ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดูการ์ตูนอย่างแมว ๆ

    ลำดับตอนที่ #134 : 10 อนิเมชั่นที่ดีที่สุดของฮายาโอะ มิยาซากิ

    • อัปเดตล่าสุด 31 พ.ค. 54



    ฮายาโอะ มิยาซากิขึ้นชื่อว่าเป็นผู้กำกับภาพยนตร์การ์ตูนในตำนานของญี่ปุ่น ที่ปัจจุบันไม่มีใครเทียบชั้นเขาได้ เขาได้อยู่คู่กับสตูดิโอจิบลิจนกลายเป็นสัญลักษณ์ของสตูดิโอนี้โดยบริยาย เขาได้กำกับภาพยนตร์ยอมเยี่ยมมากมายจนทั่วโลกยอมรับ และได้รับการยกย่องว่าภาพยนตร์การ์ตูนของเขานั้นยิ่งใหญ่พอๆ กับวอลต์ ดิสนีย์ และส่วนตัวผมนั้นผมก็ชอบภาพยนตร์ของผู้กำกับเคนนี้เช่นกัน เนื่องจากภาพยนตร์ของจิบลิเต็มไปด้วยจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ และเนื้อหาและภาพไม่ตกยุคดูกี่ที่ไม่เบื่อ และที่สำคัญตอนจบในหลายเรื่อง ชวนให้จิ้มมากมาย อารมณ์ประมาณว่าสามารถทำ ภาค 2 ต่อได้อย่างสบาย(แต่กระนั้นภาพยนตร์ทุกเรื่องของมิยาซากิไม่เคยมีเรื่องไหนทำภาค 2 สักเรื่อง ยกเว้นซีรีย์ลูแปง) และนี้คือ 10 อนิเมชั่นผลงานของมิยาซากิที่ถือได้ว่าดีที่สุดและมีเอกลักษณ์น่าดูที่สุดของเขา

      

    อันดับ 10 Lupin III:The Castle of Cagliostro

     

     หรือ จอมโจรลูแปงที่ 3 ตอนปราสาทของคาริออสโตร เป็นภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่องแรกของฮายาโอะ มิยาซากิ ในปี 1979 (ซึ่งร่วมกำกับในทีวีซีรีส์ จอมโจรลูแปงที่ 3 ภาคแรก และกำกับ 2 ภาคหลัง) ก่อนที่จะก่อตั้งสตูดิโอจิบลิ โดยเป็นเรื่องของ จอมโจรหนุ่มนามจอมโจรลูแปงที่ 3 ผู้ซึ่งเป็นหลานของอาร์แซน ลูแปง ตัวละครชื่อดังของ มอริซ เลอบลังก์ พร้อมด้วยพองเพื่อนคือ มือปืนจิเก็น และ นักดาบโกเอมอน ที่ต้องร่วมมือกันตามหา(และขโมย)สมบัติทั่วโลก และภาคนี้เขาได้ช่วยเหลือองค์หญิงให้รอดพ้นเงื่อมมือของผุ้ร้าย) โดนตอนแรกๆ แฟนๆ ของมังงะดั้งเดิมของจอมโจรลูแปงที่ 3 ไม่ชอบใจภาพยนตร์เรื่องนี้นัก เมื่อลูแปงกลายเป็นคนที่มีบุคลิกต่างไปจากดั้งเดิมอย่างสิ้นเชีง แต่กระนั้นจอมโจรลูแปงที่ 3 ตอนปราสาทของคาริออสโตรกลับกลายถูกยกย่องว่า เป็นการ์ตูนลูแปงที่ยอดเยี่ยมที่สุด ได้รับการโหวตให้เป็น อนิเมชั่นที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์โดยผู้อ่านนิตยสาร Animage นอกจากนั้นผู้กำกับหนังสตีเว่น สปีลเบิร์กก็ออกมายกย่องว่าเป็นภาพยนตร์ผจญภัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่ดูมา ซึ่งแม้ว่าภาพยนตร์ดังกล่าวยังมีปัญหาในการเคลื่อนไหวไม่สวยงามนัก และมีหลายฉากที่ไม่ค่อยสมจริง แต่นั้นสิ่งที่ทดแทนก็คือความลึก และอารมณ์ในการถ่ายทอด(ในปี 2000 ภาคดังกล่าวได้มีการปรับปรุงใหม่ให้ออกมาดียิ่งขึ้น) และเรื่องนี้ผมไม่ได้ดูจึงไม่สามารถอธิบายได้ว่าเนื้อหามันสนุกยังไง(ตามความคิดผม) และเป็นการ์ตูนอีกเรื่องที่ผมอยากดูมากที่สุด

      

    9. Gake no Ue no Ponyo 

                    

    Gake no Ue no Ponyo  หรือ โปเนียว ธิดาสมุทรผจญภัย เป็นภาพยนตร์อนิเมชั่นในปี 2008 เป็นภาพยนตร์เรื่องที่แปดของมิยาซากิและสตูดิโอจิบลิ แม้ว่าในช่วงนี้อนิเมชั่นส่วนใหญ่จะเริ่มมีการใช้ภาพสามมิติและเนื้อหาส่วนใหญ่เน้นแอ็คชั่นบ้าพลังกันแล้ว แต่กระนั้นมิยาซากิยังไม่หลงกระแส ยังยืนหยัดสง่างามกับเนื้อหาสื่อสารที่สร้างสรรค์และเนื้อหาเหมาะสมกับทุกเพศทุกวัยอยู่เสมอ จึงไม่น่าแปลกแต่อย่างใดที่ภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่องดังกล่าวยังคงโดดเด่นและความสวยงามอยู่เสมอ

    โดยภาพยนตร์การ์ตูนนั้นเป็นเรื่องเด็กชายวัยห้าขวบตัวเล็กๆ คนหนึ่งชื่อโซะสุเกะ อาศัยอยู่ในบ้านบนหน้าผาสูงติดทะเลอินแลนด์ เช้าวันหนึ่ง แต่แล้วเช้าวันหนึ่ง ระหว่างที่เล่นเพลินอยู่บนชายหาด โซสุเกะได้พบกับขวดใบหนึ่งที่มีปลาทองติดอยู่ เขาได้ช่วยชีวิตปลาทองไว้และตั้งชื่อมันว่า "โปเนียว" พร้อมกับสัญญาว่าจะปกป้องปลาทองตัวน้อยตลอดไป โดยหารู้ไม่ว่าปลาทองตัวนี้ไม่ใช่ปลาทองธรรมดา แต่เป็นลูกสาวของเจ้าสมุทรและเทพีแห่งท้องทะเลที่หนีจากโลกบาดาลขึ้นมาบนโลกมนุษย์ เด็กทั้งสองตกหลุมรักกัน แต่พ่อของเธอก็ใช้เวทมนตร์ส่งคลื่นลูกใหญ่ไปพาโปเนียวกลับมาหาเขาที่โลกใต้ทะเล ทั้งโซสุเกะและโปเนียวเสียใจมากที่ต้องพรากจากกัน โปเนียวจึงใช้เวทมนตร์ของพ่อเพื่อแปลงร่างเป็นเด็กผู้หญิงและหนีขึ้นมาหาโซสุเกะอีกครั้ง แต่การใช้เวทมนตร์ดังกล่าวส่งผลให้โลกตกอยู่ในอันตราย และเป็นจุดเริ่มต้นของการผจญภัยของเด็กทั้งสองในท้องทะเลอันกว้างใหญ่

    โปเนียวเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผมได้เห็นความเลิศล้ำของมิยาซากิเป็นอย่างมาก ด้วยภาพการเคลื่อนไหวที่งดงาม กว่า 101 นาทีของภาพยนตร์ แม้เนื้อหาของเรื่องจะไม่ซับซ้อนเท่า Spirited Away (2003) หรือตื่นเต้นเท่า Princess Mononoke (1997) แต่การดำเนินเรื่อง ชัดเจน แม่นยำ และใส่ประเด็นเอาไว้ชัดเจน เก็บรายละเอียดได้สุดยอดมาก ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดของทะเล ภาพชนบท ฯลฯ และเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องมิยาซากิที่ไม่มีตัวร้ายตัวโกงอีกเรื่อง แม้ว่าพ่อของโปเนียวนั้นจะมีหน้าตาอัปลักษ์หรือชั่วร้าย แต่ความจริงแล้วเขามีจิตใจดีงามและการกระทำบางอย่างเพราะเป็นห่วงโปเนียวจริงๆ

    นอกจากนี้ประเด็นของโปเนียวที่มิยาซากินำมาใส่ไว้ในยังคงเช่นเดิม ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติที่ถูกทำลายโดยน้ำมือมนุษย์ และสิ่งที่เพิ่มมาก็คือ ความสัมพันธ์ของเด็กสองคน ระหว่างเด็กหญิงกับเด็กชาย ที่ทั้งสองมีภาระหน้าที่แตกต่างกันออกไป นอกจากนี้ยังนำเสนอเรื่องราวลึกซึ้งระหว่างครอบครัว แม่กับลูกในยุคสมัยที่เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวายและความไม่แน่นอน โดยส่วนตัวแล้วผมชอบการ์ตูนเรื่องนี้มาก แม้เนื้อหาไม่ได้ซาบซ้ำน้ำตาไหล แต่กระนั้นดูแล้วน่ารัก สุขใจ โดยภาพที่ผมชอบคือฉากโซะสุเกะปลอบใจลิซ่า(แม่) และส่งสัญญาณไฟให้พ่อของเขา

     

    8. Howl's Moving Castle

      

    ปราสาทเวทมนตร์ของฮาวล์ เป็นนิยายสำหรับเด็กแนวแฟนตาซี เขียนโดยนักเขียนชาวอังกฤษ ไดแอนา ไวนน์ โจนส์ ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1986 และมีการดัดแปลงทำเป็นภาพยนตร์อนิเมชั่นในปี ค.ศ. 2004 โดยเป็นภาพยนตร์การ์ตูนลำดับที่ 15 จากสตูดิโอจิบลิ ผู้กำกับชาวญี่ปุ่น มิยาซากิในสตูดิโอจิบลิ

    ปราสาทเวทมนตร์ของฮาวล์ เป็นเรื่องราวของโลกแฟนตาซี ในยุคเครื่องจักรไอน้ำ เวทมนตร์ และสงครามระหว่างประเทศ โดยเรื่องราวเริ่มต้นอยู่ที่ตัวเอกหญิงคนหนึ่ง ชื่อ โซฟี แฮตเตอร์ ซึ่งเป็นพี่คนโตของน้องสาวอีกสองคน อาศัยอยู่ในอาณาจักรเทพนิยายแห่งอินกา น้องสาวคนรองของโซฟีชื่อ เล็ตตี้ เป็นคนที่สวย ในขณะที่น้องคนเล็กชื่อ มาร์ทา เป็นคนที่ฉลาด โซฟีจึงมักจะคิดว่าตัวเองเป็นคนไม่น่าสนใจและไม่ฉลาด โซฟีได้สืบทอดกิจการร้านขายหมวกของครอบครัว จนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่อแม่มดแห่งทุ่งร้าง ได้สาปให้โซฟีกลายเป็นหญิงชราอายุ 90 ปี เพราะไปทำให้แม่มดโกรธ โซฟีเลยต้องออกจากบ้าน และได้ไปพบกับปราสาทเคลื่อนที่ของพ่อมดฮาวล์ ผู้ซึ่งถูกร่ำลือว่าชอบสะสมหัวใจของเด็กผู้หญิง แต่โซฟีในสภาพหญิงชราก็ได้เป็นแม่บ้านในปราสาทแห่งนี้  และนี้คือจุดเริ่มต้นการผจญภัย และการพัฒนาจิตใจของโซฟีและพ่อมดฮาวล์

    ภาพสวย ลื่นไหล ตามแบบมิยาซากิ เช่นเคย ภายนอกเหมือนแฟนตาซีรักโรแมนติกประเภทพ่อมดรูปหล่อกับสาวที่ต้องคำสาป แต่การดำเนินเรื่องกลับไม่ใช่เลย จุดเนื้อหาของการ์ตูนไม่ใช่อยู่ที่การผจญภัยในโลกแฟนตาซียิ่งใหญ่นี้แตกอย่างใด โดยเนื้อหาสอดแทรกประเด็นของสงคราม ความน่ากลัวของสงคราม หากแต่ตอนท้ายสงครามดังกล่าวจบลงอย่างง่ายดาย เสมือนเป็นเครื่องเตือนใจเราว่าสงครามในโลกแห่งความจริงนั้นไม่ได้จบง่ายแบบในการ์ตูน(ว่ากันว่าจุดเริ่มต้นของการ์ตูนเรื่องนี้คือมิยาซากิไม่เห็นด้วยกับสงครามอิรัก)

     ประเด็นการ์ตูนเรื่องนี้ที่พยายามเสนอคือ  การพัฒนาจิตใจของโซฟี่และพ่อมดฮาร์ทในเรื่องปม “การหลอกตัวเอง” และ “ความไม่มั่นใจตัวเอง” ซึ่งเป็นประเด็นแคบๆ เสียมากกว่า โดยตัวละครในเรื่องมักมีปมปัญหาเหล่านี้อยู่ ไม่ว่าจะเป็นคำสาปของโซฟีที่เปรียบเสมือนความไม่มั่นใจในตนเองและการหลอกตัวเองของโซฟี่ ซึ่งตอนแรกโซฟี่ไม่ได้ใช้ชีวิตตามทางที่ตนเองเลือก(น่าเสียดายที่ประเด็นครอบครัวแม่เลี้ยงของโซฟี่ไม่ได้เน้นเท่าไหร่นัก) โดยคำสาปของโซฟี่นั้นสามารถแก้ไขได้อย่างง่ายดาย เมื่อใดที่เธอตั้งใจพูดถึงสิ่งที่ออกมาจากใจ เธอจะกลับคืนสู่ร่างเดิม และหากเธอไม่มั่นใจหรือหลอกตัวเองเธอก็จะกลับร่างหญิงชรา(แต่น่าคิดคือร่างหญิงชราของโซฟี่แบ่งออกแบบสองแบบคือ ตอนแรกเธอหลังค่อม แต่ช่วงหลังกลับหลังไม่ค่อม) แต่เมื่อเธอพบฮาวล์โซฟี่ก็มีความรัก และความรักนี้ก็คือความจริงใจของโซฟี่ที่หลุดพ้นคำสาปดังกล่าว ส่วนฮาวล์ประเด็นก็คือเขาหลอกตัวเอง ภายนอกเหมือนสุภาพบุตร แมน ผมทอง แต่ความจริงแล้วนิสัยที่แท้จริงของเขาคือเป็นคนร่าเริง และให้ความสำคัญกับครอบครัว รับคนที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าเข้ามาเป็นสมาชิกครอบครัวอย่างง่ายดาย แต่น่าเสียดายที่ประเด็นเด็กรับใช้ของฮาวล์นั้นไม่ได้กล่าวถึงว่าเขามีที่มาอย่างไร(แต่เชื่อว่าเป็นเด็กกำพร้า) สุดท้ายประเด็นความขี้ขลาด ความรุนแรงในการต่อต้านสงคราม และประเด็นวัยเด็กของฮาวล์นั้นยังคาใจอยู่บ้าง แต่สุดท้ายสิ่งที่ทำให้ฮาวล์กลับมาเป็นตัวของตัวเองก็คือโซฟี่

