกัน

    เป็นสิ่งเดียวที่ทำไปแล้วไม่เกิดประโยชน์อะไร แต่ได้ความสะใจล้วนๆ

     

     

    คือกำจัดแบคฮยอนเสีย

     

     

    .

    .

    .

     

     

     



    โรงพยาบาลมยองดง

    17.30 .

     

     

    วันนี้เป็นอีกวันที่ผมตัดสินใจมาติวญี่ปุ่นกับพี่จุนมยอน ทั้งๆ ที่พี่เขาบอกว่าผมไม่ต้องมาแล้วก็ได้ พี่เขาจะให้หนังสือไปอ่านแบบละเอียด แต่ผมก็รั้นอยากจะมา ไม่ใช่ว่าจะมาให้ความหวังพี่เขา แต่เป็นเพราะยังอยากเป็นพี่น้องกับพี่เขาต่างหาก ผมไม่ได้อยากจะตัดความสัมพันธ์กับพี่จุนมยอนเสียหน่อยนี่

     

    ผมรู้ดีว่าการทำแบบนี้มันไม่ดีเท่าไหร่ แต่ผมก็รู้ตัวเองดีเหมือนกันว่าเจตนาของผมคืออะไร

     

    “ทำไมมาเร็วจังเลยล่ะ” พี่จุนมยอนรีบเก็บกระดาษที่กำลังเขียนอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดลงทันทีที่ผมเปิดประตูพรวดเข้ามา ถึงผมจะไม่ได้ถาม แต่ก็รู้ดีว่ากระดาษในมือที่พี่เขาเพิ่งจะเก็บแอบไปนั้นต้องเป็นสิ่งสำคัญเป็นแน่

     

    “วันนี้เรียนแค่ครึ่งวันน่ะครับ ออกไปกินอะไรมานิดหน่อยแล้วก็มาเลย” ผมวางกระเป๋านักเรียนลง “พี่จุนอาการเป็นไงบ้างครับ”

     

    “พี่ก็โอเคขึ้นแล้วล่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็สบายแล้ว...” พี่จุนมยอนพูดช้าจนน่าสงสัย ผมได้แต่เงยหน้าเลิกคิ้วให้กับอีกฝ่ายโดยไม่ถามอะไรออกไป มันคงจะเป็นคำพูดที่ธรรมดาๆ คำหนึ่งกระมัง

     

    “พรุ่งนี้จะออกจากโรงพยาบาลแล้วเหรอครับ”

     

    “อื้อ พรุ่งนี้พี่คงไม่ได้อยู่ที่โรงพยาบาลแล้วแหละ

     

    ว่าจบ พี่จุนกับผมก็เริ่มติวกันอย่างไม่ปล่อยให้เวลาเสียเปล่า วันนี้การติวของผมกับพี่เขาผ่านไปด้วยดี ผมได้ความรู้ใหม่เพิ่มเติมเยอะแยะ และพี่จุนก็ไม่ได้เอ่ยปากเรื่องผมกับแบคฮยอนขึ้นมาเลยแม้แต่นิดเดียว ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมรู้สึกดีใจและโล่งใจมาก

     

    “คยองซู เอกสารพวกนี้สำคัญมาก เราลองเอาไปอ่านดูก่อนนะ มันเป็นเอกสารเรื่องสิ่งที่ควรรู้เวลาไปเป็นนักเรียนทุนน่ะ”

     

    หลังจากที่เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมงซึ่งเป็นเวลาปกติในการเรียนของผม(ตามที่แบคฮยอนได้ขอเอาไว้) พี่จุนก็ยื่นเอกสารปึกหนาที่ดูจะถูกตระเตรียมมาอย่างดีให้ผมด้วยรอยยิ้ม ผมที่ตอนแรกทำท่าว่าจะคว้ากระเป๋าก็ต้องวางลงแล้วก้มอ่านเอกสารสำคัญที่พี่จุนว่านี่ก่อน

     

    “ขอบคุณมากนะครับพี่จุน ผมจะศึกษาให้ละเอียดเลย ผมไม่รบกวนเวลาพี่แล้วแหละ นอนพักเถอะนะครับ”

     

    ผมคว้ากระเป๋าเป้มาสะพายแล้วเดินไปหาพี่จุนที่เตียงเพื่อจะปรับเตียงให้พี่เขาเอนตัวนอนได้สบายๆ แต่แล้วผมก็ต้องชะงัก ยืนแข็งราวกับเป็นรูปปั้นเมื่อจู่ๆ พี่จุนก็คว้าตัวผมเข้าไปประชิดตัวแล้วจับคางของผมเอาไว้ ก่อนจะประกบริมฝีปากจูบผมแนบแน่น

     

    ผมทั้งทุบ ทั้งตี ทั้งผลัก แต่แรงของคนป่วยกลับมีมากมายมหาศาลจนผมสู้ไม่ไหว พี่จุนไม่ยอมปล่อยผมแม้ว่าผมจะขัดขืนมากแค่ไหน จนสุดท้ายแล้วก็เป็นผมเองที่ต้องยืนนิ่งให้พี่เขาทำตามที่ใจอยากอยู่แบบนั้น

     

    เกิดอะไรขึ้นกับคนตรงหน้าของผม พี่เขาจะรู้ตัวรึเปล่าว่ากำลังทำให้ผมโกรธ

     

    ทันทีที่เราสองคนผละออกจากกัน ผมจ้องหน้าพี่จุนมยอนอย่างเอาเรื่องอยู่ครู่หนึ่งเพื่อให้อีกฝ่ายรู้สำนึก ใจผมอยากจะตบเข้าที่ใบหน้าพี่เขาแรงๆ แต่มือของผมมันกลับไม่ยอมทำตามที่ใจคิด ผมเลยได้แต่จ้องหน้าพี่เขาด้วยความโกรธถึงขีดสุด แล้วรีบเดินออกจากห้องไปโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว

     

    ทำไมคนที่ผมคิดว่าผมรู้สึกดีด้วยมากๆ ต้องมาทำกับผมแบบนี้ด้วย


    ทั้งชานยอล แล้วก็พี่จุนมยอน โดยเฉพาะคนหลัง ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าพี่จุนมยอนเองก็จะเป็นไปกับเขาด้วย เสียแรงที่ผมนึกอยากจะเก็บความสัมพันธ์แบบพี่น้องที่ดีต่อกันเอาไว้ เสียแรงจริงๆ เพราะสุดท้ายแล้วพี่จุนมยอนก็เป็นคนที่ชอบฉวยโอกาสไม่ต่างจากชานยอลเลย

     

    บางทีมันอาจจะจริงที่ว่า ในบรรดาทุกๆ คนนั้น มีแค่แบคฮยอนคนเดียวที่รักและให้เกียรติผมด้วยใจจริงๆ

     

    ผมผิดหวังจัง

     

     

    .

    .

    .

     




     

     

     

     

     



    พี่รักคยองซูนะ

     

     

    นี่คือข้อความที่ผมตัดสินใจพิมพ์และกดส่งไปหาคยองซูที่เพิ่งจะเดินจากผมไปด้วยท่าทีฟึดฟัด แน่นอนว่าคยองซูต้องโกรธผมมากแน่ๆ ที่ผมฉวยโอกาสทำอะไรแบบนั้นออกไป ผมจูบคยองซู จูบแนบแน่นแม้ว่าอีกฝ่ายจะพยายามขัดขืนจนสุดแรง แต่ผมก็ไม่ยอมปล่อยให้คยองซูได้เป็นอิสระ

     

    และคยองซูคงโกรธเสียจนไม่ทันสังเกตว่าตอนที่ผมจูบกับเขานั้น น้ำตาของผมก็ไหลออกมาด้วยเหมือนกัน

     

    คยองซูมีสิทธิ์จะโกรธผมเป็นฟืนเป็นไฟ เพราะคยองซูไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผมบ้าง

    แต่ผมสงสัยว่า คยองซูจะยังโกรธผมขนาดนี้อยู่ไหม ถ้าผมจะบอกว่า พรุ่งนี้ผมจะไม่อยู่อีกแล้ว

     

     

    ไม่อยู่บนโลกใบนี้อีกแล้ว

     

     

     

    “คนไข้ คิม จุนมยอน เชิญกรอกแบบฟอร์มบริจาคอวัยวะที่เคาท์เตอร์สองด้วยค่ะ”

     

     

    ความรักคืออะไร ?

     

    ผมไม่เคยตอบตัวเองได้เลย ตลอดยี่สิบสี่ปีที่ผ่านมา ผมไม่เคยรู้จักคำว่ารัก วันหนึ่งๆ ของผมหมดไปกับการทำงาน อาจจะมีผู้หญิงบางคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต พอให้ผมได้คิดถึง และอยู่ด้วยกัน นอนด้วยกันไปวันๆ ... แต่ผมกลับไม่เคยรู้สึกว่ามันคือความรักเลย

     

    จนกระทั่งผมได้มารู้จักกับคยองซู โด คยองซู เด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ผมบังเอิญจะปั่นจักรยานไปชนแต่เบรกไว้ได้ทัน เด็กผู้ชายคนที่ทำหน้าตาตื่นในวันนั้นที่สวนสาธารณะ


    เด็กผู้ชายที่เป็นความประทับใจแรก และความประทับใจเดียวของผม

     

    ทุกๆ วันของผมผ่านไปอย่างมีค่า การได้เฝ้าคิดถึงเด็กผู้ชายคนนี้คือความสุขมหาศาลของผม เพียงแค่คิดถึง แค่คิดถึงเท่านั้น หัวใจของผมก็พองโตไปทั้งวันจนผมยังแอบแปลกใจ คยองซูไม่จำเป็นต้องกอดผม อ้อนผม หรือยั่วยวนผมแบบที่ผู้หญิงหลายๆ คนในชีวิตผมเคยทำ


    คยองซูแค่อยู่เฉยๆ มีหน้าที่อยู่เฉยๆ ให้คนอย่างผมรักและคิดถึงก็เท่านั้น

     

    ผมไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ว่าผมจะเรียกคยองซูว่าความรักได้หรือเปล่า จนกระทั่งวันหนึ่ง วันที่เขาเป็นของคนอื่นไปแล้วเรียบร้อย วันที่ผมสามารถยิ้มออกมาทั้งน้ำตา เป็นรอยยิ้มที่แสนเจ็บปวด และเป็นน้ำตาแห่งความยินดี

     

    วันนั้นเอง คือวันที่ผมได้รู้ว่า นี่แหละ คือความรัก

     

    ความรักที่ไม่หวังจะครอบครอง ความรักที่มีแต่การให้ ให้ได้ทุกสิ่งทุกอย่าง แน่นอนว่ารวมไปถึงการให้เขาไปเป็นของคนอื่น คนที่เขารักด้วยหัวใจจริง

     

    “เดี๋ยวดิฉันจะแจ้งรายละเอียดให้ทราบนะคะ อีกประมาณสิบนาทีค่ะ คนไข้เชิญไปนั่งรอก่อนได้เลยค่ะ”

     

    ผมให้คนไปสืบประวัติของคยองซูจนไปรู้เรื่องร้ายแรงบางอย่างเข้า และเรื่องนี้ก็ทำให้ผมต้องนอนไม่หลับมาหนึ่งคืนเต็มเพราะครุ่นคิดอยู่นานว่าควรจะทำยังไงต่อดี ในฐานะ พี่ชายคนหนึ่ง

     

    ... คยองซูเป็นโรคไต ...

