ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    서울

    ลำดับตอนที่ #34 : -Roaming VS SIM Card VS Wi–Fi Router-

    • อัปเดตล่าสุด 30 ส.ค. 57


    -Roaming VS SIM Card VS Wi–Fi Router-

    หนึ่งในคำถามยอดนิยม เวลาที่ใครสักคนอยากจะลอง Backpack ก็คือ “ระะหว่างเปิด Roaming จากไทยกับไปซื้อ SIM Card ใหม่ที่นั่นหรือเช่า Wi–Fi Router อันไหนดีกว่ากัน”

    ส่วนตัวผมเวลา Backpack ไม่ว่าจะไปในเอเชียหรือยุโรปก็จะใช้วิธี ซื้อ SIM Card ใหม่” แต่ที่น่าสนใจก็คือ คุณน้องสาวผมชอบ การเช่า Wireless Router” ทว่า เฮียผมแกเลือก “Roaming” ก่อนเสมอ เพราะว่าทั้ง 3 แบบมีจุดเด่นจุดด้อยที่แตกต่างกันนั่นเอง

    อย่างตอนไป UK ได้ลองเปิด Roaming ไป แต่สุดท้ายก็ต้องซื้อ SIM Card ใหม่ของ O2 และได้รู้ความจริงว่า เวลาเรา Roaming ไป จะถูก Locked ความเร็วไว้ ไม่ได้ไวเท่าการใช้ SIM Card ของประเทศนั้นๆ

    ตอนไป Backpack เกาหลีและ Hokkaido กับครอบครัว เลือกเช่า 4G Router ส่วนที่ Taiwan / HK / Singapore / Macau / Sweden / Norway ใช้การซื้อ SIM Card เรียกว่าลองแล้วทั้ง 3 วิธี ผมก็เลยรู้ว่าการใช้งาน Internet ที่ต่างประเทศแบบไหนดีที่สุดสำหรับผม

     

    1.เปิด Roaming จากไทย

    แน่นอนว่าข้อดีคือ ปลอดภัย แค่โทรไป Call Centre แล้วบอกว่า “Roaming” ก็จบเลย ไม่จำเป็นต้องไปวิ่ง ไปหาซื้ออะไรที่เมืองนอก ดังนั้นการ “Roaming” จึงเป็น Choice ที่ง่ายที่สุดด้วย สำหรับมือใหม่ และเดี๋ยวนี้ AIS/TrueMove/DTAC ต่างก็มี Roaming Package แบบ “Unlimited” คือเหมาจ่ายรายวัน ไป UK & EU ก็ตกวันละ 500 บาท อีกหนึ่งข้อดีที่ทำให้เฮียของผมเลือกการ Roaming ก่อนเสมอก็คือ มันคือเบอร์เรา” เพราะเค้าเป็นระดับผู้บริหารที่ต้องให้คุณเลขาฯ และลูกค้าโทรตามตัวจากไทยได้ตลอดเวลา ทว่า ข้อเสียก็คือ เมื่อเทียบกับแบบอื่นๆ แล้วยังไงการ Roaming ก็ราคาแพงสุดและอาจจะถูก Locked ความเร็ว

     

    2.ซื้อ SIM Card ใหม่ที่ต่างประเทศ

    เป็นตัวเลือกแรกของผมเสมอครับ เพราะวิธีนี้มักจะราคาถูกสุด อย่างตอน Backpack ไปอังกฤษ ผมก็ซื้อ 4G SIM card ของ O2 มาใช้ ในราคา 500 บาท ใช้งานได้ 500 MB ซึ่งเทียบแล้วก็เท่ากับการจ่าย Roaming 1 วัน แต่ 500 MB นี่ผมอาจจะใช้งานได้ 7 วัน หรือมากน้อยกว่านั้นก็แล้วแต่ Style การใช้งานนอกจากนี้ยังใช้เสร็จแล้วทิ้งได้เลย และด้วยความที่มันเป็นเบอร์ในอังกฤษ การโทรเข้าออกไปยังเบอร์ที่นั่นก็จะถูกกว่า Roaming แต่แน่นอนครับว่าข้อเสียคือต้องเดินหาซื้อ ต้องคุยภาษาของประเทศที่ไปได้ การใช้งานกับมือถือบางรุ่นต้องตั้งค่า APN ใหม่ อาจมีปัญหาเรื่องขนาด SIM และมัน ไม่ใช่เบอร์เรา” ครับ

     

    3.เช่า 4G Wi–Fi Router

    มีในบางประเทศ ส่วนใหญ่จะเป็นฝั่งเอเชียอย่างเกาหลีและญี่ปุ่น แต่จริงๆ แล้ว เจ้า Wireless Router ที่ใช้ปล่อยสัญญาณ Internet มันก็คือกล่องสี่เหลี่ยมที่ใส่ SIM Card ของประเทศนั้นๆ ไว้ข้างใน เหมือนเราเอา SIM Card ใส่ในมือถือแล้วเปิดคำสั่ง “Tethering & Hotspot” นั่นเองครับ ตอนผมไปเกาหลี ก็เช่า Wi–Fi Router ที่ว่านี้ แล้วแกะ SIM Card ใส่มือถือตัวเองได้เหมือนกัน

    ข้อดีก็คือ มันแชร์ได้หลายเครื่องเหมาะสำหรับการไปเที่ยวเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ดังนั้น ราคาก็มักจะถูกกว่า Roaming และไม่ต้องตั้งค่า APN เอง [ง่ายกว่าการซื้อ SIM Card ใหม่มาใส่มือถือเราโดยตรง]

    แต่ข้อเสียที่ผมไม่ชอบคือ เราต้องเอาไปคืน ต้องคอยระวังมันหาย แถมยังต้อง Charge ไฟเพิ่มมาอีกหนึ่งเครื่อง

