คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : Broken in silence .. // Ending Part //
ตอนจบแล้วค่ะ
เวลาลงบอร์ดตอนจบแล้วใจหายทุกที ไม่มีอะไรจะเอ่ยนอกจากที่ติดตามอ่านกันมากับฟิคที่หาคำว่าสนุกไม่เจอ
(แต่หลายคนอุตส่าห์หาเจอ กอนเลยซึ้งใจมาก TT) ถ้ามีอะไรที่ไม่ถูกใจ ขออภัยล่วงหน้าเลยนะคะ
----------------------------------------------------------------------------------
.. Ending Part ..
คุณเคยสัมผัสความรักใช่ไหม ..
เคยมีคนบอกว่ามันมีหลายรูปแบบนะ จับต้องได้ สัมผัสได้ รู้สึกได้
“สวัสดีครับ วันนี้มีอะไรให้รับใช้ครับ”
เสียงของคุณเจ้าของร้านเอ่ยรับลูกค้าด้วยใบหน้ายิ้มแย้มในเช้าอันสดใส ร่างของอีซองมินยังคงวุ่นวายกับงานที่ร้านดอกไม้เล็กๆแห่งนี้อยู่เพียงคนเดียว อากาศหนาวเหน็บของฤดูก่อนผ่านพ้นไปได้ไม่นาน แต่สำหรับเขา แต่ละวันแต่ละคืนทำไมมันช่างยาวนานเหลือเกิน
“ครับ ครับ ได้ครับ .. เดี๋ยวยังไงผมจะเร่งให้ทันวันนั้นเลย” คุณเจ้าของร้านคนขยันให้คำมั่นลูกค้าผ่านทางโทรศัพท์ ลูกค้ารายย่อยที่มีความหมายกับร้านเล็กๆของเขา ซองมินนึกถึงคำของคิบอมเรื่องจ้างคนมาทำงานด้วย ถึงแม้ว่าตอนนั้นอาจ
จะเป็นประโยคที่แสร้งพูดเพื่อหวังผลก็เถอะนะ แต่เขาก็คิดว่ามันเป็นความคิดที่ไม่เลวเลย แต่พอจะลองทำอย่างนั้นเข้าหน่อยก็อดจะนึกถึงใครอีกคนไม่ได้ รยออุคคนที่เคยเป็นลูกน้องคนขยันของเขา หากจะหาอย่างนั้นได้อีกก็คงยาก
“เฮ้อ ..” นึกแล้วก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกับรอยยิ้มเมื่อได้นึกถึงหน้าของสองบอดี้การ์ดที่เขาไม่ได้เจอนานมาก เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับ
ผ่านมานานแค่ไหนแล้วนะ
ทุกอย่างกลับมาสงบอย่างเคย แต่มันก็ไม่เหมือนก่อนที่แม้จะเหงาแต่เขาก็ไม่จำเป็นต้องคิดเรื่องของใครให้ว้าวุ่นใจ หิมะอันหนาวเหน็บพาความเจ็บปวดผ่านพ้นไปแล้ว เหลือไว้เพียงความว้าเหว่อย่างเคย ร่างเล็กถอนหายใจกับตัวเองเหมือนคนบ้า ในยามที่ร้านไม่มีลูกค้าเขาก็นั่งเหม่ออยู่โดยที่ผ้ากันเปื้อนยังสวมไว้อย่างนั้น ซองมินหยิบเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดดูข้อความนัดในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าที่เขาเพิ่งได้รับมันมาเมื่อวานนี้
ร้านไอศกรีมร้านเดิมที่เคยมาด้วยกันบ่อยๆถูกใช่เป็นที่นัดพบและสนทนากันตรงโต๊ะเล็กมุมหนึ่งติดกับกระจก ไอศกรีมสีหวานหายไปทีละนิดจนพร่องไปทั้งถ้วยแก้ว สักพักเจ้าของมันก็สั่งมาใหม่ ต่างจากอีกคนที่แม้จะชอบมันไม่แพ้กันแต่ก็คงจะน้อยกว่านักเมื่อเทียบกับคนตรงหน้า ซองมินมองรยออุคที่คล้ายจะเหมือนลูกน้องคนเดิมของเขาเข้าไปทุกที
“หืม .. มองแบบนี้ผมอายนะคุณซองมิน” บอดี้การ์ดหนุ่มในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์นอกเวลางานเอ่ยขึ้น ซองมินจึงได้แต่ยิ้มน้อยๆไปให้
“นายน่ารักดีนะ ว่าแต่นัดฉันออกมาเนี่ยมีอะไรรึเปล่า”
“ก็เปล่าหรอกครับ แค่อยากมาเยี่ยมคุณเฉยๆ ไม่เจอกันนานสบายดีรึเปล่า”
“ก็ .. เหมือนเดิมนั่นแหละ สบายดี ไม่มีอะไรเปลี่ยนเท่าไหร่ ว่าแต่ถามอย่างนี้อยากมาทำงานกับฉันอีกรึไง” ซองมินรีบเปลี่ยนเรื่องเมื่อเริ่มรู้สึกว่าตัวเองฝืนยิ้มเอาไว้ คำถามทีเล่นทีจริงแบบนี้ทำให้รยออุคต้องยิ้มกว้าง
“แล้วคุณจะรับมั้ยล่ะ”
“แล้วนายจะมาได้มั้ยล่ะรยออุค” ซองมินสวนกลับไปทำเอามุขตื้นๆของคิม
“แหม คุณก็ล้อเล่นไป แต่ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากจะมานะ”
“ให้มันจริงเหอะ” ซองมินเบ้ปากนิดๆเหมือนไม่เชื่อพลางรู้สึกเอ็นดูคนตรง
“เหงามั้ยครับ”
“ก็ ไม่รู้สิ .. โตแล้วจะเหงาได้ไง” ซองมินว่าไปนั่นแต่คนฟังกลับมองออกว่าในใจกำลังฝืนไว้จะแย่
“ผมหมายถึง คุณคิดถึง เอ่อ คุณชายบ้างมั้ย” รยออุคพูดจบก็เพิ่งจะนึกได้ว่าทำไมต้องถามอะไรโง่ๆออกไปด้วย แต่มันก็ไม่ทันเสียแล้ว ความรู้สึกของซองมินไม่ได้มีไว้ให้ใครรักษานักหรอก เขายิ้มออกมาอย่างยอมรับในสิ่งที่เป็น
“คิดถึงสิ คิดถึงมากด้วย”
“.........”
“ไม่มีเค้าแล้วฉันก็ยังคิดถึงได้ใช่ไหม ฉันต้องทำอะไรอีกล่ะ ทำใจแล้วได้อะไร มันทำให้ฉันได้เค้ากลับคืนมารึเปล่า...” ซองมินพูดแล้วก็ยังยิ้มเอาไว้อย่างเดิม ยิ้มเศร้าๆที่รยออุคอยากบอกเหลือเกินว่าถ้ามันจะต้องเจ็บขนาดนั้นไม่จำเป็นต้องยิ้มก็ได้ เรื่องบางอย่างทำให้รยออุคต้องคิดตาม ทำไมกันนะทุกอย่างถึงได้จบลงอย่างนี้ อีกนานเท่าไหร่หรือไม่มีเลย รยออุคก็อยากรู้เหมือนกัน
ซองมินยืนมองรถคันสีดำสนิทแล่นออกไปจากบ้านของเขาหลังจากที่อีกฝ่ายมาส่งในตอนเย็น รยออุคมาเยี่ยมแค่ไม่นานแต่ซองมินก็รู้สึกว่าตัวเองยังยิ้มได้และยังมีคนที่คิดถึงเขาอยู่ คนพวกนี้ทำให้เขาต้องนึกขอบคุณจากใจจริงทุกทีเลยสิ
“ขอบใจนะ”
เวลาล่วงเข้าสู่เดือนที่สองแล้วนับตั้งแต่เหตุการณ์เลวร้ายได้ผ่านพ้นไป ร้านดอกไม้เล็กๆแห่งนี้ยังเปิดให้บริการโดยเจ้าของมันคนเดียวเช่นเคย
ชีวิตตัวคนเดียวดำเนินไปอย่างเก่าไม่มีอะไรแปรเปลี่ยน แม้จะภาวนาให้กลับมาเป็นตัวเองอย่างแต่ก่อน แต่ซองมินก็ไม่เคยคิดจะลืมเรื่องราวของใครสักคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเขา ความคิดถึงส่งไปให้ใครคนนั้นแทบทุกวันผ่านทางความ
รู้สึกที่มี ซองมินนึกถึงเรื่องเก่าๆระหว่างเขากับคยูฮยอนและห้วงความคิดมันก็มักจบลงด้วยภาพของอีกฝ่ายที่นอนแน่นิ่งไปกับกองเลือดในอ้อมกอดของเขา
.. ชีวิตของคนทุกคนมีค่าก็จริง แต่ทำไมชีวิตของคุณชายโจวคยูฮยอนถึงได้มีค่าแค่แลกกับชีวิตของคนอย่างเขา ..