     

    เป็นโรคไตที่เกิดจากกรรมพันธุ์ คยองซูจะต้องไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลทุกๆ สามเดือนหรือถี่กว่านั้น น่าเสียดายที่คยองซูไม่มีเงินมากพอจะรักษาโรคนี้ อาการของคยองซูก็เลยย่ำแย่ลงทุกวันๆ จนจะเริ่มอยู่ในระยะที่น่าเป็นห่วง

     

    และนั่นคือคำตอบว่าผมมาทำอะไรที่นี่ ที่แผนกรับปลูกถ่ายอวัยวะ

     

    ใช่แล้ว ผมมาทำเรื่องกรอกแบบฟอร์มปลูกถ่ายไตให้คยองซู เด็กผู้ชายคนที่ผมรักมากเท่ากับชีวิตของผมเอง เด็กผู้ชายที่ชีวิตมีค่ามากกว่าผมเท่าตัว ผมนอนคิดหนึ่งคืนเต็มหลังจากได้รู้เรื่องของคยองซู ประจวบเหมาะกับที่ผมได้ข้อความจากบุคคลนิรนามคนหนึ่ง ทำให้ผมตัดสินใจปลูกถ่ายไตให้คยองซูได้อย่างไม่ลังเล

     

     

    ใช้ชีวิตในอีกไม่กี่ชั่วโมงที่เหลือของแกให้คุ้มค่าซะนะ ไอ้ซูโฮ เพราะคนที่รู้ความลับของคุณนายคิมต้องตายทุกคน ขอให้แกโชคดี

     

     

    นี่คือข้อความที่ผมเพิ่งจะได้รับก่อนหน้าที่คยองซูจะมาหาผมเพียงไม่กี่ชั่วโมง ตอนแรกที่เปิดอ่าน ผมก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าผมไปทำอะไรใครเอาไว้ แต่พอนึกขึ้นมาได้ว่าคุณนายคิมกับพ่อผมเป็นชู้กัน และผมก็มีทั้งรูปและคลิปอยู่ในมือถือ ผมก็ถึงบางอ้อ

     

    ผมไม่รู้หรอกว่าคุณนายคิมจะเป็นใคร และมีอิทธิพลมากขนาดที่จะสั่งฆ่าใครตายก็ได้อย่างที่ข้อความนั้นบอกจริงๆ หรือไม่ แต่ผมรู้เพียงอย่างเดียวว่าผมจะไม่ยอมตายด้วยน้ำมือของคนใจบาปพวกนั้นเด็ดขาด

     

    ถ้าผมจะตาย ผมขอตายด้วยตัวของผมเอง

     

     

     

     

    .

    .

     

     

     

     

    23.00 .

     

    ผมตื่นขึ้นมาหลังจากที่แกล้งหลับอยู่นานเพื่อให้แม่หลับตามผมไปด้วย ตอนนี้แม่ของผมได้เข้าสู่นิทราไปเรียบร้อยแล้ว ผมจัดการหยิบกระดาษที่จะกลายเป็นจดหมายลาทุกคนในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าออกมาเขียนด้วยลายมือที่ยึกยือเพราะมือของผมมันสั่นเทาไปหมด แค่รู้ว่านี่คือวาระสุดท้ายของชีวิต ผมก็รู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

     

    ผมกล่าวขอบคุณพ่อและแม่ที่ให้ชีวิตผม ให้ผมได้เกิดมา และเลี้ยงผมจนเติบใหญ่ เป็นผู้เป็นคน และมีงานการดีๆ ทำจนถึงทุกวันนี้ ขอบคุณน้องชายแท้ๆ คนเดียวของผมที่มักจะกวนประสาทผมตลอดเวลาที่ผมเครียด แต่นั่นก็ทำให้ผมยิ้มออกมาได้ทุกที เซฮุนเป็นเด็กที่จิตใจดีเสียจนผมนึกอิจฉา ผมไม่มีวันจิตใจดีได้มากเท่าน้องชายคนนี้ได้เลย

     

    คนถัดมาต่อจากครอบครัวของผม โด คยองซู

     

    เด็กผู้ชายที่ผมรักมากไม่แพ้กับครอบครัวของผม ถึงแม้เราสองคนจะรู้จักกันแค่ในเวลาสั้นๆ แต่สำหรับผมแล้ว มันคือช่วงเวลาที่แสนจะยาวนานและมีค่าเกินกว่าจะลืมได้ลง ขอบคุณที่เข้ามาในชีวิตผม และทำให้ผมได้รู้จักกับคำว่ารักจริงๆ เสียที

     

    และคนสุดท้าย บยอน แบคฮยอน

     

    ผู้ชายที่ผมเคยจงเกลียดจงชังเพียงเพราะมาแย่งคนรักไปจากผม ผู้ชายที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรเลย กลับต้องโดนผมขู่ว่าจะทำลายอนาคตของพ่อตัวเองถ้าไม่ยอมเลิกยุ่งกับคยองซู ผมนึกขำกับตัวเองเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ผมเลวขนาดไหนกัน ถึงได้ไปขู่อะไรแบบนั้นกับหมอนั่น ผมนี่มันไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ

     

    ขอโทษนะแบคฮยอนสำหรับเรื่องที่ผ่านมา ต่อจากนี้ช่วยดูแลหัวใจของฉันด้วยถึงแม้ว่าหัวใจจริงๆ ของฉันจะไม่อยู่แล้วก็ตาม

     

    ผมค่อยๆ วางปากกาลงทันทีที่เขียนบอกลาทุกคนเสร็จ เป็นข้อความที่ไม่สั้นและไม่ยาวจนเกินไปเพราะไม่อยากทำให้ใครหลายคนรู้สึกผิดและฟูมฟายกับการจากไปของผม เพียงแต่อยากทิ้งท้ายไว้ในสิ่งที่ทุกคนควรจะรู้และผมยังไม่เคยบอกก็เท่านั้น

     

    ผมจัดการวางจดหมายลาเอาไว้ข้างๆ โคมไฟ รวมถึงทิ้งเอกสารสำคัญอย่างเอกสารยืนยันการปลูกถ่ายไตเอาไว้ให้คยองซูอ่านด้วย

     

    ผมแน่ใจว่าคยองซูจะต้องร้องไห้ฟูมฟายและโมโหในการกระทำของผม แต่ผมหวังเพียงอย่างเดียวว่า คยองซูจะไม่โทษตัวเองว่าเป็นต้นเหตุของการจากไปในครั้งนี้ของผม เพราะมันไม่ได้เกี่ยวกับคยองซูเลย

     

    มันเกี่ยวกับตัณหาของพ่อผมล้วนๆ มันเป็นความผิดของพ่อผม ที่ผมดันต้องกลายมาเป็นคนรับผิดชอบแบบนี้

     

     

    ผมหยิบปืนที่ซุกไว้ใต้หมอนมาเกือบหนึ่งวัน ปืนที่ผมอุตส่าห์หนีออกโรงพยาบาลไปซื้อด้วยตัวเองเพราะกลัวคนอื่นจะรู้เข้า โชคดีหน่อยที่ร้านขายอาวุธเหล่านี้ไม่ได้อยู่ไกลจากโรงพยาบาลมาก

     

    จู่ๆ น้ำตาของผมก็ไหลเป็นทาง

    จู่ๆ ความกลัวก็แล่นเข้ามาในอกของผม

     

    ความตาย ที่ผมตัดสินใจและเลือกมันด้วยตัวเอง กำลังทำให้ผมกลัว

     

    ผมกลั้นเสียงสะอื้นของตัวเองเอาไว้เพราะกลัวว่าแม่จะตื่นขึ้นมาเสียก่อน มือยกปืนที่ลั่นไกเรียบร้อยแล้วขึ้นจ่อหัวของตัวเอง ในวินาทีนั้น ภาพของบุคคลที่ผมรักทุกคนในชีวิตแล่นเข้ามาในหัวของผม ทั้งพ่อ แม่ เซฮุน และคยองซู

     

    ภาพของคุณแม่ที่คอยอยู่ข้างๆ ผมเวลาทุกข์หรือมีปัญหา ภาพของคุณพ่อที่แสนดี เจ้าของบริษัทใหญ่โตที่ทุกคนมองว่าเป็นคนดี แต่กลับไปเล่นชู้กับผู้หญิงอื่นต่อหน้าต่อตาผม

     

    และสุดท้าย ภาพของคยองซู ภาพที่ผมเคยโอบกอดคยองซูเอาไว้ ภาพที่เห็นว่าคยองซูอยู่ในอ้อมกอดของแบคฮยอนแทนที่จะเป็นผม

     

     

    ปัง!!

     

     

    เพียงแค่เสี้ยววินาทีเดียว ภาพความทรงจำทั้งหมดนั้นก็หายวับไป

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    .

    .

    .