    อีกตัวละครหนึ่งในเรื่องที่สำคัญก็คือ แม่มดแห่งทุ่งร้างที่สาปโซฟี่ที่ร่างจริงเป็นหญิงชรา ประเด็นดังกล่าวจะเริ่มเผยว่าทำไมเธอถึงสาปโซฟี่เป็นคนแก่ แม้ว่าประเด็นดังกล่าวในเรื่องไม่ได้เปิดเผยมากนัก แต่เชื่อว่าแม่มดแห่งทุ่งร้างคงเป็นอดีตกิ๊กของพ่อมดฮาวล์ หากแต่ถูกฮาวล์ทิ้ง(เพราะฮาวล์ตกใจในร่างน่าเกลียดของแม่มดทุ่งร้างแถมฮาวล์ก็มีปัญหาเรื่องความรักตามมาอีก) ทำให้แม่มดแห่งทุ่งร้างอิจฉาโซฟี่เพราะคิดว่าเธอเป็นกิ๊กของพ่อมดฮาร์ทจึงสาปเธอดังกล่าว หากแต่เมื่อเธอถูกทำลายพลังเวทย์เธอก็ได้เป็นสมาชิกครอบครัวของพ่อมดฮาวล์ แต่กระนั้นเธอก็ยังอดที่จะอิจฉาโซฟี่ไม่ได้  หากแต่สุดท้ายโซฟี่และแม่มดแห่งทุ่งร้างก็เข้าใจกันว่าเราสองคนต่างรักฮาวล์ และสองสาวก็สามารถอยู่ร่วมกันได้ นอกเหนือจากนี้การ์ตูนยังมีประเด็นที่สอดแทรกที่ตีความได้หลากหลาย จึงไม่แปลกอะไรที่นักวิจารณ์และผู้ชมตีความเป็นคนละทิศละทาง(พูดง่ายๆ เรื่องนี้ดูยากนั่นแหละ)


                    7. Porco Rosso

      

    หรือชื่อไทย พอร์โค รอสโซ สลัดอากาศ ครั้งแรก เป็นมังงะ ก่อนที่จะถุกสร้างเป็นภาพยนตร์การ์ตูนญี่ปุ่นของสตูดิโอจิบลิ โดยฮายาโอะ มิยาซากิ ออกฉายเมื่อปี ค.ศ. 1992 ในบรรดาภาพยนตร์แอนิเมชันของ มิยาซากิ ฮายาโอะ ทั้งหมด ผลงานเรื่องนี้ถือได้ว่าเป็นภาพยนตร์ที่เป็น "ส่วนตัว" ที่สุดที่รวบรวมสิ่งที่ชอบของผู้กำกับมาไว้ในเรื่องเดียวกันคือ หมู, เครื่องบิน และผู้หญิง มานำเสนอเป็นการ์ตูนในบรรยากาศของหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยมีแนวคิดคือการมองโลกในแง่ร้าย

    เนื้อหาของเรื่อง Porco Rosso  จะแตกต่างจากมังงะเล็กน้อย(จนเกือบมาก) กล่าวถึงยุคสิ้นสุดหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ตัวเอกชาวอิตาลีชื่อ พอร์โค พาก็อต นักบินที่เคยมีประวัติเป็นวีรบุรุษในสงครามที่สาปตัวเองให้มีหน้าตาเป็นหมูอันเนื่องมาจากการสูญเสียศรัทธาในความเป็นมนุษย์ไป หลังสงครามมาร์โคผันตนเองเป็นนักล่าเงินรางวัลที่ขี่เครื่องบิน Savoia S.21 สีแดงซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม พอร์โค รอสโซ หรือ "ไอ้หมูสีแดง" คอยฟังความช่วยเหลือจากเรือผู้โดยสารที่ถูกก่อกวนด้วยโจรสลัด ที่เขามักต่อรองเงินรางวัลก่อนออกไปช่วยเหลือ พอร์โค พาก็อต ค่อนข้างเป็นคนที่จริงจังกับชีวิตและเงียบขรึมมองโลกแง่ร้ายตลอดเวลาจนกระทั้งเขารู้จักเด็กสาวคนหนึ่งชื่อฟีโอที่มีอายุต่างวัยที่มีในฐานะผู้ออกแบบเครื่องบินลำใหม่ของพอร์โค ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เริ่มก่อตัวขึ้นจนเขาเริ่มศรัทธาการเป็นมนุษย์ท่ามกลางระบบฟาสซิสต์และสงครามครั้งใหม่กำลังคืบคลานใกล้เข้ามา.....

                    ในตอนแรกๆ การ์ตูนเรื่องนี้ไม่ค่อยดีในเรื่องกระแสตอบรับและรายได้มากนัก นักวิจารณ์บอกว่าอันเนื่องจากผู้กำกับฮายาโอะใส่ความเป็นส่วนตัวของเขาลงมากเกินไปจนคนชมที่เป็นเด็กไม่ค่อยชอบ แต่กระนั้นในเวลาต่อมาหลายคนเริ่มเห็นความสำคัญในการ์ตูนเรื่องนี้เนื่องด้วยมีเนื้อหาการค้นหาตัวเอง การต่อต้านสงคราม และระบบลัทธิฟาสซิสต์ที่รุ่งเรื่องในอิตาลี ทำให้การ์ตูนเรื่องนี้ไปโด่งดังในต่างประเทศแทน โดยฉายใน อิตาลี, เกาหลี, อังกฤษ, สเปน, จีน, อาหรับ, รัสเซีย, ฝรั่งเศส และเยอรมัน

                    นอกจากนี้การ์ตูนยังเน้นความสัมพันธ์ระหว่างสามตัวละคร คนแรกคือพระเอกพอร์โค ฟีโอที่รักพอร์โค และอีกคนคือจีน่า(ในมังงะไม่มีตัวละครดังกล่าว) อดีตคนรักของพอร์โคที่ยังคงรักและเป็นห่วงเขาอยู่ ความสัมพันธ์ทั้งสามที่ว่านี้ไม่ใช่รักสามเส้าหากแต่เป็นความรักแบบเสียสละเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกันมากกว่า

                    ส่วนตัวผมแล้ว ผมชอบการ์ตูนเรื่องนี้ครับ เพราะนางเอก น่ารักอ่ะ!!(เสียงโก๊ะตี๋)  แต่สายดายนิดหน่อยตรงที่ฉากจบครับ ดูเหงาๆ นิดหน่อย แบบว่าจบแบบทิ้งค้างด้วยเพราะพอร์โคหายไป ซึ่งเป็นความตั้งใจของมิยาซากิที่ต้องการสร้าง "ความคลุมเครือ" ให้กับคนดูไปคิดกันเองว่าบทสรุปของความรักพอร์โคจะเป็นเช่นไร และเขาได้กลับมามีใบหน้าเป็นคนอีกครั้งหรือไม่?

