ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดูการ์ตูนอย่างแมว ๆ

    ลำดับตอนที่ #118 : King of Thorn Movie Trailer Released หนาวแห่งจิตใจในโลกที่สิ้นหวัง

    • อัปเดตล่าสุด 19 ก.พ. 54


      

     

    King of Thorn เป็นภาพยนตร์การ์ตูนที่ผมพึ่งดูวันนี้แบบสดๆ ร้อนๆ และก็ไม่ผิดหวัง(ถ้าจะให้ผิดหวังคงจะเป็นเรื่อง CG ในภาพแหละ)

     

     

    King of Thorn (Anime)

     

    Ibara no Ou หรือ King of Thorn หรือกษัตริย์แห่งหนาว เป็นการ์ตูนญี่ปุ่นไซไฟ เอาตัวรอด เหนือธรรมชาติ ผลงานเทพนักเขียนที่ครั้งหนึ่งที่ผมชื่นชอบ IWAHARA Yuji นักเขียนคนนี้หลายคนไม่รู้จักนัก แต่ผมขอบอกว่าคนเขียนคนนี้ทำการ์ตูนแอ็คชั่นกินบรรยากาศดีมาก ผลงานหลายเรื่องผมชอบเยอะ อย่างผลงานเรื่อง Chikyuu Misaki  ที่อ่านได้บรรยากาศช่างหนาวเหน็บน่ากลัวจริงๆ แม้ว่าผลงานเกือบส่าสุดของเขาในผลงานเรื่อง Gakuen Sousei Nekoten! จะแย่ไปบ้าง(คือเนื้อหาพล็อตเดิมๆ มันไม่ใช่แบบคนเขียนคนนี้เลย)

    King of Thorn ในฉบับมังะนั้นมี 6 เล่มจบ ได้ตีพิมพ์ในไทยโดยบูรพัฒน์ในชื่อ ไวรัสพันธุ์สยองโลก  ระหว่างปี 2002-2005 เป็นการ์ตูนที่หลายคนยอมรับว่าเป็นการ์ตูนที่สามารถจับจิตใจผู้อ่านที่เต็มไปด้วยศิลปะ เนื้อหาที่ตื่นเต้นเต็มไปด้วยการอยู่รอดความตึงเครียดได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนได้รับรางวัล 1 ใน 10 นวนิยายกราฟฟิค Young Adult Library Services Association ประจำปี 2008

    การ์ตูนมังงะจบไปนานตั้งแต่ปี 2005 จนกระทั้งในปี 2010 อนิเมชั่นก็ได้ตามมาโดยทำเป็นภาพยนตร์ในดีวีดีและบลูเรย์ ผลงานของผู้กำกับที่ผมแทบไม่เคยได้ยินชื่ออย่าง Kazuyoshi Katayama กับสตูดิโอ Kadokawa Pictures สตูดิโอชื่อดังนี้ชอบทำภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์หลายเรื่องที่ดังคือกาเมร่าหรือพวกสัตว์ประหลาดมอนสเตอร์ขนาดยักษ์ จึงไม่แปลกอะไรเลยที่จะจับการ์ตูนเรื่อง King of Thorn มาทำภาพยนตร์การ์ตูนฟาร์มยักษ์บ้างเพราะในเรื่องมีมอนสเตอร์อะไรต่างๆ มากมาย ผลออกมาการ์ตูนเรื่องนี้ประสบผลสำเร็จสูงทำเงินไปได้กว่า 0.058 พันล้านเยน และฉายไปทั่วโลก และถูกเสนอชื่อชิงรางวัล Asia Pacific Screen Award for Best Animated Feature Film(อนิเมชั่นเคลื่อนไหวยอดเยี่ยมแห่งแปซิฟิก) ถึง 4 รางวัล

    แค่นี้ก็อธิบายได้แล้วว่าการ์ตูนเรื่องนี้สมควรค่าแก่การดูหรือเปล่า?