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “อะ อะไรนะ เซฮุนว่าไง นะ”

     

    มือที่เคยแข็งแกร่ง ตอนนี้กลับเย็นวาบและดูเหมือนจะไร้เรี่ยวแรง เซฮุนโทรเข้ามาหาผมที่กำลังนอนหลับฝันดีอยู่ และผมก็รับสายเซฮุนด้วยความงัวเงีย จนกระทั่งเซฮุนพูดออกมาเท่านั้น ผมก็เบิกตากว้างเหมือนไม่เคยนอนมาก่อน

     

    ผมอยากจะให้สิ่งที่ผมเพิ่งรู้ เป็นแค่ความฝัน

     

    พี่จุนมยอนเสียแล้ว

     

    ไวเสียยิ่งกว่าความคิด น้ำตาของผมไหลลงมาเป็นทางทันทีที่ได้ยินแบบนั้น ความรู้สึกหลายอย่างตีกันในหัวผมจนผมปวดหัวไปหมด ผมค่อยๆ รวบรวมสติที่เหลืออยู่น้อยเต็มทีลุกขึ้นไปแต่งตัวเพื่อที่จะไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด

     

    แบคฮยอนคือคนแรกที่ผมนึกถึง ผมรีบโทรหาแบคฮยอนที่อยู่บ้านห่างกับผมไม่กี่หลังให้ออกไปด้วยกัน ผมไม่กล้าไปคนเดียว ผมกลัว ผมกลัวไปหมดเลย

     

    หลังจากที่ผมแต่งตัวเสร็จภายในเวลาไม่ถึงสองนาที ผมก็ออกไปหาแบคฮยอนที่ดูตกใจมากไม่แพ้กัน แบคฮยอนแต่งตัวช้ากว่าผมนิดหน่อยเพราะคงงงๆ กับเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ไม่น้อย แต่ในที่สุดเราสองคนก็รีบถ่อไปโรงพยาบาลโดยเร็ว

     

    ทุกอย่างมันเกิดขึ้นไว ไม่มีเวลาให้ผมได้ตั้งตัวอะไรเลยแม้แต่นิด ผมร้องไห้และสะอื้นตลอดทางที่อยู่บนแท็กซี่กับแบคฮยอน โชคดีที่แบคฮยอนคอยปลอบผม และอยู่ข้างๆ ผมแบบนี้ ไม่อย่างนั้นผมคงจะฟูมฟายหนักกว่าเดิม

     

     

    ไม่นานนัก เราสองคนก็ถึงโรงพยาบาล ผมกับแบคฮยอนรีบตรงปรี่มาที่ห้องของพี่จุนมยอน ห้องที่มีบุรุษพยาบาล นางพยาบาล รวมไปถึงตำรวจและคนเก็บศพรายล้อมเต็มไปหมด นั่นยิ่งทำให้ผมหน้าตาตื่นมากขึ้นกว่าเดิม

     

    “พี่จุนมยอน เค้าไปดีแล้ว” เซฮุนที่แยกออกมายืนร้องไห้อยู่หน้าประตูโผกอดผมทันทีที่เห็นว่าผมมาถึง น้ำตาผมที่เพิ่งจะหมดไปไม่นานกลับเอ่อล้นออกมาอีกครั้งราวกับก๊อกแตก แบคฮยอนคอยอยู่ข้างๆ ผมและตบบ่าปลอบผมไม่ห่าง ตอนนี้ศพของพี่จุนมยอนถูกนำไปที่ห้องดับจิตเรียบร้อยแล้ว เหลือแต่พวกตำรวจที่กำลังเก็บหลักฐานอยู่เต็มห้อง

     

    “ทำไมถึงเป็นแบบนี้เซฮุน”

    “เรา เราไม่รู้ ทำไมพี่เขาต้องทำแบบนี้ ฮึก เราไม่รู้”

     

    ผมได้เห็นเซฮุนในมุมที่ไม่เคยเห็นและไม่คิดว่าจะได้เห็นมาก่อน เซฮุนร้องไห้สะอึกสะอื้นเป็นเด็กๆ พูดจาก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่อง แถมยังดูเหมือนเสียสติไปอีกด้วย ตาของเซฮุนแดงก่ำและล่องลอยราวกับคนวิญญาณหลุดออกจากร่าง ผมสงสารคนตรงหน้าขึ้นมาจับใจ

     

    “เซฮุน ใจเย็นๆ นะเซฮุน”

     

    ผมที่ร้องไห้หนักไม่แพ้กันกลับต้องเป็นคนกอดปลอบเซฮุนซึ่งเป็นน้องชายแท้ๆ ของพี่จุนมยอน แน่นอนว่าความเสียใจของเรามันไม่เท่ากันอยู่แล้ว คนเป็นน้องชายต้องเจ็บปวดมากกว่าผมเป็นธรรมดา

     

    ผมเกลียดการสูญเสีย ผมไม่ชอบอะไรแบบนี้เลย และผมก็กลัว กลัวมากด้วย

     

    “คยองซู ละลองอ่านจดหมายนี่ ฮึก ดูนะ”

     

    เซฮุนพูดไปสะอื้นไป ยื่นกระดาษที่ตัวเองถืออยู่ตลอดให้ผม ผมยกมือขึ้นปาดน้ำตาลวกๆ แล้วค่อยๆ กวาดสายตาอ่านตั้งแต่บรรทัดแรก เนื้อความของจดหมายเขียนถึงครอบครัว พ่อแม่ของพี่จุนมยอน และเซฮุน

     

    ผมไล่อ่านมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงช่วงกลางของจดหมาย น้ำตาเอ่อล้นอีกครั้ง เป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้

     


     

    ถึง คยองซู

    พี่งี่เง่ามากเลยใช่มั้ย โกรธพี่มากเลยใช่มั้ยล่ะที่พี่จูบเราไปแบบนั้น ขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ

    คยองซู ขอบคุณนะครับที่เข้ามาในชีวิตพี่ ขอบคุณที่เป็นทุกอย่างในชีวิตพี่

    ตั้งแต่รู้จักเรา พี่ก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลย มีอิทธิพลมากเลยนะเราเนี่ย

    เอาความรู้ที่พี่ได้ติวไปทั้งหมดไปใช้ให้ได้เลยนะ พี่จะเฝ้าดูความสำเร็จของเราอยู่บนฟากฟ้า

    รักครับ

     

     

    ผมทรุดตัวลงกับพื้นทันทีที่อ่านจบ กระดาษหลุดปลิวออกไปจากมือผมเพราะผมไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะถือมันแล้ว แบคฮยอนเห็นแบบนั้นก็รีบเข้ามาพยุงและกอดผมเอาไว้ทันที

     

    “คุณเคใจเย็นๆ นะ คุณเค”

    “คุณบี พี่จุนเค้าไปแล้วจริงๆ เหรอ”

    “คุณเค ไม่เอาน่า”

    “พี่เค้าไม่ได้ไปไหนหรอกใช่มั้ย นี่เรากำลังฝันอยู่เหรอ”

    “คุณเค ลุกไปนั่งดีๆ ก่อนนะ”

     

     

    แบคฮยอนที่ดูจะหัวเสียไม่น้อยค่อยๆ พยุงผมไปที่ม้านั่งใกล้ๆ บริเวณนั้น ผมร้องไห้อย่างหนักอีกครั้งจนผมเกือบจะหมดลมหายใจ แบคฮยอนโอบกอดผมเอาไว้ตลอดเวลาไม่ยอมห่างไปไหน ตอนนี้ผมก็เหมือนคนไร้วิญญาณดีๆ นี่เอง

     

    ทำไมพี่เขาต้องด่วนจากผมไปแบบนี้ด้วย ทำไม ทำไมถึงได้ใจร้ายขนาดนี้

     

    ภาพของพี่จุนมยอนที่แสนดีกับผมมาโดยตลอดแว้บเข้ามาในหัว ภาพตั้งแต่วันแรกที่เราพบกัน รอยยิ้มที่สว่างไสวของพี่จุนมยอนทำให้ผมยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ยิ้มทั้งน้ำตาที่อาบเต็มแก้มของผมจนเหนียวเหนอะไปหมด

     

    รวมถึงภาพสุดท้าย ภาพที่พี่จุนมยอนพยายามจะจูบผมแต่ผมขัดขืน ผมน่าจะรู้นะว่าพี่จุนมยอนคงไม่ทำแบบนั้นถ้าไม่มีเหตุผล ผมนี่มันโง่จริงๆ

     

     

    .

    .

    .

     

     






    “กินอะไรสักหน่อยสิครับคุณเค”

     

    เกือบจะสิบชั่วโมงเต็มๆ แล้วที่ผมลางานมาอยู่เป็นเพื่อนคยองซูและคยองซูก็ไม่ยอมกินอะไรเลยแม้แต่คำเดียว เมื่อคืนเกิดเรื่องที่ผมคิดว่าสะเทือนใจมากที่สุดในชีวิตแม้จะไม่ได้เกี่ยวข้องกับผมโดยตรง ทำให้ทั้งผมและคยองซูรู้สึกหดหู่ไปทั้งคืน

     

    ที่หนักไปกว่านั้น การที่คยองซูเอาแต่ร้องไห้ฟูมฟายหนักและไม่ยอมกินอะไรเลยแบบนี้ ทำให้จู่ๆ คยองซูก็ป่วย ไข้ขึ้นสูงกระทันหัน แต่เจ้าตัวเล็กนี่ไม่ยอมให้ผมพาไปโรงพยาบาล โชคดีหน่อยที่มีผมคอยดูแลอยู่แบบนี้

     

    “เข้าใจเค้าหน่อยนะ เค้าไม่อยากกินอะไรเลยจริงๆ”

    “แต่ถ้าไม่กินอะไรเลยแบบนี้ มันจะดีขึ้นได้ยังไง”

    “เค้าก็กินยากินน้ำไปแล้วไง”

    “คุณเค”

    “คุณบี เค้าขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง”

     

    คยองซูพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาจนเกือบจะไม่ได้ยิน ปากของคยองซูแตกและซีดเซียวในแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน คนตัวเล็กจับมือผมขึ้นแล้วกำแน่น จ้องตาผมราวกับจะสื่ออะไรบางอย่าง

     

    “ไม่เห็นต้องขอโทษเลย เปลี่ยนจากคำขอโทษมาเป็นกินข้าวจะดีกว่า” ผมไม่เคยคิดว่าการต้องมานั่งดูแลคยองซูแบบนี้คือภาระ ตรงกันข้าม ผมหาโอกาสจะดูแลคยองซูแบบนี้มานานแล้วเหมือนกัน

     

    ให้ผมได้ดูแลคยองซูบ้าง ในแบบที่ควรรักพึงกระทำ

     

    “คุณบี…”

    หืม?”

    “เช็ดตัวให้เค้าหน่อย”

     

    คาดไม่ถึงว่าในสถานการณ์หดหู่แบบนี้คยองซูจะกลายเป็นคนขี้อ้อนไปได้ เด็กดื้อที่ไม่ยอมกินข้าวเลยแม้แต่มื้อเดียวส่งสายตาและน้ำเสียงออดอ้อนให้ผมจนผมต้องยิ้มตาม มันน่ารักเสียจนผมไม่อยากให้คยองซูไปทำแบบนี้กับใคร ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนโชคดีที่ได้เห็นมุมแบบนี้ของคยองซู

     

    “ถอดเสื้อสิครับ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนหลังจากเดินออกไปเข้าห้องน้ำ และกลับมาพร้อมกับกะละมังใบเล็กบวกผ้าขนหนูสีขาว ผมวางทั้งสองอย่างลงบนโต๊ะข้างๆ เตียงแล้วนั่งรอคยองซูถอดเสื้อออก แต่คนตัวเล็กกลับนั่งเฉย ส่งสายตาหวานเยิ้มมาให้ผมแทนซะอย่างนั้น

     

    “คุณบี ถอดเสื้อให้เค้าหน่อย”

    “หืม?”

