ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic SJ] Broken in Silence .. (KyuMin)

    ลำดับตอนที่ #14 : Broken in silence .. // Ending Part //

    • อัปเดตล่าสุด 8 ต.ค. 54


     



    ตอนจบแล้วค่ะ
    เวลาลงบอร์ดตอนจบแล้วใจหายทุกที ไม่มีอะไรจะเอ่ยนอกจากที่ติดตามอ่านกันมากับฟิคที่หาคำว่าสนุกไม่เจอ
    (แต่หลายคนอุตส่าห์หาเจอ กอนเลยซึ้งใจมาก TT) ถ้ามีอะไรที่ไม่ถูกใจ ขออภัยล่วงหน้าเลยนะคะ


    ----------------------------------------------------------------------------------













    .. Ending Part ..







                 

                
      คุณเคยสัมผัสความรักใช่ไหม ..

                 เคยมีคนบอกว่ามันมีหลายรูปแบบนะ จับต้องได้ สัมผัสได้ รู้สึกได้ แต่บางที .. เราก็ไขว่คว้ามันเอาไว้ไม่ได้ แต่สำหรับผมแล้ว มันอาจจะไม่เสมอไป เพราะถึงแม้ว่าผมจะคว้ามันเอาไว้ไม่ได้ แต่มันจะยังอยู่กับผมตลอดไป




     

                 “สวัสดีครับ วันนี้มีอะไรให้รับใช้ครับ”

                 เสียงของคุณเจ้าของร้านเอ่ยรับลูกค้าด้วยใบหน้ายิ้มแย้มในเช้าอันสดใส ร่างของอีซองมินยังคงวุ่นวายกับงานที่ร้านดอกไม้เล็กๆแห่งนี้อยู่เพียงคนเดียว อากาศหนาวเหน็บของฤดูก่อนผ่านพ้นไปได้ไม่นาน แต่สำหรับเขา แต่ละวันแต่ละคืนทำไมมันช่างยาวนานเหลือเกิน

                 “ครับ ครับ ได้ครับ .. เดี๋ยวยังไงผมจะเร่งให้ทันวันนั้นเลย” คุณเจ้าของร้านคนขยันให้คำมั่นลูกค้าผ่านทางโทรศัพท์ ลูกค้ารายย่อยที่มีความหมายกับร้านเล็กๆของเขา ซองมินนึกถึงคำของคิบอมเรื่องจ้างคนมาทำงานด้วย ถึงแม้ว่าตอนนั้นอาจ

    จะเป็นประโยคที่แสร้งพูดเพื่อหวังผลก็เถอะนะ แต่เขาก็คิดว่ามันเป็นความคิดที่ไม่เลวเลย แต่พอจะลองทำอย่างนั้นเข้าหน่อยก็อดจะนึกถึงใครอีกคนไม่ได้ รยออุคคนที่เคยเป็นลูกน้องคนขยันของเขา หากจะหาอย่างนั้นได้อีกก็คงยาก

                 “เฮ้อ ..” นึกแล้วก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกับรอยยิ้มเมื่อได้นึกถึงหน้าของสองบอดี้การ์ดที่เขาไม่ได้เจอนานมาก เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับคนทั้งสองมีทั้งรอยยิ้มและน้ำตา ซึ่งแม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆแต่เขาคงลืมมันไม่ลง

     

                 ผ่านมานานแค่ไหนแล้วนะ

                 ทุกอย่างกลับมาสงบอย่างเคย แต่มันก็ไม่เหมือนก่อนที่แม้จะเหงาแต่เขาก็ไม่จำเป็นต้องคิดเรื่องของใครให้ว้าวุ่นใจ หิมะอันหนาวเหน็บพาความเจ็บปวดผ่านพ้นไปแล้ว เหลือไว้เพียงความว้าเหว่อย่างเคย ร่างเล็กถอนหายใจกับตัวเองเหมือนคนบ้า ในยามที่ร้านไม่มีลูกค้าเขาก็นั่งเหม่ออยู่โดยที่ผ้ากันเปื้อนยังสวมไว้อย่างนั้น ซองมินหยิบเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดดูข้อความนัดในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าที่เขาเพิ่งได้รับมันมาเมื่อวานนี้


                         

     

                 ร้านไอศกรีมร้านเดิมที่เคยมาด้วยกันบ่อยๆถูกใช่เป็นที่นัดพบและสนทนากันตรงโต๊ะเล็กมุมหนึ่งติดกับกระจก ไอศกรีมสีหวานหายไปทีละนิดจนพร่องไปทั้งถ้วยแก้ว สักพักเจ้าของมันก็สั่งมาใหม่ ต่างจากอีกคนที่แม้จะชอบมันไม่แพ้กันแต่ก็คงจะน้อยกว่านักเมื่อเทียบกับคนตรงหน้า ซองมินมองรยออุคที่คล้ายจะเหมือนลูกน้องคนเดิมของเขาเข้าไปทุกที

                 “หืม .. มองแบบนี้ผมอายนะคุณซองมิน” บอดี้การ์ดหนุ่มในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์นอกเวลางานเอ่ยขึ้น ซองมินจึงได้แต่ยิ้มน้อยๆไปให้

                 “นายน่ารักดีนะ ว่าแต่นัดฉันออกมาเนี่ยมีอะไรรึเปล่า”

                 “ก็เปล่าหรอกครับ แค่อยากมาเยี่ยมคุณเฉยๆ ไม่เจอกันนานสบายดีรึเปล่า”

                 “ก็ .. เหมือนเดิมนั่นแหละ สบายดี ไม่มีอะไรเปลี่ยนเท่าไหร่ ว่าแต่ถามอย่างนี้อยากมาทำงานกับฉันอีกรึไง” ซองมินรีบเปลี่ยนเรื่องเมื่อเริ่มรู้สึกว่าตัวเองฝืนยิ้มเอาไว้ คำถามทีเล่นทีจริงแบบนี้ทำให้รยออุคต้องยิ้มกว้าง

                 “แล้วคุณจะรับมั้ยล่ะ”

                 “แล้วนายจะมาได้มั้ยล่ะรยออุค” ซองมินสวนกลับไปทำเอามุขตื้นๆของคิมรยออุคต้องสะดุดอยู่ที่เดิม

                 “แหม คุณก็ล้อเล่นไป แต่ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากจะมานะ”

                 “ให้มันจริงเหอะ” ซองมินเบ้ปากนิดๆเหมือนไม่เชื่อพลางรู้สึกเอ็นดูคนตรงหน้าไปด้วย เสียงหัวเราะดังขึ้นระหว่างกันเมื่อได้คุยถูกคอในเรื่องอื่นๆ แต่แล้วมันก็ต้องหายไปเมื่อรยออุคตั้งใจจะเอ่ยถึงใครอีกคน

                 “เหงามั้ยครับ”

                 “ก็ ไม่รู้สิ .. โตแล้วจะเหงาได้ไง” ซองมินว่าไปนั่นแต่คนฟังกลับมองออกว่าในใจกำลังฝืนไว้จะแย่

                 “ผมหมายถึง คุณคิดถึง เอ่อ คุณชายบ้างมั้ย” รยออุคพูดจบก็เพิ่งจะนึกได้ว่าทำไมต้องถามอะไรโง่ๆออกไปด้วย แต่มันก็ไม่ทันเสียแล้ว ความรู้สึกของซองมินไม่ได้มีไว้ให้ใครรักษานักหรอก เขายิ้มออกมาอย่างยอมรับในสิ่งที่เป็น

                 “คิดถึงสิ คิดถึงมากด้วย”

                 “.........”

                 “ไม่มีเค้าแล้วฉันก็ยังคิดถึงได้ใช่ไหม ฉันต้องทำอะไรอีกล่ะ ทำใจแล้วได้อะไร มันทำให้ฉันได้เค้ากลับคืนมารึเปล่า...” ซองมินพูดแล้วก็ยังยิ้มเอาไว้อย่างเดิม ยิ้มเศร้าๆที่รยออุคอยากบอกเหลือเกินว่าถ้ามันจะต้องเจ็บขนาดนั้นไม่จำเป็นต้องยิ้มก็ได้ เรื่องบางอย่างทำให้รยออุคต้องคิดตาม ทำไมกันนะทุกอย่างถึงได้จบลงอย่างนี้ อีกนานเท่าไหร่หรือไม่มีเลย รยออุคก็อยากรู้เหมือนกัน



     

                 ซองมินยืนมองรถคันสีดำสนิทแล่นออกไปจากบ้านของเขาหลังจากที่อีกฝ่ายมาส่งในตอนเย็น รยออุคมาเยี่ยมแค่ไม่นานแต่ซองมินก็รู้สึกว่าตัวเองยังยิ้มได้และยังมีคนที่คิดถึงเขาอยู่ คนพวกนี้ทำให้เขาต้องนึกขอบคุณจากใจจริงทุกทีเลยสิ


                 “ขอบใจนะ”


               

     

                                                       

     

                 เวลาล่วงเข้าสู่เดือนที่สองแล้วนับตั้งแต่เหตุการณ์เลวร้ายได้ผ่านพ้นไป ร้านดอกไม้เล็กๆแห่งนี้ยังเปิดให้บริการโดยเจ้าของมันคนเดียวเช่นเคย

     

                 ชีวิตตัวคนเดียวดำเนินไปอย่างเก่าไม่มีอะไรแปรเปลี่ยน แม้จะภาวนาให้กลับมาเป็นตัวเองอย่างแต่ก่อน แต่ซองมินก็ไม่เคยคิดจะลืมเรื่องราวของใครสักคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเขา ความคิดถึงส่งไปให้ใครคนนั้นแทบทุกวันผ่านทางความ

    รู้สึกที่มี ซองมินนึกถึงเรื่องเก่าๆระหว่างเขากับคยูฮยอนและห้วงความคิดมันก็มักจบลงด้วยภาพของอีกฝ่ายที่นอนแน่นิ่งไปกับกองเลือดในอ้อมกอดของเขา

     

                 .. ชีวิตของคนทุกคนมีค่าก็จริง แต่ทำไมชีวิตของคุณชายโจวคยูฮยอนถึงได้มีค่าแค่แลกกับชีวิตของคนอย่างเขา ..