เสียงใบไม้พลิ้วไหวนอกหน้าต่างแทรกผ่านความเงียบงันเข้ามาในร้านที่ไร้ซึ่งลูกค้า ร่างของชายหนุ่มในชุดสีครีมที่ทับด้วยผ้ากันเปื้อนอีกทีเงยขึ้นจากช่อลิลลี่ขนาดใหญ่ที่เขาตั้งใจอยู่กับมันเป็นชั่วโมง มือบางยกขึ้นปาดเม็ดเหงื่อที่ผุดพรายออกมาบนหน้าผาก ความเหนื่อยหายไปแล้วแทนที่ด้วยรอยยิ้มกับผลงานของตัวเอง
“เสร็จซะที ...” ซองมินหยุดมองมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มจัดการออร์เดอร์ของลูกค้ารายต่อไป ดวงตากลมของคนขยันสะดุดลงที่กุหลาบดอกหนึ่งซึ่งวางอยู่ข้างกาย หนามของมันชวนให้นึกถึงเรื่องเดิมๆที่ไม่เคยจะลืมเลือน สองครั้งแล้วที่เขาซุ่มซ่ามแล้วเสียทีให้กับหนามกุหลาบแสนสวย แต่ก็ทั้งสองครั้งอีกเช่นกันที่ใครบางคนเข้ามาทำให้ลืมความเจ็บไปจนหมด ใครคนนั้นมักทำให้ใจของเขาสั่นไหวจนเกินจะห้าม แม้แต่ตอนนี้ทุกครั้งที่ความคิดถึงเต็มอกซองมินก็ยังใจสั่นได้ไม่มีเปลี่ยน
ดวงตากลมโตเริ่มจะคลอไปด้วยน้ำตาเมื่อยามที่หวนนึกถึงผู้ชายที่ยอมตายแทนเขาได้ ซองมินยกมือข้างที่สวมแหวนวงนั้นขึ้นมากอดไว้แนบอก น้ำตาเม็ดโตร่วงหล่นลงมาอย่างคนไร้ซึ่งหนทาง
“ผมลืมคุณไม่ได้หรอกนะคยูฮยอน”
ดวงดาวนับพันส่องสว่างกลางหมูเมฆหมอกในค่ำคืนที่แสนเดียวดายอย่างทุกที ร่างเล็กนั่งเหม่อมองพวกมันอยู่ที่โต๊ะไม้ตัวเดิมราวกับเป็นของต่างหน้าของคนๆนั้น อากาศเย็นทำให้มือบางต้องกระชับชายเสื้อคลุมเข้าหากัน คยูฮยอนจะรับรู้ไหมนะว่าเขาคิดถึงแค่ไหน อยากย้อนเวลากลับไป ถ้าทำได้ซองมินอยากจะเชื่อคยูฮยอนตั้งแต่วันที่อีกฝ่ายมาขอโทษแล้ว แต่คงสายเกินไปเพราะเหตุการณ์ร้ายๆได้เกิดขึ้นเสียก่อน
“ถ้าคุณยังอยู่กับผม คุณจะยังเอาแต่ใจรึเปล่านะ” ใบหน้าหวานยิ้มเศร้าๆกับดวงดาวมากมายที่เป็นเพื่อนในยามนี้ ไม่มีเสียงตอบรับซองมินก็รู้ดี
แต่ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย บอกแล้วไงว่าความรักนี้จะยังอยู่กับผมตลอดไป
เช้าอันสดใสและบรรยากาศระหว่างทางที่ออกมาจากเมืองหลวงชวนให้คุณชายใหญ่ต้องชะเง้อมองออกไปนอกกระจกราวกับเด็กน้อยที่เพิ่งเคยออกมาเที่ยว คนขับรถจำเป็นที่ไม่เต็มใจรับหน้าที่นี้สักเท่าไหร่จึงนึกสนุกได้ทีเอ่ยแซว
“อยู่เมืองนอกเสียนาน เพิ่งเคยออกมาเที่ยวนอกกรุงรึไงครับคุณทงเฮ”
บอดี้การ์ดหนุ่มในสังกัดของน้องชายสุดที่รักทำให้คนฟังรีบตวัดใบหน้ามามองด้วยสายตาเบื่อหน่าย ทงเฮที่พยายามจะอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อยหลังจากที่กัดกันมาตลอดทางก็เริ่มจะกลับมาเป็นอย่างเก่าแล้วสิ เขารู้ว่าคิบอมไม่ได้ว่าอะไรเสียหายแต่ในความเป็นจริงแล้วคนๆนี้จะพูดอะไรก็คงไม่เข้าหูเขาอยู่ดี
“นายมีหน้าที่ขับรถใช่ไหม ขับไปเร็วๆแล้วหุบปากเสียๆของนายไปซะ”
“โอ้โห .. ปากใครแน่ที่เสีย”
“คิบอม ..” ทงเฮเกือบจะตะโกนขึ้นมาแล้วแต่พอนึกได้ว่าไม่ควรก็เงียบเอา
“นี่คิบอม คนที่ชื่อซองมินเค้าน่ารักมากใช่มั้ย” สักพักทงเฮก็หันมาถาม
“ก็ไม่หรอกมั้ง แค่ผู้ชายธรรมดาๆ ธรรมดามากเลยล่ะ”
“เพราะธรรมดาสินะ” ทงเฮบอกแค่นั้นก่อนจะใช้ความคิดจินตนาการไปต่างๆนานาเกี่ยวกับคนที่เขากำลังจะไปเห็นหน้า แต่ก็ไม่รู้จะคิดไปทำไมในเมื่ออีกไม่ถึงชั่วโมงก็จะได้เจออยู่แล้ว ตอนนี้เอาเวลาที่เหลือแก้แค้นคนข้างๆคืนดีกว่า
“ว่าแต่ว่า เห็นรยออุคบอกว่านายอกหักเหรอคิบอม” เอาแล้วไง คิมคิบอม
“ฮ้า .. โทษทีๆ ไม่ได้ตั้งใจแกล้งหรอกนะ ก็แค่ถามดู คุณซองมินของนายที่ทำให้ทั้งเจ้านายทั้งลูกน้องหลงรักได้เนี่ย จะธรรมดาจริงอย่างที่บอกมั้ยนะ หึหึหึ”
“นี่คุณทงเฮครับ จะนั่งยิ้มหรือทำหน้าเศร้าก็เลือกเอาสักอย่างเถอะครับ”
“หมายความว่าไงคิบอม”
“ก็อย่างที่พูดไงครับ กลัวว่าคุณจะสับสนกับอารมณ์แล้วเครียดเองเปล่าๆ” คิบอมกำลังหาว่าทงเฮโรคจิต ถึงไม่พูดตรงๆแต่แบบนี้แหละที่ทำให้เขาเจ็บใจที่สุด ทงเฮกัดฟันข่มอารมณ์อยากด่าไอ้บอดี้การ์ดคนนี้เอาไว้ ทำไมถึงได้เกิดมากวนประสาทกันแบบนี้นะ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ
“นั่นไง .. เอาอีกแล้ว อย่าทำหน้าโกรธสิครับ เดี๋ยวไม่น่ารักนะ”
“ฉันไม่ใช่เด็ก หุบปากแล้วรีบขับไป เห็นมั้ยว่ารยออุคทิ้งห่างไปแล้วน่ะ”
“รีบเหรอครับ งั้นก็ได้ ผมจะทำให้คุณไม่ต้องเสียเวลาแม้สักนาทีเลยล่ะ” ว่าแล้วร่างสูงก็จงใจเหยียบคันเร่งเสียจนมิด รถทั้งคันตวัดแซงคันข้างหน้าก่อนจะพุ่งไปตามเลนอย่างรวดเร็ว คุณชายใหญ่ที่ไม่ต่างกับคุณหนูเอาแต่ใจจึงร้องออกมาแทบไม่ทัน ทงเฮกำเข็มขัดนิรภัยไว้แน่นขณะที่คนข้างๆจะยกยิ้มพอใจและไม่ลดแรงลงเลยแม้แต่นิด
“ไอ้บ้าเอ๊ย คอยดูนะฉันจะให้พ่อไล่นายออก!!”