     

    6. My Neighbor Totoro

      

    โทโทโร่เพื่อนรัก เป็นอนิเมชั่นที่ตอบรับเป็นอย่างสูงของฮายาโอะ มิยาซากิและสตูดิโอจิบลิ โดยเนื้อหาเกี่ยวกับเด็กสาวสองคนที่เป็นเพื่อนกับวิญญาณไม้ในชนบทญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง(ค.ศ. 1956) ซึ่งภาพยนตร์ดังกล่าวออกฉายในปี 1988 โดยตัวภาพยนตร์มีความยาวเพียง 86 นาทีเท่านั้น

    เรื่องเริ่มต้นที่เด็กผู้หญิงสองคน ซัทซึกิ และ เม ย้ายมาอยู่บ้านใหม่ในแถบชนบทกับพ่อซึ่งเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย เพื่อที่จะให้ใกล้กับโรงพยาบาลที่แม่ของพวกเธอนอนรักษาตัวอยู่ ซัทซึเกะและเมได้อาศัยอยู่บ้านไม้เก่าๆ และพบว่าบ้านหลังนี้เป็นที่อาศัยของภูตเล็กๆ หลายตัว และนอกจากนั้นพวกเขายังค้นพบว่า ในป่าข้างบ้านมี โทโทโร่สัตว์วิเศษผู้พิทักษ์ป่าอาศัยอยู่ และต่อมาได้กลายเป็นเพื่อนกัน และเรื่องราวมหัศจรรย์สนุก ๆ ก็ได้เกิดขึ้นมากมาย

                    สำหรับการ์ตูนเรื่องนี้ช่วงแรกไม่ประสบความสำเร็จเรื่องรายได้มากนัก ซึ่งหลังจากที่ผมได้ดูก็สันนิษฐานได้ว่า การ์ตูนดังกล่าวเจาะกลุ่มเด็กมากไปหน่อย ซึ่งที่ผ่านหลายเรื่องของมิยาซากิที่เน้นตลาดทุกเพศทุกวัย อีกทั้งยังไม่มีการผจญภัยที่น่าตื่นเต้นที่ผู้ชมคาดหวังไว้เหมือนภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ที่เขาทำก่อนหน้า และภาพยนตร์ดังกล่าวจะเน้นถึงการผจญภัยของเด็กสองคน ในโลกแห่งใหม่ เน้นที่ความเรียบง่ายและน่าประทับใจของเรื่องราว ทำให้ไม่มีปมขัดแย่งหรือภัยคุคาม(หรือไม่มีตัวโกงนั้นแหละ)อาจดูน่าเบื่อไปนิด อีกทั้งยังจบเร็ว  

    แม้ว่าอนิเมชั่นดังกล่าวไม่ประสบสำเร็จเรื่องรายได้ แต่มันกลับได้รับคำชมจากหลายฝ่าย และกลาดรางวัลไปมากมาย เนื่องจากภาพและการเคลื่อนไหวของภาพยนตร์นั้นสวยงาม อีกทั้งภาพยนตร์ยังสอดแทรกคติสอนใจมากมาย เช่น สอนให้เด็กมีความรับผิดชอบ ขยันขันแข็ง รักธรรมชาติ และสิ่งที่ผมชอบการ์ตูนเรื่องนี้คือภาพชนบททั้งสองนั้นมีความสวยงามมากๆ (เห็นว่ามาจากสถานที่จริง คือจังหวัดอะกิตะ อีกทั้งบ้านที่เด็กทั้งสองอยู่อาศัยก็มาจากสถานทีที่มีอยู่จริงด้วย) และประทับใจวิถีชีวิตชนบท และน้ำใจคนในหมู่บ้านในภาพยนตร์ดังกล่าว

    สังเกตได้ว่าการ์ตูนเรื่อโทโทโร่ดังกล่าวนั้นจบแบบเหมือนจะมีภาคต่อ ดังนั้นจึงมีคนถามคำถามแก่ มิยาซากิว่าเขาจะทำภาคต่อของโทโทโร่เพื่อนรักหรือไม่ คำตอบที่ได้คือ "ไม่" เพราะมายาซากิวางปมว่าโทโทโร่นั้นเป็นเพียงสิ่งที่อยู่ในจินตนาการของเด็กทั้ง 2 คนเพื่อชดเชยกับการต้องอยู่ห่างแม่เท่านั้น มันไม่มีอยู่จริง โดยสังเกตในช่วงเครดิตท้ายเรื่องว่าเมื่อแม่ของทั้งคู่สามารถกลับมารักษาตัวที่บ้าน โทโทโร่ก็ปรากฏขึ้นมาอีกเลย แต่จนแล้วจนรอดมิยาซากิก็ทำ "ภาคต่อ" ของโทโทโร่เพื่อนรักจนได้ หากแต่อยู่ในรูปของ ภาพยนตร์แอนิเมชันขนาดสั้นในชื่อ "เมกับรถบัสแมว" แต่หนังเรื่องนี้มีฉายให้ดูเฉพาะที่พิพิธภัณฑ์จิบลิเท่านั้น

    นอกจากนี้โทโทโร่ยังมีอิทธิพลต่อจิตใจคนญี่ปุ่นอีกด้วย ความมีแบบสอบถามแล้วพบว่า คนญี่ปุ่นรักโทโทโร่มากกว่ามิกกี้เมาส์เสียอีก ตอนที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ออกฉายใหม่ๆ มีนักศึกษาเเละกลุ่มผู้รักธรรมชาติจัดขึ้นนี้ขึ้น เเละใช้ โทโทโร่ เป็นภาพยนตร์รณรงค์ประท้วงไม่ให้คนตัดต้นไม้ไปสร้างเป็นห้างสรรพสินค้าจนสำเร็จมาแล้ว

    (ปล. ในกินทะมะเคยเอามุกโทโทโร่มาแซวด้วย ตอนนายกินไปดูภาพยนตร์ในโรงหนัง)

     

    5. Nausicaä of the Valley of the Wind

                      

    หรือชื่อไทยคือ มหาสงครามหุบเขาแห่งสายลม เป็นภาพยนตร์ที่สร้างจากมังงะ(1982-1994)ในชื่อเดียวกันที่เป็นผลงานของเขาเอง(มังงะดังกล่าวสามารถหาอ่านได้ในเว็บ g.e. น่ะครับ) เปิดตัวในปี 1984 แน่นอนว่าภาพยนตร์เป็นการเล่าเรื่องแบบอย่างๆ เพียงแค่ 1 ใน 4 ของมังงะเท่านั้น แต่กระนั้นภาพยนตร์ก็ถ่ายทอดมหากาพย์ที่นำมาใส่อย่างเต็มอิ่มครบถ้วนกระบวนความแล้ว

    Nausicaä of the Valley of the Wind เป็นเรื่องราวเกิดขึ้นในช่วง 1,000 ปีหลังจากที่โลกเกิดเหตุการณ์ "Seven Days of Fire" ซึ่งเป็นทำให้ อารยธรรมมนุษย์และระบบนิเวศน์โลกถูกทำลายหมด ส่งผลทำให้พื้นที่ของโลกเกิดมลพิษอย่างหนัก เกิดป่าของเชื้อราที่มีพิษ ที่เป็นศูนย์ของเหล่าแมลงขนาดยักษ์มากมาย

    ส่วนเหล่ามนุษย์ที่เหลือได้กระจัดกระจาย ไปยังพื้นที่ต่างๆ ของโลกเพื่อสร้างอารยธรรมของตนเองขึ้นมา แต่ก็ไม่วายที่มีมนุษย์บางส่วนพยายามที่จะแย่งชิงทรัพย์กรอันน้อยนิดเพื่อเอามาของตนคนเดียว จนทำให้เกิดสงครามและการล่าอาณานิคมอยู่เนื่องๆ