     

                 เสียงใบไม้พลิ้วไหวนอกหน้าต่างแทรกผ่านความเงียบงันเข้ามาในร้านที่ไร้ซึ่งลูกค้า ร่างของชายหนุ่มในชุดสีครีมที่ทับด้วยผ้ากันเปื้อนอีกทีเงยขึ้นจากช่อลิลลี่ขนาดใหญ่ที่เขาตั้งใจอยู่กับมันเป็นชั่วโมง มือบางยกขึ้นปาดเม็ดเหงื่อที่ผุดพรายออกมาบนหน้าผาก ความเหนื่อยหายไปแล้วแทนที่ด้วยรอยยิ้มกับผลงานของตัวเอง

                 “เสร็จซะที ...” ซองมินหยุดมองมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มจัดการออร์เดอร์ของลูกค้ารายต่อไป ดวงตากลมของคนขยันสะดุดลงที่กุหลาบดอกหนึ่งซึ่งวางอยู่ข้างกาย หนามของมันชวนให้นึกถึงเรื่องเดิมๆที่ไม่เคยจะลืมเลือน สองครั้งแล้วที่เขาซุ่มซ่ามแล้วเสียทีให้กับหนามกุหลาบแสนสวย แต่ก็ทั้งสองครั้งอีกเช่นกันที่ใครบางคนเข้ามาทำให้ลืมความเจ็บไปจนหมด ใครคนนั้นมักทำให้ใจของเขาสั่นไหวจนเกินจะห้าม แม้แต่ตอนนี้ทุกครั้งที่ความคิดถึงเต็มอกซองมินก็ยังใจสั่นได้ไม่มีเปลี่ยน

    ดวงตากลมโตเริ่มจะคลอไปด้วยน้ำตาเมื่อยามที่หวนนึกถึงผู้ชายที่ยอมตายแทนเขาได้ ซองมินยกมือข้างที่สวมแหวนวงนั้นขึ้นมากอดไว้แนบอก น้ำตาเม็ดโตร่วงหล่นลงมาอย่างคนไร้ซึ่งหนทาง

                 “ผมลืมคุณไม่ได้หรอกนะคยูฮยอน”



     

                 ดวงดาวนับพันส่องสว่างกลางหมูเมฆหมอกในค่ำคืนที่แสนเดียวดายอย่างทุกที ร่างเล็กนั่งเหม่อมองพวกมันอยู่ที่โต๊ะไม้ตัวเดิมราวกับเป็นของต่างหน้าของคนๆนั้น อากาศเย็นทำให้มือบางต้องกระชับชายเสื้อคลุมเข้าหากัน คยูฮยอนจะรับรู้ไหมนะว่าเขาคิดถึงแค่ไหน อยากย้อนเวลากลับไป ถ้าทำได้ซองมินอยากจะเชื่อคยูฮยอนตั้งแต่วันที่อีกฝ่ายมาขอโทษแล้ว แต่คงสายเกินไปเพราะเหตุการณ์ร้ายๆได้เกิดขึ้นเสียก่อน

                 “ถ้าคุณยังอยู่กับผม คุณจะยังเอาแต่ใจรึเปล่านะ” ใบหน้าหวานยิ้มเศร้าๆกับดวงดาวมากมายที่เป็นเพื่อนในยามนี้ ไม่มีเสียงตอบรับซองมินก็รู้ดี


                 แต่ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย บอกแล้วไงว่าความรักนี้จะยังอยู่กับผมตลอดไป .. ถึงไม่มีคุณก็ตาม

     

                                               

            

     

                 เช้าอันสดใสและบรรยากาศระหว่างทางที่ออกมาจากเมืองหลวงชวนให้คุณชายใหญ่ต้องชะเง้อมองออกไปนอกกระจกราวกับเด็กน้อยที่เพิ่งเคยออกมาเที่ยว คนขับรถจำเป็นที่ไม่เต็มใจรับหน้าที่นี้สักเท่าไหร่จึงนึกสนุกได้ทีเอ่ยแซว

                 “อยู่เมืองนอกเสียนาน เพิ่งเคยออกมาเที่ยวนอกกรุงรึไงครับคุณทงเฮ”

                 บอดี้การ์ดหนุ่มในสังกัดของน้องชายสุดที่รักทำให้คนฟังรีบตวัดใบหน้ามามองด้วยสายตาเบื่อหน่าย ทงเฮที่พยายามจะอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อยหลังจากที่กัดกันมาตลอดทางก็เริ่มจะกลับมาเป็นอย่างเก่าแล้วสิ เขารู้ว่าคิบอมไม่ได้ว่าอะไรเสียหายแต่ในความเป็นจริงแล้วคนๆนี้จะพูดอะไรก็คงไม่เข้าหูเขาอยู่ดี

                 “นายมีหน้าที่ขับรถใช่ไหม ขับไปเร็วๆแล้วหุบปากเสียๆของนายไปซะ”

                 “โอ้โห .. ปากใครแน่ที่เสีย”

                 “คิบอม ..” ทงเฮเกือบจะตะโกนขึ้นมาแล้วแต่พอนึกได้ว่าไม่ควรก็เงียบเอาไว้อย่างเคย เขาไม่อยากจะอารมณ์เสียเป็นคนบ้าในสายตาผู้ชายคนนี้นักหรอกนะ ที่สำคัญในเวลาแบบนี้เขาไม่อยากหมดอารมณ์ก่อนจะไปเห็นหน้าคุณเจ้าของร้านดอกไม้คนนั้นที่มีดีอะไรน้องชายของเขาถึงรักนักรักหนาขนาดที่ยอมตายแทนได้

                 “นี่คิบอม คนที่ชื่อซองมินเค้าน่ารักมากใช่มั้ย” สักพักทงเฮก็หันมาถามคิบอมที่คราวนี้ไม่ได้มีการตอบคำถามแบบกวนประสาทอย่างเคย ชื่อที่เอ่ยออกมาทำให้ชายหนุ่มเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมาเรียบๆ

                 “ก็ไม่หรอกมั้ง แค่ผู้ชายธรรมดาๆ ธรรมดามากเลยล่ะ”

                 “เพราะธรรมดาสินะ” ทงเฮบอกแค่นั้นก่อนจะใช้ความคิดจินตนาการไปต่างๆนานาเกี่ยวกับคนที่เขากำลังจะไปเห็นหน้า แต่ก็ไม่รู้จะคิดไปทำไมในเมื่ออีกไม่ถึงชั่วโมงก็จะได้เจออยู่แล้ว ตอนนี้เอาเวลาที่เหลือแก้แค้นคนข้างๆคืนดีกว่า

                 “ว่าแต่ว่า เห็นรยออุคบอกว่านายอกหักเหรอคิบอม” เอาแล้วไง คิมคิบอมอยากเอาหน้าแทรกแผ่นดินหนีไปให้รู้แล้วรู้รอด ไอ้เพื่อนรักตัวดีหักหลังเขาจนได้ ใบหน้านิ่งเฉยที่เป็นปกติธรรมดาของเขาจึงเริ่มจะออกอาการแปลกๆหน่อย ทงเฮรู้ดีว่าคิบอมคงไม่ถึงกับหน้าแดงแต่แค่พูดไม่ออกแบบนี้เขาก็รู้สึกสะใจเล็กๆขึ้นมาแล้วล่ะ

                 “ฮ้า .. โทษทีๆ ไม่ได้ตั้งใจแกล้งหรอกนะ ก็แค่ถามดู คุณซองมินของนายที่ทำให้ทั้งเจ้านายทั้งลูกน้องหลงรักได้เนี่ย จะธรรมดาจริงอย่างที่บอกมั้ยนะ หึหึหึ” ทงเฮคิดไปราวกับเป็นเรื่องสนุก เขาดีใจที่ได้แกล้งคิบอมให้เงียบไปได้บ้าง แต่พอนึกถึงหน้าน้องชายตัวเองแล้วเขาก็สนุกไม่ออกสักเท่าไหร่ ทำไมชีวิตของคยูฮยอนถึงได้น่าสงสารอย่างนี้นะ ทำไมน้องชายของเขาถึงได้ ..

                 “นี่คุณทงเฮครับ จะนั่งยิ้มหรือทำหน้าเศร้าก็เลือกเอาสักอย่างเถอะครับ”


                
    “หมายความว่าไงคิบอม”

                 “ก็อย่างที่พูดไงครับ กลัวว่าคุณจะสับสนกับอารมณ์แล้วเครียดเองเปล่าๆ” คิบอมกำลังหาว่าทงเฮโรคจิต ถึงไม่พูดตรงๆแต่แบบนี้แหละที่ทำให้เขาเจ็บใจที่สุด ทงเฮกัดฟันข่มอารมณ์อยากด่าไอ้บอดี้การ์ดคนนี้เอาไว้ ทำไมถึงได้เกิดมากวนประสาทกันแบบนี้นะ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ

                 “นั่นไง ..  เอาอีกแล้ว อย่าทำหน้าโกรธสิครับ เดี๋ยวไม่น่ารักนะ”

                 “ฉันไม่ใช่เด็ก หุบปากแล้วรีบขับไป เห็นมั้ยว่ารยออุคทิ้งห่างไปแล้วน่ะ” ทงเฮเปลี่ยนเรื่องบ้างเมื่อเห็นว่ารถคันข้างหน้าที่พวกเขาขับตามมาจะห่างไกลออกไปเรื่อยๆ ก็ไม่ใช่ประเด็นอะไรหรอกนะ แค่ทงเฮรู้สึกหงุดหงิดใจเท่านั้นเองที่คนข้างกายดูเหมือนจะขับช้าลงเพื่อยืดเวลากวนประสาทเขาในรถคันนี้ออกไป คิบอมไม่ได้ตั้งใจแต่นึกแล้วก็อยากจะหัวเราะออกมานัก

                 “รีบเหรอครับ งั้นก็ได้ ผมจะทำให้คุณไม่ต้องเสียเวลาแม้สักนาทีเลยล่ะ” ว่าแล้วร่างสูงก็จงใจเหยียบคันเร่งเสียจนมิด รถทั้งคันตวัดแซงคันข้างหน้าก่อนจะพุ่งไปตามเลนอย่างรวดเร็ว คุณชายใหญ่ที่ไม่ต่างกับคุณหนูเอาแต่ใจจึงร้องออกมาแทบไม่ทัน ทงเฮกำเข็มขัดนิรภัยไว้แน่นขณะที่คนข้างๆจะยกยิ้มพอใจและไม่ลดแรงลงเลยแม้แต่นิด


     

                 “ไอ้บ้าเอ๊ย คอยดูนะฉันจะให้พ่อไล่นายออก!!

