ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (SF/OS) #OHARHAFIC | CHANBAEK SEKAI

    ลำดับตอนที่ #14 : △ chanbaek | ก่อร่างสร้างตัว

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.84K
      20
      25 พ.ย. 58

    หนึ่งในเรื่องสั้นจากเล่ม Parasite

    เล่มก็นานพอสมควรแล้ว ขออนุญาตเอามาลงให้อ่านกันนะคะ

     

    -----------------

     

     

     

     

    ก่อร่างสร้างตัว

     

     

     

     

    เสียงหอบหายใจสะท้อนก้องภายในห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้า มันเป็นสิ่งเดียวที่ผมพอจะได้ยินนอกเหนือจากเสียงดังหวี่ ๆ ข้างหู แผ่นกระเบื้องสีขาวล้วนเคยเป็นสีขาว กลิ่นอับชื้นก็ยังอับชื้นอยู่ทุกวัน อ่างล้างหน้ายังตั้งอยู่ทางซ้ายตรงนั้น ฝักบัวอาบน้ำอยู่สูงขึ้นไปเหนือหัว และเพียงแค่เงยหน้ามอง ราวกับว่าของเหลวจะทะลักลงมาเหมือนน้ำหลาก

     

    ผมพ่นลมหายใจใส่สายน้ำที่ไม่มีอยู่จริงในอากาศ พยายามสงบร่างสั่นเทาของตัวเองเอาไว้แล้วจึงก้มลงมองความผิดแผกในวันนี้ ผมค่อย ๆ โน้มตัวลงเพื่อหยิบโกยเอาบางสิ่งบางอย่างบนพื้นไปใส่ในกระเป๋ากระสอบแบบกันน้ำขนาดสูงเท่าต้นขา ตากลมโตของผมแดงก่ำจนกลัวว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของเศษชิ้นตรงหน้า

     

    รอยหักของกระดูกหน้าแข้งคล้ายจะส่งรูปยิ้มมาให้ในตอนที่ผมยัดมันลงไปเป็นชิ้นสุดท้าย สิ่งเดียวที่ไม่ได้ถูกใส่ลงไปมีเพียงมีดปลายแหลมที่ไม่ได้คมไปกว่าการใช้หั่นสันนอกหมู มันนองท่ามกลางของเหลวสีแดงเข้ม กลิ่นคาวคละคลุ้งอบอวล และถ้าย้อนกลับไปเมื่อสองชั่วโมงก่อน ผมคงจะอาเจียนออกมาได้ เหงื่อกาฬทำให้ขมับเปียกชื้น ผมที่เคยเป็นเส้นเล็กละเอียดก็จับตัวเป็นก้อน มันหยดลงไปในกระเป๋าระหว่างถูกรูดซิปปิด เส้นผมสีน้ำตาลเหนียวเปรอะยังคงวับแวมอยู่ระหว่างมือที่ไม่มีแขน แล้วก็สันเนื้อที่คิดว่าคงเป็นช่วงเอว ผมถอนหายใจพรูหลังจากปิดมันลงได้

     

    กระเป๋ากระสอบน้ำหนักห้าสิบแปดกิโลกรัมถูกลากไปยังประตู จากนั้นผมจึงย้อนกลับมาที่พื้นลาดต่ำภายใต้ฝักบัวอาบน้ำทรงกว้าง ก่อนจะก้มตัวเปิดก๊อกน้ำด้านล่างให้พัดเอาสีแดงหมุนลงสู่ท่อระบายน้ำ มือหยิบมีดยาวสองคืบนั้นล้างผ่านน้ำอย่างลวก ๆ แล้วมันก็ส่งเสียงแกร๊งเมื่อถูกวางไว้ในอ่างล้างหน้าเวลาต่อมา

     

    ผมใช้ดวงตาสีดำมองดูห้องพักสไตล์โมเดิร์นของตัวเอง พักมันไว้ตรงกลางห้องแล้วเดินไปหยิบเอากระเป๋าสีน้ำตาลบนเตียงมาสะพายเฉียงกับตัว หลังออกมา ผมล็อกประตูห้อง ปิดดูอีกครั้งในแน่ใจว่าจะไม่มีใครสามารถเปิดเข้าไปได้ง่าย ๆ จากนั้นก็เหนื่อยต่อกับการลากกระเป๋าใบใหญ่ไปตามทางเดิน

     

    ผมยืนอยู่กับมันในลิฟท์สองต่อสอง เสียงกรอบแกรบของถุงพลาสติกที่ผมรองไว้ด้านในกระเป๋ามันชวนให้หงุดหงิดนิดหน่อย ผมทั้งร้อนใจ กังวล แล้วก็พยายามปั้นสีหน้าวิตกจริตของตัวเองให้เป็นปกติให้ได้เมื่อลิฟท์เปิดยังชั้นล่างสุดของอพาร์ทเมนต์

     

    “...!