     

    ในอนิเมชั่น King of Thorn นั้นมีเนื้อหาแตกต่างจากมังงะโดยสิ้นเชิง แม้ว่าตัวละครหลักๆ จะอยู่ครับ มีโรคเมดูซ่า เอาตัวรอด แต่ส่วนต่างๆ ถูกปรับเปลี่ยนใหม่หมด มีการตัดตัวละคร บทบาทตัวละครบางตัวออกไป เช่น ในมังงะมีตัวละครอย่าง อลิซ สาวรัสเซีย นั้นตายตั้งแต่ก่อนเกิดเรื่อง ส่วนซุสไอ้หนุ่มฮาวายกวนทีนก็ไม่ปรากฏภาพยนตร์(ดีแล้วล่ะ) อีกทั้งมอนสเตอร์ก็ถูกปรับไม่ให้เหมือนมังงะ เนื้อหาบางส่วนถูกตัดไปบ้าง แต่กระนั้นเนื้อหาจุดสำคัญของเรื่องยังคงอยู่ครบ โดยเฉพาะฉากหักมุมในตอนท้ายที่ทำให้คนดูสะดุ้งขนลุกจับใจ

     

                     หลังจากที่ผมได้ดูอนิเมชั่นแค่ฉากเปิดเรื่องผมได้เห็นกลิ่นอายความยิ่งใหญ่ของการ์ตูนเรื่องนี้ด้วยบรรยากาศเสมือนหนึ่งโลกที่กำลังล่มสลายหรือวันสิ้นโลกการ์ตูนเริ่มต้นเสมือนหนึ่งนิยายวิทยาศาสตร์ที่น่าสยดสยองขนหัวลุกเมื่อฉากแรกปิดออกมาหญิงสาวในชุดราตรีคนหนึ่งได้กระโดดจากตึกกระฟ้าในมหานิวยอร์กและตกลงมาตายในทางเดินที่ผู้คนผ่านไปผ่านมาหากแต่แทนที่จะร่างแหลกเหลวเลือดสาดกระจายแต่กลายเป็นว่าเป็นร่างของเธอกลับเป็นหินแตกกระจายไปแทนก่อนที่ฉากต่อมาจะเป็นการดำเนินเรื่องโปรยในรูปแบบข้อมูลโดยเป็นการนำเสนอข่าวจากโทรทัศน์ที่จะมาเฉลยอธิบายฉากตอนต้นว่า ตอนนี้โลกเรากำลังถูกคุกคามด้วยโรคลึกลับที่เรียกว่า "โรคเมดูซ่า" ที่โรคร้ายประหลาดที่ทำให้ผู้ที่ติดเชื้อมีร่างกายจะกลายเป็นหินอย่างช้า ๆจนกระทั้งเป็นทั้งตัวและตายอย่างทรมาน โดยโรคนี้ไม่มีทางรักษาและเพื่อแก้ปัญหาก็ได้มีองค์กรหนึ่งคิดโครงการ "โนอาร์" แช่แข็งร่างผู้ป่วยจำนวน 160 คนเพื่อเก็บร่างกายเพื่อรอวันตื่นขึ้นเมื่อพบวิธีรักษาในอนาคตโครงการนี้ดูเหมือนจะสวยหรูหากแต่หลายฝ่ายเห็นกลิ่นไม่ดีในโครงการนี้ว่ามันมีอะไรแอบแฝงชั่งร้ายหรือเปล่า?ทำไมมันใจดีลงทุนโดยไม่หวังผลกำไรแบบนี้ว่ะจนกระทั้งมีองค์กรหนึ่งที่มีหน้าที่เหมือนเป็นตำรวจโลกได้คิดแผนหนึ่งเพื่อจับตาดูองค์กรนี้ว่ามีวัตถุประสงค์อะไรกันแน่ภายใ9hแผนการ "เจ้าหญิงนิทรา"สาวแว่นญี่ปุ่นท่าทางอ่อนแอและตัวเล็กคนหนึ่งชื่อ อิชิกิ คาซุมิ และข้างเธอที่เธอนั่งอยู่ก็มีหญิงสาวที่ละม้ายคล้ายเธอนาม อิชิกิ ชิซึ  ฝาแฝดของเธอนั่งอยู่ด้วย