     


               

     

                 เช้านี้ทำไมมันถึงได้เงียบนักซองมินก็ไม่อาจรู้ได้ ดอกไม้ในร้านส่งกลิ่นหอมอบอวลล้อมรอบกายของเขาไปหมด ซองมินจึงตัดสินใจผ่อนคลายตัวเองโดยการหยิบเอาหนังสือพ็อคเก็ตบุคเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่าน แต่เปิดไปได้เพียงไม่กี่หน้าเสียงรถจากด้านนอกก็บอกให้รู้ว่าเขากำลังมีลูกค้า ร่างเล็กวางหนังสือลงที่โต๊ะแล้วลุกขึ้นเตรียมต้อนรับตามสัญชาตญาณเจ้าของร้าน

                 ซองมินมองออกไปด้านนอกแล้วก็ต้องหยุดยืนขมวดคิ้วด้วยความสงสัย นั่นมันคิมคิบอมที่เขาไม่ได้เจอเสียนาน แล้วนั่นใครอีกคนที่มาด้วยกัน ความสงสัยต้องหยุดเอาไว้เมื่อสองคนที่ว่าก้าวเข้ามาในร้านของเขาแล้ว

                 “สวัสดีครับคุณซองมิน” คิบอมเอ่ยทักทายขณะที่เดินนำมาก่อน ร่างสูงผายมือมาที่คนด้านหลังขณะที่ซองมินยังมีท่าทีเก้อๆอยู่

                 “นี่คุณทงเฮ คุณชายใหญ่ ลูกชายคนโตของคุณท่าน และเป็นพี่ชายของคุณคยูฮยอน” คิบอมแนะนำเสียหมด และคนที่ถูกแนะนำก็ทำให้เขาลอบถอยหายใจออกมาเบาๆกับท่าทีไว้ท่าตามเคย

                 “สวัสดีครับ ผมอีซองมิน ยินดีที่ได้รู้จัก”

                 “อืม .. นายคืออีซองมินสินะ หน้าตาไม่เลวนี่” ทงเฮเอ่ยออกไปตามอย่างที่ใจคิด ร่างบางมองคนตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วยกยิ้มมุมปากอย่างพอใจ ไม่นึกเลยว่าผู้ชายคนนี้จะหน้าหวานและดูซื่อๆยิ่งกว่าที่คิดเอาไว้เสียอีก แม้ว่าทงเฮจะสน

    ใจใคร่รู้มากกว่านี้แต่เขาก็ทำได้แค่จับตามองโดยไม่ต้องเอ่ยถามอะไรออกไป คุณชายใหญ่ของครอบครัวตระกูลดังเลือกจะทิ้งตัวนั่งลงตรงโซฟาตัวนุ่มมุมหนึ่งโดยไม่ต้องรอให้เจ้าของมันต้องเชิญแม้สักคำ คิบอมมองตามเจ้านายตัวเองก่อนจะหันมาหาคนข้างกายที่ตอนนี้ได้แต่ยิ้มเอาไว้ทั้งที่กำลังงุนงงไม่น้อย

                 “คุณสบายดีเหรอซองมิน” คิบอมถามอย่างห่วงใย ไม่ได้เจอกันนานเขาก็อดจะคิดถึงไม่ได้

                 “อ่ะ อื้ม .. ก็ตามสภาพล่ะนะ”

                 “ดีแล้วล่ะครับ”

                 “ว่าแต่ว่า นายกับ เอ่อ คุณทงเฮ มีธุระอะไรเหรอ ทำไมถึงได้โผล่มาที่นี่ไม่บอกอะไรเลย หรือว่ามาเที่ยวแล้วแวะมาเยี่ยมกันเฉยๆ” นั่นไงล่ะ คิบอมคิดในใจว่านิสัยชอบเดาออกมาตรงๆแบบนี้ของซองมินมันยังไม่เปลี่ยนไปเลย ใบหน้านิ่งเฉยหลุดยิ้มออกมาจนคนมองเริ่มจะวิตกว่าตัวเองทำอะไรน่าอายลงไปรึเปล่า

                 “หัวเราะอะไรน่ะ”

                 “เปล่าครับ แค่คิดว่าคุณนี่ชอบคิดเองตลอดเลยนะ”

                 “ผิดรึไง ฉันก็แค่...” ซองมินพูดไม่ทันจบเสียงกระแอมไอจากใครอีกคนที่คิดว่าตัวเองอาจจะเป็นอากาศธาตุไปแล้วก็ดังขึ้นขัดจังหวะ ทงเฮนั่งกอดอกมองคนทั้งสองอย่างหงุดหงิดนิดๆ

                 “นี่คุณอีซองมิน ขอน้ำให้แขกหน่อยได้มั้ย รู้สึกจะคอแห้งแล้วด้วย” ทงเฮบอกตรงๆอีกครั้งและก็ทำให้คุณเจ้าของร้านต้องรีบกุลีกุจอกลับเข้าไปในครัวเพื่อจะเอาน้ำออกมาให้แขก ในระหว่างที่รอน้ำอยู่นั้นคุณบอดี้การ์ดที่พ่วงตำแหน่งคนขับรถให้กับคุณชายที่เอาแต่ใจคนนี้ก็ตรงเข้ามานั่งลงข้างๆในทันที

                 “นี่คุณชายครับ กรุณาอย่าออกคำสั่งที่นี่บ่อยนักเลย ไม่มีคนรับใช้อยู่ให้คุณจิกใช้ตามใจนักหรอกนะ” ว่าแล้วคนฟังก็หันกลับมาสวนกลับทันควันอย่างไม่พอใจ

                 “ทำไม พูดแค่นี้นายจะลำบากอะไรนักหนากันฮะคิบอม กลัวคุณซองมินของนายเค้าเหนื่อยรึไง”

                 “อย่ามามั่วนะคุณ”

                 “ทำไม กลัวฉันรู้เหรอว่านายเก็บความรู้สึกอยู่”

                 “นี่คุณชาย...”

                 “อะไรล่ะนายคนขับรถ” ทงเฮยื่นเชิดหน้าให้อย่างไม่ยอมแพ้ และก่อนที่เขาจะทำให้คิบอมหมดความอดทน คนที่หายไปเอาน้ำจากในครัวก็เดินเข้ามาพอดีจึงทำให้บรรยากาศที่เริ่มจะคุขึ้นมาคลายลงในทันที

                 ทั้งสามคนสนทนากันในลักษณะที่ค่อนข้างจะแปลกไปหน่อย คิบอมนั่งเงียบไม่พูดอะไรนอกจากดูคนทั้งสอง ซองมินเองก็ได้แต่ตอบคำถามของคุณชายทงเฮที่เอาแต่ถามอยู่ฝ่ายเดียว เขานึกอะไรได้และอยากรู้อะไรก็ถามมันเรื่อยๆจนบางทีซองมินต้องหันไปมองหน้าคิบอมอย่างขอความช่วยเหลือ

                 “นี่คุณชาย ให้คุณซองมินเค้าหายใจบ้างเหอะ ถามอยู่นั่นแหละ ไม่คิดว่าเค้าต้องทำงานทำการบ้างเหรอ”

                 “อะไรกัน นายว่างอยู่ใช่ไหมซองมิน” ทงเฮหันมาขอคำตอบจากอีกคนที่เอาแต่พยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ ซองมินยิ้มอย่างเดียวขณะที่ตอนนี้เขาต่างหากที่เป็นฝ่ายต้องมองอีกสองคนเถียงกันอย่างไม่รู้จักหยุด



     

                 เสียงรถคันต่อมาพาให้เขาต้องลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ไม่จำเป็นต้องเปิดประตูให้ ใครอีกคนก็เปิดมันเข้ามาเสียก่อน

                 “รยออุค” ซองมินหยุดยืนด้วยอาการแปลกใจที่เห็นคนตรงหน้า

                 “หวัดดีครับคุณซองมิน” ใบหน้าของคนมาใหม่ส่งยิ้มกว้างมาให้ก่อนจะหันไปหาอีกสองคนทีนั่งอยู่ข้างกันที่โซฟามุมหนึ่งของร้าน ซองมินมองตามอย่างไม่ค่อยจะเข้าใจนักว่าทำไมคนพวกนี้ถึงโผล่มาเยี่ยมเขาพร้อมกัน รยออุคตอบความสงสัยของซองมินก่อนจะสบตากับใครอีกคนที่เขาเอ่ยถึงไปด้วย

                 “พวกเรามาด้วยกันน่ะครับ แต่ดูท่าว่าคุณบอดี้การ์ดคนเก่งบางคนคงจะใจร้อนเลยต้องรีบเหยียบแซงหน้าผมมาถึงที่นี่ก่อน สงสัยจะคิดถึงเจ้าของร้านนี้จนแทบทนไม่ไหวน่ะครับ” พูดจบก็ยิ้มเสียตาหยีราวกับเรื่องที่พูดออกมานั้นมันปกติธรรมดา ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วมันเหมือนกับทิ้งระเบิดไว้ให้คนอื่น คิบอมกัดฟันปั้นหน้าให้นิ่งเข้าไว้แม้ในใจอยากจะฆ่าไอ้เพื่อนคนนี้เต็มทีก็เถอะนะ


    คุณเจ้าของร้านที่ถูกพาดพิงไปด้วยก็เลยทำหน้าไม่ถูกเข้าไปใหญ่ ทงเฮปรายตามองคนข้างกายที่หน้าไม่เคยจะแดงแต่ทำไมเขาจะดูไม่ออก เห็นแล้วเลยอดจะหมั่นไส้ไม่ได้ บรรยากาศแปลกๆของ
    แต่ละคนทำเอาตัวต้นเหตุอย่างรยออุคพออกพอใจกับผลงานตัวเองไปโดยปริยาย

                 “ผมออกมาแต่เช้า ยังไม่ได้กินอะไรเลย คุณซองมินพอจะมีอะไรในครัวบ้างรึเปล่าครับ” จู่ๆรยออุคก็ถามขึ้น ชายหนุ่มยกมือลูบที่ท้องตัวเองประกอบไปด้วยท่ามกลางสายตาของเพื่อนรักร่วมอาชีพที่เหล่มองมาด้วยแววตาเกินจะทน คิบอมไม่ค่อยเข้าใจหรอกว่ารยออุคเป็นอะไรนักหนาเวลาที่อยู่ต่อหน้าคุณซองมินถึงได้ขี้อ้อนนัก

                 “เอ่อ เมื่อเช้านี้ไม่ได้ทำอะไรทิ้งไว้เสียด้วยสิ งั้นเดี๋ยวฉัน ..” ก่อนที่ซองมินจะออกตัวอาสาเข้าไปในครัวเพื่อเตรียมอาหาร ทงเฮที่นั่งเงียบอยู่ก็ตะโกนมาห้ามเอาไว้ก่อน

                 “ไม่ต้องหรอกน่ะซองมิน จะใจดีไปไหนกันฮะ มีอะไรก็ไปทำเถอะไป” คุณชายทงเฮที่เมื่อครู่ยังบอกว่าอยู่เลยว่าซองมินว่างอยู่ ทำไมตอนนี้ถึงได้เกิดไล่ให้ไปทำงานอีกล่ะ คุณชายใหญ่ว่าแล้วก็จ้องกลับไปที่รยออุคซึ่งตอนนี้ได้แต่ยิ้มแห้งๆมาให้ คิบอมเลยได้ทีหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ

                 “หัวเราะอะไรของนายน่ะคิบอม” ทงเฮตวัดเสียงใส่อีกทีคนข้างกายก็เลยต้องพลอยหุบปากไป ทำให้คนเสียเปรียบกลับขึ้นมาเสมอกันอีกยก



                 ซองมินมองคนทั้งสามโดยไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป ก็เขาทำตัวไม่ถูกนี่นาที่ต้องมายืนระหว่างคนพวกนี้ จากอาการเก้อไปบ้างเมื่อนึกได้ว่าถูกไล่ให้ไปทำงานของตัวเองจึงปลีกตัวออกมาอีกมุมของร้านปล่อยให้คนพวกนั้นนั่งเล่นกันไปให้พอใจ

    ซองมินลอบมองใบหน้าหวานๆได้รูปของพี่ชายใครบางคน คุณชายทงเฮอย่างนั้นเหรอ คนบ้านนี้หน้าตาดีกันหมดเลยรึยังไงกันนะ เขาละสายตาจากถังดอกไม้ตรงหน้าเพื่อมองด้านข้างของคนๆนั้น จากที่แอบมองเพราะความอยากรู้แต่เอาเข้าจริงก็เพลินจนแทบละสายตาไม่ได้ พี่น้องกันแต่ไม่เหมือนกันเลยสักนิด


    ถึงอย่างนั้นซอง
    มินกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างที่คล้ายกันระหว่างพี่ชายและน้องชาย ความมุ่งมั่นดื้อดึงไม่ยอมใครที่แฝงเอาไว้ในแววตามันคล้ายกันมากเลยทีเดียว เขารู้สึกว่าหายใจไม่ถนัดขึ้นมาแล้วเวลาที่ต้องนึกถึงคยูฮยอน มันจุกที่หน้าอกทุกที มันทับแน่นลงมาให้ทรมานเสียจนน้ำตาแทบไหล 

                 ซองมินสะบัดหน้าหนีกับภาพของคนที่เขาเฝ้ามองอยู่ เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ทงเฮจะหันมาพอดี ท่าทางแปลกๆของคุณเจ้าของร้านจึงทำให้คุณชายใหญ่ที่ตรงไปตรงมาต้องหมดความอดทน ร่างบางลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงมาหาอีกคนที่ก้มหน้าอยู่กับดอกไม้พวกนั้น

                 “นี่นาย เหนื่อยมั้ยทำอยู่คนเดียวเนี่ย” ทงเฮถาม

                 “เอ่อ ก็ ไม่เท่าไหร่หรอกครับ” ซองมินยิ้มให้ แต่นั่นยิ่งทำให้คนฟังหงุดหงิดไปใหญ่ ทงเฮถอนหายใจออกมาดังๆพลางส่ายหน้าอย่างไม่มีปิดบัง

                 “เฮ้อ ... ฉันล่ะเบื่อจริงๆกับพวกที่ชอบเก็บความรู้สึกของตัวเองเอาไว้แล้วบอกว่าไม่เป็นไรๆ ถามจริงเหอะนะ ไม่เหนื่อยแย่เหรอ” ทงเฮพูดออกมาตรงๆอีกครั้งทำเอาคนฟังต้องนิ่งไป รอยยิ้มของซองมินยังค้างอยู่บนใบหน้าระคนกับความสงสัยว่าทำไมอีกฝ่ายมาพูดกับเขาแบบนี้

                 “ไม่ต้องยิ้มแล้วก็ได้คุณอีซองมิน ฉันรู้หรอกน่ะว่ามันเป็นยังไง”

                 “คุณ พูดเรื่อง ...”

                 “อยากร้องไห้ก็ร้องออกมาเถอะ อยากทำอะไรก็ทำไปเลย อยากจะต่อว่าหรือปฏิเสธก็พูดออกไปเลย ยอมคนอื่นมากๆมันอาจทำให้เราเจ็บก็ได้นะ”

                 “..........” ซองมินยังคงนิ่งไปกับยิ้มเดิมๆของเขาที่ตอนนี้มันค่อยคลายลงอย่างไม่รู้ตัว ดวงตากลมคลอไปด้วยน้ำตาที่มันปริ่มออกมาโดยที่เขากลั้นเอาไว้ไม่อยู่ เรียวปากอิ่มเม้มเข้าหากันก่อนที่น้ำตาเม็ดโตจะร่วงรินลงมาตามพวงแก้ม หากจะพูดถึงเรื่องของใครคนนั้นเขาก็ยังทำใจไม่ได้อยู่ดี เอาอีกแล้วสินะ เอะอะก็ร้องไห้ทุกทีเลยอีซองมิน

                 “ดีแล้ว อยากร้องก็ร้องออกมา มันไม่ได้หมายความว่านายอ่อนแอเสมอไปหรอก การที่เราร้องไห้เพราะเจ็บปวดบางทีมันก็หมายถึงความกล้า หมายถึงว่าเรากล้าที่จะยอมรับมันไงล่ะ กล้าจะเผชิญและพร้อมจะเจ็บปวดโดยไม่มีเงื่อนไข” ทงเฮเอ่ยในสิ่งที่ซองมินไม่นึกว่าจะได้ยิน ร่างเล็กยืนนิ่งปล่อยให้ความเสียใจไหลผ่านน้ำตาออกมาเงียบๆ คิบอมและรยออุคทีjมองอยู่ก็ต้องพูดไม่ออกกันไปใหญ่ และก่อนที่คิบอมจะไปดึงให้คุณชายที่เอาแต่ใจออกมาจากอีกคน รยออุคที่อยู่ข้างเขาก็กลับเดินเข้าไปหาคนทั้งสองเสียก่อน และเป็นที่รู้กันระหว่างพวกเขาในสิ่งที่กำลังเอ่ยออกไป

                 “คุณซองมินครับ คุณน่าจะมีคนช่วยในร้านบ้างนะ”

                 “มะ หมายความว่าไงน่ะรยออุค” ซองมินปาดน้ำตาออกพลางเงยหน้าขึ้นถาม เรื่องที่ทงเฮพูดยังไม่จบดีรยออุคก็เพิ่มเรื่องใหม่ให้เขาต้องไม่เข้าใจขึ้นมาอีก

                 “ผมคิดว่ามีใครบางคนเค้าอยากมาสมัครงานที่นี่ คุณน่าจะใจดีรับเค้าไว้นะครับ .. ผมปล่อยให้เค้านั่งรอในรถนานแล้ว” ว่าแล้วร่างของบอดี้การ์ดหนุ่มทั้งสองก็ถอยออกมายืนข้างกับคุณชายใหญ่ที่ขยับออกมาก่อนแล้ว



     

                 ประตูกระจกของร้านส่งเสียงกระดิ่งเบาๆเข้ามาท่ามกลางความเงียบ ร่างสูงของคนที่คุ้นเคยก้าวเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าของเขา เสื้อเชิ้ตตัวนอกเปิดกระดุมเผยให้เห็นผ้าพันแผลที่พาดผ่านหน้าอกลงมาขณะที่ขาสองข้างแม้จะก้าวไม่คล่องอย่างเคยแต่ก็มุ่งเดินตรงมา ซองมินแทบจะหยุดหายใจไปเลยด้วยซ้ำกับภาพที่เห็น คนที่เขาเฝ้ารอคอยโผล่มาเอาตอนที่อุตส่าห์เข้าใจไปแล้วว่าอีกฝ่ายคงไม่คิดจะตามมาหากันถึงที่นี่ และก็อาจจะไม่ได้พบกันอีก สองสายตาสบกันราวกับเรื่องจริงที่เป็นอยู่นี้เป็นความฝันที่รอคอยมานาน ใบหน้าคมยิ้มให้กับคนที่นิ่งไปราวกับเป็นก้อนหิน


                 “ไม่ทราบว่าร้านของคุณสนใจจะรับผมเข้าทำงานด้วยรึเปล่า”


                 “..............” ซองมินไม่ตอบเหมือนกับว่าเขาไม่ได้ยินอะไร ก้อนหินที่มีหัวใจอย่างเขาสุดท้ายแล้วก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอีก อยากจะเข้าไปกอดและถามอย่างห่วงใยว่าแผลเป็นยังไง ยังเจ็บอยู่ไหม เขาจะช่วยอะไรได้บ้าง แต่พอตั้งสติได้ซองมินก็รีบจะเช็ดน้ำตาตัวเองออกอย่างรวดเร็วเมื่อนึกขึ้นได้ว่าควรจะทำอย่างไร

                 “คุณ หายแล้วเหรอ” เขาอยากจะหันหลังให้แต่ในใจก็เรียกร้องเอาไว้ สิ่งที่พูดไปเลยพบกันครึ่งทางเท่านั้น ท่าทีของอีซองมินที่ตรงข้ามกับความรู้สึกทำไมทุกคนจะไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่เรื่องของคนสองคนคงไม่มีใครอยากจะเข้าไปยุ่งด้วยนักหรอก

                 โจวคยูฮยอนยิ้มบางๆมาให้กับคำถามของคนที่เขารู้อยู่แก่ใจว่าห่วงกันแค่ไหน

                 “ยังหรอก ภายนอกไม่เท่าไหร่นายก็น่าจะรู้” ร่างสูงบอกกับซองมินที่พยายามจะไม่สบตากับเขา คุณเจ้าของร้านกำลังมีแววตาวูบไหวพลางข่มใจให้ไม่แสดงอะไรออกไป ซองมินสับสนกับเรื่องแบบนี้อีกครั้ง แต่เขาต้องทำอย่างไรในเมื่อ..

                 “อย่าเพิ่งไปนะ นายจะทิ้งฉันไปอีกเหรอซองมิน”

                 “..........”

                 “รู้ไหมว่าหัวใจของฉันที่มันหยุดเต้นไปแล้วกลับมาเหมือนเดิมได้อีกครั้งเพราะใคร เพราะนายคนเดียวเลยนะซองมินที่ทำให้ฉันยอมไม่ได้ ในเมื่อโชคชะตาไม่เข้าข้างเราเท่าไหร่ แล้วฉันจะเชื่อได้ยังไงว่าชาติหน้าจะได้พบกับนายอีก เพราะงั้นในชาตินี้ฉันก็จะไม่ยอมตายไปจากนายเด็ดขาด”

                 “..........”