เช้านี้ทำไมมันถึงได้เงียบนักซองมินก็ไม่อาจรู้ได้ ดอกไม้ในร้านส่งกลิ่นหอมอบอวลล้อมรอบกายของเขาไปหมด ซองมินจึงตัดสินใจผ่อนคลายตัวเองโดยการหยิบเอาหนังสือพ็อคเก็ตบุคเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่าน แต่เปิดไปได้เพียงไม่กี่หน้าเสียงรถจากด้านนอกก็บอกให้รู้ว่าเขากำลังมีลูกค้า ร่างเล็กวางหนังสือลงที่โต๊ะแล้วลุกขึ้นเตรียมต้อนรับตามสัญชาตญาณเจ้าของร้าน
ซองมินมองออกไปด้านนอกแล้วก็ต้องหยุดยืนขมวดคิ้วด้วยความสงสัย นั่นมันคิมคิบอมที่เขาไม่ได้เจอเสียนาน แล้วนั่นใครอีกคนที่มาด้วยกัน ความสงสัยต้องหยุดเอาไว้เมื่อสองคนที่ว่าก้าวเข้ามาในร้านของเขาแล้ว
“สวัสดีครับคุณซองมิน” คิบอมเอ่ยทักทายขณะที่เดินนำมาก่อน ร่างสูงผายมือมาที่คนด้านหลังขณะที่ซองมินยังมีท่าทีเก้อๆอยู่
“นี่คุณทงเฮ คุณชายใหญ่ ลูกชายคนโตของคุณท่าน และเป็นพี่ชายของคุณคยูฮยอน” คิบอมแนะนำเสียหมด และคนที่ถูกแนะนำก็ทำให้เขาลอบถอยหายใจออกมาเบาๆกับท่าทีไว้ท่าตามเคย
“สวัสดีครับ ผมอีซองมิน ยินดีที่ได้รู้จัก”
“อืม .. นายคืออีซองมินสินะ หน้าตาไม่เลวนี่” ทงเฮเอ่ยออกไปตามอย่างที่ใจคิด ร่างบางมองคนตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วยกยิ้มมุมปากอย่างพอใจ ไม่นึกเลยว่าผู้ชายคนนี้จะหน้าหวานและดูซื่อๆยิ่งกว่าที่คิดเอาไว้เสียอีก แม้ว่าทงเฮจะสน
ใจใคร่รู้มากกว่านี้แต่เขาก็ทำได้แค่จับตามองโดยไม่ต้องเอ่ยถามอะไรออกไป คุณ
“คุณสบายดีเหรอซองมิน” คิบอมถามอย่างห่วงใย ไม่ได้เจอกันนานเขาก็อดจะคิดถึงไม่ได้
“อ่ะ อื้ม .. ก็ตามสภาพล่ะนะ”
“ดีแล้วล่ะครับ”
“ว่าแต่ว่า นายกับ เอ่อ คุณทงเฮ มีธุระอะไรเหรอ ทำไมถึงได้โผล่มาที่นี่ไม่บอกอะไรเลย หรือว่ามาเที่ยวแล้วแวะมาเยี่ยมกันเฉยๆ” นั่นไงล่ะ คิบอมคิดในใจว่านิสัยชอบเดาออกมาตรงๆแบบนี้ของซองมินมันยังไม่เปลี่ยนไปเลย ใบหน้านิ่งเฉยหลุดยิ้มออกมาจนคนมองเริ่มจะวิตกว่าตัวเองทำอะไรน่าอายลงไปรึเปล่า
“หัวเราะอะไรน่ะ”
“เปล่าครับ แค่คิดว่าคุณนี่ชอบคิดเองตลอดเลยนะ”
“ผิดรึไง ฉันก็แค่...” ซองมินพูดไม่ทันจบเสียงกระแอมไอจากใครอีกคนที่คิดว่าตัวเองอาจจะเป็นอากาศธาตุไปแล้วก็ดังขึ้นขัดจังหวะ ทงเฮนั่งกอดอกมองคนทั้งสองอย่างหงุดหงิดนิดๆ
“นี่คุณอีซองมิน ขอน้ำให้แขกหน่อยได้มั้ย รู้สึกจะคอแห้งแล้วด้วย” ทงเฮบอกตรงๆอีกครั้งและก็ทำให้คุณเจ้าของร้านต้องรีบกุลีกุจอกลับเข้าไปในครัวเพื่อจะเอาน้ำออกมาให้แขก ในระหว่างที่รอน้ำอยู่นั้นคุณบอดี้การ์ดที่พ่วงตำแหน่งคนขับรถให้กับคุณชายที่เอาแต่ใจคนนี้ก็ตรงเข้ามานั่งลงข้างๆในทันที
“นี่คุณชายครับ กรุณาอย่าออกคำสั่งที่นี่บ่อยนักเลย ไม่มีคนรับใช้อยู่ให้คุณจิกใช้ตามใจนักหรอกนะ” ว่าแล้วคนฟังก็หันกลับมาสวนกลับทันควันอย่างไม่พอใจ
“ทำไม พูดแค่นี้นายจะลำบากอะไรนักหนากันฮะคิบอม กลัวคุณซองมินของนายเค้าเหนื่อยรึไง”
“อย่ามามั่วนะคุณ”
“ทำไม กลัวฉันรู้เหรอว่านายเก็บความรู้สึกอยู่”
“นี่คุณชาย...”
“อะไรล่ะนายคนขับรถ” ทงเฮยื่นเชิดหน้าให้อย่างไม่ยอมแพ้ และก่อนที่เขาจะทำให้คิบอมหมดความอดทน คนที่หายไปเอาน้ำจากในครัวก็เดินเข้ามาพอดีจึงทำให้บรรยากาศที่เริ่มจะคุขึ้นมาคลายลงในทันที
ทั้งสามคนสนทนากันในลักษณะที่ค่อนข้างจะแปลกไปหน่อย คิบอมนั่งเงียบไม่พูดอะไรนอกจากดูคนทั้งสอง ซองมินเองก็ได้แต่ตอบคำถามของคุณชาย
“นี่คุณชาย ให้คุณซองมินเค้าหายใจบ้างเหอะ ถามอยู่นั่นแหละ ไม่คิดว่าเค้าต้องทำงานทำการบ้างเหรอ”
“อะไรกัน นายว่างอยู่ใช่ไหมซองมิน” ทงเฮหันมาขอคำตอบจากอีกคนที่เอาแต่พยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ ซองมินยิ้มอย่างเดียวขณะที่ตอนนี้เขาต่างหากที่เป็นฝ่ายต้องมองอีกสองคนเถียงกันอย่างไม่รู้จักหยุด
เสียงรถคันต่อมาพาให้เขาต้องลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ไม่จำเป็นต้องเปิดประตูให้ ใครอีกคนก็เปิดมันเข้ามาเสียก่อน
“รยออุค” ซองมินหยุดยืนด้วยอาการแปลกใจที่เห็นคนตรงหน้า
“หวัดดีครับคุณซองมิน” ใบหน้าของคนมาใหม่ส่งยิ้มกว้างมาให้ก่อนจะหันไปหาอีกสองคนทีนั่งอยู่ข้างกันที่โซฟามุมหนึ่งของร้าน ซองมินมองตามอย่างไม่ค่อยจะเข้าใจนักว่าทำไมคนพวกนี้ถึงโผล่มาเยี่ยมเขาพร้อมกัน รยออุคตอบความสงสัยของซองมินก่อนจะสบตากับใครอีกคนที่เขาเอ่ยถึงไปด้วย
“พวกเรามาด้วยกันน่ะครับ แต่ดูท่าว่าคุณบอดี้การ์ดคนเก่งบางคนคงจะใจร้อนเลยต้องรีบเหยียบแซงหน้าผมมาถึงที่นี่ก่อน สงสัยจะคิดถึงเจ้าของร้านนี้จนแทบทนไม่ไหวน่ะครับ” พูดจบก็ยิ้มเสียตาหยีราวกับเรื่องที่พูดออกมานั้นมันปกติธรรมดา ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วมันเหมือนกับทิ้งระเบิดไว้ให้คนอื่น คิบอมกัดฟันปั้นหน้าให้นิ่งเข้าไว้แม้ในใจอยากจะฆ่าไอ้เพื่อนคนนี้เต็มทีก็เถอะนะ
คุณเจ้าของร้านที่ถูกพาดพิงไปด้วยก็เลยทำหน้าไม่ถูกเข้าไปใหญ่ ทงเฮปรายตามองคนข้างกายที่หน้าไม่เคยจะแดงแต่ทำไมเขาจะดูไม่ออก เห็นแล้วเลยอดจะหมั่นไส้ไม่ได้ บรรยากาศแปลกๆของ
“ผมออกมาแต่เช้า ยังไม่ได้กินอะไรเลย คุณซองมินพอจะมีอะไรในครัวบ้างรึเปล่าครับ” จู่ๆรยออุคก็ถามขึ้น ชายหนุ่มยกมือลูบที่ท้องตัวเองประกอบไปด้วยท่ามกลางสายตาของเพื่อนรักร่วมอาชีพที่เหล่มองมาด้วยแววตาเกินจะทน คิบอมไม่ค่อยเข้าใจหรอกว่ารยออุคเป็นอะไรนักหนาเวลาที่อยู่ต่อหน้าคุณซองมินถึงได้ขี้อ้อนนัก
“เอ่อ เมื่อเช้านี้ไม่ได้ทำอะไรทิ้งไว้เสียด้วยสิ งั้นเดี๋ยวฉัน ..” ก่อนที่ซองมิน
“ไม่ต้องหรอกน่ะซองมิน จะใจดีไปไหนกันฮะ มีอะไรก็ไปทำเถอะไป” คุณชายทงเฮที่เมื่อครู่ยังบอกว่าอยู่เลยว่าซองมินว่างอยู่ ทำไมตอนนี้ถึงได้เกิดไล่ให้ไปทำงานอีกล่ะ คุณชายใหญ่ว่าแล้วก็จ้องกลับไปที่รยออุคซึ่งตอนนี้ได้แต่ยิ้มแห้งๆมาให้ คิบอมเลยได้ทีหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ
“หัวเราะอะไรของนายน่ะคิบอม” ทงเฮตวัดเสียงใส่อีกทีคนข้างกายก็เลยต้องพลอยหุบปากไป ทำให้คนเสียเปรียบกลับขึ้นมาเสมอกันอีกยก
ซองมินมองคนทั้งสามโดยไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป ก็เขาทำตัวไม่ถูกนี่นาที่ต้องมายืนระหว่างคนพวกนี้ จากอาการเก้อไปบ้างเมื่อนึกได้ว่าถูกไล่ให้ไปทำงานของตัวเองจึงปลีกตัวออกมาอีกมุมของร้านปล่อยให้คนพวกนั้นนั่งเล่นกันไปให้พอใจ
ซองมินลอบมองใบหน้าหวานๆได้รูปของพี่ชายใครบางคน คุณชายทงเฮอย่างนั้นเหรอ คนบ้านนี้หน้าตาดีกันหมดเลยรึยังไงกันนะ เขาละสายตาจากถังดอกไม้ตรง
ถึงอย่างนั้นซอง
ซองมินสะบัดหน้าหนีกับภาพของคนที่เขาเฝ้ามองอยู่ เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ทงเฮจะหันมาพอดี ท่าทางแปลกๆของคุณเจ้าของร้านจึงทำให้คุณชายใหญ่ที่ตรงไปตรงมาต้องหมดความอดทน ร่างบางลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงมาหาอีกคนที่ก้มหน้าอยู่กับดอกไม้พวกนั้น
“นี่นาย เหนื่อยมั้ยทำอยู่คนเดียวเนี่ย” ทงเฮถาม
“เอ่อ ก็ ไม่เท่าไหร่หรอกครับ” ซองมินยิ้มให้ แต่นั่นยิ่งทำให้คนฟังหงุดหงิดไปใหญ่ ทงเฮถอนหายใจออกมาดังๆพลางส่ายหน้าอย่างไม่มีปิดบัง
“เฮ้อ ... ฉันล่ะเบื่อจริงๆกับพวกที่ชอบเก็บความรู้สึกของตัวเองเอาไว้แล้วบอกว่าไม่เป็นไรๆ ถามจริงเหอะนะ ไม่เหนื่อยแย่เหรอ” ทงเฮพูดออกมาตรงๆอีกครั้งทำเอาคนฟังต้องนิ่งไป รอยยิ้มของซองมินยังค้างอยู่บนใบหน้าระคนกับความสงสัยว่าทำไมอีกฝ่ายมาพูดกับเขาแบบนี้
“ไม่ต้องยิ้มแล้วก็ได้คุณอีซองมิน ฉันรู้หรอกน่ะว่ามันเป็นยังไง”
“คุณ พูดเรื่อง ...”