                    จากนั้นฉากก็ตัดมาที่สกอตแลนด์(ดูเหมือนถ้าจำไม่ผิดในมังงะไม่ได้กล่าว) เมื่อเปิดฉากออกมาเป็นรถบัสที่มีผู้โดยสารเป็นผู้ติดเชื้อไวรัสทั้ง 160 คน(รวมญาติและผู้ติดตามมาด้วย)โดยสารไปยังห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ที่ตั้งอยู่ในปราสาทยุคเก่า ระหว่างนี้เสียงเพลงประกอบก็เปิดออกมาอย่างโหยหวนเย็นยะเยือก พร้อมกับการโปรยนิทานเรื่องเจ้าหญิงนิทรา ที่เนื้อหานิทานละม้ายกับเหตุการณ์การ์ตูนซะเหลือเกิน

                     

    จากนั้นมุมกล้องก็โฟกัสตัวละครที่เป็นตัวละครสำคัญคนหนึ่งซึ่ง สาวแว่นญี่ปุ่นท่าทางอ่อนแอและตัวเล็กคนหนึ่งชื่อ อิชิกิ คาซุมิ และข้างเธอที่เธอนั่งอยู่ก็มีหญิงสาวที่ละม้ายคล้ายเธอนาม อิชิกิ ชิซึ  ฝาแฝดของเธอนั่งอยู่ด้วย โดยคาซุมิได้กังวลกับการถูกรับเลือกครั้งนี้ เนื่องจากซิซึไม่ได้รับเลือก  แต่ซิซึบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง ขอให้มีปรารถนาเราจะได้พบกันในอนาคตในวันข้างหน้า

                    จากนั้นคาซุมิและผู้ป่วยทั้ง 159 คนก็หลับไหลในแคปซูสแช่แข็ง เมื่อวันร่วงโรยโดยไม่รู้วันเวลาเธอก็ได้ตื่นขึ้น เธอก็พบว่ารอบตัวของเธอนั้นเปลี่ยนไป มันเป็นโลกอนาคตที่ไม่คุ้นเคย เพราะเต็มไปด้วยเถาวัลย์หนามขนาดยักษ์ที่น่ากลัว และมอนเตอร์ลึกลับขนาดยักษ์ที่ดุร้ายที่มันจ้องจะฆ่ามนุษย์ทุกคน คาซุมิและผู้ที่อยู่ในแคปซุสจำนวนหนึ่งพยายามหนีทางออก แต่กลายเป็นว่ายิ่งหนีมอนสเตอร์ก็ดักมาทำร้ายพวกเขาจนเหลือผู้รอดชีวิตเพียงหยิบมือ แต่ความน่ากลัวนั้นไม่สามารถเทียบได้จากปริศนาเรื่องลึกลับที่คาซุมิกำลังพบ เมื่อเธอกับผู้รอดชีวิตที่ต่างวัยทั้ง 7 คน ประกอบด้วย ไม่ว่าจะเป็น หญิงผมทอง, เด็กชายผมสีแดงที่, นักการเมืองที่เอาแต่ใจ, ชายผอมใส่แว่น, ชายผิวดำที่ดูเหมือนเป็นทหาร(ที่จริงเป็นตำรวจ) แต่หนึ่งในบรรดาผู้รอดชีวิตที่อิซุมิสนใจกลับเป็นพี่ชายร่างบึกรอยสักมาดนักโทษที่เธอเรียกว่า โอเวน”(พระเอก)ที่ดูเหมือนเขาไม่ได้ป่วยเป็นโรคร้ายดังกล่าวเลยและดูเหมือนเขาจะมีความลับอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเหตุการณ์เช่นนี้ คาซุมิจะสามารถไว้ใจผู้รอดชีวิตเหล่านี้ได้หรือไม่ ปลายทางข้างหน้านั้นจะเป็นอย่างไร...