                 “ตั้งแต่วันนั้นนายอยู่เฝ้าฉันที่โรงพยาบาลทั้งวันทั้งคืนเลยสินะ แต่พอตื่นขึ้นมาแล้วทำไมฉันถึงไม่เห็นหน้านาย .. ตอนนี้ฉันรู้หมดแล้ว” คยูฮยอนบอก ทำให้ซองมินเงยหน้าขึ้นมองพลางขมวดคิ้วหากันทันที

                 “คุณหมายความว่าไง”

                 “แม่พูดอะไรกับนายที่โรงพยาบาลไว้ใช่มั้ย”

                 “คุณ คุณรู้ได้ไง....” ซองมินอึ้งไปที่คยูฮยอนหลุดปากออกมา



                 ตั้งแต่ตอนนั้นที่คยูฮยอนหยุดหายใจไปซองมินก็แทบขาดใจไปด้วย แต่แค่ไม่กี่นาทีเท่านั้นที่รยออุคกับคิบอมพร้อมทั้งตำรวจหลายคนมาเจอพวกเขาเข้าทันเวลา ถึงอย่างนั้นคยูฮยอนก็หยุดหายใจไปแล้ว ร่างของคุณชายถูกพาไปรักษาที่โรงพยาบาลในเมืองทันทีที่พาออกมาจากที่นั่นไป พร้อมกับปาร์คซึงโฮที่ยังนอนหายใจและก็พ้นขีดอันตรายไปอย่างง่ายดาย ซึ่งภายหลังจะเป็นอย่างไรในส่วนนี้ซองมินเองก็คงไม่คิดจะสนใจ เขาจำได้ว่าตัวเองเอาแต่นั่งน้ำตาไหลอยู่หน้าห้องฉุกเฉินเพราะความหมดหวังโดยมีรยออุคนั่งโอบไหล่อยู่ข้างๆ แต่ช่วงเวลาที่หมดหวังก็เหมือนจะมีหวังอยู่บ้าง มันน้อยนิดมาก มากขนาดที่มันอาจจะไม่มีเลยก็ได้

                 แต่แล้วเมื่อทุกอย่างกลับเปลี่ยนไปราวกับปาฏิหาริย์ คยูฮยอนที่หัวใจกลับมาเต้นอีกครั้งก็ทำให้เขาดีใจจนแทบบ้า เลือดที่เสียไปของคยูฮยอนได้กลับคืนมาบ้างจากเลือดของซองมินที่ยกให้ไปจำนวนหนึ่ง หลายวันกว่าที่คยูฮยอนจะตื่นขึ้นมาซองมินก็เฝ้าอยู่อย่างนั้นมาโดยตลอด เขาหวังว่าเมื่ออีกฝ่ายฟื้นขึ้นมาทุกอย่างก็จะกลับมาดีขึ้น

                 แต่เรื่องของความรักมันยังไม่จบแค่นั้นเมื่ออุปสรรคตัวสุดท้ายเข้ามาทักทายอีซองมินเข้าจนได้ ก่อนวันที่คยูฮยอนจะฟื้นขึ้นมา คนเป็นแม่ที่เป็นถึงนายท่านของบ้านก็เรียกเขาไปพบพลางเอ่ยในสิ่งที่ทำให้หัวใจดวงน้อยต้องแตกสลายลงโดยพลัน ไม่ว่าจะฐานะและสภาพสังคมหรือแม้แต่เรื่องอื่นๆ อีซองมินคนนี้ก็ไม่มีอะไรที่คู่ควรกับคุณชายโจวคยูฮยอนเลยแม้แต่นิด

                 “สมัยนี้แล้วฉันเข้าใจนะพ่อหนุ่ม แต่ลองคิดดูดีๆสิ นี่มันความจริงนะ ไม่ใช่นิยาย”

     

                 ซองมินในตอนนั้นจึงกลายเป็นเหมือนคนไม่รู้ทิศทางอะไรอีก เขาต้องเลือกว่าจะยอมเข้าใจหรือว่าดื้อดึงต่อไป คำตอบไม่ได้มีเวลาให้คิดนานเท่าไหร่ ซองมินไม่ได้ตอบอะไรออกไปนอกจากตัดสินใจจากมาโดยไม่บอกอะไรใครสักคำ





                 “ก็ผม ผม .. ผมมันไม่ควรจะยุ่งกับคุณอย่างที่แม่ของคุณบอกเอาไว้จริงๆนั่นแหละ”

                 “แล้วไงล่ะ นายเคยเถียงแม่ฉันมาแล้วนี่ แค่นี้ทำไมจะต้องฟัง”

                 “ก็เค้าเป็นแม่คุณนะ คุณพูดแบบนี้คิดว่าถูกเหรอคยูฮยอน” จู่ๆซองมินที่เอาแต่หน้าเศร้าก็ต้องเป็นฝ่ายต่อว่าคยูฮยอนขึ้นมาเสียเอง คุณชายที่ถูกดุราวกับเด็กวัยรุ่นก็ได้แต่อมยิ้มขึ้นมาในทันที

               .. โถ อีซองมินคนนี้จะเป็นคนดีไปถึงไหน นี่ถ้าแม่ของเขาได้ยินคงยิ่งรักตายเลยล่ะ

                 ซองมินอึดอัดในใจและรู้สึกแย่ลงไปมากกว่าเก่าเพราะไม่รู้จะทำอย่างไร ดวงตากลมโตที่คราบน้ำตายังเกาะอยู่บนหน้าตวัดมองคยูฮยอนที่ก้าวเข้ามาใกล้เขากว่าเดิม

                 “เราแต่งงานกันแล้วไม่ใช่เหรอ”

                 “.........”

                 “แล้วฉันผิดตรงไหนที่จะมาตามหาภรรยาของฉันคืน” เสียงทุ้มจงใจบอกผ่านแค่ในประโยคสั้นๆ คยูฮยอนรู้ดีว่าคนตรงหน้ารักเขาแค่ไหน ซองมินคิดถึงเขาเท่าไหร่ทำไมจะไม่รู้ แต่เขานี่สิ คิดถึงน้อยกว่าเสียเมื่อไหร่ล่ะ


                
    “ฉันตายแทนได้ขนาดนั้นแล้ว จะทิ้งกันได้ลงรึไงอีซองมิน” คุณชายคนเดิมเอ่ยประโยคเอาแต่ใจออกมาแต่แววตากลับอ้อนวอนขอความรักออกมาอย่างไม่มีปิดบัง ซองมินหัวใจสั่นไหวพร้อมกับสบตาคมคู่นั้นด้วยแววตาไม่นิ่งเพราะความไม่แน่ใจ แต่หากจะลองนึกให้ดีเขาก็เกลียดตัวเองนัก เรื่องเล็กน้อยแค่นี้มันเทียบได้ที่ไหนกับคนตรงหน้าที่รักเขามากขนาดนี้ และเขาเองก็รักมากจนไม่อาจขาดผู้ชายคนนี้ได้เหมือนกัน

                 “ขอโทษแทนแม่ของฉันด้วยนะ จริงๆแล้วท่านก็แค่จงใจอยากให้เราพิสูจน์ว่าจริงๆแล้วต้องการกันแค่ไหน” จู่ๆคยูฮยอนก็หลุดความจริงออกมาจนได้ ใบหน้าคมยิ้มให้คนฟังที่ตอนนี้ยิ่งอึ้งหนักไปกว่าเก่า ซองมินแทบไม่เชื่อหูในสิ่งที่เพิ่งจะได้ยิน

                 “คุณ ว่ายังไงนะ แม่ของคุณ ...”

                 “ใช่แล้วล่ะ แม่เค้าแค่อยากแกล้งเราเท่านั้นเอง ท่านบอกว่ากว่าจะที่แม่จะได้เป็นสะใภ้ตระกูลนี้ก็เกือบหมดหวังเหมือนกัน กว่าจะได้แต่งงานกับพ่อก็เล่นเอาแม่ร้องไห้ไปหลายหนแล้ว เพราะงั้นนายที่ฉันเลือกก็ต้องผ่านความกดดันสุดท้ายนี้ไปให้ได้” คยูฮยอนอธิบายช้าๆเพราะกลัวว่าคนตรงหน้าจะคิ้วพันกันมากไปกว่าเก่า ซองมินคิดตามยังไงก็ไม่อยากจะเชื่อสักนิด

                 “กดดันงั้นเหรอ แล้วสรุปว่า..”

                 “ก็ไม่สรุปอะไรหรอก นายยอมทำเพื่อฉันขนาดนั้นก็แสดงแล้วว่านายรักฉันขนาดไหน”

                 “แล้วของแบบนี้มันวัดได้ด้วยเหรอว่าผมรักคุณรึเปล่า”

                 “ช่างมันเหอะน่ะซองมิน เรื่องของแม่ก็คือเรื่องของแม่ ส่วนเรื่องของเราก็คือเรื่องของเรา”

     

                 จากที่ควรจะโกรธหรือทำอะไรไม่ถูก อีซองมินก็ต้องเป็นฝ่ายยอมอีกครั้งดังเช่นทุกที ร่างสูงที่ยังคงไม่หายดีจากบาดแผลเอื้อมแขนมาคว้าร่างของคนที่รักเข้าไปกอดเอาไว้ คยูฮยอนซุกหน้าลงที่เรือนผมนุ่ม แม้จะแค่สองเดือนแต่เขากลับรู้สึกว่ามันนานเท่าไหร่แล้วนะที่ไม่ได้กอดร่างนุ่มๆนี้ ซองมินที่ยังทำตัวไม่ถูกกับเรื่องที่ได้ยินมา เมื่อความอบอุ่นจากร่างของคยูฮยอนแผ่ซ่านลึกเข้าไปในหัวใจของเขาจึงเริ่มจะเข้าใจกับเรื่องทุกอย่าง น้ำตาที่ไหลออกมาในครั้งนี้จึงต่างจากทุกทีเพราะมันไม่ได้มาจากความเสียใจ แต่มาจากความคิดถึงและความรักของหมดของอีซองมินที่มีให้โจวคยูฮยอน

                 ใจดวงน้อยกลับมาเต้นแรงอีกครั้งกับความเป็นจริงในตอนนี้ที่ราวกับความฝัน ในที่สุดเขาก็ได้ความรักครั้งนี้กลับคืนมาอย่างสมบูรณ์แล้วสินะ

     

                 สองร่างโอบกอดกันเอาไว้โดยไม่คิดจะเอ่ยอะไรออกมาในตอนนี้



                 ส่วนสายตาของคนทั้งสามที่มองมาก็เป็นอันต้องชะงักเมื่อคุณชายใหญ่หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นมา

                 “เฮ้อ .. ให้มันได้อย่างงี้สิ พี่กลับก่อนนะคยูฮยอน กล่องยารยออุควางเอาไว้ให้ที่เบาะหลังนะ” เสียงของทงเฮโพล่งออกมาประโยคเดียวก่อนจะเอื้อมแขนไปกระตุกคนข้างกายให้เดินตามเขาออกมา คิบอมยิ้มให้กับความรักของคนทั้งสองก่อนจะเดินตามทงเฮออกไป ตามด้วยรยออุคที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่ยอมหุบมากกว่าเขาเสียอีก