    “ถอดเสื้อให้เค้าหน่อยนะ”

     

    ทันทีที่เจ้าของวงหน้าน่ารักร้องขอผมด้วยโทนเสียงต่ำแต่เต็มไปด้วยความออดอ้อน ผมก็ยิ้มกว้างและค่อยๆ ลุกขึ้นขยับไปประชิดตัวคยองซู ก่อนจะจับชายเสื้ออีกคนเตรียมจะถอดเสื้อออกให้

     

     

    หมับ ~

     

     

    แต่แล้วคยองซูกลับโผกอดผมเข้าเต็มแรง ใบหน้านุ่มนิ่มของคยองซูแนบชิดติดกับแผ่นอกของผม มือเล็กค่อยๆ กระชับอ้อมกอดให้แนบแน่นขึ้นทุกๆ วินาทีจนผมเกือบจะหายใจไม่ออก แต่นั่นกลับไม่ทำให้ผมรู้สึกอึดอัดอะไรเลย หนำซ้ำ ผมยังรู้สึกมีความสุขมากด้วย

     

    “เค้ารักคุณบีนะ”

    “เชื่อมั้ยว่าเค้ารักคุณเคมากกว่า”

    “ไม่เชื่อหรอก เค้าต่างหากรักมากกว่า เค้าชนะ”

    “เอาเป็นว่าเรารักเท่ากัน”

    “อื้อ คุณบี” คยองซูเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาลงไป “อย่าทิ้งเค้าไปไหนนะ ห้ามทิ้งเค้านะ”

     

    ผมยกมือขึ้นลูบผมของคนตัวเล็กที่กอดผมอยู่ในระดับอก ยกยิ้มทันทีที่ได้ยินแบบนั้น ผมรู้ว่าคยองซูคงจะเสียใจมากที่พี่จุนมยอนจากไปแบบนี้ ตัวผมเองจะสะเทือนใจไม่น้อยไปกว่ากัน อีกอย่าง ชีวิตคยองซูก็เหลือเพียงแค่คุณยายคนเดียว ตั้งแต่มีพี่จุนมยอนเข้ามา คยองซูก็เหมือนได้มีพี่ชายแท้ๆ เพิ่มมาอีกหนึ่งคน มันไม่ควรเกิดอะไรแบบนี้ขึ้นเลย

     

    ผมขอสาบานกับตัวเองเลยว่า ผมจะไม่มีวันทิ้งคยองซูไปไหน นอกเสียจากความตายจะพรากผมไป

     

    “ไม่ทิ้งครับ ไม่ทิ้งอยู่แล้ว เชื่อใจคุณบีมั้ยหื้ม”

    “อื้ม ขอบคุณนะ”

    “ทีนี้ก็มาเช็ดตัวกันได้แล้วนะเจ้าตัวเล็ก”

    “ขอกอดต่ออีกหน่อยนะ”

     

    อ้อมกอดที่ไม่แน่นมากเท่าเดิม แต่กลับรู้สึกอบอุ่นมากกว่าเดิมทำให้ผมยิ้มกว้างออกมาอีกครั้ง คยองซูเงยหน้าขึ้นมองผมด้วยสายตาที่ผมเชื่อเหลือเกินว่าเป็นสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก รวมไปถึงความกลัว กลัวว่าผมจะหนีหายจากไปไหนอีกคน

     

    ผมรู้ว่าคยองซูกลัว แต่คยองซูไม่ใช่คนที่ชอบพูดอะไรแบบนั้นออกมาอยู่แล้ว

     

    ริมฝีปากอวบอิ่มที่เผยอออกน้อยๆ ทำให้ผมอดใจไม่ได้อีกครา หลังจากที่เราทั้งสองสบตากันเนิ่นนาน ผมก็ค่อยๆ ก้มใบหน้าลงไปจรดปลายจมูกที่จมูกเล็กของคนตัวบาง ก่อนที่ริมฝีปากของเราทั้งสองจะทาบทับกันอย่างช้าๆ

     

    รสจูบที่ผมมอบให้คยองซูในตอนนี้ คือสิ่งที่ผมอยากมอบแทนคำพูดที่ว่า ผมจะไม่ทิ้งคยองซูไปไหน

     

     

     

    ทีนี้ก็มาถึงเวลาที่ผมควรจะเช็ดตัวให้คนที่ทำตัวขี้อ้อนเป็นแมวนี่สักที ผมจัดการถอดเสื้อคยองซูออกอย่างกล้าๆ กลัวๆ หัวใจของผมมันเต้นแรงไปหมด ทั้งๆ ที่ผมก็เคยเห็นอะไรแบบนี้ของคยองซูแล้วตอนที่เราอาบน้ำด้วยกัน แต่ทำไมผมถึงยังไม่ชินสักทีก็ไม่รู้

     

    ผมค่อยๆ เอาผ้าขนหนูชุบน้ำหมาดๆ แล้วเช็ดตัวคยองซูด้วยความทะนุถนอม คยองซูเองก็คงจะเขินผมไม่น้อย ถึงได้เอาแต่หลบตาผมและมองไปทางอื่นตลอดเวลาแบบนี้ ส่วนผม ผมเองก็ประหม่าเหมือนกัน ถ้าคยองซูสังเกตดีๆ คงจะรู้ว่าผมมือสั่นอยู่ ถึงแม้จะเป็นการสัมผัสเรือนร่างคยองซูผ่านผ้าขนหนู แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกหวาบหวิวมากไปกว่าการแตะต้องด้วยมือเปล่าเลย

     

    ผิวพรรณเกลี้ยงเกลา ยอดอกขาวอมชมพูของคยองซู ยากเหลือเกินที่จะหักห้ามใจ

     

    เมื่อรู้ตัวว่าเริ่มถูกความคิดอกุศลเข้าครอบงำ ผมก็รีบเรียกสติสตางค์ตัวเองให้กลับมาโดยเร็วก่อนที่จะคิดเลยเถิดมากไปกว่านี้ ผมพยายามท่องไว้ว่าคยองซูกำลังไม่สบาย และผมมีหน้าที่ดูแลให้คยองซูหายป่วยเท่านั้น ห้ามคิดอะไรไม่ดีเด็ดขาด

     

    และยิ่งได้รู้ว่าผิวของคยองซูขาวเนียน ลื่นมือ น่าสัมผัสมากเท่าไหร่ ผมยิ่งรู้สึกหวงแหน อยากจะเก็บคยองซูไว้คนเดียวมากขึ้นเท่านั้น คยองซูในความคิดของผม คือสิ่งที่มีค่า น่าทะนุถนอมเหลือเกิน

     

    ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเป็นยังไง สิ่งเดียวที่ผมรู้ก็คือ

    ผมต้องปกป้อง และดูแลคยองซูอย่างนี้ไปอีกนานเท่านาน

     

     

     

     

     

     

     

    .

    .

    .

     

     

     

     

    อ่อนล้าเหลือเกิน

     

    ทั้งสภาพร่างกายและสภาพจิตใจของผมอ่อนล้ามากเสียจนผมไม่อยากจะขยับตัวไปทำอะไรเลย

     

    หนึ่งวันเต็มแล้วที่พี่จุนมยอนจากผมกับครอบครัวไป ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพี่เขาถึงได้ทำแบบนี้ มีเรื่องอะไรที่ทำให้พี่เขาต้องตัดสินใจด่วนจากพวกเราไปแบบนี้ ผมจินตนาการภาพที่ไม่มีพี่จุนมยอนไม่ออก เราสองคนกินข้าวเย็นด้วยกันเกือบจะทุกวันแม้พี่จุนมยอนจะงานยุ่ง เราสองคนมักจะแชร์เรื่องต่างๆ ให้กันและกันเสมอ พี่จุนมยอนรู้ทุกเรื่องของผม และผมก็รู้ทุกเรื่องของพี่จุนมยอน

     

    ผมทานข้าวได้ปกติดีทุกมื้อ แม้จะเต็มไปด้วยรสชาติที่แสนขมขื่น แต่คุณแม่ของผม คุณแม่ไม่ยอมทานอะไรเลย วันๆ เอาแต่นั่งร้องไห้และนั่งดูรูปพี่จุนมยอน ไม่ยอมไปทำงาน ไม่ยอมแม้แต่จะนอนเลยด้วยซ้ำ ผมเป็นห่วงคุณแม่ของผมเหลือเกิน

     

    ส่วนคุณพ่อเองก็ไม่ได้ไปทำงานเลยเหมือนกัน คุณพ่อเครียดไม่ต่างจากคุณแม่ แต่ด้วยความที่เป็นหัวหน้าครอบครัวเลยเก็บอาการเอาไว้ ผมยังไม่เห็นน้ำตาของคุณพ่อเลยแม้แต่หยดเดียว แต่ถึงอย่างไรผมก็เชื่อว่าคุณพ่อรักพี่จุนมยอน และเสียใจกับการจากไปของพี่เขาในครั้งนี้มากไม่ต่างกัน

     

    ผมตื่นจากภวังค์ทันทีที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น หน้าจอโชว์ภาพของจงอินที่กำลังโทรเข้ามาหาผมหลังจากที่ผมไม่ได้ติดต่อไปเป็นเวลาหลายวัน ผมเชื่อว่าจงอินจะต้องโทรมาหาผมเรื่องพี่จุนมยอนเป็นแน่

     

    “ว่าไง”

    (อย่าทำเสียงเศร้าแบบนั้นสิ ร่าเริงหน่อย)

    “พี่ชายตายทั้งคน จะให้ทำเสียงดีใจยังไงไหว”

    (อยู่ไหน)

    “โรงพยาบาลมยองดง”

    (ทำไมถึงไม่กลับบ้าน)

    “อยู่เป็นเพื่อนคุณแม่ รอวินิจฉัยผลศพอยู่ มีอะไรรึเปล่า”

    (พูดเหมือนฉันเป็นคนอื่นจังเลยนะ)

    “ตอนนี้เราไม่มีอารมณ์มาทะเลาะหรอกนะ”

    (ก็ไม่ได้จะมาทะเลาะด้วยซะหน่อย เงยหน้าแล้วหันมาทางซ้ายหน่อยสิ)

     

     

    ผมเงยหน้าขึ้นและหันไปทางซ้ายตามที่ปลายสายบอก พบว่าจงอินกำลังยืนอยู่ตรงหน้า พร้อมส่งรอยยิ้มอบอุ่นที่ชาตินี้ผมคิดว่าคงจะไม่มีวันได้เห็นมาให้ผม ผมค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วเดินไปหาเจ้าของรอยยิ้มนั่น อันที่จริงจงอินไม่ควรมาเห็นผมในสภาพแบบนี้เลย ผมกำลังโทรมในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลยล่ะ

     