                    ในการดำเนินเรื่องภาพยนตร์อนิเมชั่นจะเน้นการตัดฉากไปมาระหว่างปัจจุบันและฉาก ซึ่งทั้งหมดเกี่ยวข้องกับตัวคาซุมิ ฉากปัจจุบันคือการหนีเอาตัวรอดจากสัตว์ประหลาด พร้อมกับคลายปมไปด้วยว่ามันเกิดเรื่องแบบนี้ได้ยังไง โดยมีกุญแจอยู่ที่คาซุมิ และอดีตที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวเธอและฝาแฝดชิซึที่มีสายสัมพันธ์รักปานจะกลืนกิน ครอบครัวของคาซุมินั้นพ่อแม่ตายจากไวรัสเมดูซ่า(ถ้าจำไม่ผิดในมังงะพ่อแม่ไม่ตาย) ทำให้เหลือแต่สองคนพี่น้องในครอบครัว ทำให้ทั้งสองคนรักกันมากพยายามที่จะเกื้อหนุนจิตใจกันเสมอมา ตัวสาวแว่นคาซุมิแม้จะเป็นคนฉลาดหากแต่ร่างกายของเธออ่อนแอและไม่ค่อยมีเพื่อนฝูง ผิดกับชิซึที่เป็นคนเข้มแข็งและมีเพื่อนฝูงมากมาย ทำให้คาซุมิรู้สึกริษยาในใจแม้จะรักชิซึก็ตาม จนกระทั้งวันหนึ่งทั้งสองก็ได้รู้ว่าพวกตนนั้นติดโรคเมดูซ่า อีกทั้งคาซุมิยังช็อกอีกว่าตนได้รับเลือกเป็นหนึ่งใน 160 คน ที่ถูกแช่แข็งเพื่อรอการรักษา ทั้งที่ตัวเองไม่อยากได้สิทธินี้เลย เธออยากให้ชิซึรับเลือกมากกว่า คาซุมิกังวลและสิ้นหวังเพราะเธออยู่โลกใบนี้ไม่ได้หากไม่มีชิซึ เธอกังวลจนกลายเป็นโรคประสาทจนเครียดถึงขั้นจะฆ่าตัวตาย หากแต่ซิซูได้พบเห็นก่อนจึงได้ช่วยเอาไว้  ทำให้ซิซึต้องยาใจคาซุมิเรื่อยมาก่อนที่จะเกิดเรื่องดังกล่าว

                    หลังจากที่คาซุมิและผู้รอดชีวิตเพียงไม่กี่คนหนีสิ่งมีชีวิตดุร้ายมาได้ เธอก็พบว่าซิซึนั้นตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่ หากแต่เธอได้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตประหลาดที่เรียกว่า ราชาแห่งนาม และดูเหมือนเธอจะเป็นตัวการทั้งหมดของเรื่องทั้งหมดด้วย เป็นไปได้อย่างไง  ทำไมซึซิถึงไม่ตายและทำไมเธอถึงได้คิดจะทำให้โลกนี้ล่มสลาย อะไรทำให้ชิซึถึงกลายเป็นด้านมืด เธอกำลังปกปิดอะไรกับคาซุมิกันแน่ และแล้วบทสรุปข้างหน้าของเรื่องราวทั้งหมดก็คือ..............

                   

                 ตอนผมอ่านมังงะครั้งแรก สิ่งแรกที่ผมคิดว่านี้เป็นการ์ตูนแนวเอาตัวรอดที่สุดยอดมาก ที่คนเขียนโปรยคำนำไว้แล้วว่าต้องการให้การ์ตูนนี้มีบรรยากาศเหมือนหนังฟอร์มยักษ์ต่างประเทศสักเรื่องหนึ่ง ผมปรากฏว่าเป็นเช่นนี้จริงๆ ด้วยเนื้อเรื่องตื่นเต้น ภาพเถาวัลย์หนาวเลื่อยเต็มทั่วห้อง สัตว์ประหลาดที่น่ากลัว  ฉากหนีเอาตัวรอดแบบทุลักทุเลผสมกับฉากแอ็คชั่นไซไฟมันๆ การดำเนินเรื่องที่สลับไปมาจากอดีตและปัจจุบัน ก่อนที่จะหลุดไปถึงบทสรุปของมันจนลงตัว มันเหมือนหลุดในหนังเอาตัวรอดจำพวกหนีฉลามหรือหนีพวกสัตว์ประหลาดฐานทัพใต้ดินดีๆ เรื่องหนึ่ง ที่ผสมกับความเป็นอเมริกันลงตัว