                 “ผมวางกุญแจรถไว้ที่โต๊ะนะครับคุณชาย .. เจอกันนะครับคุณซองมิน” รยออุคว่าแล้วก็รีบจ้ำเท้าออกไปจากร้านเสียก่อนที่คุณชายของเขาจะต้องเอ่ยปากไล่เพราะไม่ต้องการให้ใครมาอยู่เป็นกว้างขวางคอในตอนนี้

              

                 ซองมินดันอกแกร่งออกเบาๆเพื่อให้พ้นจากอ้อมกอด เขาได้ยินเสียงรยออุคจึงอยากจะหันไปขอบใจและเดินออกไปส่ง แต่มีหรือที่อีกคนจะยอมปล่อยไปง่ายๆ คยูฮยอนแกล้งร้องเสียงหลงเมื่อมือบางวางลงที่แผลของเขา


                
    “โอ๊ย .. ซองมิน ฉันเจ็บแผลนะ”

                 “จริงด้วย คุณยังไม่หายเลย ขอโทษนะผมไม่ได้ตั้งใจ” ใบหน้าหวานตกอกตกใจที่ทำให้คนที่ยืนอยู่ต้องเจ็บตัว ซองมินคว้าที่แขนคยูฮยอนเอาไว้พลางก้มดูว่าเป็นอะไรมากหรือเปล่า ขณะที่คนตัวเล็กกำลังเป็นห่วงเป็นใยอยู่นั้นก็หารู้ไม่ว่าใบ

    หน้าคมลอบยิ้มออกมาขณะที่มองตามรถคันหนึ่งที่แล่นออกไปจากหน้าร้าน ทีนี้เขาก็จะได้อยู่กันสองคนเสียที


                
    “คุณเป็นอะไรมากมั้ย รู้รึเปล่าว่าที่ผ่านมาผมเป็นห่วงคุณแค่ไหน”

                 “รู้สิ”

                 “คุณน่ะ ตายยากจริงๆเลยนะ ไม่เข้าใจเลยว่าเจอมาขนาดนี้แล้วยังไม่ตายเนี่ย ยังเป็นคนอยู่รึเปล่า” ซองมินพูดออกมาจากใจจริงแต่คนฟังดันทำหน้าแปลกใจ

                 “พูดแบบนี้รยออุคมันสอนมาเหรอ”

                 “เปล่า ก็จริงนี่นา คุณน่ะเลือดออกขนาดนั้น แถมยัง....” เขาตั้งใจจะพูดให้จบแต่พอนึกถึงเรื่องที่ผ่านมาก็พาให้ใจมันวูบขึ้นมาเสียดื้อๆ คยูฮยอนก็ไม่อยากจะให้คนที่เขารักต้องใจหายกับเรื่องนั้นอีกจึงดึงร่างตรงหน้าเข้ามาสวมกอดอีกครั้ง แต่กลับถูกสองมือยกขึ้นกันตัวเองไว้เสียก่อน

                 “เดี๋ยว เมื่อกี้ที่คุณบอกน่ะว่าเรื่องของเราก็เป็นเรื่องของเรา แล้วทำไมคุณถึงปล่อยให้ผมเข้าใจผิดอยู่คนเดียวแบบนี้.........”

                 “ก็เพราะฉันคิดแล้วว่าไม่อยากให้นายต้องมาลำบากดูแล เกิดฉันพิการเดินไม่ได้ขึ้นมาแล้วนายจะทำยังไง”

                 “ก็ไม่เห็นต้องทำไงเลย คุณจะเดินได้หรือเดินไม่ได้ จะอยู่หรือจะตาย ยังไงผมก็เปลี่ยนใจไม่รักไม่ได้อยู่ดี” ซองมินเอ่ยออกมาอย่างที่คิดให้คนฟังต้องหัวใจพองโตคับอก คยูฮยอนชื่นใจจนเขาแทบจะกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่อยู่

                 “ขอบใจนะซองมิน แต่ถึงฉันจะไม่อยากให้นายลำบาก แต่ก็ทนกับการไม่ได้เห็นหน้านายไม่ไหวแล้วเหมือนกัน เลยต้องพาตัวเองมาถึงที่เผื่อว่านายอยากจะดูแล .. เหมือนแต่ก่อน”

                 “โธ่เอ๊ย .. เพิ่งนึกได้เหรอว่าควรจะทำ คราวหน้าคราวหลังคิดอะไรหรือตัดสินใจอะไรจะบอกผมสักนิดก็ดีนะ อย่างน้อยผมก็จะได้รู้อะไรบ้าง ไม่ใช่ไม่รู้อะไรอย่างทุกครั้งที่คุณทำกับผม”

                 “ฉันขอโทษ” สั้นๆคำเดียวกับแววตาจริงจังที่จ้องลึกลงมานั้นทำเอาหัวใจของซองมินอ่อนยวบไปดังเช่นทุกที อย่างนี้สินะ เพราะอย่างนี้ไงล่ะ เขาถึงไม่เคยชนะผู้ชายคนนี้ได้เลย

                 มือบางสองข้างร่วงหล่นลงข้างกายก่อนจะปล่อยตัวเองถูกคนตรงหน้ารวบกอดเอาไว้ ใบหน้าของเขาทั้งสองอิงแนบกันด้วยความห่วงหา คยูฮยอนสัญญากับตัวเองว่าต่อไปนี้เขาจะรู้จักคำว่าเชื่อและไว้ใจ เขาจะไม่ทำให้ซองมินเป็นคนรักที่ไม่ได้รับการบอกกล่าวเรื่องสำคัญเพราะเขาที่เห็นแก่ตัวทิ้งให้ซองมินต้องเจ็บเพราะเขาโดยที่ไม่รู้อะไรเลย

     

                .. วันวานที่ผ่านเลย แค่ช่วงเวลาสั้นๆที่ทำให้คนสองคนก่อเกิดความรักขึ้นในใจ แต่ช่วงสั้นๆนั้นมันก็คือจุดเริ่มต้นของความรักที่แสนยาวนาน ..

     

     







                 ค่ำคืนนี้แตกต่างไปจากทุกคืนที่ผ่านมา ตรงโต๊ะไม้ตัวเดิมไม่ได้มีเพียงแค่เขาเท่านั้นที่นั่งอยู่อย่างเดียวดาย ซองมินเอนกายซบลงที่ไหล่ของคยูฮยอนยามที่มองไปยังดวงดาวนับพันบนท้องฟ้า ความเงียบที่เกิดขึ้นทำให้ความเหนื่อยล้าในจิตใจได้พักเสียบ้าง ความรู้สึกระหว่างกันส่งผ่านกันได้แม้ไม่ต้องเอ่ยอะไร คยูฮยอนลอบมองคนที่พิงเขาเอาไว้ก่อนจะเอื้อมมือขึ้นโอบร่างนุ่มๆนี้เอาไว้

                 “อย่าทำหน้าน่ารักมากได้มั้ย “ เสียงทุ้มกระซิบเข้าที่ใบหูของซองมินให้หน้าแดงเล่นๆ คนฟังดันตัวเองออกมาพลางตวัดสาตามองอย่างไม่ชอบใจนัก

                 “คุณแกล้งผมเหรอ”

                 “ฮะฮะ แค่นี้แกล้งงั้นเหรอ ตรงไหนกัน”

                 “ก็คุณชอบทำให้ผมอาย”

                 “แล้วนายน่ารักทำไมล่ะ” ใช่ว่าซองมินจะคิดว่าตัวเองเป็นอย่างนั้นนักหรอกนะ แต่เขาก็เถียงไม่ออกเลยจริงๆ แค่มองดาวบนฟ้าเนี่ยมันจะต้องน่ารักอะไรตรงไหน

                 “ก็ฉันไม่ชอบให้นายน่ารักกับคนอื่นไง”

                 “คนอื่น .. คนอื่นที่ไหน ผมอยู่กับคุณแค่สองคนไม่ใช่เหรอ” ซองมินแย้งขึ้นมาพลางขมวดคิ้วโดยที่ลืมไปว่าผู้ชายคนนี้เหนือกว่านักในเรื่องเอาเปรียบ

                 “ก็นั่นไงล่ะ พระจันทร์เอย ดวงดาวเอย เมฆเอย ถ้าพวกมันหลงรักนายขึ้นมาจะทำไงล่ะ ฉันไม่ต้องเป็นศัตรูกับทุกสิ่งบนโลกนี้เลยเหรอ” คยูฮยอนเอ่ยออกมาราวกับว่าสิ่งที่พูดมันสำคัญนัก เรื่องที่ดูจะไร้สาระหากแต่ซองมินที่ได้ยินในตอนนี้กลับรู้สึกว่ามันยิ่งกว่าการบอกรักซ้ำๆให้เขาฟังเสียอีก ใบหน้าหวานเริ่มจะอายแต่ก็ปกปิดมันเอาไว้ด้วยการต่อว่ากับคำพูดน้ำเน่าชวนอาเจียนแบบนี้

                 “หึ .. คุณคงอ่านนิยายมากไปนะถึงได้พูดอะไรแบบนี้ออกมาได้” คยูฮยอนได้ยินคนข้างกายแกล้งไม่สนใจก็ยิ่งอยากจะแหย่เข้าไปอีก ใบหน้าคมยื่นมาใกล้ๆพลางจ้องลึกลงไปในดวงตากลมที่พยายามจะหนีเขา

                 “นิยายน่ะไม่ได้อ่านหรอก แค่เจอกับตัวเลยพอจะเข้าใจ”

                 “.............” ซองมินอึ้งไปอีกครั้งอย่างคนหนีไม่ออก เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้ชอบทำให้เขาใจเต้นได้ทุกทีเลย จะหลบตาก็ไม่กล้าจะต่อว่าก็ทำไม่ลง สุดท้ายแล้วคนเสียเปรียบมันก็เขาเองชัดๆ ร่างเล็กถอยหายใจออกมาก่อนจะผลักมือดันหน้าอกของอีกฝ่ายออกไปแรงๆ

                 “โอ๊ย ..” คยูฮยอนร้องออกมาเมื่อมือของซองมินทุบมาไม่เบานัก ครั้งก่อนเขาอาจจะแกล้งแต่ครั้งนี้มันเจ็บจริงๆนะ ถึงอย่างนั้นคนทำก็ดันเข้าใจว่านั่นก็แค่การแสดงละคร