     

    ผมสะดุ้งเล็กน้อยในตอนที่ยามรักษาความปลอดภัยทำท่าจะเข้ามาจับกระเป๋า เขาดูงุนงงกับสีหน้าตื่น ๆ ของผม ปากแห้งผากนั้นขยับว่า “ท่าจะหนัก ให้ลุงช่วยดีกว่า”

     

    “ไม่เป็นไรครับ” ผมรีบตอบ “รถผมอยู่ตรงนั้นเอง”

     

    ได้ยินอย่างนั้น ลุงยามที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีก็ค่อย ๆ ยอมถอยออกไป เขายืนเท้าสะเอวมองผมยกกระเป๋าใหญ่ไปทางรถที่จอดเยื้องออกไปยี่สิบเมตร มันไกลเชียวล่ะ ถ้าสิ่งที่คุณยกอยู่มันมีน้ำหนักตั้งห้าสิบแปดกิโลกรัม แตเมื่อผมพอจะวางใจลงได้ เสียงทุ้มของคนที่ยืนมองก็ดังขึ้นอีก

     

    “ท่าจะหนักนะนั่น จะย้ายออกเรอะ”

     

    เลิกสอดรู้สอดเห็นได้แล้ว ผมสบถในใจ

     

    “จะเอากลับบ้านน่ะครับ พวกของที่ไม่ใช้แล้ว”

     

    ผมยิ้ม ปิดฝากระโปรงท้ายรถจนเกิดเสียงกึง แล้วก็รีบอ้อมตัวไปขึ้นนั่งบนรถทันทีเพื่อไม่ให้ถูกถามอะไรมากไปกว่านี้อีก อย่างน้อยก็ถือว่าโชคเข้าข้างผมที่อพาร์ทเมนต์นี้มันห่วยแตกถึงขนาดที่ว่ามีกล้องวงจรปิดติดประดับไว้เพื่อขู่โจรกระจอกเท่านั้น คนที่นี่รู้กันดีว่ามันพังและไม่ได้ถูกซ่อมมาเป็นปี ๆ แล้ว

     

    ผมสูดลมหายใจลึก เพ่งมองกำแพงข้างหน้า ก่อนจะหักเลี้ยวรถออกตามทางแคบ ๆ ด้านข้างเพื่อออกจากบริเวณที่นี่ นาฬิกาดิจิตอลบนรถบอกเวลาว่าตอนนี้ราวสี่ทุ่มครึ่ง มันดึกพอให้ผมมั่นใจว่าสถานที่ที่ผมกำลังจะไป คงไม่มีใครอยู่เพื่อเป็นพยานได้แล้ว

     

    เสียงตุบจากด้านหลังเวลาที่รถกระแทกตอนขึ้นเนินนั้นคล้ายกับจะทุบเอาหัวใจผมไปด้วย ผมสั่งตัวเองให้หายใจช้า ๆ ชัด ๆ สงบสติอารมณ์เอาไว้ให้ได้ จนในที่สุด รถเก๋งที่พ่อซื้อให้เมื่อปีที่แล้วก็พาผมมาถึงผาสูงที่ไกลจากจุดชมวิวพอสมควร นอกจากพวกโจรดักปล้นแล้ว ก็คงไม่มีใครคิดขึ้นมาที่นี่เวลานี้อีก ขอบคุณข่าวเลวร้ายของเมือง ที่ทำให้เขาชมวิวลูกนี้กลายเป็นจุดอันตรายหลังจากแสงไฟปิดลงในช่วงหัวค่ำ

     

    มองไปรอบ ๆ ให้แน่ใจแล้วจึงจัดการเปิดท้ายรถขึ้น กระเป๋าเอนล้มมาทางผมเมื่อได้เอาสิ่งที่มันพิงอยู่ก่อนหน้านี้ออก เขาคงไม่อยากกอดผมเป็นครั้งสุดท้ายหรอก เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องสยองขวัญสุดพิสดารในหนังสือขายดีเล่มไหน ผมประคองมันขึ้นให้พ้นตัวรถ จากนั้นจึงสูดลมหายใจเพื่อเรียกแรงที่มีอยู่ในการพามันวางลงกับพื้นหินให้นิ่มที่สุด

     

    จากสายวิชาชีพที่ผมเรียนอยู่ทำให้ผมฉลาดพอที่จะรู้ว่าควรเสียเวลาเพิ่มอีกสองสามนาทีเพื่อหาหินหลาย ๆ ก้อนมาใส่ถ่วงกระเป๋าเอาไว้ ตอนนี้ไม่ใช่ฤดูหนาว รอไม่เกินยี่สิบสี่ชั่วโมง ปฏิกิริยาทางเคมีและก๊าซคงจะพามันลอยขึ้นมาให้ถูกพบเห็นได้ง่าย ๆ แน่

     