                    สิ่งที่ผมชอบต่อมาคือบรรยากาศในเรื่องที่เต็มไปด้วยความยิ่งใหญ่และความลึกลับ ที่เหมือนเป็นศิลปะ ซึ่งน้อยมากที่จะเห็นการ์ตูนแนวเอาตัวรอดแบบนี้ ที่ต้องหนีสัตว์ประหลาด หนีโรคร้ายที่ไม่มีทางรักษา และหนีซะตากรรมไปด้วย

    นอกจากนี้ผมยังชอบคนเขียนตั้งแต่ผลงานก่อนๆ ที่วาดตัวละครได้น่ารักสุดๆ มาก โดยเฉพาะตัวละครที่เป็นเด็ก ตาโต ทำท่าทำทางน่ารัก และการ์ตูนเล่มนี้ก็เช่นกัน สาวแว่นคาซุมิน่ารักมาก!! แต่เสียดายการ์ตูนเรื่องนี้ผมดูไม่เต็มหน่วย เพราะว่ามันหายเสียก่อน เท่าที่ตอนนี้ผมจำไม่ค่อยได้แล้วว่าตอนกลางเรื่องมันเป็นแบบไหน

     

    สำหรับอนิเมชั่นตอนแรกผมรู้สึกประทับใจในการดำเนินเรื่องอิงกับนิยาย และฉากเลิศหรูอลังการ บรรยากาศโลกไซไฟผสมกับเรื่องราวเหนือธรรมชาติได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้นตัวละครก็ออกแบบได้มีเอกลักษณ์  บทแน่น ทำให้ดูแล้วเกิดอารมณ์ร่วมและเกิดความรู้สึกเศร้าเมื่อตัวละครตัวใดตัวหนึ่งตาย แต่ใช่ว่าอนิเมชั่นนี้จะไม่มีข้อเสียเมื่อดูได้สักพักผมกลับไม่ชอบใจการเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งในคือตัวสัตว์ประหลาดที่ออกแบบไม่ได้สยดสยองอย่างที่ผมคิดเอาไว้ ในมังงะนั้นเป็นรูปแบบไดโนเสาร์ไทแรนโนซอรัสน่ากลัวและดูเท่ แต่ในอนิเมชั่นนั้นสัตว์ประหลาดดันเปลี่ยนใหม่ออกแบบเหมือนเอเลี่ยนผสมกับตัวเงินตัวทองและกระดูกที่ดูยังไงไม่น่ากลัวเลย(สำหรับผม) และสิ่งที่ขัดใจต่อมาสำหรับผม(และผมชม)ก็คือการใช้ภาพ CG สามมิติผสมกับภาพ 2 มิติ มาใช้ ซึ่งทำได้ไม่เนียนเลย(ผมว่าไม่ควรนำมาใช่นะ) ส่งผลทำให้สัตว์ประหลาดดูกิ๊กก๊อกไม่สมจริงถนัดตา แถมภาพ CG สามมิติยังนำมาใช้กับตัวละครผู้รอดชีวิตในฉากอีก ทำให้ภาพที่ออกมาขัหูขัดตา ดูแล้วไม่ลื่นไหลเท่าที่ควร หากแต่เมื่อท่านตัดความรู้สึกด้านลบนี้ไป การ์ตูนเรื่องนี้นับว่าเป็นการ์ตูนที่สนุก ตื่นเต้น น่าติดตามเรื่องหนึ่ง แม้ตอนท้ายการเรียงลำดับภาพอาจงงเล็กน้อยก็ตาม แต่ผมถือว่าภาพยนตร์อนิเมชั่นสุดยอดแล้วในความคิดของผม จริงอยู่ที่ว่า มีหลายคนรับไม่ได้กับภาพยนตร์อนิเมชั่น ที่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ผู้รอดชีวิต ตัวละครที่ถูกตัดออก ฉากจบ ฯลฯ แต่สำหรับผมรับได้น่ะ ก็แปลกดีการ์ตูนเรื่องอื่นผมมักรับไม่ได้กับการเปลี่ยนแปลงแต่ละอย่าง แต่พอมาดูการ์ตูนเรื่องนี้ผมกลับรับได้ คงเป็นเพราะการดำเนินเรื่องสมจริงกว่ามังงะ และต้องเข้าใจว่าจะต้องตัดเนื้อเรื่องให้กระชับหากเอาตัวละครกลายพันธุ์สู้กันมีหวังเรื่องยาวแน่นอน(ถ้าจะทำเป็น 13 ตอนจบก็ได้อยู่)