                 “คิดว่าผมจะเชื่ออีกเหรอคนเจ้าเล่ห์” ซองมินพูดจบก็ลุกขึ้นยืนเพื่อจะกลับเข้าไปในบ้านโดยปล่อยให้คยูฮยอนก้มหน้าอยู่กับแผลตัวเอง แต่เมื่อเดินหนีมาได้ไม่เท่าไหร่ก็แปลกใจกับคนด้านหลังที่ดูจะเจ็บจนร้องเรียกเขาไม่ออกอีก ร่างสูงก้มหน้าอยู่กับแผลที่หน้าอกเพราะความเจ็บเล่นเอาซองมินชักจะอดห่วงขึ้นมาไม่ได้ คุณเจ้าของร้านดอกไม้ที่อุตส่าห์จะไม่ยอมหลงกลจึงลืมเรื่องนั้นแล้ววิ่งกลับไปหาอีกครั้ง

                 “คยูฮยอน คุณเจ็บจริงๆใช่มั้ย ผมขอโทษ” ซองมินว่าพลางนั่งลงข้างๆแล้วก้มดูแผลที่เผยออกมาจากขอบเสื้อที่เปิดอยู่ เลือดสีแดงซึมออกมาจากผ้าพันแผล ซองมินเงยหน้ามองคยูฮยอนอย่างเป็นห่วง

                 “เลือดออกด้วย เจ็บมากมั้ย”

                 “อืม เจ็บจริงๆซองมิน”

                 “งั้นอย่าเพิ่งลุกนะ คุณรออยู่นี่เดี๋ยวผมจะเข้าไปเอาผ้ามาเปลี่ยนให้ใหม่” ใบหน้าหวานจริงจังมากเสียจนคนมองพอใจกับท่าทีเป็นห่วงอย่างนั้น แต่พอซองมินจะลุกขึ้นก็กลับถูกคยูฮยอนรั้งให้นั่งลงมาบนตักของเขา

                 “อ๊ะนี่!! ทำอะไรของคุณน่ะ ถ้าแผลฉีกแล้วจะทำยังไง” คนเป็นห่วงต่อว่ากับการกระทำของคนไม่รู้สถานการณ์ ร่างเล็กที่นั่งอยู่บนตักของคยูฮยอนถูกเขารวบเอาไว้จากด้านข้าง ใบหน้าคมแนบชิดอยู่กับพวงแก้มหอมๆโดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว


                
    “ฉีกก็ฉีกไปสิ หยุดหายใจยังเคยมาแล้ว แผลแค่นี้เล็กน้อยจะตายไป”

                 “คุณแกล้งผมเหรอ”

                 “เลือดออกขนาดนี้เนี่ยนะแกล้ง”

                 “ก็เพราะเลือดออกไง ผมบอกจะทำแผลให้ใหม่ ทีนี้ปล่อยได้รึยัง”

                 “ไม่”

                 “นี่คุณ...”


                 “ช่างมันเถอะนะ ฉันไม่ตายง่ายๆหรอก” คยูฮยอนพูดถึงตรงนี้คนที่ได้ยินคำว่าตายก็เงียบไปในทันที ซองมินไม่ได้อ่อนไหวกับเรื่องแค่นี้แต่ครั้งก่อนหวนเข้ามาให้เขาต้องนึกถึง จะรู้บ้างไหมว่าเขาแทบขาดใจแค่ไหนกับเรื่องในวันนั้น คนที่ยังหายใจแต่ทำอะไรเพื่อยื้อชีวิตของอีกคนไว้ไม่ได้ แค่วินาทีเดียวก็อาจเสียไปตลอดกาล

                 “โธ่ .. อย่าทำหน้าแบบนั้นได้ไหม ฉันอยู่นี่แล้วไง” คยูฮยอนเริ่มจะไม่สนุกเมื่อซองมินนิ่งไป เขาไม่ได้ตั้งใจจะทำให้อีกฝ่ายคิดเรื่องนี้ขึ้นมาอีก อ้อมกอดอบอุ่นกระชับเอาร่างเล็กไว้แน่น ซองมินมองแววตาน่าสงสารอย่างนั้นเลยอมยิ้มออกมาบ้าง เสียงหัวเราะเบาๆทำเอาคนที่รู้สึกผิดเข้าใจแล้วว่าตัวเองกำลังโดนเอาคืน คยูฮยอนหมั่นไส้คนในอ้อมกอดที่หัวเราะคิกคักที่ได้แกล้งเขากลับ อย่างนี้มีหรือจะปล่อยให้เอาคืนอยู่ฝ่ายเดียว

                 “หึ .. หัวเราะไปเลยนะ เพราะอีกเดี๋ยวอาจจะไม่ได้หัวเราะแล้ว” ซองมินยิ้มค้างกับสิ่งที่ได้ยิน เขาไม่ทันจะได้เอ่ยอะไรออกมาก็ถูกมือหนาของคยูฮยอนโน้มให้ใบหน้าของเขาก้มลงไปรับจุมพิตอันแสนหวานเสียแล้ว


                 รสจูบอันดูดดื่มดึงรั้งให้สองร่างแนบชิด มือเล็กรั้งไหล่กว้างเอาไว้อย่างไม่คิดจะต่อต้าน ความหวานแผ่ซ่านไปทั่วทั้งตัวและหัวใจ

     

                 แค่ความผิดพลาดของผู้ชายคนหนึ่งที่กลัวจะเสียคนที่รักไป จึงต้องปกปิดทุกอย่างเพราะต้องการจะกลับมาแก้ไขในตอนสุดท้าย ทั้งที่รู้ว่าคนที่รักต้องเจ็บปวดแค่ไหนเขาก็ยังเลือกที่จะเห็นแก่ตัว แต่เรื่องราวร้ายๆที่เพียรพยายามป้องกันก็เกิดขึ้นจนได้ ถึงแม้ว่ามันจะผ่านไปแล้วและเขาก็ยอมแลกชีวิตกับคนที่รัก แต่ไม่ว่ายังไงคนผิดคนนี้ก็ต้องชดใช้ เพราะฉะนั้นความเงียบงันที่คอยทำร้ายหัวใจดวงน้อยก็คงไม่อาจกร้ำกรายเข้ามาได้อีก ตราบใดที่ผู้ชายอย่างเขายังอยู่ข้างๆไม่ห่างไปไหน

     

                 .. โชคชะตาจะนำพาให้บรรจบหรือต้องแยกจากก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่ต้องใส่ใจ แค่ตอนนี้ทั้งสองได้สิ่งสำคัญที่สุดกลับคืนมา เพราะฉะนั้นแค่ดวงดาวในคืนนี้เป็นพยานให้กับความรักของพวกเขาก็เกินพอแล้ว






     --- Finish [ Broken in silence ..] ---

















    .. Epilogue ..





                 ห้องโถงกว้างของบ้านหลังใหญ่เงียบไปถนัดตาเมื่อคุณชายใหญ่ไม่ได้มาร่วมโต๊ะอาหารเช้าอย่างเช่นทุกที 

                 อาหารอย่างดีถูกวางลงโดยสาวใช้ไม่กี่คนที่ทำหน้าที่ได้ดีไม่มีที่ติก่อนที่คนทั้งสี่จะเริ่มลงมือลิ้มรสมันในเช้าวันหยุดอันแสนสดใส คุณท่านทั้งสองจับจ้องลูกชายคนเล็กหลังจากที่กลับมาหายดีจากบาดแผลที่ได้รับ พร้อมกับร่างของใครอีกคนที่เพิ่มเข้ามานั่งข้างกันในเวลานี้ บอดี้การ์ดหนุ่มที่ยือยู่ข้างเจ้านายได้แต่อมยิ้มกับบรรยากาศครอบครัวที่กลับมาสดชื่นอีกครั้ง รยออุครีบหุบยิ้มลงเมื่อคุณท่านเอ่ยถามหาลูกชายอีกคน

                 “ทงเฮไปไหนเสียล่ะรยออุค”

                 “คุณชายออกไปกับคิบอมน่ะครับ เห็นว่าจะไปธุระแต่ขี้เกียจขับรถเอง คุณลุงคนขับประจำก็ลาพักร้อนอยู่ ผมเห็นคิบอมว่างเลยให้พาคุณชายไปแทนน่ะครับ”

                 “อ้อ .. อย่างนั้นหรอกเหรอ แปลกดีนะ สองคนนี้มันชอบกัดกันจะตายไป คิบอมมันทนได้ขนาดนี้เห็นทีฉันคงจะต้องเพิ่มเงินเดือนให้แล้วล่ะ” ใบหน้าของนักการเมืองชื่อดังมีอายุเอ่ยขึ้นพลางยิ้มออกมาอย่างพอใจ แววตาใจดีหันจากบอดี้การ์ดหนุ่มมาหาลูกชายคนเล็กที่นั่งเงียบอยู่ข้างกับคนน่ารักซึ่งดูจะเกร็งไม่น้อย คุณชายคยูฮยอนมองผู้เป็นพ่อที่ไม่พูดอะไรนอกจากยิ้มมาให้อย่างเดียว ขณะที่คนเป็นแม่จะนั่งหน้าเคร่งจ้องคนรักของเขาทั้งที่ความจริงแล้วในใจก็ชอบพอซองมินอยู่ไม่น้อย

                 “ทิ้งร้านมาแบบนี้ ไม่ห่วงเหรอซองมิน” คุณท่านผู้หญิงเอ่ยถาม ทำเอาคนตอบรู้สึกตื่นๆแทบจะในทันที ซองมินกลัวเหลือเกินว่าตัวเองจะทำอะไรออกไปไม่ดีพออย่างที่ควร

                 “อ่ะ เอ่อ ครับ ก็ไม่ห่วงเท่าไหร่เพราะเดี๋ยวผมก็กลับไปแล้ว”

                 “งั้นเหรอ คิดว่าจะค้างที่นี่ต่ออีกสักพักเสียอีก” ใบหน้าสวยสง่าเอ่ยเรียบๆทั้งที่ความจริงก็เสียดายอยู่ไม่น้อยที่ว่าที่ลูกสะใภ้ใกล้จะกลับเสียแล้ว หล่อนนึกถึงตอนที่ซองมินโผล่เข้ามาที่บ้านหลังนี้เพื่อตามหาคยูฮยอน ครั้งนั้นก็พอจะเดาสถานการณ์ได้จึงต้องเล่นบทโหดร้ายไปตามลูกชาย และก็คิดไว้ไม่ผิดเลยว่าคยูฮยอนจริงจังและเลือกคนไม่ผิด