    และการ์ตูนได้นำเสนอในมุมมองของเจ้าหญิงนาอุซิกา เป็นชื่อของเจ้าหญิงในประเทศเล็กๆ แห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ ณ หุบผาสายลม ดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่ายและสงบสุขบนผืนดินที่ยังอุดมสมบูรณ์ผืนน้อยๆ หากแต่แล้ววันหนึ่งก็ได้มีประเทศที่ใหญ่กว่ามารุกรานประเทศของเจ้าหญิง อีกทั้งยังลุกลามไปเป็นสงครามระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ และมนุษย์กับแมลง ในประเทศของเธออีก ทำให้นาอุซิกาพยายามที่จะหยุดสงครามเหล่านี้ โดยหาหนทางในทั้งสามอยู่ร่วมกัน ด้วยสันติ แต่กระนั้นดูเหมือนต่างฝ่ายจะชอบใช้วิธีรุนแรงมากกว่า และเจ้าหญิงจะทำอย่างไรโปรดติดตาม

    Nausicaä of the Valley of the Wind เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของสตูดิโอจิบลิ(ปล่อยออกมาก่อนที่สตูดิโอก่อตั้งด้วยซ้ำ)ที่คุณไม่ต้องถามว่าทำไมถึงต้องดู เพราะไม่มีภาพยนตร์อนิเมชั่นนี้แล้วสตูดิโอนี้อาจไม่เกิดก็ได้ และเป็นภาพยนตร์ที่สองของฮายาโอะ มิยาซากิที่เนื้อหา ซึ่งที่ผมชอบคือเป็นการ์ตูนที่ถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครได้ดีมาก ไม่ว่าจะเป็นฉากที่เจ้าหญิงเสียใจร้องไห้ก็ทำให้ผมรู้สึกคล้อยตามไปด้วย หรือแม้แต่ฉากแมลงโดนเหล็กปักก็รู้สึกสงสารแมลงดังกล่าว นอกจากนี้ภาพยนตร์ดังกล่าวยังสอดแทรก ลัทธิทหารของประเทศมหาอำนาจที่รังแกประเทศที่อ่อนแอ ลัทธิทำลายสำหรับพวกบ้าสงคราม แต่เนื้อหาใจความสำคัญของการ์ตูนคือการเสนอแนวคิดปรัชญากาย่า อันหมายถึงการสอนให้เรารู้จักโลกให้ลึกซึ้ง แน่นอนครับโลกของนาอุซิกานั้นไม่มีวันกลับคืนให้เป็นเหมือนเดิมแล้ว ดังนั้นสิ่งสำคัญก็คือการอยู่ร่วมกับสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นอย่างมีความสุขมากกว่า นอกจากนี้เนื้อหาของการ์ตูนยังสามารถโยงไปถึงภาวะโลกร้อน ฤดูกาลแปรปรวน แผ่นดินไหว น้ำท่วม ฝนแล้ง หลุมหยุบ ภูเขาไฟระเบิด ฯลฯ ล้วนเป็นสิ่งกระตุ้นเตือนที่แสดงให้มนุษย์ผู้อาศัยถึงผลที่เราทำต่อโลก และนี้คือสิ่งที่เราต้องเข้าใจและใส่ใจ พร้อมที่จะลงมือแก้ไข ก่อนที่จะสายเกินไป

    สิ่งที่ทำให้การ์ตูนนาอุซิกาเป็นอนิเมชั่นที่ดีที่สุดก็คือคาแร็คเตอร์ของตัวละครที่ออกมาโดดเด่น อย่างเจ้าหญิงนาอุซิก้าออกแบบได้น่ารักมากด้วยมีส่วนผสมความเป็นเด็กและผู้ใหญ่อยู่ในตัว เก่งกล้า น่ารัก เฉลียวฉลาด เสียสละ ผมสีชมพูแดงที่ถ่ายทอดอารมณ์เจ้าหญิงอันเป็นที่รักของประชาชนได้ดีมาก(ใครที่เบื่อเจ้าหญิงบทแบนราบมาดูการ์ตูนเรื่องนี้ได้เลย) และยานพาหนะที่ลอยบนท้องฟ้าของเจ้าหญิงก็ปรากฏในการ์ตูนหลายเรื่องมาก และที่สำคัญคือเนื้อหาและคุณภาพนั้นไม่ตกยุคเลย  งดงามของธรรมชาติ รวมถึงการมองโลกที่เต็มไปด้วยเรื่องเลวร้ายด้วยสายตาที่ดีที่สุดเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะทำได้ ได้กลายเป็นลายเซ็นของฮายาโอะ มิยาซากิจนทำให้การ์ตูนหลายเรื่องของเขาประสบผลสำเร็จหลายเรื่องในเวลาต่อมา


    4. Laputa: Castle in the Sky

      

    หรือชื่อไทยคือลาพิวต้า พลิกตำนานเหนือเวหาเป็นหนึ่งในอนิเมชั่นของฮายาโอะ มิยาซากิ ที่ฉายครั้งแรกในปี 1986 ซึ่งเป็นการ์ตูนผมชอบมาก และดูหลายรอบมาก  เนื่องจากเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมชอบการ์ตูนแนวผจญภัยสุดขอบฟ้า ที่พระเอกเป็นคนธรรมดาครั้งแรก ซึ่งในการ์ตูนช่วงหลังๆ มีแต่พระเอกเก่งเทพ ผู้กล้า ผู้รับเลือก มีแต่ฉากสู้กันดูแล้วไม่จรรโลงใจเลย(คงไม่ต้องตอบว่าการ์ตูนเรื่องอะไรบ้าง)

    ลาพิวด้าเป็นเรื่องราวของเด็กชายที่ทำงานในเหมืองแสนธรรมดาคนหนึ่ง ชื่อ ปาซู บังเอิญไปพบกับเด็กหญิงคนหนึ่ง ชื่อ ซิต้า ที่หล่นลงมาจากบนฟ้าด้วยอานุภาพของศิลาวิเศษชนิดหนึ่งที่คล้องคอไว้ทำให้เธอลอยในอากาศได้(ฉากคลาสสิกมากๆ)  ซึ่งความจริงแล้วศิลาดังกล่าวก็คือแผนที่ชี้นำไปหาเกาะลอยฟ้าลาพิวด้าอันเป็นเกาะที่เต็มไปด้วยทรัพย์สมบัติและอาวุธมหาประลัย ซึ่งซิต้านั้นสืบเชื้อสายจากราชวงค์ลาพิวด้าดังกล่าว และเธอต้องหนีจากการตามล่าของ  คนอยากได้ศิลาวิเศษนี้ไว้ในครอบครอง 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเป็นกองทัพจักรวรรดิที่อยากครอบครองเกาะลอยฟ้า "ลาพิวต้า" เพียงคนเดียวเพื่ออำนาจของตน และอีกฝ่ายหนึ่งเป็นโจรสลัดที่ต้องการเพราะศิลาเป็นของมีค่าเท่านั้น เมื่อปาซูพบซิต้า ทั้งสองก็สนิทกัน และปาซูก็พยายามพาซิต้าหนีทั้งสองฝ่าย โดยการเดินทางของทั้งสองก็เริ่มรู้เรื่องราวต่างๆ ของ และเกาะลอยฟ้าที่ ลาพิวต้า ซึ่งปาซูใฝ่ฝันอยากจะไปให้ถึง โดยมีรูปถ่ายที่พ่อของตัวเองพิสูจน์ว่ามีอยู่จริง ทำให้เขากับซิต้าอยากไปเกาะนั้นสักครั้ง และการผจญภัยของหนุ่มน้อยธรรมดาที่ตกกระไดพลอยโจรและไปตามสถานการณ์ก็ได้เริ่มต้นขึ้น