      

    สปอยบทสรุปของราชาแห่งหนาม(อนิเมชั่น)

                    -ความจริงโรคเมดูซ่าดังกล่าวไม่ได้มาจากฝีมือมนุษย์หากแต่โรคนี้มาจากอวกาศ และโรคนี้จะออกฤทธิ์เร็วขึ้นเมื่อคนติดเชื้อสิ้นหวังหรือปลงต่อชีวิตจนจิตใจอ่อนแอ กลับกันโรคนี้จะไม่ได้ผลเลยกับคนที่สู้ชีวิตและมุ่งมั่นอยากมีชีวิตอยู่ต่อด้วยความหวัง กลับกันอีกกรณีหนึ่ง หากคนติดโรคนี้มีความมุ่งหวังหรือมีสิ่งที่ปรารถนาจะสามารถควบคุมโรคนี้ได้และกลายพันธุ์ ทำให้คนนั้นมีพลังวิเศษสามารถเปลี่ยนจินตนาการให้กลายเป็นจริงได้

                    -สัตว์ประหลาดที่ไล่ล่าพวกคาซุมิเกิดจากพลังจินตนาการของซิซึ(ในมังงะเกิดจากการกลายพันธุ์จากผู้ป่วยโรคเมดูซ่า) ใครนึกไม่ออกนึกถึงอารมณ์เดียวกับ Silent Hill

                    -คาซุมินั้นความจริงแล้วเธอตายตั้งแต่ต้นก่อนที่จะเข้าแคปซูล เนื่องจากเธอรับไม่ได้ที่เธออยู่บนโลกนี้ไม่ได้หากขาดซิซึ เธอเลยพยายามฆ่าตัวตายพร้อมกับซิซึที่หน้าผา หากแต่กลายเป็นว่าคนที่ตายกลับเป็นคาซุมิคนเดียว เป็นเหตุทำให้ซิซึคลั่งและโรคเมดูซ่าทำให้เธอกลายพันธุ์เป็นสัตว์ประหลาดที่สามารถเปลี่ยนพลังจินตนาการให้เป็นจริงได้ เธอได้สร้างคาซุมิคนใหม่จากจิตปรารถนาของเธอ(อารมณ์เดียวกับพระเอกในเรื่อง Chaos;Head ) และเปลี่ยนความทรงจำใหม่และพาเธอกลับแคปซูส และความปรารถนาต่อมาของซิซึคือการทำให้โลกนี้ล่มสลายเพื่อไม่ให้คาซุมิรับรู้ความจริงที่โหดร้ายนี้(อีกทั้งยังอยากอยู่นิรันดร์กับคาซุมิด้วย)

                    -ฉากจบสุดท้ายเหมือนฉากจบภาพยนตร์เอาตัวรอดทั่วไปคือคู่ชายหญิงรอด หากแต่ไม่ใช่พระเอกหรือนางเอก แต่เป็นคาซุมิและหนูน้อย(ทิม)   