“อยากร้องไห้ก็ร้องออกมาเถอะ อยากทำอะไรก็ทำไปเลย อยากจะต่อว่าหรือปฏิเสธก็พูดออกไปเลย ยอมคนอื่นมากๆมันอาจทำให้เราเจ็บก็ได้นะ”
“..........” ซองมินยังคงนิ่งไปกับยิ้มเดิมๆของเขาที่ตอนนี้มันค่อยคลายลงอย่างไม่รู้ตัว ดวงตากลมคลอไปด้วยน้ำตาที่มันปริ่มออกมาโดยที่เขากลั้นเอาไว้ไม่อยู่ เรียวปากอิ่มเม้มเข้าหากันก่อนที่น้ำตาเม็ดโตจะร่วงรินลงมาตามพวงแก้ม หากจะพูดถึงเรื่องของใครคนนั้นเขาก็ยังทำใจไม่ได้อยู่ดี เอาอีกแล้วสินะ เอะอะก็ร้องไห้ทุกทีเลยอีซองมิน
“ดีแล้ว อยากร้องก็ร้องออกมา มันไม่ได้หมายความว่านายอ่อนแอเสมอไปหรอก การที่เราร้องไห้เพราะเจ็บปวดบางทีมันก็หมายถึงความกล้า หมายถึงว่าเรากล้าที่จะยอมรับมันไงล่ะ กล้าจะเผชิญและพร้อมจะเจ็บปวดโดยไม่มีเงื่อนไข” ทงเฮเอ่ยในสิ่งที่ซองมินไม่นึกว่าจะได้ยิน ร่างเล็กยืนนิ่งปล่อยให้ความเสียใจไหลผ่านน้ำตาออกมาเงียบๆ คิบอมและรยออุคทีjมองอยู่ก็ต้องพูดไม่ออกกันไปใหญ่ และก่อนที่คิบอมจะไปดึงให้คุณชายที่เอาแต่ใจออกมาจากอีกคน รยออุคที่อยู่ข้างเขาก็กลับเดินเข้าไปหาคนทั้งสองเสียก่อน และเป็นที่รู้กันระหว่างพวกเขาในสิ่งที่กำลังเอ่ยออกไป
“คุณซองมินครับ คุณน่าจะมีคนช่วยในร้านบ้างนะ”
“มะ หมายความว่าไงน่ะรยออุค” ซองมินปาดน้ำตาออกพลางเงยหน้าขึ้นถาม เรื่องที่ทงเฮพูดยังไม่จบดีรยออุคก็เพิ่มเรื่องใหม่ให้เขาต้องไม่เข้าใจขึ้นมาอีก
“ผมคิดว่ามีใครบางคนเค้าอยากมาสมัครงานที่นี่ คุณน่าจะใจดีรับเค้าไว้นะครับ .. ผมปล่อยให้เค้านั่งรอในรถนานแล้ว” ว่าแล้วร่างของบอดี้การ์ดหนุ่มทั้งสองก็ถอยออกมายืนข้างกับคุณชายใหญ่ที่ขยับออกมาก่อนแล้ว
ประตูกระจกของร้านส่งเสียงกระดิ่งเบาๆเข้ามาท่ามกลางความเงียบ ร่างสูงของคนที่คุ้นเคยก้าวเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าของเขา เสื้อเชิ้ตตัวนอกเปิดกระดุมเผยให้เห็นผ้าพันแผลที่พาดผ่านหน้าอกลงมาขณะที่ขาสองข้างแม้จะก้าวไม่คล่องอย่างเคยแต่ก็มุ่งเดินตรงมา ซองมินแทบจะหยุดหายใจไปเลยด้วยซ้ำกับภาพที่เห็น คนที่เขาเฝ้ารอคอยโผล่มาเอาตอนที่อุตส่าห์เข้าใจไปแล้วว่าอีกฝ่ายคงไม่คิดจะตามมาหากันถึงที่นี่ และก็อาจจะไม่ได้พบกันอีก สองสายตาสบกันราวกับเรื่องจริงที่เป็นอยู่นี้เป็นความฝันที่รอคอยมานาน ใบหน้าคมยิ้มให้กับคนที่นิ่งไปราวกับเป็นก้อนหิน
“ไม่ทราบว่าร้านของคุณสนใจจะรับผมเข้าทำงานด้วยรึเปล่า”
“..............” ซองมินไม่ตอบเหมือนกับว่าเขาไม่ได้ยินอะไร ก้อนหินที่มีหัวใจอย่างเขาสุดท้ายแล้วก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอีก อยากจะเข้าไปกอดและถามอย่างห่วงใยว่าแผลเป็นยังไง ยังเจ็บอยู่ไหม เขาจะช่วยอะไรได้บ้าง แต่พอตั้งสติได้ซองมินก็รีบจะเช็ดน้ำตาตัวเองออกอย่างรวดเร็วเมื่อนึกขึ้นได้ว่าควรจะทำอย่างไร
“คุณ หายแล้วเหรอ” เขาอยากจะหันหลังให้แต่ในใจก็เรียกร้องเอาไว้ สิ่งที่พูดไปเลยพบกันครึ่งทางเท่านั้น ท่าทีของอีซองมินที่ตรงข้ามกับความรู้สึกทำไมทุกคนจะไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่เรื่องของคนสองคนคงไม่มีใครอยากจะเข้าไปยุ่งด้วยนักหรอก
โจวคยูฮยอนยิ้มบางๆมาให้กับคำถามของคนที่เขารู้อยู่แก่ใจว่าห่วงกันแค่ไหน
“ยังหรอก ภายนอกไม่เท่าไหร่นายก็น่าจะรู้” ร่างสูงบอกกับซองมินที่
“อย่าเพิ่งไปนะ นายจะทิ้งฉันไปอีกเหรอซองมิน”
“..........”
“รู้ไหมว่าหัวใจของฉันที่มันหยุดเต้นไปแล้วกลับมาเหมือนเดิมได้อีกครั้งเพราะใคร เพราะนายคนเดียวเลยนะซองมินที่ทำให้ฉันยอมไม่ได้ ในเมื่อโชคชะตาไม่เข้าข้างเราเท่าไหร่ แล้วฉันจะเชื่อได้ยังไงว่าชาติหน้าจะได้พบกับนายอีก เพราะงั้นในชาตินี้ฉันก็จะไม่ยอมตายไปจากนายเด็ดขาด”
“..........”