    ในแง่ความสำเร็จแล้วลาพิวด้านั้นประสบผลสำเร็จเป็นอย่างมาก แม้มันจะเป็นเรื่องที่ 2 ของสตูดิโอจิบลิ แต่กระนั้นมันก็สามารถทำเงินถล่มทลาย เหนือความคาดหมาย ขึ้นอันดับหนึ่งทำเงินของญี่ปุ่นเป็นเวลานาน และเป็นผลงานสร้างชื่อของมิยาซากิอีกเรื่องจนได้รับรางวัลมากมายไม่หวาดไม่ไหว จนกลายเป็นตำนานก็ว่าได้ จึงไม่แปลกอะไรที่การ์ตูนดังกล่าวได้บรรทัดฐานให้การ์ตูนหลายเรื่องทำตามอย่างบ้าง(บางเรื่องก็เอามุกเอาพล็อตมาใช้อย่างสนุกสนาน)

    สาเหตุที่ผมชอบการ์ตูนลาพิวด้านั้นก็มีหลายอย่าง เช่น พระเอกเป็นคนธรรมดา แต่การออกแบบนั้นผมดูแล้วพระเอกทั้งน่ารัก และแมนมาก นอกจากนี้บางทีอนิเมชั่นเรื่องนี้จะเป็นการ์ตูนที่เล่าเรื่องที่ดีที่สุดของมิยาซากิ เพราะเป็นมหากาพย์ที่เต็มอิ่ม แม้ว่าเนื้อหาจะเหมือนจะเป็นแนวแอ็คชั่น ผจญภัยธรรมดาทั่วไป แต่กระนั้นสิ่งทำให้การ์ตูนเรื่องนี้โดดเด่นคือกลวิธีการเล่าเรื่อง ที่คลายปมเป็นระยะๆ มีฉากตื่นเต้น ฉากประทับใจ ฉากผ่อนคลาย ไปจนถึงฉากไคแม็กซ์ ฉากสะใจ ชอบหมด แถมยังทิ้งประเด็นให้เราเก็บไปคิดก่อนจะจบเรื่องอีก และฉากจบก็ได้จิ้นให้เหมือนมีภาค 2 อะไรด้วย(แต่ไม่มีภาค 2 หรอก) เรียกได้ว่าคุ้มค่ากับเวลา 124 นาทีของภาพยนตร์ดังกล่าวจริงๆ ไม่มีเบื่อเลยสักช่วง บวกกับตัวละครที่มีเสน่ห์ โดยเฉพาะพระเอกและนางเอกนี้ออกแบบน่ารักจริงๆ ดูแล้วมีอารมณ์ร่วม น่ารักแบบเด็กๆ อีกทั้งด้วยภาพ การเคลื่อนไหว(ที่ทำด้วยมือเกือบทั้งหมด) และพล็อตที่น่าอัศจรรย์ จึงไม่แปลกแต่อย่างใดที่เวลาเอาการ์ตูนเรื่องนี้มาดูอีกครั้งมันก็ไม่รู้สึกเชยล้าสมัยแต่อย่างใด มันสนุกอย่างไรก็สนุกอย่างงั้น สุดยอดจริงๆ

    แน่นอนว่าการ์ตูนดังกล่าวนั้นยังสอดแทรกประเด็นต่างๆ มากมายให้เราเก็บไปคิดด้วย แน่นอนประเด็นที่มิยาซากิไม่ลืมคือเรื่องของธรรมชาติ จิตวิญญาณ เรื่องราวการผจญภัยตามหาความฝันของพระเอกและนางเอกเปรียบเสมือนการเติบโตของวัยรุ่นหนุ่มสาว และประเด็นการล่มสลายของลาพิวด้านั้นยังไม่เปิดเผย ปริศนาที่ทำไมนครที่ยิ่งใหญ่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีและอาวุธทรงพลังนี้ทำไมถึงล่มสลายซึ่งดูเหมือนผู้สร้างนั้นจงใจเลยทิ้งประเด็นมากกว่า เพื่อให้ทุกคนเก็บเอาไปคิดเอาเองทำไมถึงเป็นเช่นนั้น

                  

    3.Kiki's Delivery Service

     

    แม่มดกิกิบริการจัดส่งสินค้าหรือแม่มดน้อยกิกิ เป็นภาพยนตร์ของมิยาซากิและภาพยนตร์การ์ตูนลำดับที่ 5 จากสตูดิโอจิบลิ ออกฉายในปี 1989และเป็นหนึ่งในการ์ตูนของมิยาซากิที่ผมชอบมากที่สุดในดวงใจ ทั้งๆที่สมัยก่อนการ์ตูนญี่ปุ่นยังไม่รู้จักโมเอะแท้ๆแต่การ์ตูนดังกล่าวกลับทำให้ผมหลงรักแม่มดน้อยกิกิได้

    เนื้อหาของแม่มดกิกินั้น ดัดแปลงมาจากหนังสือนิทาน ฃสำหรับเด็กซึ่งแต่งโดยเอโกะ คาดาโน เป็นเรื่องราวของสาวน้อยแม่มด "กิกิ" ที่เมื่อถึงวัย 13 ขวบจำต้องออกเดินทางไปหาถิ่นพำนักพักอาศัยโดยลำพัง ตามกฎเกณฑ์เลี้ยงดูของครอบครัวแม่มดที่สืบทอดกันมายาวนานเธอเดินทางไปกับไม้กวาดลอยได้เพื่อค้นหาที่ไม่มีแม่มดคนอื่นมาอยู่ ในที่สุดเมืองที่เธออยากไปอยู่ก็มาอยู่ตรงหน้า เป็นเมืองใหญ่โตริมทะเลที่เธอฝันไว้ความที่เป็นเมืองใหญ่ มีผู้คนอาศัยอยู่มากเธอจำเป็นต้องปรับตัวและหาวิถีที่จะอยู่ในเมืองใหญ่เมืองนี้ให้ได้ ในที่สุดเธอก็ได้ไปอยู่กับครอบครัวทำขนมปังแล้วเธอก็ใช้ความสามารถในการขี่ไม้กวาดให้เป็นประโยชน์คอยรับจ้างส่งของให้กับคนในเมือง กิกิได้เจอกับเพื่อนใหม่มากมาย ต่างวัย ต่างอายุแต่ก็เป็นคนที่คอยให้กำลังใจเธอยามที่เธอสูญเสียเวทมนตร์

    Kiki'sDelivery Serviceเป็นการ์ตูนแสนงดงามเหมาะสำหรับเยาวชน(และครอบครัว)โดยถ่ายทอดเรื่องราวประจำวันอันน่าตื่นเต้นของแม่มดน้อยกีกิ และเจ้าแมวดำ-จีจี้โดยสอดแทรกข้อคิดมากมาย เช่น ประเด็นสำคัญคือ การเปลี่ยนผันจากวัยเด็กไปสู่วัยรุ่นที่จำต้องออกอ้อมอกของพ่อแม่-ผู้ปกครอง เพื่อเผชิญโลกในวันข้างหน้าด้วยตัวเองฝ่าฟันอุปสรรคขวากหนามนานาประการ เพื่อข้ามผ่านปัญหาต่างๆ ที่พานพบแสดงให้เห็นถึงความเป็นอิสระและความเชื่อมั่นในความหวังในจิตใจเด็กผู้หญิงวัยรุ่นคนหนึ่ง