    “หน้าตาดูไม่จืดเลยนะ”

    “จะมากวนอะไรอีก บอกแล้วว่าไม่มีแรงหรอกนะ”

    “ดึกมากแล้ว กลับบ้านไปพักผ่อนก่อนไหม อยู่ที่นี่หดหู่จะตาย”

    “จริงๆ ก็อยากกลับเหมือนกันแหละ แต่…”

    ฉันจะไปส่งเอง”

     

    ผมอยู่ที่โรงพยาบาลเป็นเพื่อนแม่มานานกว่าห้าชั่วโมงแล้ว และแน่นอน ผมเกลียดโรงพยาบาล แม้ว่าผมจะทำงานเป็นผู้ช่วยหมอคิมพ่อของจงอินมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ผมก็ยังเกลียดโรงพยาบาลอยู่ดี และผมก็ยิ่งเกลียดมากไปกว่าเดิม เมื่อเกิดเรื่องพี่จุนมยอนขึ้น

     

    ผมอยากจะกลับบ้านไปอาบน้ำใจจะขาด ติดตรงที่ยังเป็นห่วงคุณแม่อยู่ แต่ตอนนี้ คุณพ่อมาอยู่เป็นเพื่อนคุณแม่แล้ว คำพูดของจงอินทำให้ผมสนใจในข้อเสนอนั่น คุณแม่เองก็บอกให้ผมกลับไปเฝ้าบ้านตั้งหลายที ผมเริ่มลังเล บางทีการอยู่กับจงอินอาจจะทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง

     

    “ทำไมต้องคิดนานด้วยล่ะ ถ้างั้น จะเลี้ยงโกโก้ไข่มุกสองแก้วเลยดีมั้ย”

    “เห็นเราเห็นแก่กินรึไง”

    “แล้วอยากกินมั้ยล่ะ อร่อยกว่าน้ำตาเยอะเลยนะ”

     

    จงอินพูดติดตลก ทำให้ผมต้องหลุดยิ้มออกมาน้อยๆ ผมเดินไปบอกแม่ว่าจะขอกลับบ้านก่อน นั่นทำให้แม่ผมดีใจที่ผมเลิกห่วงแม่ได้เสียที แถมแม่ยังรีบบอกให้ผมรีบกลับไปอีกต่างหาก

     

    “ไปก็ไป”

     

     

    .

    .

    .

     

     

    จงอินแวะร้านชาไข่มุกระหว่างทางตามที่สัญญาเอาไว้ไม่มีผิด แถมยังซื้อโกโก้ไข่มุกมาสองแก้วตามที่พูดเอาไว้ด้วย ในเวลาที่ผมเศร้า และจิตใจขุ่นมัวแบบนี้ ผมก็รู้สึกได้เลยว่าจงอินเป็นคนน่ารักมากคนหนึ่ง น่ารักตรงที่พยายามจะเอาใจผมแบบนี้นี่แหละ

     

    จงอินไม่ต้องคิดอะไรกับผมก็ได้ ขอแค่จงอินอยู่ข้างๆ ผมแบบนี้ก็พอ

     

    “ฉันก็อยากกินบ้างเหมือนกันนะ” จงอินพูดหลังจากเหลือบมองผมที่เอาแต่ดูดโกโก้ไข่มุกตลอดทาง ทำให้ผมต้องรีบหยิบโกโก้ไข่มุกอีกแก้วแล้วยื่นให้คนขับทันที

     

    “ไม่ใช่ ฉันไม่ได้อยากกินแก้วนี้” จงอินพูดยิ้มๆ “ฉันอยากกินแก้วเดียวกับนาย”

     

    “อ่ะ” คำพูดของจงอินทำให้ผมต้องยื่นแก้วผมไปให้ ทั้งที่ในใจก็แอบสงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมจะต้องมาอยากกินแก้วเดียวกับผมด้วย(วะ)

     

    “ก็ยังไม่ใช่อีกนั่นแหละ…”

     

    จังหวะที่ผมยื่นแก้วของผมให้ เป็นจังหวะเดียวกันกับที่รถติดไฟแดงพอดี จงอินมองตาผมแล้วยิ้มเหมือนกับว่าคิดอะไรในใจอยู่ แต่ไม่ยอมรับโกโก้ไปจากมือผม นั่นยิ่งทำให้ผมสับสนเข้าไปใหญ่ว่าคนข้างๆ นี่ต้องการอะไรกันแน่

     

    แต่แล้วทุกอย่างก็เฉลย เมื่อจงอินพูดอะไรบางอย่างออกมา

     

    “ป้อนฉันหน่อย”

     

    ใบหน้าของผมร้อนผ่าวขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเจ้าของเสียงนุ่มพูดแบบนั้น สาบานได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่จงอินร้องขอให้ผมทำอะไรแบบนี้ ปกติจงอินไม่ใช่คนขี้อ้อน แน่นอนว่ายิ่งกับผมยิ่งไม่อ้อนเข้าไปใหญ่ วันนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันล่ะเนี่ย

     

    หรือบางที จงอินอาจจะอยากทำให้ผมรู้สึกดึ แล้วก็เลิกคิดเรื่องพี่จุนกันนะ ?

     

    ใช่แล้วแหละ คงจะเป็นแบบนั้นนั่นแหละ

     

    “ป้อนเปิ้นอะไร ก็กินเองดิ”

    “กินเองมันคงไม่หวานเท่าไหร่หรอกมั้ง” จงอินพูดเสียงเจ้าเล่ห์ พร้อมเลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้ผม

    “เซฮุนป้อนผมหน่อยสิครับ”

     

    คราวนี้ไม่ใช่เฉพาะใบหน้า แต่ทั้งร่างกายของผมมันร้อนผ่าวไปหมด มือของผมที่ถือชาไข่มุกอยู่สั่นระริกจนแก้วเกือบจะหลุดมือ ผมกลืนน้ำลายลงคอช้าๆ ตอนนี้ผมเขินเสียจนผมไม่รู้จะเอาสายตาไปมองทางไหนแล้ว

     

    จงอิน ไอ้บ้าเอ๊ย

     

    “เออๆ ป้อนก็ป้อน ไม่ต้องเอาหน้ามาใกล้ขนาดนี้ก็ได้”

    “ก็แค่อยากมองใกล้ๆ”

    “เพ้อเจ้อ”

     

    ผมเริ่มรวบรวมความกล้าหันไปหาจงอินที่อยู่ใกล้เพียงคืบ ก่อนจะค่อยๆ จ่อหลอดโกโก้ไข่มุกที่ริมฝีปากของจงอิน สายตาของจงอินที่ดูหยาดเยิ้มเสียจนผมแทบจะละลายทำให้มือของผมสั่นมากกว่าเดิม ให้ตายสิ เห็นคนอื่นเป็นแบบนี้แล้วสนุกหรือไงวะเนี่ย

     

    “เอาหน้าออกไปได้แล้ว แล้วก็เลิกมองแบบนั้นสักที”

     

    หลังจากปล่อยให้จงอินแทะโลมทางสายตาอยู่นานสองนาน ผมก็พูดออกไปแบบนั้น จงอินเอาแต่ดูดโกโก้ของผมและมองผมแบบไม่กระพริบตา ทำไมไฟแดงวันนี้มันนานขนาดนี้ล่ะเนี่ย ผมไม่เคยรู้สึกหงุดหงิดไฟแดงเท่าวันนี้มาก่อนเลย

     

    และในที่สุดไฟแดงก็เปลี่ยนเป็นไฟเขียว ทำให้จงอินละใบหน้าไปจากผมได้เสียที ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ส่วนจงอินก็เอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียวจนผมอดด่าไม่ได้

     

    “ยิ้มอะไรนักหนา”

    “มีความสุขก็ต้องยิ้ม จะให้มานั่งร้องไห้หรือไง”

    “งั้น มีความสุขอะไรนักหนา”

     

    จงอินไม่ตอบผม แต่ยังคงเอาแต่ยิ้มอยู่คนเดียวเหมือนเดิม ผมเองก็ไม่ได้คาดคั้นอะไรต่อ เราสองคนอยู่ด้วยกันในความเงียบเนิ่นนานจนกระทั่งรถมาจอดอยู่ที่หน้าบ้านผม น่าแปลกที่จงอินเคยมาบ้านผมเพียงครั้งเดียวแต่กลับจำทางได้แม่นโดยที่ผมไม่ต้องบอกอะไรเลย

     

    พูดแล้วก็อดคิดถึงวันนั้นไม่ได้ วันที่ผมพาจงอินมานอนที่บ้านผม และเรื่องเลวร้ายของเราสองคนก็เกิดขึ้น

     

    “ขอบใจมากนะที่มาส่ง” ผมปลดเข็มขัดนิรภัยออกแล้วทำท่าว่าจะเปิดประตูลงรถ แต่จงอินกลับคว้าข้อมือผมไว้เสียก่อน

     

    “เดี๋ยวสิ” จงอินพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูอ่อนโยนผิดปกติ ทำให้ผมต้องหยุดกึกและจ้องตาอีกฝ่ายที่ดูเหมือนมีอะไรอยากจะบอกผม ผมไม่พูดอะไร จงอินเองก็ไม่ยอมพูดอะไรออกมาเสียที เราสองคนจ้องตากันเนิ่นนาน นานจนผมเผลอปล่อยให้จงอินเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้จนแทบจะหายใจรดกันโดยที่ไม่รู้ตัว

     

    ริมฝีปากหนาที่เลื่อนตัวเข้ามาหาผมช้าๆ ค่อยๆ กดทับลงที่ริมฝีปากของผม ผมเบิกตากว้างในขณะที่อีกฝ่ายค่อยๆ หลับตาพริ้ม จงอินเริ่มกดริมฝีปากแนบชิดขึ้น จูบผมหนักขึ้นจนผมต้องยอมหลับตาลงด้วยความเคลิบเคลิ้มไม่ต่างกัน

     

    จงอินกำลังจูบผม

    เป็นจูบที่จงอินมีสติครบถ้วนดี

     

    ผมไม่ได้ฝันไปใช่ไหม ?

     

     

    เวลาผ่านไปเนิ่นนานจนลมหายใจผมเกือบขาดห้วง ผมยกมือขึ้นทุบหน้าอกอีกคนเบาๆ เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าผมเริ่มจะหายใจไม่ทันแล้ว ทำให้จงอินยอมผละริมฝีปากออกไปจากผม แน่นอนว่าผมไม่ได้อยากจะหยุดไว้เพียงเท่านี้ ผมอยากจะตักตวงความหอมหวานที่ผมปรารถนามาเนิ่นนานนี้ให้นานที่สุด แต่นี่มันไม่ใช่ที่ที่เหมาะสม

     

    “เซฮุน คือ…”

    “เรารู้…”

    หืม?”