“ตั้งแต่วันนั้นนายอยู่เฝ้าฉันที่โรงพยาบาลทั้งวันทั้งคืนเลยสินะ แต่พอตื่นขึ้นมาแล้วทำไมฉันถึงไม่เห็นหน้านาย .. ตอนนี้ฉันรู้หมดแล้ว” คยูฮยอนบอก ทำให้ซองมินเงยหน้าขึ้นมองพลางขมวดคิ้วหากันทันที
“คุณหมายความว่าไง”
“แม่พูดอะไรกับนายที่โรงพยาบาลไว้ใช่มั้ย”
“คุณ คุณรู้ได้ไง....” ซองมินอึ้งไปที่คยูฮยอนหลุดปากออกมา
ตั้งแต่ตอนนั้นที่คยูฮยอนหยุดหายใจไปซองมินก็แทบขาดใจไปด้วย แต่แค่ไม่กี่นาทีเท่านั้นที่รยออุคกับคิบอมพร้อมทั้งตำรวจหลายคนมาเจอพวกเขาเข้าทัน
แต่แล้วเมื่อทุกอย่างกลับเปลี่ยนไปราวกับปาฏิหาริย์ คยูฮยอนที่หัวใจกลับ
แต่เรื่องของความรักมันยังไม่จบแค่นั้นเมื่ออุปสรรคตัวสุดท้ายเข้ามาทักทายอีซองมินเข้าจนได้ ก่อนวันที่คยูฮยอนจะฟื้นขึ้นมา คนเป็นแม่ที่เป็นถึงนายท่านของบ้านก็เรียกเขาไปพบพลางเอ่ยในสิ่งที่ทำให้หัวใจดวงน้อยต้องแตกสลายลงโดยพลัน ไม่ว่าจะฐานะและสภาพสังคมหรือแม้แต่เรื่องอื่นๆ อีซองมินคนนี้ก็ไม่มีอะไรที่คู่ควรกับคุณชายโจวคยูฮยอนเลยแม้แต่นิด
“สมัยนี้แล้วฉันเข้าใจนะพ่อหนุ่ม แต่ลองคิดดูดีๆสิ นี่มันความจริงนะ ไม่ใช่นิยาย”
ซองมินในตอนนั้นจึงกลายเป็นเหมือนคนไม่รู้ทิศทางอะไรอีก เขาต้องเลือกว่าจะยอมเข้าใจหรือว่าดื้อดึงต่อไป คำตอบไม่ได้มีเวลาให้คิดนานเท่าไหร่ ซองมินไม่ได้ตอบอะไรออกไปนอกจากตัดสินใจจากมาโดยไม่บอกอะไรใครสักคำ
“ก็ผม ผม .. ผมมันไม่ควรจะยุ่งกับคุณอย่างที่แม่ของคุณบอกเอาไว้จริงๆนั่นแหละ”
“แล้วไงล่ะ นายเคยเถียงแม่ฉันมาแล้วนี่ แค่นี้ทำไมจะต้องฟัง”
“ก็เค้าเป็นแม่คุณนะ คุณพูดแบบนี้คิดว่าถูกเหรอคยูฮยอน” จู่ๆซองมินที่เอาแต่หน้าเศร้าก็ต้องเป็นฝ่ายต่อว่าคยูฮยอนขึ้นมาเสียเอง คุณชายที่ถูกดุราวกับเด็กวัยรุ่นก็ได้แต่อมยิ้มขึ้นมาในทันที
.. โถ อีซองมินคนนี้จะเป็นคนดีไปถึงไหน นี่ถ้าแม่ของเขาได้ยินคงยิ่งรักตายเลยล่ะ
ซองมินอึดอัดในใจและรู้สึกแย่ลงไปมากกว่าเก่าเพราะไม่รู้จะทำอย่างไร ดวงตากลมโตที่คราบน้ำตายังเกาะอยู่บนหน้าตวัดมองคยูฮยอนที่ก้าวเข้ามาใกล้เขากว่าเดิม
“เราแต่งงานกันแล้วไม่ใช่เหรอ”
“.........”
“แล้วฉันผิดตรงไหนที่จะมาตามหาภรรยาของฉันคืน” เสียงทุ้มจงใจบอกผ่านแค่ในประโยคสั้นๆ คยูฮยอนรู้ดีว่าคนตรงหน้ารักเขาแค่ไหน ซองมินคิดถึงเขาเท่าไหร่ทำไมจะไม่รู้ แต่เขานี่สิ คิดถึงน้อยกว่าเสียเมื่อไหร่ล่ะ
“ฉันตายแทนได้ขนาดนั้นแล้ว จะทิ้งกันได้ลงรึไงอีซองมิน” คุณชายคนเดิมเอ่ยประโยคเอาแต่ใจออกมาแต่แววตากลับอ้อนวอนขอความรักออกมาอย่างไม่มีปิดบัง ซองมินหัวใจสั่นไหวพร้อมกับสบตาคมคู่นั้นด้วยแววตาไม่นิ่งเพราะความไม่แน่ใจ แต่หากจะลองนึกให้ดีเขาก็เกลียดตัวเองนัก เรื่องเล็กน้อยแค่นี้มันเทียบได้ที่ไหนกับคนตรงหน้าที่รักเขามากขนาดนี้ และเขาเองก็รักมากจนไม่อาจขาดผู้ชายคนนี้ได้เหมือนกัน
“ขอโทษแทนแม่ของฉันด้วยนะ จริงๆแล้วท่านก็แค่จงใจอยากให้เรา
“คุณ ว่ายังไงนะ แม่ของคุณ ...”
“ใช่แล้วล่ะ แม่เค้าแค่อยากแกล้งเราเท่านั้นเอง ท่านบอกว่ากว่าจะที่แม่จะได้เป็นสะใภ้ตระกูลนี้ก็เกือบหมดหวังเหมือนกัน กว่าจะได้แต่งงานกับพ่อก็เล่นเอาแม่ร้องไห้ไปหลายหนแล้ว เพราะงั้นนายที่ฉันเลือกก็ต้องผ่านความกดดันสุดท้ายนี้ไปให้ได้” คยูฮยอนอธิบายช้าๆเพราะกลัวว่าคนตรงหน้าจะคิ้วพันกันมากไปกว่าเก่า ซองมินคิดตามยังไงก็ไม่อยากจะเชื่อสักนิด
“กดดันงั้นเหรอ แล้วสรุปว่า..”
“ก็ไม่สรุปอะไรหรอก นายยอมทำเพื่อฉันขนาดนั้นก็แสดงแล้วว่านายรักฉันขนาดไหน”
“แล้วของแบบนี้มันวัดได้ด้วยเหรอว่าผมรักคุณรึเปล่า”
“ช่างมันเหอะน่ะซองมิน เรื่องของแม่ก็คือเรื่องของแม่ ส่วนเรื่องของเราก็คือเรื่องของเรา”
จากที่ควรจะโกรธหรือทำอะไรไม่ถูก อีซองมินก็ต้องเป็นฝ่ายยอมอีกครั้งดังเช่นทุกที ร่างสูงที่ยังคงไม่หายดีจากบาดแผลเอื้อมแขนมาคว้าร่างของคนที่รักเข้าไปกอดเอาไว้ คยูฮยอนซุกหน้าลงที่เรือนผมนุ่ม แม้จะแค่สองเดือนแต่เขากลับรู้สึกว่ามันนานเท่าไหร่แล้วนะที่ไม่ได้กอดร่างนุ่มๆนี้ ซองมินที่ยังทำตัวไม่ถูกกับเรื่องที่ได้ยินมา เมื่อความอบอุ่นจากร่างของคยูฮยอนแผ่ซ่านลึกเข้าไปในหัวใจของเขาจึงเริ่มจะเข้าใจกับเรื่องทุกอย่าง น้ำตาที่ไหลออกมาในครั้งนี้จึงต่างจากทุกทีเพราะมันไม่ได้มาจากความเสียใจ แต่มาจากความคิดถึงและความรักของหมดของอีซองมินที่มีให้โจวคยูฮยอน
ใจดวงน้อยกลับมาเต้นแรงอีกครั้งกับความเป็นจริงในตอนนี้ที่ราวกับความ
สองร่างโอบกอดกันเอาไว้โดยไม่คิดจะเอ่ยอะไรออกมาในตอนนี้
ส่วนสายตาของคนทั้งสามที่มองมาก็เป็นอันต้องชะงักเมื่อคุณชายใหญ่หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นมา
“เฮ้อ .. ให้มันได้อย่างงี้สิ พี่กลับก่อนนะคยูฮยอน กล่องยารยออุควางเอาไว้ให้ที่เบาะหลังนะ” เสียงของทงเฮโพล่งออกมาประโยคเดียวก่อนจะเอื้อมแขนไปกระตุกคนข้างกายให้เดินตามเขาออกมา คิบอมยิ้มให้กับความรักของคนทั้งสองก่อนจะเดินตามทงเฮออกไป ตามด้วยรยออุคที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่ยอมหุบมากกว่าเขาเสียอีก
“ผมวางกุญแจรถไว้ที่โต๊ะนะครับคุณชาย .. เจอกันนะครับคุณซองมิน”
ซองมินดันอกแกร่งออกเบาๆเพื่อให้พ้นจากอ้อมกอด เขาได้ยินเสียงรยออุคจึงอยากจะหันไปขอบใจและเดินออกไปส่ง แต่มีหรือที่อีกคนจะยอมปล่อยไปง่ายๆ คยูฮยอนแกล้งร้องเสียงหลงเมื่อมือบางวางลงที่แผลของเขา
“โอ๊ย .. ซองมิน ฉันเจ็บแผลนะ”
“จริงด้วย คุณยังไม่หายเลย ขอโทษนะผมไม่ได้ตั้งใจ” ใบหน้าหวานตกอกตกใจที่ทำให้คนที่ยืนอยู่ต้องเจ็บตัว ซองมินคว้าที่แขนคยูฮยอนเอาไว้พลางก้มดูว่าเป็นอะไรมากหรือเปล่า ขณะที่คนตัวเล็กกำลังเป็นห่วงเป็นใยอยู่นั้นก็หารู้ไม่ว่าใบ
หน้าคมลอบยิ้มออกมาขณะที่มองตามรถคันหนึ่งที่แล่นออกไปจากหน้าร้าน ทีนี้เขาก็จะได้อยู่กันสองคนเสียที
“คุณเป็นอะไรมากมั้ย รู้รึเปล่าว่าที่ผ่านมาผมเป็นห่วงคุณแค่ไหน”
“รู้สิ”
“คุณน่ะ ตายยากจริงๆเลยนะ ไม่เข้าใจเลยว่าเจอมาขนาดนี้แล้วยังไม่ตายเนี่ย ยังเป็นคนอยู่รึเปล่า” ซองมินพูดออกมาจากใจจริงแต่คนฟังดันทำหน้าแปลกใจ
“พูดแบบนี้รยออุคมันสอนมาเหรอ”
“เปล่า ก็จริงนี่นา คุณน่ะเลือดออกขนาดนั้น แถมยัง....” เขาตั้งใจจะพูดให้จบแต่พอนึกถึงเรื่องที่ผ่านมาก็พาให้ใจมันวูบขึ้นมาเสียดื้อๆ คยูฮยอนก็ไม่อยากจะให้คนที่เขารักต้องใจหายกับเรื่องนั้นอีกจึงดึงร่างตรงหน้าเข้ามาสวมกอดอีกครั้ง แต่กลับถูกสองมือยกขึ้นกันตัวเองไว้เสียก่อน
“เดี๋ยว เมื่อกี้ที่คุณบอกน่ะว่าเรื่องของเราก็เป็นเรื่องของเรา แล้วทำไมคุณถึงปล่อยให้ผมเข้าใจผิดอยู่คนเดียวแบบนี้.........”