    ผมแทบจะอาเจียนออกมาเมื่อต้องรูดซิปกระเป๋าเปิดอีกครั้ง ก้มลงหยิบหินที่หามาได้วางใส่เข้าไปอย่างลวก ๆ ทั้งกดทับ กระแทก เสียงกร๊อบแกร๊บของกระดูกดังตอกย้ำความโหดร้ายราวประวิงขอ ผมรู้ว่าอย่างไรเขาก็คงไม่เจ็บไปกว่าเดิม จึงกลั้นใจทำทุกอย่างเพื่อจะยัดหินลงไปอีกหลายก้อน และฝืนปิดซิปอีกครั้งจนได้

     

    ตอนนี้กระเป๋าหนักจนยกไม่ไหว แต่ผมก็ดังทุรังยกมันขึ้นวางบนเท้าข้างหนึ่งเพื่อให้แรงส่งนั้นช่วยพยุงมันไปถึงริมผาได้โดยไม่ถูกหินขูดจนขาดไปเสียก่อน เสียงคลื่นทะเลทางด้านล่างกระทบโขดหิน มันทำให้ความรู้สึกผมเชี่ยวกราด ผมก่นด่าตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นจึงใช้แรงที่มีพยายามเหวี่ยงกระเป๋านี้ไปให้พ้นแนวหินโสโครก เป้าหมายของผมคือต้องให้มันลงไปอยู่ใต้น้ำ และถ้าผมทำไม่ได้ เรื่องนี้คงจะยุ่งยากน่าดู

     

    นี่เกือบเป็นการพาตัวเองลงไปอยู่เป็นเพื่อนเขา ลมหายใจผมกระตุกวูบในตอนที่เกือบจะเสียหลักปล่อยตัวไปตามแรงส่ง กระเป๋าใบนั้นหนักกว่าผมมาก และผมก็ใจชื้นขึ้นมานิดหน่อยที่เห็นว่ามันไม่ได้คาอยู่ตรงหินโสโครกที่มองเห็นได้ก้อนไหน ข้างล่างนั้นดำมืด และสิ่งที่เด่นชัดขึ้นมาก็มีแค่สีขาวของฟองทะเล

     

    ทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว ผมลากร่างไร้เรี่ยวแรงนี้กลับไปที่รถ ทุบมือและโขกศีรษะเข้ากับพวงมาลัยหลายครั้ง แน่นอนผมรู้สึกเจ็บ แต่มันรุนแรงน้อยกว่าสิ่งที่บั่นทอนจิตใจตอนนี้หลายเท่า ผมเหยียบคันเร่งและออกจากสถานที่ทำลายหลักฐานนี้ทั้งน้ำตาคลอเบ้า จนสุดท้ายก็ทนไม่ไหว ถึงได้ต้องเบี่ยงรถจอดข้างถนนใหญ่ใกล้เขาลูกนั้นเพื่อประโคมความรู้สึกผิดใส่ตัวเอง ผมร้องไห้ โกรธเคือง และมองไม่เห็นแสงสว่างใดเลยจากกระทำในครั้งนี้

     

    “ฉันขอโทษ...”

     

    ผมพูดกับเขา ผู้ซึ่งอยู่ใต้ผืนน้ำ

     

    “ฉันไม่ได้ตั้งใจ”

    เขาจะกำลังหนาวหรือเปล่า เรื่องนี้ผมไม่รู้

     

     

     

    -

     

     

     

    ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาในตอนเช้าเพราะเสียงนาฬิกาปลุก สมาร์ทโฟนขึ้นเวลาเป็นเจ็ดโมงเช้าของอีกวัน ผมปิดมัน ตั้งใจว่าจะไม่ไปเรียน แต่ก็ทำได้แค่ฝังตัวเองอยู่บนเตียงและข่มตาหลับอีกครั้งไม่สำเร็จ

     

    ผมอยู่อย่างนั้นหลายชั่วโมง เสียงคลื่นทะเลยังเด่นชัดอยู่ภายในหัวเหมือนนาฬิกาปลุกที่ปิดไม่ได้ แขนและร่างกายยังล้าจากการแบกสิ่งที่หนักเกินตัวเมื่อคืนนี้ ผมไม่สนแม้แต่จะลุกไปหยิบยาแก้ปวดมากิน พอสิบเอ็ดโมง โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นอีกครั้งอย่างกับตั้งเวลา

     

    ( ทำไมมึงถึงไม่มาเรียนวะชานยอล )

     

    เสียงของจุนมยอนโวยมาตั้งแต่กดรับ ผมยังฝังหน้าลงกับหมอน ส่งเสียงอู้อี้กลับไปทั้งที่รู้ว่ายังไงมันก็ฟังไม่ออก “ไม่เสือก”

     

    ( นี่มึงยังไม่ตื่นเหรอ? ไอ้เวรนี่ พรุ่งนี้มีเทสย่อย มึงรู้ยัง -- แบคฮยอน ๆ ฝากส่งชีทด้วยดิ! )

     

    “...!