    ในด้านความสำเร็จแล้วนี้เป็นอีกเรื่องของภาพยนตร์การ์ตูนมิยาซากิที่ประสบผลสำเร็จเป็นอย่างมากทั้งรายได้และรางวัลอีกทั้งเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่จัดจำหน่ายภายใต้ข้อตกลงของดิสนี่ย์และสตูดิโอจิบลิ

    โดยส่วนตัวแล้วผมชอบการ์ตูนเรื่องนี้มากครับไม่ว่าจะเป็นไอเดียหรือตัวละครเด่นแม่มดน้อยกิกิไอเดียแปลกดีปกตินี้เราจะเห็นแต่ชนบทของมิยาซากิมาหลายเรื่องแล้วหันมาดูฉากหลังเป็นเมืองใหญ่บ้างก็ไม่เลวนัก การดำเนินเรื่องก็ลื่นไหลจนภาพยนตร์จบเร็ว ทั้งที่ความยาวของภาพยนตร์ดังกล่าวนานถึง 103 นาทีแท้ๆแม้การ์ตูนดังกล่าวจะไม่มีจุดขัดแย้งหรือไม่มีตัวโกงแต่กระนั้นการ์ตูนดังกล่าวได้เน้นการพัฒนาจิตใจของแม่มดกิกิขึ้นมาแทนทำให้แม่มดน้อยกิกิเป็นตัวละครไม่แบนราบจึงไม่น่าแปลกแต่อย่างใดที่ผมหลงรักแม่มดน้อยกิกิ

     

    2. Princess Mononoke

     

    โมโมโกะเจ้าหญิงหมาป่า เป็นอนิเมชั่นฉากในปี 1997 และเป็นอีกเรื่องที่ประสบผลสำเร็จในด้านรายได้และการวิจารณ์ จนได้รับรางวัลมากมาย ซึ่งกว่าจะเป็นเรื่องดังกล่าวมิยาซากิต้องใช้เวลาถึง 16 ปีในการผูกเรื่องและสร้างละครเกือบทั้งหมด แม้ส่วนใหญ่จะถูกวาดด้วยมือแต่กระนั้นบางส่วนก็ใช้คอมมาร่วมด้วย(กลายเป็นว่าเป็นอนิเมชั่นเรื่องแรกของมิยาซากิที่ใช้คอม) นอกจากนี้ยังเป็นอนิเมชั่นที่ใช้เงินทุนสร้างมากที่สุดถึง 2.35 พันล้านเยน

                    Princess Mononoke ที่พูดถึงเรื่องราวความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ด้วยการเล่าที่ย้อนไปถึงยุคมุโระมะจิ(สมัยโอตุกาว่า อิเอยะสุเรืองอำนาจ) ในมุมมองของพระเอกที่น่ารักที่ชื่อ "เจ้าชายอาชิทากะ" ที่โดนคำสาปจากอสูรทาทาริ  ซึ่งเขาอาจจะต้องตาย ทางแก้ที่จะช่วยเขาได้ คือ ต้องเดินทางไปสู่ประจินทิศเพื่อไปป่าของเทพชิชิ เทพสูงสุดแห่งพงไพรช่วยแก้คำสาปให้ ซึ่งพระเอกต้องเดินทางไปกับกวางแดงเขาประหลาด  และเมื่อมาถึงที่หมายก็พบว่าพื้นที่ส่วนหนึ่งของป่าเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านแห่งหนึ่ง นาม “โลหะนคร” ที่อยู่ภายใต้ในการนำของนายหญิงอิโบชิ หมู่บ้านแห่งนี้ผลิตเหล็ก และปืนไฟ เพื่อความอยู่รอดในยุคสงคราม แต่การผลิตเหล็กสร้างความเดือดร้อนให้กับป่า และพวกเทพทั้งหลายเริ่มที่จะเป็นศัตรูกับคนในหมู่บ้านโดยเฉพาะเทพหมูป่า

                    จากนั้นพระเอกก็ได้พบมนุษย์เด็กผู้หญิงอย่าง ซัน (หรือ เจ้าหญิง โมโมโกะ) ที่อาศัยอยู่ในเทพโมโร หมาป่าสีขาวตัวยักษ์ในฐานะลูก แม้เธอจะเป็นมนุษย์ รักในธรรมชาติและป่า แต่กลับเกลียดชังมนุษย์ทั้งหลาย ซึ่งต่างจากพระเอกที่มองทุกอย่างด้วยดวงตาที่ปราศจากความเกลียดชัง และปรารถนาให้ทุกคนอยู่ร่วมอย่างสันติ แต่แล้วสงครามระหว่างเทพและมนุษย์ก็เริ่มขึ้น พระเอกต้องอยู่กลางวงเป็นคนกลางสำหรับ สุดท้ายนี้เจ้าชายจะแก้ไขความขัดแย้งนี้อย่างไร พร้อมๆ กับต้องแก้ไขคำสาปบนแขนขวาของตนที่กำลังกัดกินจนใกล้จะถึงฆาตแล้วด้วย

                    ผมประทับใจการ์ตูนเรื่องนี้มากครับ ไม่ว่าจะเป็นตัวละครที่น่ารักมีเสน่ห์ ฉากธรรมชาติที่สวยงาม ฉากคลาสสิกหนีเทพชิชิก็เป็นอะไรที่น่าตื่นตาตื่นใจอย่างยิ่ง อีกทั้งยังเป็นมหากาพย์ที่สอนอะไรหลายๆ อย่างแก่เราจริงๆ มีทั้งความรัก, ความให้อภัย, ความโลภ, สงครามไม่ได้ให้ประโยชน์แก่ฝ่ายใด, การต่อสู้ชีวิต, การให้กำลังใจ

                    สิ่งสำคัญที่การ์ตูนเรื่องนี้สอนคือ “ความรักธรรมชาติ” หากเปรียบการ์ตูนกับโลกทุกวันนี้ มนุษย์เราก็โดนธรรมชาติลงโทษ,แก้แค้นกันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วมที่เกาะใต้หวัน, ภัยพิบัติซึนามิ และสถาวะบนโลกร้อน แต่มนุษย์ก็ยังทำลายสิ่งแวดล้อมอยู่ดี เพราะความโลภและอำนาจเหรอ เปล่าเลย เพราะปากท้องของตัวเองต่างหาก พวกเขาต้องการที่อยู่อาศัย ต้องการเงินมาเลี้ยงครอบครัว อุตสาหกรรมเพื่อให้ประเทศของตนพัฒนายิ่งขึ้น ป่าจึงถูกทำลายอย่างช่วยไม่ได้ และเมื่อป่าถูกทำลาย หน้าดินถูกทำลาย สิ่งที่ตามมาคือธรรมชาติลงโทษ ความแห้งแล้งเริ่มมาเยือน เกิดสถาวะโลกร้อน และเกิดภัยพิบัติดังกล่าว


    1. Spirited Away

      