“ก็เพราะฉันคิดแล้วว่าไม่อยากให้นายต้องมาลำบากดูแล เกิดฉันพิการเดินไม่ได้ขึ้นมาแล้วนายจะทำยังไง”
“ก็ไม่เห็นต้องทำไงเลย คุณจะเดินได้หรือเดินไม่ได้ จะอยู่หรือจะตาย ยังไงผมก็เปลี่ยนใจไม่รักไม่ได้อยู่ดี” ซองมินเอ่ยออกมาอย่างที่คิดให้คนฟังต้องหัวใจพองโตคับอก คยูฮยอนชื่นใจจนเขาแทบจะกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่อยู่
“ขอบใจนะซองมิน แต่ถึงฉันจะไม่อยากให้นายลำบาก แต่ก็ทนกับการไม่ได้เห็นหน้านายไม่ไหวแล้วเหมือนกัน เลยต้องพาตัวเองมาถึงที่เผื่อว่านายอยากจะดูแล .. เหมือนแต่ก่อน”
“โธ่เอ๊ย .. เพิ่งนึกได้เหรอว่าควรจะทำ คราวหน้าคราวหลังคิดอะไรหรือตัดสินใจอะไรจะบอกผมสักนิดก็ดีนะ อย่างน้อยผมก็จะได้รู้อะไรบ้าง ไม่ใช่ไม่รู้อะไรอย่างทุกครั้งที่คุณทำกับผม”
“ฉันขอโทษ” สั้นๆคำเดียวกับแววตาจริงจังที่จ้องลึกลงมานั้นทำเอาหัวใจของซองมินอ่อนยวบไปดังเช่นทุกที อย่างนี้สินะ เพราะอย่างนี้ไงล่ะ เขาถึงไม่เคยชนะผู้ชายคนนี้ได้เลย
มือบางสองข้างร่วงหล่นลงข้างกายก่อนจะปล่อยตัวเองถูกคนตรงหน้ารวบกอดเอาไว้ ใบหน้าของเขาทั้งสองอิงแนบกันด้วยความห่วงหา คยูฮยอนสัญญากับตัวเองว่าต่อไปนี้เขาจะรู้จักคำว่าเชื่อและไว้ใจ เขาจะไม่ทำให้ซองมินเป็นคนรักที่ไม่ได้รับการบอกกล่าวเรื่องสำคัญเพราะเขาที่เห็นแก่ตัวทิ้งให้ซองมินต้องเจ็บเพราะเขาโดยที่ไม่รู้อะไรเลย
.. วันวานที่ผ่านเลย แค่ช่วงเวลาสั้นๆที่ทำให้คนสองคนก่อเกิดความรักขึ้นในใจ แต่ช่วงสั้นๆนั้นมันก็คือจุดเริ่มต้นของความรักที่แสนยาวนาน ..
ค่ำคืนนี้แตกต่างไปจากทุกคืนที่ผ่านมา ตรงโต๊ะไม้ตัวเดิมไม่ได้มีเพียงแค่เขาเท่านั้นที่นั่งอยู่อย่างเดียวดาย ซองมินเอนกายซบลงที่ไหล่ของคยูฮยอนยามที่มองไปยังดวงดาวนับพันบนท้องฟ้า ความเงียบที่เกิดขึ้นทำให้ความเหนื่อยล้าในจิตใจได้พักเสียบ้าง ความรู้สึกระหว่างกันส่งผ่านกันได้แม้ไม่ต้องเอ่ยอะไร คยูฮยอนลอบมองคนที่พิงเขาเอาไว้ก่อนจะเอื้อมมือขึ้นโอบร่างนุ่มๆนี้เอาไว้
“อย่าทำหน้าน่ารักมากได้มั้ย “ เสียงทุ้มกระซิบเข้าที่ใบหูของซองมินให้หน้าแดงเล่นๆ คนฟังดันตัวเองออกมาพลางตวัดสาตามองอย่างไม่ชอบใจนัก
“คุณแกล้งผมเหรอ”
“ฮะฮะ แค่นี้แกล้งงั้นเหรอ ตรงไหนกัน”
“ก็คุณชอบทำให้ผมอาย”
“แล้วนายน่ารักทำไมล่ะ” ใช่ว่าซองมินจะคิดว่าตัวเองเป็นอย่างนั้นนักหรอกนะ แต่เขาก็เถียงไม่ออกเลยจริงๆ แค่มองดาวบนฟ้าเนี่ยมันจะต้องน่ารักอะไรตรงไหน
“ก็ฉันไม่ชอบให้นายน่ารักกับคนอื่นไง”
“คนอื่น .. คนอื่นที่ไหน ผมอยู่กับคุณแค่สองคนไม่ใช่เหรอ” ซองมินแย้ง
“ก็นั่นไงล่ะ พระจันทร์เอย ดวงดาวเอย เมฆเอย ถ้าพวกมันหลงรักนายขึ้นมาจะทำไงล่ะ ฉันไม่ต้องเป็นศัตรูกับทุกสิ่งบนโลกนี้เลยเหรอ” คยูฮยอนเอ่ยออกมาราวกับว่าสิ่งที่พูดมันสำคัญนัก เรื่องที่ดูจะไร้สาระหากแต่ซองมินที่ได้ยินในตอนนี้กลับรู้สึกว่ามันยิ่งกว่าการบอกรักซ้ำๆให้เขาฟังเสียอีก ใบหน้าหวานเริ่มจะอายแต่ก็ปกปิดมันเอาไว้ด้วยการต่อว่ากับคำพูดน้ำเน่าชวนอาเจียนแบบนี้
“หึ .. คุณคงอ่านนิยายมากไปนะถึงได้พูดอะไรแบบนี้ออกมาได้” คยูฮยอนได้ยินคนข้างกายแกล้งไม่สนใจก็ยิ่งอยากจะแหย่เข้าไปอีก ใบหน้าคมยื่นมาใกล้ๆพลางจ้องลึกลงไปในดวงตากลมที่พยายามจะหนีเขา
“นิยายน่ะไม่ได้อ่านหรอก แค่เจอกับตัวเลยพอจะเข้าใจ”
“.............” ซองมินอึ้งไปอีกครั้งอย่างคนหนีไม่ออก เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้ชอบทำให้เขาใจเต้นได้ทุกทีเลย จะหลบตาก็ไม่กล้าจะต่อว่าก็ทำไม่ลง สุดท้ายแล้วคนเสียเปรียบมันก็เขาเองชัดๆ ร่างเล็กถอยหายใจออกมาก่อนจะผลักมือดันหน้าอกของอีกฝ่ายออกไปแรงๆ
“โอ๊ย ..” คยูฮยอนร้องออกมาเมื่อมือของซองมินทุบมาไม่เบานัก ครั้งก่อนเขาอาจจะแกล้งแต่ครั้งนี้มันเจ็บจริงๆนะ ถึงอย่างนั้นคนทำก็ดันเข้าใจว่านั่นก็แค่การแสดงละคร
“คิดว่าผมจะเชื่ออีกเหรอคนเจ้าเล่ห์” ซองมินพูดจบก็ลุกขึ้นยืนเพื่อจะกลับเข้าไปในบ้านโดยปล่อยให้คยูฮยอนก้มหน้าอยู่กับแผลตัวเอง แต่เมื่อเดินหนีมาได้ไม่เท่าไหร่ก็แปลกใจกับคนด้านหลังที่ดูจะเจ็บจนร้องเรียกเขาไม่ออกอีก ร่างสูงก้มหน้าอยู่กับแผลที่หน้าอกเพราะความเจ็บเล่นเอาซองมินชักจะอดห่วงขึ้นมาไม่ได้ คุณเจ้าของร้านดอกไม้ที่อุตส่าห์จะไม่ยอมหลงกลจึงลืมเรื่องนั้นแล้ววิ่งกลับไปหาอีกครั้ง
“คยูฮยอน คุณเจ็บจริงๆใช่มั้ย ผมขอโทษ” ซองมินว่าพลางนั่งลงข้างๆแล้วก้มดูแผลที่เผยออกมาจากขอบเสื้อที่เปิดอยู่ เลือดสีแดงซึมออกมาจากผ้าพันแผล
“เลือดออกด้วย เจ็บมากมั้ย”
“อืม เจ็บจริงๆซองมิน”
“งั้นอย่าเพิ่งลุกนะ คุณรออยู่นี่เดี๋ยวผมจะเข้าไปเอาผ้ามาเปลี่ยนให้ใหม่” ใบหน้าหวานจริงจังมากเสียจนคนมองพอใจกับท่าทีเป็นห่วงอย่างนั้น แต่พอซองมินจะลุกขึ้นก็กลับถูกคยูฮยอนรั้งให้นั่งลงมาบนตักของเขา
“อ๊ะนี่!! ทำอะไรของคุณน่ะ ถ้าแผลฉีกแล้วจะทำยังไง” คนเป็นห่วงต่อว่ากับการกระทำของคนไม่รู้สถานการณ์ ร่างเล็กที่นั่งอยู่บนตักของคยูฮยอนถูกเขารวบเอา
“ฉีกก็ฉีกไปสิ หยุดหายใจยังเคยมาแล้ว แผลแค่นี้เล็กน้อยจะตายไป”
“คุณแกล้งผมเหรอ”
“เลือดออกขนาดนี้เนี่ยนะแกล้ง”
“ก็เพราะเลือดออกไง ผมบอกจะทำแผลให้ใหม่ ทีนี้ปล่อยได้รึยัง”
“ไม่”
“นี่คุณ...”