     

    ผมดีดตัวลุกขึ้นทันที หัวใจเต้นโครมครามเหมือนจะหลุดออกมาจากอก

     

    “จุนมยอน”

     

    ( เอ้อ กูพูดถึงไหนแล้วนะ -- )

     

    “เมื่อกี้มึงพูดกับใคร” ผมถามเสียงสั่น แล้วพอมันย้ำชื่อนั้นขึ้นมาอีกครั้ง ผมก็ห้ามตัวเองไม่ให้กดตัดสายไม่ได้ มือยกขึ้นขยุ้มผมแรง ๆ แล้วลูบหน้าลูบตาอีกหลายครั้ง ผมคิดว่าผมควรจะตื่น ทั้งดูวันที่ เปิดโทรทัศน์ทิ้งไว้ แล้วก็กลัวเหลือเกินว่ามันจะมีข่าวการพบศพใดก็ตามในเมืองนี้

     

    เป็นไปไม่ได้ ผมตบหน้าตัวเองให้ตื่นจากฝันไปทีหนึ่ง

     

     

     

    -

     

     

     

    ผมเปื่อยอยู่บนโซฟาจนถึงบ่ายสาม ถึงจะอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว แต่ก็ไม่ได้รู้สึกหิวจนอยากพาตัวเองออกไปจากห้องนี้สักเท่าไร มีดอันนั้นยังวางอยู่บนชั้นวางจานในครัว ผมคิดว่าการล้างด้วยแอลกอฮอล์คงช่วยอะไรไม่ได้ คิดแม้แกระทั่งว่าควรจะเอามันทิ้งไปในกระเป๋าเมื่อคืนนี้ด้วย ซึ่งผมโง่จริง ๆ นั่นแหละที่มาคิดได้เอาวันนี้

     

    ที่จุนมยอนพูดน่ะมันเหลวไหลทั้งเพ แต่ผมก็โง่ซ้ำสองที่ทนฟังเรื่องบ้า ๆ แบบนี้ไม่ได้จนกดตัดสายทิ้งไปทั้งอย่างนั้น ต่อให้เป็นเรื่องของเวทมนต์ แต่ผมก็ไม่เชื่อว่าเขาจะมีทางไปอยู่ที่นั่นได้ ทั้งที่เมื่อคืนนี้ผมเป็นคนหั่นและเอาเขาไปทิ้งเองกับมือ

     

    ก๊อก ก๊อก

     

    “...!

     

    ผมสะดุ้งเฮือกอีกรอบ ใจมันคิดแต่ว่าพอเปิดประตูออกไปแล้ว มือสองข้างจะถูกใส่กุญแจมือแล้วต้องเดินผ่านแสงแฟลช มีภาพตัวเองฉายไปบนหน้าจอทีวีทุกช่อง ถูกทุกสายตาตราหน้าว่าเป็นฆาตกรโหด นอนอยู่บนแท่นประหาร และเห็นเข็มฉีดยากำลังเลื่อนเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ

     

    ถึงอย่างนั้นผมก็ลุกพาตัวเองไปที่ประตู มือขวาค่อย ๆ วางทาบลงไปบนเนื้อไม้แล้วเพ่งสายตาผ่านรูตาแมวเล็ก ๆ ประตูห้องฝั่งตรงข้ามและทางเดินบิดเบี้ยวเหมือนอยู่ในเลนส์ฟิชอายส์ ผมเกลียดมัน แล้วข้างนอกก็ไม่มีเจ้าของเสียงเคาะเลยสักคน

     

    ผมแคลงใจในข้อจำกัดของตาแมว มันมองเห็นข้าง ๆ ไม่ได้ แล้วความหวาดระแวงในใจผมจึงสั่งให้ใจกล้าเปิดประตูออกไปเช็กดู อย่างน้อยก็มั่นใจได้อย่างหนึ่งว่าไม่ใช่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งผมกลัวที่สุด

     

    และทันทีที่เปิดมันออก ร่างของใครคนหนึ่งก็กระโจนออกมาจากฝั่งซ้ายมือ

     

    “...!

     

    ผมถอยกรูดจนล้มลงก้นจ้ำเบ้ากับพื้น บนขมับและแผ่นหลังเต็มไปด้วยเหงื่อซึ่งขับออกจากร่างกายร้อนระอุ ใจผมเต้นไม่เป็นส่ำ ขนลุกชูชันจนเหมือนว่าเจ้าของใบหน้าแลบลิ้นปลิ้นตาและเสื้อสเวทเตอร์สีเทานั้นกำลังแหวกอกอย่างผีในหนัง แต่เปล่าเลย มันน่ากลัวกว่านั้นหลายร้อยเท่า!