     
                หลังจากที่ผมดูอนิเมชั่นการ์ตูนเรื่องนี้จบแล้ว สิ่งที่ผมมีความคิดว่าสิ่งที่อนิเมชั่นตั้งใจนำเสนอผู้อ่านนอกจากจะเป็นฉากหนีเอาตัวรอดแอ็คชั่นอลังการแล้ว สิ่งที่การ์ตูนต้องการจะสื่อถึงความรัก ความเอาใจใส่ต่อคนรอบข้างนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว เพื่อนฝูง มิตรสหาย แม้จะต่างวัย หากแต่ถ้าใจตรงกันสื่อกันก็สามารถเข้าใจกันได้ เหมือนกับกรณีของคาซุมิกับโอเวนที่ทั้งคู่ต่างวัย และวิถีชีวิตต่างกัน คาซุมิอ่อนแอแต่โอเวนเข้มแข็ง คาซุมิ

    อีกเรื่องที่การ์ตูนพยายามนำเสนอคือการพัฒนาจิตใจของคาซุมิ นางเอกที่ตอนแรกนับได้ว่าเป็นตัวละครด้านมืดมากที่สุด ที่ต้องการเอาใจใส่ในทางลบ หลังจากที่พ่อแม่เธอเสียไป เธอต้องการเรียกร้องความสนใจหรือต้องเอาในใส่จากซิซึพี่สาวฝาแฝด โดยกระทำการต่างๆ เพื่อจะให้ซิซึอยู่ใกล้ชิดกับเธอ ส่งผลทำให้คาซุมิกลายเป็นคนที่มีพัฒนาการทางร่างกายและจิตใจบกพร่องโดยคิดว่าตนเองด้อยคุณค่า ถ้าเปรียบก็เหมือนคาซุมิมีหนาวแหลมในใจที่มีอารมณ์ร้ายและความโศกเศร้า หากแต่ระหว่างที่เกิดเรื่อง เธอหนีเอาชีวิตรอดจากสิ่งมีชีวิตกระหายเลือด แต่ใช่ว่าเธอจะหนีเพียงคนเดียว ระหว่างทางเธอได้รู้ซึ่งถึงมิตรภาพ ความเข้าใจกันและกัน ความหวัง ความปรารถนาทำให้เธอสามารถมีชีวิตอยู่ได้แม้ชีวิตของเธอจะไม่มีซิซึก็ตาม ซึ่งเหมือนกับว่าหนาวจิตใจของเธอได้หายไปแล้ว

    นอกจากคาซุมิแล้ว ตัวละครที่เป็นเหล่าผู้รอดชีวิตในเรื่องก็มีการพัฒนาด้านจิตใจเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น

    -พระเอกร่างบึก(โอเวน)ที่ตอนแรกเป็นชายป่าเถื่อนที่ไม่สนเพื่อนพ้องไม่สนคนอื่นแต่กลายเป็นว่าเมื่อเรื่องดำเนินกลางเรื่องเขาก็เริ่มเป็นห่วงผู้อื่นโดยเฉพาะคาซุมิซึ่งในช่วงท้ายเรื่องก็ได้เฉลยว่าเขาได้เห็นคาซุมิซ้อนทับกับตัวเอกในอดีตที่เคยอ่อนแอมาก่อนเลยเขาอยากจะปกป้องเธอแม้จะแลกด้วยชีวิตของเขาก็ตาม

    -ผู้หญิงสวยผมทอง(แคเธอรีน)สาวสวยอายุยี่สิบ ในอดีตเธอเคยเป็นหญิงที่ติดแอลกอฮอล์และใช้ความรุนแรงในครอบครัว(ลูกชายเธอคือไมเคิล)จนต้องถูกศาลสั่งให้แยกจากกัน และเมื่อเกิดเรื่องสิ่งที่เธอทำพร้อมกับหนีรอดเอาชีวิตจากสัตว์ประหลาดคือการปกป้องเด็กน้อย(ทิม)ที่รอดชีวิตปานลูก และที่ทำหน้าที่เป็นแม่(หรือพี่สาว)ของทิมจนวาระสุดท้ายของชีวิต(ในมังงะเธอได้กลายพันธุ์เป็นกรีฟฟินด้วยละเท่จัง) แม้ว่าจะมีฉากที่เธอจะใช้อารมณ์กับทิมบ้าง แต่นั้นเป็นสารสื่ออารมณ์ของความเป็นแม่ที่เป็นห่วงลูกในภาวะเกิดอันตราย