    Spirited Away หรือแปลเป็นไทยว่า เซ็นและชิฮิโระผู้ถูกผีลักไป  เป็นภาพยนตร์อนิเมชั่นแนวแฟนตาซี-ผจญภัย ฉายในญี่ปุ่นเมื่อปี  2001 ซึ่งเป็นการ์ตูนสร้างชื่อ ทำเงิน และได้รางวัลสุดขีดของมิยาซากิจนโด่งดังไปทั่วโลก โดยภาพยนตร์อนิเมชั่นดังกล่าวมีเนื้อหาเกี่ยวกับตัวเอกซึ่งเป็นผู้หญิงชื่อ ชิฮิโระเด็กหญิงอายุ 10 ขวบ ที่กำลังย้ายบ้านไปยังเมืองใหม่พร้อมกับพ่อแม่ ซึ่งตอนแรกนั้นมิฮิโระไม่อยากจะย้ายบ้านเลย เพราะว่าเธอไม่อยากจากบ้านเก่าเพื่อนๆ ของเธอ ระหว่างที่เธอรู้สึกกังวลนี้เอง ครอบครัวของเธอได้หลุดมายังเมืองร้างแห่งหนึ่งไร้ร้างคน แต่ดันไม่อาหารน่ากิน ซึ่งพ่อแม่ของเธอไม่รอช้ากินอาหรนั้นเข้าไปทั้งที่มิฮิโระเตือนแล้วว่าอาหารนี้ดูแล้วไม่ไว้ใจ และเมื่อพ่อแม่ของเธอกินอาหารพวกเขาก็กลายร่างเป็นหมู และนั้นเองที่ทำให้มิฮิโระต้องหาทางช่วยเหลือพ่อแม่ของเธอ พร้อมกับต้องออกไปยังโลกของเธอให้ได้ โดยเธอต้องเข้าไปยังดินแดนของเทพเจ้า โดยเธอเข้าไปทำงานเป็นเด็กในโรงบ่อน้ำร้อน ภายใต้การการปกครองของแม่เฒ่ายูบายา และที่นั้นเธอก็รู้จักเด็กชายคนหนึ่งชื่อ ฮากุ ดูเหมือนเขารู้จักกับเธอ แต่เธอไม่รู้จักเขาเลย และเรื่องนี้จะมีบทสรุปอย่างไรนั้น เอาเป็นว่าหามาดูเองเถอะ

    Spirited Away ได้รับรางวัลมากมาย รวมทั้งรางวัลออสการ์ นอกจากนี้ยังทำลายสถิติยอดรายได้สูงสุดของไททานิกในญี่ปุ่นลง (ไททานิกเป็นภาพยนตร์ที่ทำงานสูงสุดทั่วโลกในขณะนั้น) และได้อนิเมชั่นที่กวาดรายได้สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของภาพยนตร์ที่ออกฉายในประเทศญี่ปุ่นนับตั้งแต่เคยมีมา

    สาเหตุที่ทำให้อนิเมชั่นการ์ตูนเรื่องนี้ประสบความสำเร็จก็คือ สนุก เวทมนต์ พิศวง พัฒนาจิตใจ เนื้อหาของภาพยนตร์ดังกล่าวนั้นสอดแทรกเป็นมากมายอย่างน่าเหลือเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นมลพิษธรรมชาติ(ตามแบบถนัดของมิยาซากิ) การพัฒนาจิตใจของวัยรุ่น จิตใจดำมืดของมนุษย์(ที่ซ่อนอยู่ในเหล่าเทพหรือปีศาจ ไปจนถึงมนุษย์) วัฒนธรรมมารยาททางสังคม  รวมไปถึงการวิพากษ์วิจารณ์สังคมสมัยใหม่ของญี่ปุ่นอย่างแยบยล โดยเล่าถึงเด็กหญิงอายุสิบขวบซึ่งกำลังย้ายบ้านใหม่ ต้องทิ้งเพื่อนและโรงเรียนเก่าไว้เบื้องหลัง เธอได้เข้าไปผจญภัยในโลกแห่งวิญาณและปีศาจ โลกดังกล่าวพิศวงและเต็มไปด้วยสถานการณ์ที่ล่อแหลม เพราะเด็กหญิงไม่อยู่โลกนี้มาก่อน อีกทั้งยังเป็นโลกที่เธอไม่รู้ว่าจะสามารถกลับออกไปได้หรือเปล่า ทำให้ผู้ชมก็ความรู้สึกร่วมว่าจะเป็นอย่างไรต่อไปอย่างน่าติดตาม แม้ตัวภาพยนตร์จะไม่ใช่อนิเมชั่นที่ดูแล้วเกิดความรู้สึกซาบซึ้งกินใจน้ำตาไหล หรือว่าสะเทือนอารมณ์ หรือมีฉากแอ็คชั่นฉากระเบิดกระจายก็ตาม แต่กระนั้นสิ่งที่ทดแทนก็คือความพิศวง การตีความประเด็นที่มิยาซากิต้องการสื่อ ภาพ การเคลื่อนไหวที่สวยงามและรื่นไหล จึงไม่แปลกอะไรที่ทำให้การ์ตูนเรื่องนี้ติดอันดับ 1 ของมิยาซากิโดยไม่ต้องสงสัย


    อ้างอิงการจัดอันดับจากบทความ

    Top 10 Greatest Films of Hayao Miyazaki

    จาก 10 อันดับที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าลักษณะเฉพาะของอนิเมชั่นของมิยาซากินั้น จะเน้นไปที่แนวแฟนตาซี  จินตนาการ แฝงปรัชญา ใส่ประเด็นให้ขบคิด ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นธรรมชาติและสงคราม ฉากจบที่จบไม่ลง(สามารถจิ้นไปต่อได้) จนทำให้คนดูตีความได้หลากหลาย นอกจากนี้ตัวเอกของมิยาซากิจะเป็นผู้หญิง  ทำให้คนดูสามารถคิดแตกย่อยได้หลายประเด็น ตัวเอกของมิยาซากิมักจะเป็นเด็กผู้หญิง และใช้มุมมองแคบๆ เป็นหลัก ซึ่งอนิเมชั่นแนวของเขานั้นปัจจุบันไม่มีใครคิดจะทำแล้ว เพราะสมัยนี้อนิเมชั่นส่วนมากเน้นแอ็คชั่น บ้าพลัง ใส่ลูกเล่นภาพให้มันอลังงานสร้าง แต่เนื้อหากลวงโบ๋  ส่วนมากแตกมาจากอนิเมชั่นทีวีจอแก้วอีกที(จะมีแต่อนิเมชั่นของดีสนีย์แหละที่พอสอดแทรกประเด็นอะไรไว้บ้าง)

    ปัจจุบันมิยาซากิ ซึ่งตอนนี้เป็นคนปู่แล้ว แต่กระนั้นคนปู่ก็ยังไม่หมดไฟในการทำอนิเมชั่นต่อไป แม้บทบาทจะลดลงไปบ้าง โดยเรื่องล่าสุดคือ Kokurikozaka Kara(ฉายใน 16 กรกฎาคม 2011  ) ที่ดัดแปลงจากการ์ตูนสมัยก่อน กำกับโดยลูกชายของลุง โกโร่ มิยาซากิ  หลังจากที่กำกับ‘‘Tales from Earthsea’’ หรือ ศึกเทพมังกรพิภพสมุทรเป็นเรื่องแรกของปี 2006 แต่ปรากฏว่าแป๊กสนิทเพราะเนื้อหาการ์ตูนจุดสำคัญตกตามรายทางไปหมด(ทำให้ได้รางวัลภาพยนตร์ยอดแย่ของญี่ปุ่นประจำปีไปครอง) ส่วนเรื่อง Kokurikozaka Kara จะสามารถเรียกศรัทธาแก่คนดูได้หรือไม่ ลูกไม้จะหล่นไกลต้นหรือเปล่า คุณเท่านั้นจะเป็นผู้ตัดสิน


    + +

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×