     

    บยอนแบคฮยอนหุบลิ้นและสีหน้าทะเล้น ๆ ของเขาลงเมื่อเห็นว่าผมไม่หัวเราะตามไปด้วย ยิ่งเขาย่างเข้ามาใกล้ ผมก็ยิ่งขยับตัวถอยไปข้างหลังจนปัดเอาข้าวของบนโต๊ะตกลงมาระเนระนาด และพอหยัดตัวลุกขึ้นได้ ผมก็ยิ่งเห็นสีหน้าแปลกใจของแบคฮยอนได้อย่างชัดเจน

     

    “ชานยอล?”

     

    เขาพูดชื่อผม จัดการปิดประตูห้องให้เรียบร้อยก่อนจะรีบวางของบนโต๊ะรับแขกแล้วถลาเข้ามาหา ผมถอยหนีเขาอีกก้าว ทว่ามือเล็กนั้นก็จับแขนของผมเอาไว้

     

    “เป็นอะไรไป” นั่นเป็นคำที่ผมควรจะถาม “ไม่สบายเหรอ”

     

    เขาเอามืออังหน้าผากผม เป็นห่วงเป็นใยเหมือนตอนก่อนที่ผมจะใช้มีดในครัวแทงเขาไม่มีผิด นี่มันเป็นไปไม่ได้ มันไม่มีทางเกิดขึ้นไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ของของเขายังอยู่ในตู้เสื้อผ้าผม ทั้งสมุดเลคเชอร์ โทรศัพท์มือถือ หรือแม้แต่นาฬิกาข้อมือที่ผมเป็นคนซื้อให้เขาเองกับมือ ผมอยากจะคิดว่าตัวเองฝัน แต่เมื่อวานหรือตอนนี้กันล่ะ

     

    ผมเป็นได้แค่ไอ้งั่งที่ให้เขาพูดอะไรอีกมากมายในขณะเอามือลูบหน้าลูบคอผมไปด้วย แบคฮยอนบ่นเรื่องที่ผมไม่สบาย ไม่ยอมไปเรียน แต่ไม่พูดถึงเรื่องเมื่อวานเลยสักคำเดียว เสื้อผ้าที่เขาใส่ก็เป็นชุดใหม่ เขาไปเรียนตามปกติ และจุนมยอนเองก็คงได้เห็นอย่างที่ผมเห็น

     

    ผมกลั้นใจจับข้อมือของเขาเอาไว้ แบคฮยอนดูงุนงงนิดหน่อย หากแต่ดวงตานั้นก็เบิกโพลงขึ้นทันทีที่ผมดันร่างของเขาถอยไปจนล้มลงกับโซฟา

     

    ที่ข้อมือของแบคฮยอนไม่มีนาฬิกาเรือนนั้น

     

    ผมขึ้นไปคร่อมบนตัวเขา จ้องมองใบหน้าเดียวกับในกระเป๋าใต้ทะเลอันนั้น ดวงตาลึกโหลของผมอาจจะทำให้เขากลัว แบคฮยอนตื่นตกใจ ผมสาบานได้ว่ามันน้อยกว่าที่ผมหวาดกลัวเขาแน่นอน

     

    “ชานยอล?”

     

    ผมไม่พูดอะไร ถอดเสื้อสเวทเตอร์เขาแล้วดึงมันออกไปพ้นจากหัว ในเมื่อแบคฮยอนไม่มีนาฬิกาเรือนนั้น ผมก็คิดว่าภายใต้เสื้อผ้าเขาอาจจะมีอะไรผิดปกติอีกก็ได้ แบคฮยอนไม่ได้ยื้อยุดที่ผมถอดกระดุมเสื้อเชิ้ตของเขา ทั้งกระชากจนมันหลุดออก แล้วก็เห็นเพียงแค่แผ่นเนื้อขาวเนียนที่ไม่มีแม้แต่รอยแทงแรกซึ่งผมทำเอาไว้

     

    “...”

     

    ผมแค่นหัวเราะ สมเพชตัวเองที่กำลังทำอะไรบ้า ๆ ก็ถ้าบนตัวเขามีรอยแทง รอยหั่น หรือสารพัดสิ่งที่ผมทำไว้ แล้วจะมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง

     

    แบคฮยอนคงคิดว่าความรุนแรงนี้เป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเรา เขาหัวเราะตอบราวกับว่าเข้าใจดี จากนั้นจึงรั้งร่างผมลงไปใกล้ เรามีความสุขกับความเร้าใจแบบนี้เสมอ เริ่มต้นจากความสัมพันธ์หลบ ๆ ซ่อน ๆ เซ็กส์ แล้วก็เป็นแค่เพื่อนร่วมเอกในสายตาคนอื่น แทบทุกส่วนในห้องนี้ผ่านร่างกายของเขา เราทั้งเกลือกกลิ้ง หัวเราะ และพอใจถ้าคิดอะไรใหม่ ๆ ขึ้นได้ อย่างเช่นว่าเขาอยากลองเซ็กส์ระหว่างอาบน้ำหรือในตู้เสื้อผ้า