    -ชายผอมใส่แว่น(ปีเตอร์)วิศวกรและแพทย์ผู้สร้างแคปซูลแช่งแข็ง ที่ปลอมเป็นผู้ป่วยเมดูซ่าและเข้ากลุ่มผู้รอดชีวิตกับคาซุมิ ก่อนที่จะทรยศพรรคพวกในตอนหลัง และเขาต้องการแก้แค้นเจ้าของโครงการโนอาร์ แต่ในตอนสุดท้ายเขาเสียสละชีวิตตนเองช่วยเหลือคาซุมิจากสัตว์ประหลาดจนตนเองตาย

    ส่วนอีกตัวหนึ่งที่ตายก็คือพี่มืดที่เป็นคนดีและเท่ตั้งแต่ต้นจนจบ แม้การตายของตัวละครจะทำให้หลายคนปวดใจบ้าง แต่ผมคิดว่าตัวละครที่ตายก็ได้ปลดปล่อยบาปในใจของพวกเขาแล้ว ถือได้ว่าพวกเขามีความสุขก่อนตาย แม้ฉากจบหลายคนจะสงสารหรือรับไม่ได้บ้างเพราะมันไม่เหมือนมังงะที่จบได้สุดฮ่าจ๊าบ(เพราะผู้รอดชีวิตที่เหลือห้าคนได้กลายเป็นราชาโลกใบใหม่) แต่กระนั้นในอนิเมชั่นกับมีคนรอดเพียงสองคน ซึ่งถือว่าเป็นฉากจบแบบดากๆ สำหรับแนวเอาตัวรอดมาก แต่กระนั้นสำหรับผมแล้ว ก็ถือว่าดีนะ

    อีกจุดหนึ่งที่การ์ตูนต้องการนำเสนอคือการใช้ความโศกเศร้าความสูญเสียมาเป็นพลังในการอยู่รอด แม้ว่าปลายทางข้างหน้าโลกจะล่มสลาย สังคมเสื่อมโทรมก็ตาม ก็ขอให้มีชีวิตอยู่อย่างไม่สิ้นหวัง ในฉากสุดท้ายคาสุมิสามารถเอาชนะโรคเมดูซ่าได้ ดูๆ ไปแล้ว ผมมีความคิดว่าโรคเมดูซ่าในการ์ตูนนั้นก็เปรียบเสมือนโรคเอดส์ โรคที่หลายคนเชื่อว่าเป็นแล้วตายแน่ๆ หลายคนพยายามฆ่าตัวตายเพื่อหนูจากโรคร้ายเพราะหวาดกลัวสภาพระยะสุดท้ายของโรคเอดส์ ที่น่าเกลียดน่ากลัว เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ผิวหนังเน่าเปื่อยทั้งตัว ตายเสียกว่าอยู่ ทั้งที่ความจริงแล้วโรคเอดส์นั้นผู้ติดเชื้อสามารถอยู่ได้ปกติได้อีกนานเพียงแค่ดูแลรักษาร่างกายและสุขภาพจิตใจให้เข้มแข็งพร้อมกัน อีกทั้งสังคมก็ให้ความช่วยเหลือ สิ่งเหล่านี้ได้ถ่ายทอดไปอยู่ในตัวคาซุมิไว้แล้ว

     

    สรุปละกัน สำหรับอนิเมชั่น King of Thorn แน่นอนว่ามีหลายคนรับไม่ได้การเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆ แต่สำหรับผมรับได้น่ะ เพราะก็ต้องเข้าใจว่าจะต้องตัดเนื้อเรื่องให้กระชับ(หากจะทำเป็น 13 ตอนจบก็ได้อยู่) เอาเป็นว่าถ้าจะดูการ์ตูนเรื่องนี้ให้สนุกอย่าดูรีวิวจากเว็บอื่นๆ ว่าเขาให้คะแนนกี่คะแนน เพราะบางเว็บให้คะแนนสูง อีกเว็บให้คะแนนต่ำ มันก็แล้วแต่คนดูอีกแหละว่าคุณจะชอบหรือไม่ชอบในการ์ตูนเรื่องนี้

                   + +
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×