    “เรารู้ว่าที่จงอินทำแบบนี้เพราะแค่อยากจะปลอบใจเรา”

    “เซฮุน”

    “เราขอบคุณมากนะ เรารู้สึกดีขึ้นมากเลยแหละ”

    “เซฮุน ไม่ใช่ ฟังก่อน”

    ……………”

    “เราไม่ได้จูบเซฮุนเพราะอยากปลอบใจ”

    “ถ้างั้นเพราะอะไรล่ะ”

    “เราจูบเซฮุน เพราะเราอยากจูบ”

    “หืม?”

    “เราจูบเซฮุน เพราะ เราชอบเซฮุน”

     

     

    .

    .

    .

     

     

     

     

     

    ผมไม่รู้หรอกว่าเซฮุนจะรู้สึกเขินอายกับคำพูดที่ผมเพิ่งพูดออกไปมากน้อยแค่ไหน แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้หัวใจของผมมันเต้นโครมครามจนผมยังอายตัวเองเลย ถ้าเซฮุนรู้ว่าผมเขินเซฮุนมากขนาดไหน เซฮุนจะต้องหัวเราะเยาะผมแน่ๆ

     

    ผมเพิ่งจะจูบกับเซฮุนไป

     

    เป็นจูบที่ผมเพิ่งรู้ตัวเหมือนกันว่าผมอยากจะทำมานานแล้ว

     

    ผมนอนคิดมาทั้งคืนว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม ทำไมผมถึงได้กระวนกระวายเวลาไม่เจอหน้าเซฮุน ทำไมก่อนนอนผมจะต้องคิดถึงเซฮุน ทำไมผมจะต้องอยากคุยกับเซฮุนตลอดเวลาขนาดนี้ แทนที่จะป็นคยองซู

     

    ผมโกหกตัวเองมาตลอดเกือบหนึ่งเดือนว่าผมรักคยองซู ในขณะที่หัวใจผมมันร้องเรียกแต่ผู้ชายที่ชื่อเซฮุน จริงอยู่ ที่วันแรกๆ ผมรำคาญเซฮุน รำคาญมากเสียจนคิดว่าตัวเองไม่น่ามารู้จักคนๆ นี้เลย แต่หลังจากที่ได้รู้จักเข้าจริงๆ เซฮุนกลับเป็นคนเดียวที่ทำให้ผมยิ้มได้เวลามีความทุกข์

     

    ไม่ว่าจะทุกข์จากเรื่องครอบครัว หรือทุกข์จากเรื่องคยองซู

     

    และอีกอย่าง ผมเองไม่ใช่คนขี้แพ้ แต่ทำไมจู่ๆ ผมก็รู้สึกว่าผมอยากยอมแพ้เรื่องคยองซู ผมอยากหลีกทางให้แบคฮยอนขึ้นมาดื้อๆ ทั้งที่ผ่านมาตลอดสามปีผมไม่เคยมีความคิดแบบนี้เลย มันไม่ใช่เพราะว่าผมเหนื่อยหรอก แต่มันเป็นเพราะว่าผมมีสิ่งดีๆ สิ่งใหม่เข้ามาในชีวิตผมแล้วต่างหาก

     

    สิ่งดีๆ ที่ว่านั่นก็คือ โอ เซฮุน

     

     

    “อะไรนะ” เซฮุนเลิกคิ้ว อ้าปากค้างน้อยๆ เมื่อได้ฟังคำพูดของผม ผมไม่อยากจะอ้อมค้อมอีกต่อไปแล้ว ผมชอบเซฮุน ผมรู้ตัวเองแล้วว่าผมชอบเซฮุน และที่สำคัญ ในเวลาที่เซฮุนอ่อนแอแบบนี้ ผมอยากจะดูแลเซฮุนเหลือเกิน

     

    อยากจะกอดเซฮุนเอาไว้ อยากจะกอดอย่างเปิดเผยเสียที

     

    “ก็บอกว่าชอบไง”

    “ไม่สิ คือ เดี๋ยวนะ ทำไม…” ท่าทางเลิกลักและพูดไม่รู้เรื่องของเซฮุนทำให้ผมหัวเราะออกมา

    “ฉันชอบเซฮุน ฉันชอบนาย จงอินชอบเซฮุน ชัดเจนพอรึยัง”

    “แต่ คือ

    “ฉันรู้ตัวแล้วว่าฉันไม่ได้ชอบคยองซู คนที่ฉันอยากเจอในทุกๆ วันไม่ใช่คยองซูอีกต่อไปแล้ว”

     

    ผมจับมือเล็กของเซฮุนมาวางไว้บนตักของตัวเอง ใจอยากจะหอมแก้มสีแดงระเรื่อนั่นจะแย่ แต่ผมต้องเก็บอาการเอาไว้ เซฮุนในเวลาซีดโทรมแบบนี้ยังเป็นเซฮุนคนที่ดูดีมากสำหรับผมเสมอ

     

    “เซฮุน

    “อ อะไร”

    “ต่อจากนี้ เราไม่เป็นเพื่อนกันแล้วได้มั้ย”

    “วว่าไงนะ”

    “ฉันไม่อยากจูบนายแค่ในฝันอีกต่อไปแล้วล่ะ”

    …………”

    “ถึงฉันจะดูแลใครไม่ค่อยเก่ง แต่เปิดโอกาสให้ฉันลองดูแลนายหน่อยได้มั้ย”

    …………”

    ขอโทษที่ผ่านมาไม่เคยทำตัวดีๆ กับนายเลย ต่อจากนี้จะยอมนายทุกอย่างแล้ว”

    “จงอิน…”

    คบกับฉันนะเซฮุน”

     

     

     

    .

    .

    .

     

     

     

     

     

     

    ร้าน XYZ

    18.00 .

     

     

    “พี่ซูโฮเสียแล้วเหรอ!!

     

    วันนี้แบคฮยอนมาทำงานสายหลังจากที่ลางานไปสองวันเต็ม ผมได้เจอกับคยองซูที่มาส่งแบคฮยอนและได้รู้ข่าวว่าพี่ซูโฮเสียแล้วเมื่อสามวันก่อน ผมเบิกตากว้าง ช็อคกับเรื่องที่เพิ่งจะได้ยินจนทำอะไรไม่ถูก แต่ถึงกระนั้นผมเองก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคนๆ นั้นอยู่ดี ผมเลยได้แต่รู้สึกใจหายนิดๆ

     

    “แล้วคยองซูโอเคมั้ยเนี่ย” ผมเอ่ยปากถามเมื่อเห็นใบหน้าคยองซูซีดเซียวผิดไปจากเดิม ถ้าจะให้เดา คยองซูคงจะผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักแน่ๆ

     

    “ก็ต้องโอเคอยู่แล้ว มีเราคอยดูแลขนาดนี้” ยังไม่ทันที่คยองซูจะได้ตอบอะไรผม แบคฮยอนก็แทรกขึ้นมาเสียก่อน หมอนี่ยกมือโอบไหล่คยองซูโชว์ผมด้วยใบหน้าระรื่นเสียจนผมอยากจะเตะเข้าสักที

     

    “เออ ก็จริง แบคฮยอนคงไม่ปล่อยให้คยองซูเป็นอะไรหรอกเนอะ” ผมได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ให้แบคฮยอน เป็นยิ้มที่ทั้งสองคงไม่มีวันรู้ว่ามันเป็นยิ้มเสแสร้งเสียเต็มประดา

     

    แบคฮยอนกับคยองซูบอกลากันสักพัก ก่อนที่แบคฮยอนจะหอมแก้มคยองซูทิ้งท้าย ภาพที่ผมเห็นยิ่งทำให้ไฟริษยาสุมอกหนักขึ้นกว่าเดิม แน่นอนว่าแผนการของผมที่จะกำจัดแบคฮยอนใกล้จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว

     

    แบคฮยอน นายทำให้ฉันหมั่นไส้เองนะ ช่วยไม่ได้

     

    “วันนี้ลูกค้าเยอะ รีบไปเปลี่ยนชุดกันได้แล้วหนุ่มๆ” พี่เจ้าของร้านเดินเข้ามาหาพวกเราและเร่งให้เราสองคนไปเปลี่ยนชุด ผมกับแบคฮยอนเลยรีบวิ่งเข้าไปเปลี่ยนชุดในห้องพนักงานจนไม่มีเวลาได้คุยกัน

     

    เราสองคนทำงานในครัวพักหนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นออกไปเสิร์ฟอาหารให้ลูกค้า ซึ่งวันนี้พี่เจ้าของร้านบอกว่ามีแขก VIP มากินที่ร้านเรา แถมแขกวีไอพีคนนี้ก็คือหนึ่งในประธานบริษัทที่เป็นเจ้าของร้านอาหารแห่งนี้นี่เอง และนั่นก็เข้าทางของผม แผนการที่ผมเตรียมมาในวันนี้ต้องสนุกแน่ๆ

     

    “แบคฮยอน เดี๋ยวเรายกข้าวไปเอง นายยกน้ำนำไปก่อนนะ”

    “อ้อ โอเค”

     

    แบคฮยอนทำตามที่ผมว่าอย่างไม่มีอาการสงสัยใดๆ ผมเดินตามก้นแบคฮยอนออกมาติดๆ เพื่อที่จะไปบริการแขก VIP ที่มุมสุดของร้าน วันนี้มีบริกรประมาณสี่ห้าคนรวมผมกับแบคฮยอนด้วย ซึ่งเยอะกว่าปกติ ผมอาศัยจังหวะที่บริกรเดินกันขวักไขว่นี้ผลักแบคฮยอนให้เซจนน้ำกระเด็นหกใส่เต็มเสื้อของลูกค้า

     

    “เฮ้ย!!! แบคฮยอนเราขอโทษ”

     

    ผมรีบทำทีเป็นวางจานอาหารในมือไว้ก่อนและรีบไปหาอะไรมาเช็ดให้แขกคนสำคัญซึ่งทำหน้าไม่พอใจเป็นอย่างมาก แบคฮยอนหน้าซีดเป็นไก่ต้มแม้ปากจะบอกว่าไม่เป็นไร ผมแอบรู้สึกผิดนิดๆ เพราะไม่คิดว่าสถานการณ์จริงมันจะแย่กว่าที่คิดเอาไว้ แต่ก็รู้สึกสะใจอยู่ดี

     

    “ไปเรียกหัวหน้าพวกเธอมาคุยกับฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ”

    “ครับคุณนาย ผมขอโทษนะครับ”

     

    แบคฮยอนเอาแต่โค้งคำนับแสดงความขอโทษกับลูกค้าคนสำคัญที่กำลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ผมอาสาเป็นคนเดินเข้าไปเรียกหัวหน้าด้วยตัวเอง และปล่อยให้แบคฮยอนยืนฟังคำด่าอยู่อย่างนั้น

     

    “หัวหน้าครับ เกิดเรื่องแล้ว” ผมรีบวิ่งหน้าตาตื่น

    “มีอะไรกันน่ะชานยอล”

    “แบคฮยอนครับ แบคฮยอนทำน้ำหกใส่ลูกค้า”

    “ห๊ะ!?”