     

    เขาจะชอบถ้าผมแสดงด้านดิบเถื่อนในการเล่นสนุกของเรา จนกระทั่งเมื่อวานที่ผมถูกควบคุมโดยโทสะ เพราะเขากราดด่าหลังจากรู้ว่าผมคิดอะไรใหม่ ๆ ไม่ได้แล้ว

     

    ใช่ ผมขอเลิก แต่แบคฮยอนไม่ยอม

     

    การหลบซ่อนเริ่มไม่สนุกอีกต่อไป ผมอยากคบผู้หญิงอย่างเปิดเผย กลัวว่าเราจะถลำลึกกับความสัมพันธ์ครั้งนี้เกินไปจนกลายเป็นความหมกมุ่น ลุ่มหลง ผมยังอยากมีขาอีกข้างที่เหยียบอยู่บนโลกแห่งความจริง อยากให้เราเป็นแค่ของชั่วครั้งชั่วคราว แล้วก็ทนไม่ได้ที่แบคฮยอนบอกว่าผมคิดผิด

     

    นายมันบ้าไปแล้วชานยอล!’

     

    “เป็นอะไรไปชานยอล”

     

    ผมรั้งตัวเองไว้ไม่ให้เขาจูบ ผละตัวเองออกมาจากโซฟา มองร่างของเขาที่กำลังลุกขึ้น แบคฮยอนชั่งใจว่าควรจะติดกระดุมเสื้อก่อนหรือเปล่า

     

    “ทำไมไม่โทรมา” ผมถาม แต่เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์คิดว่าตัวเองรู้คำตอบดีอยู่แล้ว

     

    “โทรศัพท์หาย” เขาทำให้รู้ว่าเดาถูก “คิดว่าลืมอยู่ที่นี่ ก็เลยแวะมาดู”

     

    แล้วผมก็รู้อีกว่าเรื่องเมื่อวานไม่ใช่ความฝัน โทรศัพท์และนาฬิกาของแบคฮยอนยังอยู่ในตู้ ขนบนตัวผมลุกเกรียวขึ้นมาอีกครั้ง มันวิปลาสเข้าไปทุกที

     

    แบคฮยอนขมวดคิ้ว ติดกระดุมเสื้อของตัวเองจนเสร็จ “วันนี้นายแปลก ๆ นะชานยอล”

     

    “ฉันเหรอ?” ผมแค่นหัวเราะอีก เขาไม่รู้จริง ๆ หรือว่าแกล้งให้ผมประสาทหลอนตายกันล่ะ บยอนแบคฮยอนมีหลายคนบนโลกหรือไง อย่างนั้นตรงหน้าผมก็คงเป็นผี ปีศาจ หรือฤทธิ์ยาแก้ปวดที่กินไปเมื่อยี่สิบชั่วโมงก่อน “เมื่อวานนายอยู่ที่ไหน”

     

    แบคฮยอนชะงัก รู้อะไรไหม? ผมคิดว่าฝันร้ายของผมไม่ต้องสมจริงนักก็ได้

     

    “เมื่อวาน...” เขานิ่งไปราวกับนี่เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาคิด “ฉันอยู่ที่บ้าน”

     

    ผมหัวเราะเสียงดัง นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะเนี่ย!

     

    “นั่นสิ ฉัน -- ฉันเหมือนจำไม่ค่อยได้”

     

    เขาจำไม่ได้ว่าตัวเองตายไปแล้ว!

     

    บยอนแบคฮยอนคล้ายจะหวาดกลัวเสียงของผมขึ้นมา เขาหวาดระแวง คิ้วนั่นขมวดเข้าหากันเล็กน้อยแล้วก็ไม่ได้ก้าวเท้ามาข้างหน้า โอ -- ให้ตายเถอะ ผมคิดว่าควรเป็นผม ต้องเป็นผมสิที่ทำท่าทางอย่างนั้น ไม่รู้ว่าสติของผมหายไปไหนหมด เมื่อคืนผมรู้สึกผิดที่ฆ่าเขาแทบตาย แต่วันนี้แบคฮยอนกลับมายั่วโมโหผมหน้าตาซื่ออย่างนั้น

     

    ผมคิดเล่น ๆ นะ... สู้ให้เขาแสดงตัวว่าเป็นปีศาจเสียยังดีกว่า

     

    ผมลากเขาไปที่ห้องครัว แบคฮยอนสะดุ้งเมื่อเห็นผมหยิบมีดทำครัวอันหนึ่งขึ้นมา ถือมันตั้งฉากบนหน้าเขา สแตนเลสสะท้อนกับดวงตานั้นเป็นเงาวับ ดูประกายความกลัวในแววตาเขาสิ ผมว่ามันตลกสิ้นดี