“ช่างมันเถอะนะ ฉันไม่ตายง่ายๆหรอก” คยูฮยอนพูดถึงตรงนี้คนที่ได้ยินคำว่าตายก็เงียบไปในทันที ซองมินไม่ได้อ่อนไหวกับเรื่องแค่นี้แต่ครั้งก่อนหวนเข้ามาให้เขาต้องนึกถึง จะรู้บ้างไหมว่าเขาแทบขาดใจแค่ไหนกับเรื่องในวันนั้น คนที่ยังหายใจแต่ทำอะไรเพื่อยื้อชีวิตของอีกคนไว้ไม่ได้ แค่วินาทีเดียวก็อาจเสียไปตลอดกาล
“โธ่ .. อย่าทำหน้าแบบนั้นได้ไหม ฉันอยู่นี่แล้วไง” คยูฮยอนเริ่มจะไม่สนุกเมื่อซองมินนิ่งไป เขาไม่ได้ตั้งใจจะทำให้อีกฝ่ายคิดเรื่องนี้ขึ้นมาอีก อ้อมกอดอบอุ่นกระชับเอาร่างเล็กไว้แน่น ซองมินมองแววตาน่าสงสารอย่างนั้นเลยอมยิ้มออกมาบ้าง เสียงหัวเราะเบาๆทำเอาคนที่รู้สึกผิดเข้าใจแล้วว่าตัวเองกำลังโดนเอาคืน
“หึ .. หัวเราะไปเลยนะ เพราะอีกเดี๋ยวอาจจะไม่ได้หัวเราะแล้ว” ซองมินยิ้มค้างกับสิ่งที่ได้ยิน เขาไม่ทันจะได้เอ่ยอะไรออกมาก็ถูกมือหนาของคยูฮยอนโน้มให้
รสจูบอันดูดดื่มดึงรั้งให้สองร่างแนบชิด มือเล็กรั้งไหล่กว้างเอาไว้อย่างไม่คิดจะต่อต้าน ความหวานแผ่ซ่านไปทั่วทั้งตัวและหัวใจ
แค่ความผิดพลาดของผู้ชายคนหนึ่งที่กลัวจะเสียคนที่รักไป จึงต้องปกปิดทุกอย่างเพราะต้องการจะกลับมาแก้ไขในตอนสุดท้าย ทั้งที่รู้ว่าคนที่รักต้องเจ็บปวดแค่ไหนเขาก็ยังเลือกที่จะเห็นแก่ตัว แต่เรื่องราวร้ายๆที่เพียรพยายามป้องกันก็เกิดขึ้นจนได้ ถึงแม้ว่ามันจะผ่านไปแล้วและเขาก็ยอมแลกชีวิตกับคนที่รัก แต่ไม่ว่ายังไงคนผิดคนนี้ก็ต้องชดใช้ เพราะฉะนั้นความเงียบงันที่คอยทำร้ายหัวใจดวงน้อยก็คงไม่
--- Finish [ Broken in silence ..] ---
.. Epilogue ..
ห้องโถงกว้างของบ้านหลังใหญ่เงียบไปถนัดตาเมื่อคุณชายใหญ่ไม่ได้มา
อาหารอย่างดีถูกวางลงโดยสาวใช้ไม่กี่คนที่ทำหน้าที่ได้ดีไม่มีที่ติก่อนที่คนทั้งสี่จะเริ่มลงมือลิ้มรสมันในเช้าวันหยุดอันแสนสดใส คุณท่านทั้งสองจับจ้องลูกชายคนเล็กหลังจากที่กลับมาหายดีจากบาดแผลที่ได้รับ พร้อมกับร่างของใครอีกคนที่เพิ่มเข้ามานั่งข้างกันในเวลานี้ บอดี้การ์ดหนุ่มที่ยือยู่ข้างเจ้านายได้แต่อมยิ้มกับบรรยากาศครอบครัวที่กลับมาสดชื่นอีกครั้ง รยออุครีบหุบยิ้มลงเมื่อคุณท่านเอ่ยถามหาลูกชายอีกคน
“ทงเฮไปไหนเสียล่ะรยออุค”
“คุณชายออกไปกับคิบอมน่ะครับ เห็นว่าจะไปธุระแต่ขี้เกียจขับรถเอง คุณลุงคนขับประจำก็ลาพักร้อนอยู่ ผมเห็นคิบอมว่างเลยให้พาคุณชายไปแทนน่ะครับ”
“อ้อ .. อย่างนั้นหรอกเหรอ แปลกดีนะ สองคนนี้มันชอบกัดกันจะตายไป คิบอมมันทนได้ขนาดนี้เห็นทีฉันคงจะต้องเพิ่มเงินเดือนให้แล้วล่ะ” ใบหน้าของนักการ
“ทิ้งร้านมาแบบนี้ ไม่ห่วงเหรอซองมิน” คุณท่านผู้หญิงเอ่ยถาม ทำเอาคนตอบรู้สึกตื่นๆแทบจะในทันที ซองมินกลัวเหลือเกินว่าตัวเองจะทำอะไรออกไปไม่ดีพออย่างที่ควร
“อ่ะ เอ่อ ครับ ก็ไม่ห่วงเท่าไหร่เพราะเดี๋ยวผมก็กลับไปแล้ว”
“งั้นเหรอ คิดว่าจะค้างที่นี่ต่ออีกสักพักเสียอีก” ใบหน้าสวยสง่าเอ่ยเรียบๆทั้งที่ความจริงก็เสียดายอยู่ไม่น้อยที่ว่าที่ลูกสะใภ้ใกล้จะกลับเสียแล้ว หล่อนนึกถึงตอนที่ซองมินโผล่เข้ามาที่บ้านหลังนี้เพื่อตามหาคยูฮยอน ครั้งนั้นก็พอจะเดาสถานการณ์ได้จึงต้องเล่นบทโหดร้ายไปตามลูกชาย และก็คิดไว้ไม่ผิดเลยว่าคยูฮยอนจริงจังและเลือกคนไม่ผิด
“ไม่ได้หรอกครับแม่ ภรรยาผมคนนี้เค้ามีความรับผิดชอบเต็มเปี่ยม” จู่ๆเสียงทุ้มของชายหนุ่มก็เอ่ยขัดจังหวะขึ้นมาเล่นเอาคนถูกพูดถึงต้องหันไปทำหน้าตำหนิเข้าให้ ก็ซองมินไม่ชินเสียทีน่ะสิกับคำว่าภรรยาที่คยูฮยอนชอบพูดบ่อยๆ ท่าทางคนทั้งสองที่เหมือนจะเถียงกันขึ้นมาก็ทำเอาคุณท่านทั้งสองของบ้านต้องยิ้มให้กัน
คิมรยออุครู้สึกว่านี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของเขาเลยที่เห็นคนอื่นมีความสุขแล้วตัวเองก็มีความสุขไปด้วย นี่แหละนะที่เค้าว่ากันว่า คนเราหากได้คู่กันแล้วก็คงไม่แคล้วกัน
สนามหญ้ากว้างขวางบริเวณหน้าบ้านหลังโอ่อ่า จะมองกี่ทีซองมินก็คิดว่ามันใหญ่โตจนรู้สึกแปลกๆ ยังไม่นับกับบอดี้การ์ดและคนคุ้มกันในชุดดำหลายคนที่ยืนนิ่งอยู่ตามแต่ละจุดของบ้านหลังนี้ ร่างเล็กก้าวเท้าช้าๆไปตามผืนหญ้าที่เขาตั้งใจออกมาเดินเล่นหลังมื้ออาหารอันแสนอร่อย แต่ดูเหมือนว่าบรรยากาศพวกนี้มันช่างไม่เหมาะแก่การผ่อนคลายเอาเสียเลย จริงอยู่ที่ภายใต้แว่นดำของแต่ละคนที่ยืนนิ่งนั้นจะไม่ได้สนใจอะไรเขาเท่าไหร่ แต่ซองมินก็รู้ตัวดีว่าสายตาหลายคู่เลยล่ะที่กำลังมองเขาอยู่
ให้ตายสิ .. ชีวิตพวกนักการเมืองกับนักธุรกิจชื่อดังเค้าเป็นกันอย่างนี้ทุกคนรึเปล่านะ มันดูไม่ค่อยจะส่วนตัวเลยสักนิด ที่สำคัญเขาเองรู้สึกอึดอัดแทบแย่
ร่างเล็กมองซ้ายทีขวาทีก่อนจะหยุดถอนหายใจออกมาคนเดียว
“เหนื่อยใจอะไรอีกล่ะซองมิน”