     

    นี่คือข้อดีข้อเสียของการ Roaming VS การซื้อ SIM Card ใหม่ VS การเช่า Wireless Router ในมุมมองของผมครับ แต่บางประเทศอย่างญี่ปุ่น, การซื้อ SIM Card มันก็ลำบากจริงๆ นั่นละสำหรับคนที่ไม่รู้ภาษา และ Pre Paid SIM ที่ญี่ปุ่นมัน Locked เอาไว้, ไม่ให้ใช้คำสั่ง Hotspot บางคนก็เลยเลือกการเช่า 4G Router จากเมืองไทยไป ในราคาที่ถูกบวกเพิ่มอีกหน่อย แต่อย่างตอนผมไป Backpack @ UK, ถ้า Roaming 10 วันก็ 5000 บาท ตรงข้ามกับการซื้อ SIM Card ซึ่งรวมแล้ว ผมจ่ายถูกกว่ากัน 10 เท่า และผมก็ลองวัดความเร็วด้วย Speedtest App, พบว่าความเร็วของ AIS ที่ Roaming กับเครือข่าย O2 เมื่อเทียบกับการใส่ SIM Card ของ O2 โดยตรงแล้ว ผลที่ได้คือ Roaming ช้ากว่าหลายเท่าตัวอีกต่างหาก

     

    เพิ่มเติม เกี่ยวกับ Wi-Fi Router (แอบเทใจให้)

    ที่ประเทศเกาหลีใต้ เราท์เตอร์พวกนี้จะมีอยู่ 3 ค่ายคือ LG U+, Olleh, SK เค้าเตอร์พวกนี้จะอยู่ตามประตูออก ลองเดินหาดูนะคะ มันมีทั่วสนามบินอินชอนเลย
     

       

    ราคาการเช่าของแต่ละค่ายแตกต่างกัน แน่นอนความเร็วของเน็ตก็ต่างกันเช่นกัน รู้สึกว่า SK จะแพงสุดแต่แรงที่สุด รองลงมาก็ Olleh และสุดท้ายก็ LG U+ แต่เราว่าแค่ LG U+ ก็พอแล้ว แรงพอแล้วล่ะ เน็ตเกาหลีแรงกว่าไทยเยอ รายละเอียดเรื่องราคาและอื่นๆ ของ LG U+ (อ่าน) อันนี้รายละเอียดเกี่ยวกับ Olleh (อ่าน) (อ่าน)

     

    ข้อดีและข้อเสียของ LG U+

    ข้อดี เล็ก เบา พกพาง่าย ถ้าเทียบกับ Olleh ราคาถูกกว่า ถ้าไปเกาหลีคนเดียว แล้วไปนานๆ LG U+ จะคุ้มกว่า Olleh

    ข้อเสีย แบตหมดเร็ว อยู่ได้แค่ประมาณ 5 ชั่วโมง (ลองนับดูแล้ว) จริงๆแล้วพวกเราทเตอร์อยู่ได้ประมาณนี้นะ ทุกๆคนควรพกที่ชาร์ตแบทสำรองไปด้วย

    ทริป การใช้เราท์เตอร์ให้อยู่นานๆ พยายามปิด เปิดใช้เมื่อตอนจำเป็น ว่างๆ หรืออยากใช้จริงๆ ลองหา wifi ฟรีๆแถวนั้นเล่นเอา ถึงแม้จะไม่เร็วเท่าเราท์เตอร์ของเรา แต่ก็ยังเร็วกว่าเน็ตไทยอยู่ดี พกที่ชาร์จแบตสำรองและที่ชาร์จแบตไปด้วยทุกที่


    (สายชาร์จเราเตอร์)

     

    จบเรื่องเราท์เตอร์! มาต่อเรื่อง เช่าโทรศัพท์ ไม่จำเป็นแต่มีไว้ก็ดีนะ!

    หลายคนคงคิดว่าเช่าแค่เราท์เตอร์ก็พอแล้ว ติดต่อใครได้หมดแล้ว อันนี้ก็จริง! แต่ทว่าหากคุณจะไปตามรายการเพลงต่างๆ คุณค่อนข้างจำเป็นที่ต้องใช้โทรศัพท์มือถือ เอาไว้ส่งข้อความเพื่อต่อคิวเข้ารายการนะคะ บางคนไม่เช่าแต่ไปยืมโทรศัพท์คนเกาหลีใช้ส่งข้อความก็มีบ้าง แต่ไว้ส่วนตัวอ่ะดีกว่าในความคิดเรานะ โทรศัพท์เราเช่าของ LG U+ เพราะว่าถ้าเช่าทั้งโทรศัพท์และเราท์เตอร์จะได้ลด 50% โทรศัพท์เช่า 3000วอน/วัน เราไป 15 วันก็คูณเข้าไป โดนไป 45000 วอน ก็ประมาณ 1200 บาท ค่าโทรและค่าข้อความจะถูกคิดทีหลังตอนคืนโทรศัพท์แล้ว ค่าโทรโดนไป 200 กว่าบาท ข้อความ ประมาณ 60 บาท รวมๆและลดแล้วประมาณ 800 กว่าบาท

    โทร์ศัพท์ที่ LG U+ มีให้เช่านั้นมีหลายรุ่นเลย แล้วแต่คนอยากจะได้รุ่นไหน มีทั้งโทรศัพท์ธรรมดาๆ สมาร์ทโฟน ทั้งรุ่นใหม่และรุ่นเก่า และแน่นอนว่ายิ่งใหม่ๆ ค่าเช่าก็ยิ่งแพงตาม

     

           ที่มา : CookieCofee Fabulous1801

    Owen :D
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×