                 “ไม่ได้หรอกครับแม่ ภรรยาผมคนนี้เค้ามีความรับผิดชอบเต็มเปี่ยม” จู่ๆเสียงทุ้มของชายหนุ่มก็เอ่ยขัดจังหวะขึ้นมาเล่นเอาคนถูกพูดถึงต้องหันไปทำหน้าตำหนิเข้าให้ ก็ซองมินไม่ชินเสียทีน่ะสิกับคำว่าภรรยาที่คยูฮยอนชอบพูดบ่อยๆ ท่าทางคนทั้งสองที่เหมือนจะเถียงกันขึ้นมาก็ทำเอาคุณท่านทั้งสองของบ้านต้องยิ้มให้กัน

                 คิมรยออุครู้สึกว่านี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของเขาเลยที่เห็นคนอื่นมีความสุขแล้วตัวเองก็มีความสุขไปด้วย นี่แหละนะที่เค้าว่ากันว่า คนเราหากได้คู่กันแล้วก็คงไม่แคล้วกัน

     

                                  
                         

     

                 สนามหญ้ากว้างขวางบริเวณหน้าบ้านหลังโอ่อ่า จะมองกี่ทีซองมินก็คิดว่ามันใหญ่โตจนรู้สึกแปลกๆ ยังไม่นับกับบอดี้การ์ดและคนคุ้มกันในชุดดำหลายคนที่ยืนนิ่งอยู่ตามแต่ละจุดของบ้านหลังนี้ ร่างเล็กก้าวเท้าช้าๆไปตามผืนหญ้าที่เขาตั้งใจออกมาเดินเล่นหลังมื้ออาหารอันแสนอร่อย แต่ดูเหมือนว่าบรรยากาศพวกนี้มันช่างไม่เหมาะแก่การผ่อนคลายเอาเสียเลย จริงอยู่ที่ภายใต้แว่นดำของแต่ละคนที่ยืนนิ่งนั้นจะไม่ได้สนใจอะไรเขาเท่าไหร่ แต่ซองมินก็รู้ตัวดีว่าสายตาหลายคู่เลยล่ะที่กำลังมองเขาอยู่

                 ให้ตายสิ .. ชีวิตพวกนักการเมืองกับนักธุรกิจชื่อดังเค้าเป็นกันอย่างนี้ทุกคนรึเปล่านะ มันดูไม่ค่อยจะส่วนตัวเลยสักนิด ที่สำคัญเขาเองรู้สึกอึดอัดแทบแย่

     


                 ร่างเล็กมองซ้ายทีขวาทีก่อนจะหยุดถอนหายใจออกมาคนเดียว

                 “เหนื่อยใจอะไรอีกล่ะซองมิน”

                 “คยูฮยอน...” ซองมินหันมาตามเสียงที่ดังขึ้นด้านหลัง ใบหน้าหล่อเหลากระตุกยิ้มขึ้นมาเพราะแค่เห็นหน้าเขาก็รู้แล้วว่าซองมินกำลังคิดอะไร

                 “ไม่ต้องไปสนใจพวกนี้หรอก เค้าก็ทำหน้าที่ของเค้าไปไม่ได้มายุ่งกับนายหรอกน่ะ”

                 “ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรเสียหน่อย”

                 “แต่หน้าตานี่ไม่มีปิดบังเลยนะคุณเจ้าของร้านคนขยัน” คุณชายคยูฮยอนเอ่ยแซวให้คนฟังต้องหน้างอไปในทันที คนแกล้งรู้สึกสุขใจทุกทีที่ได้อยู่ใกล้กัน แต่เขามันก็พวกเอาใจไม่เป็นเสียด้วยสิ แสดงออกได้มากสุดก็แค่ปลอบใจ แต่ที่ถนัดนักก็คงไม่พ้นการทำให้คนตรงหน้าต้องไม่พอใจหรือร้องไห้แล้วสุดท้ายก็ต้องมาซบลงที่อกของเขาคนเดียว

     

                 ใครจะว่าไงก็ช่างเถอะนะ แค่โจวคยูฮยอนพอใจจะกอดอีซองมินเอาไว้ไม่ให้ใครหน้าไหนมายุ่งก็เพียงพอแล้ว

     

                 “นั่น!! ดาวตกแน่ะซองมิน” คยูฮยอนเงยขึ้นไปบนฟ้าทำเอาคนที่กำลังหน้างอต้องรีบหันไปมองตาม ซองมินหันไปก็ไม่พบอะไรก่อนจะนึกได้ว่าตอนกลางวันอย่างนี้ดาวคงไม่ตกลงมาให้เห็นหรอก และโดยไม่ทันจะรู้ตัวว่าโดนหลอก แก้มขาวๆก็ถูกริมฝีปากของคนเจ้าเล่ห์ฉวยเข้าขโมยหอมเสียเต็มฟอด คยูฮยอนรวบเอาร่างของซองมินมากอดไว้อย่างรวดเร็ว

                 “อ๊ะ คุณ...”

                 “หึ .. ช่วยไม่ได้นะซองมิน”

     

                 อ้อมแขนแกร่งโอบกอดร่างนุ่มๆเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ต่อให้ซองมินต้องหน้าบูดที่ถูกเอาเปรียบแต่คนฉวยโอกาสก็ไม่คิดจะสนใจ สายตาหลายคู่รอบข้างที่มองมานั้นเล่นเอาคนตัวเล็กหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันที ลูกน้องหลายคนจึงอดจะคิดไม่ได้ว่าต่อหน้าพวกเขายังทำขนาดนี้แล้วถ้าอยู่กันสองคนจะขนาดไหน

                 สายตาคมละจากคนในอ้อมกอดแล้วตวัดมองเหล่าลูกน้องที่พยายามเก็บอาการเอาไว้แทบไม่ทัน

                 “อยากถูกตัดเงินเดือนรึไง” เสียงเย็นเอ่ยสั้นๆทำให้ทุกคนต้องเบนหน้าหนีจากเรื่องของเจ้านาย คุณชายเจ้าเล่ห์ยกยิ้มอย่างพอใจก่อนจะหันมาสบตากับกระต่ายน้อยที่ไม่มีทางหนีเขาพ้น

                 “เห็นมั้ย แค่นี้ก็ไม่มีใครสนแล้ว”

                 “คุณมันบ้า” ซองมินพูดจบก็ถูกขโมยหอมแก้มอีกทีอย่างไม่ทันตั้งตัว

                 “ว่าไงนะ ไม่ได้ยิน”

                 “ผมว่าคุณมันบ้า” และก็อีกครั้งที่คยูฮยอนยื่นหน้าเข้าหอมที่แก้มอีกข้างของซองมิน ทำแบบนี้คนถูกเอาเปรียบเลยชักจะไม่ชอบใจไปใหญ่

                 “พูดอีกสิ ว่าฉันเยอะๆนะ จะได้หอมแก้มนายบ่อยๆ”

                 “โรคจิต .. อ๊ะ” ซองมินตั้งตัวไม่ทันอีกครั้งเพราะไม่นึกว่าคนตรงหน้าจะเอาจริง แต่คราวนี้ไม่ใช่ที่แก้มหรอกที่ถูกหอม เรียวปากอิ่มที่พร่ำพูดถูกปิดลงอย่างรวดเร็วด้วยจุมพิตอันแสนอ่อนโยน




                 คุณชายโจวคยูฮยอนที่เคยเอาแต่ใจยังไง จนตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่อย่างนั้น โดยเฉพาะกับผู้ชายธรรมดาๆอย่างอีซองมิน ที่ต่อให้เขาจะเอาแต่ใจแค่ไหน




     

                 .. ก็ยกหัวใจให้คนๆนี้ไปหมด ตั้งแต่วันแรกที่พบกันแล้ว








     --- The complete of Broken in silence .. --- 

     





                                                                                                       









    :: Talk
    (จากในรวมเล่มค่ะ) ==



    สวัสดีค่ะ^^

    ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณทุกคนที่ซื้อฟิคเล่มนี้ไปและทุกคนที่ติดตามทางอื่นด้วย กอนไม่ใช่แฟนคู่นี้โดยตรง เพราะงั้นถ้ามันไม่ถูกใจหรือมีอะไรผิดพลาดก็ขออภัยด้วยนะคะ (คยูมินเรื่องแรกหลังจากที่แอบหลงรักคู่นี้มาโดยไม่รู้ตัว หุหุ -..-)

    จากตอนแรกที่ตั้งใจให้เป็น short fic แต่มันเริ่มยาวเลยออกมาเป็นแบบนี้ เนื้อเรื่องเลยค่อนจะไปทางแนวนั้นและตัดไปตัดมาบ้างในตอนแรก แต่รู้สึกว่าตอนสุดท้ายก็ยังคงเป็นอย่างนั้น ..ฮา อ่านไปอ่านมาก็รู้สึกว่าทำไมเรื่องนี้มันอึดอัดจัง เลยคาดว่าถ้าใครชอบฟิคอึดอัดและออกจะละครไทยไปบ้างก็น่าจะโอเคอ่ะนะคะ เพราะเรื่องนี้มันก็แนวนี้จริงๆ ไม่มีรายละเอียดอะไรมากนอกจากประเด็นหลักๆที่มีอีซองมินเป็นตัวเดินเรื่อง คุณชายโจวคยูฮยอนเลยเป็นอะไรที่เราอาจไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นักในตอนแรก ส่วนคุณบอดี้การ์ดทั้งสองคนก็มีบทไม่น้อยเลยทีเดียว และอีกเรื่องที่มีบางโมเมนต์คุณบอดี้การ์ดคิบอมจะแย่งบทพระเอกไปบ้างนั่นก็ขอยอมรับเลยว่ากอนชอบบอมมินมาก่อน(และยังชอบอยู่) เลยมีหยอดบทบ้างอะไรบ้าง ฮ่าฮ่าฮ่า = =; และอย่างเคยที่ไม่อยากให้ คคบ.ต้องเสียใจเพราะอกหัก เลยยอมยกคุณชายใหญ่ให้ไปเป็นคู่กัดกันในตอนท้าย กร๊ากกกกก (ที่ต้องเป็นอย่างนั้นเพราะคิดเองว่าคนที่อ่านเรื่องนี้จะเป็นหนึ่งสองเก้าเกินกว่าครึ่ง ^^!)

    ตอนจบมันเลี่ยนมั้ยคะ สรุปว่าเรื่องนี้อีซองมินก็ถูกเอาเปรียบมาตลอดทั้งเรื่องนั่นแหละนะ T T ขนาดตอนท้ายที่คยูฮยอนยังไม่ตายก็ดันถูกคุณแม่กีดกันอีก ละครไทยจริงๆเรื่องนี้ ~ ..... ขอบคุณอีกครั้งนะคะ สำหรับทุกการติดตาม ((_ _))



                                                                                                                                                                   gorn_dbsk (Gornhai)
                                                                                                                                                                   twitter :: @ gorn_dbsk


























    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×