    “เจ้านั่นมันสะเพร่าจริงๆ ผมขอโทษแทนมันด้วยนะครับ หัวหน้าช่วยออกไปคุยกับลูกค้าหน่อยนะครับ”

     

    ผมทำหน้ารู้สึกผิดและทำอะไรไม่ถูกเนียนเสียจนหัวหน้าหลงเชื่อ ทั้งๆ ที่ผมเป็นคนผลักแบคฮยอนเองแท้ๆ แต่ผมกลับบอกว่านั่นเป็นความสะเพร่าของแบคฮยอน ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมผมต้องร้ายขนาดนี้ แต่ก็อย่างที่บอกนั่นแหละ ผมอยากทำให้แบคฮยอนเจ็บปวด ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน

     

    “ทางเราต้องขอโทษด้วยนะครับคุณผู้หญิง บริกรคนนี้เป็นเด็กใหม่ ยังขาดประสบการณ์อยู่มาก”

    “เธอกล้าเอาเด็กใหม่มาเสิร์ฟฉันได้ยังไง!”

    ผมไม่ทราบจริงๆ ครับ เด็กคนนี้ทำงานดีมาโดยตลอด ผมไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้น่ะครับ”

    “ฉันจะให้อภัยก็ได้…” คุณผู้หญิงพูดแล้วเว้นวรรค ทำให้ทั้งแบคฮยอนและหัวหน้าสีหน้าดีขึ้นมานิด

    “ฉันจะให้อภัยพวกเธอ ถ้าพวกเธอไล่เด็กเสิร์ฟคนนี้ออก”

     

    คำพูดของคุณผู้หญิงทำให้แบคฮยอนหน้าถอดสียิ่งกว่าเดิม หัวหน้ามองมาทางแบคฮยอนสลับกับผม ผมเองก็หน้าตาตื่นไม่แพ้กัน ไม่คาดคิดว่าเรื่องมันจะบานปลายขนาดนี้ ผมแค่อยากจะแกล้งแบคฮยอนเพื่อความสะใจเฉยๆ ก็เท่านั้นเอง

     

    แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกนะว่าผมแอบรู้สึกสะใจอยู่น้อยๆ ถ้าแบคฮยอนโดนไล่ออกขึ้นมาจริงๆ

     

    “พวกเธอก็รู้ว่าร้านในเครือฉันต้องมีแต่บริกรคุณภาพ ใครไม่มีคุณภาพแบบนี้ก็ควรไล่ออกไปซะ ไม่ใช่ปล่อยให้อยู่ทำผิดซ้ำซาก”

    “แต่คุณนายครับ ผมว่าเราควรใจเย็………”

    หัวหน้าครับ ผมจะออกเอง”

    “หา!?”

     

    คำพูดของแบคฮยอนทำให้ผมกับหัวหน้าต้องตาโตมากกว่าเดิม ผมอ้าปากค้างอยู่นาน ไม่คิดว่าแบคฮยอนจะพูดอะไรแบบนี้ออกมา แบคฮยอนค่อยๆ คุกเข่าลงและคำนับคุณผู้หญิงกับหัวหน้าก่อนจะพูดอะไรออกมา

     

    “ผมผิดเองครับ เป็นความผิดของผมเองที่สะเพร่า ผมขอลาออกจากงานนี้ครับ”

    “แบคฮยอน” ผมกับหัวหน้าเรียกชื่อแบคฮยอนออกมาพร้อมกัน แบคฮยอนเงยหน้ามามองผม เป็นสายตาที่บอกไม่ถูกว่าจะสื่ออะไร

    “ขอบคุณที่อยากจะให้โอกาสผมนะครับหัวหน้า แต่คนสะเพร่าอย่างผมคงไม่เหมาะกับงานนี้จริงๆ คุณนายครับ ผมขอโทษอีกครั้งนะครับ”

     

    แบคฮยอนโค้งคำนับสองสามทีแล้วเดินเข้าไปในห้องพนักงาน ดูเหมือนว่าแบคฮยอนจะเตรียมตัวเปลี่ยนชุดและกลับบ้านทันทีที่พูดจบ ผมเองก็ตกใจไม่น้อยที่สถานการณ์กลายมาเป็นแบบนี้ แต่ถามว่ารู้สึกผิดไหม ก็แค่นิดเดียวเท่านั้นแหละ

     

    “ชานยอล ไปดูแบคฮยอนหน่อยไป” หัวหน้าพยักเพยิดหน้าให้ผมเข้าไปอยู่เป็นเพื่อนแบคฮยอน ผมจึงพยักหน้าและรีบทำตามคำสั่งของหัวหน้าอย่างว่าง่าย ทันทีที่เข้ามาถึงก็เห็นแบคฮยอนเปลี่ยนชุดเสร็จเรียบร้อยแล้ว

     

    “นายจะลาออกจริงๆ เหรอ มันเป็นความผิดของฉันนะ”

    “ไม่ใช่หรอกชานยอล ที่จริงฉันก็เหม่อไปด้วย ฉันควรจะระวังให้มากกว่านี้”

    “แบคฮยอน นายอย่าไปเลยนะ”

    “ฉันต้องรับผิดชอบ”

    “แต่ไม่เห็นจะต้องลาออกเลยนี่”

    “เถอะน่า”

     

    รอยยิ้มของแบคฮยอนอ่อนโยนและอบอุ่นเสียจนผมเริ่มรู้สึกผิด ผมรู้ดีว่าภายใต้รอยยิ้มนั่นซ่อนความเจ็บปวดอยู่ไม่น้อย และนั่นก็คือสิ่งที่ผมต้องการ ความเจ็บปวดของแบคฮยอนคือสิ่งที่ผมอยากได้

     

    “ฉันขอโทษจริงๆ นะแบคฮยอน”

    “เลิกขอโทษเหอะน่า มันไม่ใช่ความผิดใคร มันเป็นอุบัติเหตุน่ะ” แบคฮยอนยิ้มอีกครั้ง ก่อนจะคว้ากระเป๋าเป้ขึ้นมาสวม มือตบลงที่บ่าผมเบาๆ

    “ยังไงก็โชคดีนะชานยอล อย่าสะเพร่าแบบฉันล่ะ ไปนะ”

     

     

    ผมได้แต่มองตามแบคฮยอนที่เดินออกไปจนลับสายตาในที่สุด ความรู้สึกผิดเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ผมนั่งคิดทบทวนอยู่นานว่าสิ่งที่ผมทำลงไปมันดีแล้วหรือยัง ถึงจะได้ความสะใจ แต่มันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมาเลยสักนิด หนำซ้ำยังเกิดโทษอีกต่างหาก

     

    จมอยู่กับความรู้สึกผิดอยู่นาน ผมก็สะบัดความคิดทั้งหมดออกจากหัว ผมจะไม่ล้มแผนที่จะทำให้แบคฮยอนเจ็บปวดง่ายๆ ถ้าผมตั้งใจจะทำอะไรแล้ว ผมต้องทำให้สุด

     

    เพราะผมจะไม่มีวันลืมภาพวันนั้น วันที่ผมร้องไห้เพราะความเจ็บปวดต่อหน้าคยองซูได้อย่างไม่อาย ผมจะทำให้แบคฮยอนเจ็บปวดทีละนิด ละนิด จนหมดแรงไปเอง ดูซิว่าผู้ชายคนนี้จะเข้มแข็งและดื้อด้านได้อีกสักกี่น้ำ

     

    แบคฮยอน นี่มันก็แค่แผลที่สองเท่านั้นแหละนะ

     

     

     

    .

    .

    .

     

     

     

     

    “ทำไมวันนี้เลิกเร็วจัง”

     

    ผมรีบเด้งตัวออกมาจากที่นอนและพุ่งมาที่ร้าน XYZ ทันทีที่แบคฮยอนส่งข้อความมาบอกว่าเลิกงานแล้ว ทั้งๆ ที่นี่เพิ่งจะทุ่มนึงเองนะ ปกติแล้วผมกับแบคฮยอนจะกินข้าวด้วยกันมื้อค่ำตอนสี่ทุ่มโน่นแน่ะ หรือว่าหัวหน้าจะไม่อยู่อีก

     

    “ก็ เอ่อ ลูกค้าน้อยน่ะเลยปิดร้านเร็ว” แบคฮยอนพูดอึกอักราวกับมีเรื่องอะไรในใจอยู่ สีหน้าแบคฮยอนดูไม่ดีเอาเสียเลย ผมจึงตัดสินใจถามออกไป

     

    “มีอะไรรึเปล่า หน้าไม่ค่อยดีเลยนะ”

    “ไม่มีอะไรหรอก”

     

    ยังไม่ทันที่ผมจะได้ถามไถ่อะไรมากไปกว่านั้น ผู้ชายคนหนึ่งก็รีบวิ่งกุลีกุจอมาหาแบคฮยอนด้วยความเหนื่อยหอบแล้วตะโกนหาแบคฮยอน ทำให้แบคฮยอนต้องรีบหันขวับไป

     

    “แบคฮยอน นายจะลาออกจริงๆ เหรอ”

     

    ... อะไรนะ ลาออก ? ...