     

    “เมื่อวานฉันฆ่านาย”

     

    “นะ... นายพูดอะไร” เขาไขสือ “วางมันลงเถอะชานยอล”

     

    ผมจ้องเขาเขม็ง มือข้างหนึ่งยังบีบต้นแขนนั้น ในขณะที่อีกข้างก็ถือมีดค้างไว้ ผมคงบ้าจริง ๆ นั่นแหละที่ฆ่าตัวเองเป็นครั้งที่สองเพราะความฟุ้งซ่านบ้า ๆ นี่ ผมอาจจะกำลังสติแตก ถึงได้ออกแรงกระชากเขาไปมาจนแบคฮยอนร้องโอดโอย

     

    เขาควรตายไปแล้ว! ผมตะโกนบอกตัวเองในใจอยู่อย่างนั้น

     

    และการฆ่าคนที่ตายไปแล้วก็คงไม่ผิดอะไร

     

    ผมแทงเขาซ้ำ -- ซ้ำ ๆ เลือดสีชาดกระเด็นเปราะจนทั้งแขนจนแดงเถือก ผมไม่ยอมปล่อยให้เขาลงไปกองกับพื้นจนกว่าจะเห็นว่าบยอนแบคฮยอนได้หมดลมหายใจไปแล้วจริง ๆ ครั้งนี้ผมจะดูเขาให้แน่ ดูว่าเขากลายเป็นแค่เศษซากของอะไรสักอย่าง และจะไม่พูดอะไรตอบกลับมา

     

    “อะ --”

     

    เขามองผม นัยน์ตามีน้ำใส ๆ ไหลคลอ

     

    ตอนที่ปล่อยร่างแบคฮยอนลงไปกับพื้น ม่านตานั้นไม่ขยายแล้ว

     

     

     

    -

     

     

     

    ข้ออ้างที่ผมไม่ยอมเอาศพแบคฮยอนไปทิ้ง ก็เพราะผมกลัวว่าเขาจะฟื้นขึ้นมาอีก

     

    ผมกองชิ้นส่วนต่าง ๆ ไว้ใต้ฝักบัวอาบน้ำ หลังจากใช้เวลาถึงสองชั่วโมงในการหั่นเขาออกเป็นชิ้นขนาดครึ่งฟุต วันนี้เร็วกว่าเมื่อวานมาก เพราะผมรู้แล้วว่าตรงไหนที่เหนียวหรือหั่นยากเป็นพิเศษ มือของผมเป็นรอยเส้นแดง ๆ และห้อเลือด อันที่จริงแล้วผมไม่สะดวกใช้มีดทำครัวนี่เอาเสียเลย อย่างน้อยถ้ามีเลื่อยมือ ผมก็ไม่ต้องเสียเวลาเก็บกวาดเศษกระดูกชิ้นเล็ก ๆ ที่ทำพลาดเพราะความแข็งแรงของมีดมีไม่มากพอ

     

    ผมนั่งดื่มเบียร์กระป๋องและเปิดประตูห้องน้ำทิ้งไว้ ตอนนี้เป็นช่วงหัวค่ำแล้ว เหตุผลอีกข้อคือผมไม่มีถุงหรือกระเป๋าสำหรับจัดการเอาบยอนแบคฮยอนออกไป ภาพในจอโทรทัศน์เป็นรายการวาไรตี้ที่ผมไม่ตลกตามไปด้วยเลยสักนิด ผมหยิบรีโมตขึ้นมากดเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ จนหยุดอยู่ที่ช่องสารคดีสัตว์

     

    แอ๊ด --

     

    เมื่อกี้เสียงอะไร

     

    ผมถามตัวเองทั้งที่รู้ดีว่ามันเป็นเสียงประตูห้องน้ำ และนั่น ผมคิดว่ามันก็แค่ลม เป็นเรื่องธรรมดาที่ผมกำลังหวาดกลัวเพราะการทำผิด โต๊ะเตี้ยตรงหน้าผมมีสมุด นาฬิกาข้อมือ แล้วก็โทรศัพท์มือถือเครื่องสีดำที่ถูกปิดเอาไว้ มันไม่ใช่ของผม ผมเอามันออกมาจากตู้แค่เพื่อจะพิสูจน์ว่าสิ่งที่คิดมันถูกต้องแค่ไหน

     

    แบคฮยอนเคยเป็นคนที่ผมชอบมาก เราเคยเชื่อว่าได้ครอบครองกันและกัน แต่ก็แค่ไม่นาน ผมอยากจะคิดว่านี่เป็นแค่ความสัมพันธ์ฉาบฉวย ไม่น่าทำให้ชีวิตผมพังได้ แต่ถามว่ารู้สึกผิดเท่าเมื่อวานไหม? ไม่เลย ผมรู้สึกดีกว่าเดิมเสียอีก ผมฆ่าคนที่ตายไปแล้ว ฆ่าความรู้สึกผิดนั่นไม่ให้มีชีวิตขึ้นมาอีก แล้วผมผิดอะไร