“คยูฮยอน...” ซองมินหันมาตามเสียงที่ดังขึ้นด้านหลัง ใบหน้าหล่อเหลากระตุกยิ้มขึ้นมาเพราะแค่เห็นหน้าเขาก็รู้แล้วว่าซองมินกำลังคิดอะไร
“ไม่ต้องไปสนใจพวกนี้หรอก เค้าก็ทำหน้าที่ของเค้าไปไม่ได้มายุ่งกับนายหรอกน่ะ”
“ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรเสียหน่อย”
“แต่หน้าตานี่ไม่มีปิดบังเลยนะคุณเจ้าของร้านคนขยัน” คุณชายคยูฮยอนเอ่ยแซวให้คนฟังต้องหน้างอไปในทันที คนแกล้งรู้สึกสุขใจทุกทีที่ได้อยู่ใกล้กัน แต่เขามันก็พวกเอาใจไม่เป็นเสียด้วยสิ แสดงออกได้มากสุดก็แค่ปลอบใจ แต่ที่ถนัดนักก็คงไม่พ้นการทำให้คนตรงหน้าต้องไม่พอใจหรือร้องไห้แล้วสุดท้ายก็ต้องมาซบลงที่อกของเขาคนเดียว
ใครจะว่าไงก็ช่างเถอะนะ แค่โจวคยูฮยอนพอใจจะกอดอีซองมินเอาไว้ไม่ให้ใครหน้าไหนมายุ่งก็เพียงพอแล้ว
“นั่น!! ดาวตกแน่ะซองมิน” คยูฮยอนเงยขึ้นไปบนฟ้าทำเอาคนที่กำลังหน้างอต้องรีบหันไปมองตาม ซองมินหันไปก็ไม่พบอะไรก่อนจะนึกได้ว่าตอนกลางวันอย่างนี้ดาวคงไม่ตกลงมาให้เห็นหรอก และโดยไม่ทันจะรู้ตัวว่าโดนหลอก แก้มขาวๆก็ถูกริมฝีปากของคนเจ้าเล่ห์ฉวยเข้าขโมยหอมเสียเต็มฟอด คยูฮยอนรวบเอาร่างของซองมินมากอดไว้อย่างรวดเร็ว
“อ๊ะ คุณ...”
“หึ .. ช่วยไม่ได้นะซองมิน”
อ้อมแขนแกร่งโอบกอดร่างนุ่มๆเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ต่อให้ซองมินต้องหน้าบูดที่ถูกเอาเปรียบแต่คนฉวยโอกาสก็ไม่คิดจะสนใจ สายตาหลายคู่รอบข้างที่มองมานั้นเล่นเอาคนตัวเล็กหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันที ลูกน้องหลายคนจึงอดจะคิดไม่ได้ว่าต่อหน้าพวกเขายังทำขนาดนี้แล้วถ้าอยู่กันสองคนจะขนาดไหน
สายตาคมละจากคนในอ้อมกอดแล้วตวัดมองเหล่าลูกน้องที่พยายามเก็บอาการเอาไว้แทบไม่ทัน
“อยากถูกตัดเงินเดือนรึไง” เสียงเย็นเอ่ยสั้นๆทำให้ทุกคนต้องเบนหน้าหนีจากเรื่องของเจ้านาย คุณชายเจ้าเล่ห์ยกยิ้มอย่างพอใจก่อนจะหันมาสบตากับกระต่ายน้อยที่ไม่มีทางหนีเขาพ้น
“เห็นมั้ย แค่นี้ก็ไม่มีใครสนแล้ว”
“คุณมันบ้า” ซองมินพูดจบก็ถูกขโมยหอมแก้มอีกทีอย่างไม่ทันตั้งตัว
“ว่าไงนะ ไม่ได้ยิน”
“ผมว่าคุณมันบ้า” และก็อีกครั้งที่คยูฮยอนยื่นหน้าเข้าหอมที่แก้มอีกข้างของซองมิน ทำแบบนี้คนถูกเอาเปรียบเลยชักจะไม่ชอบใจไปใหญ่
“พูดอีกสิ ว่าฉันเยอะๆนะ จะได้หอมแก้มนายบ่อยๆ”
“โรคจิต .. อ๊ะ” ซองมินตั้งตัวไม่ทันอีกครั้งเพราะไม่นึกว่าคนตรงหน้าจะเอาจริง แต่คราวนี้ไม่ใช่ที่แก้มหรอกที่ถูกหอม เรียวปากอิ่มที่พร่ำพูดถูกปิดลงอย่างรวด
คุณชายโจวคยูฮยอนที่เคยเอาแต่ใจยังไง จนตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่อย่างนั้น โดยเฉพาะกับผู้ชายธรรมดาๆอย่างอีซองมิน ที่ต่อให้เขาจะเอาแต่ใจแค่ไหน
.. ก็ยกหัวใจให้คนๆนี้ไปหมด ตั้งแต่วันแรกที่พบกันแล้ว
--- The complete of “ Broken in silence ..” ---
:: Talk (จากในรวมเล่มค่ะ) ==
สวัสดีค่ะ^^
ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณทุกคนที่ซื้อฟิคเล่มนี้ไปและทุกคนที่ติดตามทางอื่นด้วย กอนไม่ใช่แฟนคู่นี้โดยตรง เพราะงั้นถ้ามันไม่ถูกใจหรือมีอะไรผิดพลาดก็ขออภัยด้วยนะคะ (คยูมินเรื่องแรกหลังจากที่แอบหลงรักคู่นี้มาโดยไม่รู้ตัว หุหุ -..-)
จากตอนแรกที่ตั้งใจให้เป็น short fic แต่มันเริ่มยาวเลยออกมาเป็นแบบนี้ เนื้อเรื่องเลยค่อนจะไปทางแนวนั้นและตัดไปตัดมาบ้างในตอนแรก แต่รู้สึกว่าตอนสุดท้ายก็ยังคงเป็นอย่างนั้น ..ฮา อ่านไปอ่านมาก็รู้สึกว่าทำไมเรื่องนี้มันอึดอัดจัง เลยคาดว่าถ้าใครชอบฟิคอึดอัดและออกจะละครไทยไปบ้างก็น่าจะโอเคอ่ะนะคะ เพราะเรื่องนี้มันก็แนวนี้จริงๆ ไม่มีรายละเอียดอะไรมากนอกจากประเด็นหลักๆที่มีอีซองมินเป็นตัวเดินเรื่อง คุณชายโจวคยูฮยอนเลยเป็นอะไรที่เราอาจไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นักในตอนแรก ส่วนคุณบอดี้การ์ดทั้งสองคนก็มีบทไม่น้อยเลยทีเดียว และอีกเรื่องที่มีบางโมเมนต์คุณบอดี้การ์ดคิบอมจะแย่งบทพระเอกไปบ้างนั่นก็ขอยอมรับเลยว่ากอนชอบบอมมินมาก่อน(และยังชอบอยู่) เลยมีหยอดบทบ้างอะไรบ้าง ฮ่าฮ่าฮ่า = =; และอย่างเคยที่ไม่อยากให้ คคบ.ต้องเสียใจเพราะอกหัก เลยยอมยกคุณชายใหญ่ให้ไปเป็นคู่กัดกันในตอนท้าย กร๊ากกกกก (ที่ต้องเป็นอย่างนั้นเพราะคิดเองว่าคนที่อ่านเรื่องนี้จะเป็นหนึ่งสองเก้าเกินกว่าครึ่ง ^^!)
ตอนจบมันเลี่ยนมั้ยคะ สรุปว่าเรื่องนี้อีซองมินก็ถูกเอาเปรียบมาตลอดทั้งเรื่องนั่นแหละนะ T T ขนาดตอนท้ายที่คยูฮยอนยังไม่ตายก็ดันถูกคุณแม่กีดกันอีก ละครไทยจริงๆเรื่องนี้ ~ ..... ขอบคุณอีกครั้งนะคะ สำหรับทุกการติดตาม ((_ _))
gorn_dbsk (Gornhai)
twitter :: @ gorn_dbsk
ความคิดเห็น