     

    “เกิดอะไรขึ้น ใครจะลาออก คุณบีจะลาออกเหรอ”

    “รอตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวเค้ามา”

     

    แบคฮยอนทิ้งให้ผมยืนงงอยู่ตามลำพังแล้ววิ่งไปคุยอะไรบางอย่างกับหัวหน้า ผ่านไปประมาณสามนาทีแบคฮยอนก็รีบวิ่งกลับมาหาผม ผมรีบคาดคั้นความจริงโดยไม่รอให้แบคฮยอนหายหอบเลย

     

    “เล่ามาเดี๋ยวนี้นะ”

    “ก็วันนี้เค้าทำน้ำหกใส่ลูกค้าน่ะ เลยโดนไล่ออก”

    “โดนไล่ออกหรือลาออกเองกันแน่”

    “เอ่อ ลาออกเอง”

    “คุณบีอ่ะ”

    “เอาน่า งานสมัยนี้หาง่ายจะตาย เดี๋ยวเค้าไปทำแถวบ้านก็ได้”

     

    รอยยิ้มของแบคฮยอนเป็นรอยยิ้มที่ดูฝืนที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา แบคฮยอนไม่ใช่คนทำงานสะเพร่าแบบนั้น ผมรู้ดี เพราะแบคฮยอนทำงานพิเศษมาหลายงานแล้ว ไม่น่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ มันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ๆ แต่ผมก็ไม่อยากจะซักไซ้อะไรให้มากความ

     

    ผมรู้ว่าตอนนี้แบคฮยอนคงเหนื่อยมามากพอแล้ว เพราะฉะนั้นหน้าที่ของผมคือทำให้แบคฮยอนรู้สึกดีเท่านั้น

     

    “คุณบี”

    “ไม่ต้องดุเค้าแล้วนะ”

    “ใครบอกว่าจะดุ…” ผมหัวเราะ “ไปกินไอติมกัน”

    “เอาสิ เค้าก็อยากกินเหมือนกัน”

     

    ผมกับแบคฮยอนพากันเดินไปยังร้านไอศกรีมที่อยู่ไม่ไกลจากที่ยืนอยู่ แบคฮยอนกอดเอวผมแล้วเอาหัวถูเข้ากับไหล่เพื่อที่จะอ้อนผม และมือหนาของแบคฮยอนก็คว้าผมเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดในที่สุด ผมเอาหัวพิงเข้ากับไหล่แบคฮยอน และแบคฮยอนก็ยกมือขึ้นลูบหัวผมตลอดทางเดินเหมือนที่ชอบทำเป็นประจำ

     

    ถึงจะเหนื่อย จะล้า จะท้อแค่ไหน แบคฮยอนก็ไม่เคยแสดงความอ่อนแอออกมาให้ผมเห็นเลย

     

     

     

    เราสองคนมานั่งอยู่ในร้านเบเกอรี่สุดหรูที่นานๆ จะได้มีโอกาสมาที ภายในร้านประดับประดาไปด้วยของจุกจิกน่ารัก แสงไฟสีส้มอ่อนๆ และเพลงคลาสสิคที่เปิดคลออยู่นี้ทำให้อารมณ์ของแบคฮยอนและผมดีขึ้นจากเดิมมาก

     

    เราทั้งสองสั่งไอศกรีมวัฟเฟิลมาหนึ่งจานและนั่งกินด้วยกันเหมือนที่ชอบทำ อ้อ ที่จริงเราก็ทำแบบนี้กันเวลาที่กินข้าวด้วย เราชอบกินข้าวจานเดียวกัน แต่จะใช้วิธีเพิ่มเป็นพิเศษแทน เพราะแบคฮยอนเคยบอกว่ากินข้าวจานเดียวกับผมมันอร่อยกว่ากินแยกสองจาน

     

    ขี้อ้อน น่ารัก แสนดีขนาดนี้ ผมจะสนใจคนอื่นลงได้ยังไงล่ะครับ

     

     

    ผมนึกอะไรดีๆ ออกหลังจากเราสองคนนั่งกินมาได้สักพัก ผมจัดการเอาไอติมวนิลาป้ายปากตัวเองให้เลอะแล้วเรียกแบคฮยอนให้เงยหน้ามามองผมด้วยน้ำเสียงน่ารัก(ที่ผมใช้กับแบคฮยอนแค่คนเดียว)

     

    “คุณบี ไอติมเลอะปากเค้า เช็ดให้หน่อย” ผมพูดไปยิ้มไป ภาพที่ไอติมเลอะปากผมมันคงตลกน่าดู แบคฮยอนถึงได้กระหน่ำหัวเราะออกมาขนาดนั้น มือหนาทำท่าว่าจะหยิบทิชชู่มาเช็ดปากให้ผม แต่ผมกลับคว้าข้อมือไว้เสียก่อน

     

    “ไม่ใช่ ไม่เอาทิชชู่” คำปรามของผมทำให้แบคฮยอนขมวดคิ้วนิดๆ

     

    “เช็ดด้วยนี่” ผมค่อยๆ เอานิ้วชี้แตะลงที่ริมฝีปากของแบคฮยอน ถามว่าอายไหม เขินไหมที่ต้องพูดต้องทำอะไรแบบนี้ แน่นอนว่าเขินมาก ผมรู้ตัวเลยว่าผมกำลังหน้าแดง แต่ผมก็พยายามควบคุมน้ำเสียงของผมให้เป็นปกติที่สุด แบคฮยอนมองตาผมด้วยสายตาที่ดูคาดไม่ถึงกับการกระทำของผม แต่ก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาในที่สุด

     

    ใบหน้าหล่อเหลาเคลื่อนตัวเข้ามาหาผมช้าๆ โชคดีที่เราสองคนเลือกมานั่งมุมในสุดของร้านและตอนนี้ไม่มีคนเลยนอกจากโต๊ะของผม แบคฮยอนจัดการใช้ริมฝีปากจูบซับไอศกรีมที่เลอะอยู่รอบปากของผม สลับกับใช้ลิ้นเลียไปด้วย นั่นยิ่งทำให้หัวใจของผมเต้นแรงทวีคูณ

     

    การกระทำของแบคฮยอนในตอนนี้มันเซ็กซี่มาก นี่คือสิ่งที่ผมคิดออกเพียงอย่างเดียว

     

     

    พออีกฝ่ายผละใบหน้าออกไป ทั้งผมและแบคฮยอนก็พากันมองตากันด้วยสายตาเคอะเขินด้วยทั้งคู่ ผมเองก็ไม่คิดว่าผมจะกลายเป็นคนแบบนี้ไปได้ ถ้าไม่ติดว่าอยากจะเอาใจคนตรงหน้า ผมคงไม่ทำอะไรบ้าๆ แบบนี้หรอก

     

    เขินชะมัดเลย

     

    แต่ความหน้าด้านหน้าทน พยายามอยากจะเอาใจแบคฮยอนของผมมันยังไม่หมดแค่นั้น ผมเริ่มคิดอะไรดีๆ ออกอีกครั้ง จึงจัดการเอาไอติมป้ายปากแบคฮยอนบ้าง แบคฮยอนดูตกใจเล็กน้อย ผมเลยรีบพูดขึ้นมาเสียก่อน

     

    “ส่วนอันนี้ ไอติมเลอะปากคุณบี…” ผมพูดแล้วมองตาอีกคน

    “………………”

    “เค้าจะเช็ดให้บ้าง”

     

    ผมค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วเอื้อมตัวไปหาคนฝั่งตรงข้าม ก่อนจะค่อยๆ ทาบทับริมฝีปากหนาของผมเข้ากับริมฝีปากบางของแบคฮยอน ทีแรกก็ตั้งใจไว้ว่าจะแค่จูบซับไอติมให้เหมือนที่อีกฝ่ายทำ แต่จู่ๆ แบคฮยอนก็จับปลายคางของผมเอาไว้มั่น และเริ่มสอดลิ้นรุกรานเข้ามาในโพรงปากของผม

     

    จูบร้อนแรงที่ผมไม่ได้คาดหวังมาก่อนทำให้หัวใจของผมเต้นแรงราวกับนี่เพิ่งเป็นการจูบกันครั้งแรก

     

    รสชาติของไอศกรีมวนิลาที่ติดอยู่ปลายลิ้นของเราทั้งคู่ทำให้ผมรู้สึกดีมากกว่าทุกๆ ครั้ง

    มันทั้งหอม ทั้งหวาน ทั้งมีความสุข อบอุ่นหัวใจอย่างบอกไม่ถูก

     

     

    เราทั้งสองค่อยๆ ผละออกจากกันอย่างอ้อยอิ่ง ดูเหมือนว่าแบคฮยอนจะจูบผมต่ออีกรอบ แต่ผมกลับปรามเอาไว้ก่อน อย่างที่รู้กันว่าผมไม่ชอบสวีทกับแบคฮยอนในที่สาธารณะ แม้จะปลอดผู้คนแบบนี้ผมก็อายอยู่ดี แต่วันนี้แบคฮยอนเหนื่อยมากเป็นพิเศษ ผมเลยอยากจะเอาใจเยอะๆ

     

    ผมไม่รู้หรอกว่าแบคฮยอนจะเจอเรื่องร้ายๆ อะไรมาบ้างในวันนี้ แต่แค่ได้เป็นคนที่ทำให้แบคฮยอนยิ้มได้แบบนี้ ผมก็มีความสุขแล้ว

     

    สิ่งที่ผมเพิ่งจะทำไป มันไม่ใช่แค่ผมอยากจะเอาใจเพราะแบคฮยอนเพิ่งจะผิดหวังมาเท่านั้น แต่ผมทำไปเพราะอยากขอบคุณ อยากตอบแทนแบคฮยอนที่คอยอยู่ข้างผมเสมอในเวลาที่ผมทุกข์ เศร้า เสียใจ และผิดหวัง

     

    เพราะแบคฮยอนนี่แหละ ที่ทำให้ผมเลิกฟูมฟายเรื่องพี่จุนได้เสียที

    เพราะแบคฮยอนคนเดียว แบคฮยอนคือเหตุผลที่ทำให้ผมยิ้มได้ในทุกๆ วัน

     

    ไม่ใช่ว่าผมจะลืมเรื่องพี่จุนไปแล้ว ไม่ใช่ว่าผมจะหายเศร้า แต่แบคฮยอนทำให้ผมคิดได้ว่า ผมควรจะมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขกับคนที่ยังอยู่ ดีกว่ามัวจมปลักกับความเศร้ากับคนที่จากไปแล้ว ผมจะต้องมีความสุข ให้เหมือนกับที่พี่จุนมยอนเคยร้องขอเอาไว้ และแบคฮยอนก็ทำให้ผมมีความสุขมากทุกๆ นาทีที่อยู่ด้วยกัน

     

    ต่อให้มีอุปสรรคเข้ามามากมายขนาดไหน ผมก็ยังยืนยันว่าผมจะมั่นคงอยู่อย่างนี้ ยืนยันว่าจะอยู่ข้างๆ แบคฮยอนเหมือนที่แบคฮยอนอยู่ข้างๆ ผมมาโดยตลอด และเพราะมีแบคฮยอนอยู่ข้างๆ ผมเลยไม่รู้สึกกลัวอะไรอีกต่อไปแล้ว

     

    ต้องขอบคุณทุกบททดสอบ ที่ทำให้ผมรู้ว่าตัวเองรักแบคฮยอนมากแค่ไหน และทำให้ผมรู้ว่าแบคฮยอนรักผมมากแค่ไหนเช่นกัน

     

     

    ผมรักแบคฮยอน

    วันแรกเคยรักแบคฮยอนมากแค่ไหน วันนี้ นาทีนี้ วินาทีนี้ ผมก็ยังคงรักมากเท่านั้น

     

     

    และมันจะเป็นแบบนี้ ไปอีกนานแสนนาน

     

     

     






    - TO BE CONTINUED -



    themy butter

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×