     

    โอ้ ใช่ -- คิดอีกที ผมก็ไม่ได้ทำผิดแล้ว

     

    ตุบ

     

    ผมโคตรเกลียดเสียงแบบนี้

     

    วางกระป๋องเบียร์แล้วตัดสินใจลุกขึ้นไปดู เสียงพากย์ในเนชั่นแนลจีโอกราฟิกคล้ายจะช่วยให้ฮึกเหิมขึ้น ผมดันบานประตูที่ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดให้นิ่งสนิท มองเงาวูบไหวข้างหลังกระจกฝ้า หัวใจเองก็ไหววูบไม่แพ้กัน

     

    ผมเลื่อนไปเปิดสวิทช์ไฟ พลางคว้าเอามีดในอ่างล้างหน้ามาถือไว้ให้ถนัดมือ สิ่งนั้นยังคงขยุกขยิกอยู่หลังฝ้ากั้น ผมชั่งใจว่าควรจะเดินไปดูให้ชัด ๆ ดีไหม ความกลัวพุ่งพล่านเหมือนกับมันอยากบีบรัดผมให้อยู่กับที่ แต่ทว่า -- เมื่อต้องแลกกับความหวาดระแวงแล้ว

     

    “...”

     

    ผมผงะถอยทันทีที่เห็นว่าชิ้นส่วนร่างนั้นกำลังขยับเข้าหากัน มันเรียงตัวเหมือนเล่นจิ๊กซอว์ และทันทีที่ดวงตาสีเข้มของแบคฮยอนเหลือบมาเห็น ก็คล้ายกับมีมือกระชากร่างของผมให้ล้มลงไปข้างหลัง เท้าของผมเหยียบเข้ากับอะไรบางอย่าง อาจจะเป็นตับ ลำไส้ หรืออะไรที่เละคาอยู่ตรงนั้น

     

    ผมปวดร้าวไปทั้งร่าง แสงบนเพดานจ้าจนแสบตา ตรงข้ามกับสติสัมปชัญญะที่กำลังริบหรี่ลงเรื่อย ๆ ผมอยากจะบอกคุณว่าเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ แต่นั่นแหละ ผมหมดสติ

     

     

     

    -

     

     

     

    เฮือก

     

    ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมา แล้วแสงจ้านั่นก็เล่นงานผมเหมือนเดิม

     

    ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้ว ผมพยายามจะขยับตัวเพื่อลุกขึ้น ความรู้สึกเหนียวเหนอะหนะมันทำให้ผมอึดอัด แล้วกลิ่นนี่ก็เหม็นคาวจนแทบอ้วก ผมขยับตัวขยุกขยิก แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันน่าหงุดหงิดสิ้นดี

     

    เสียงขลุกขลักดังไม่ใกล้ไม่ไกลจากตรงนี้ ผมหวาดผวา แล้วก็คลับคล้ายคลับคลาว่าสิ่งที่เห็นก่อนหน้านี้เป็นเรื่องจริงหรือความฝัน ผมอยากจะลุกไปปิดไฟนีออนให้รู้แล้วรู้รอด มันทำให้ตาพร่าและแสบไปหมด อะไรบางอย่างเข้ามาใกล้ขึ้น ผมพยายามเพ่งสายตาและเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของใบหน้าที่ชะโงกเข้ามาในกรอบสายตา หัวใจผมหยุดเต้น คล้ายกับมีฟ้าผ่าหรือน้ำร้อนเดือด ๆ ราดลงมาใส่ไม่มีผิด

     

    บยอนแบคฮยอนกำลังยิ้ม เขายื่นมือลงมากระชากเรือนผม จับมันยกขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็คว่ำใบหน้าผมลงให้เห็นสาเหตุของกลิ่นสาบคาวและความรู้สึกที่เหมือนกับเป็นอัมพาต

     

    ผมโดนจับฝังหน้ายัดลงไประหว่าท่อนแขนและขา แก้มของผมมีเลือดซิบเพราะแรงกดเสียดกับกระดูกเรเดียส ทุกอย่างมืดทึบ เหม็นหืน แล้วก็น่าสะอิดสะเอียนสิ้นดี

     

    “นายไม่น่าบอกเลิกฉันเลย”

     

    เขารูดซิปปิด แล้วก็อย่างกับรู้ล่วงหน้า ว่าการเคลื่อนไหวนี้จะพาผมไปที่ไหน.

     

     

     

     

     

     

     

     

    -----------------

     

    คอมเมนท์เป็นกำลังใจให้กัน :-)

    หรือถ้าชอบติดแฮชแท็กในทวิตเตอร์

    จะไปรอใน #oharhafic นะคะ












     

    M
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×