คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #115 : 10 การ์ตูนที่ผมดูแล้วผิดหวัง
ในชีวิตนี้คุณเคยผิดหวังกับการ์ตูนเรื่องไหนสุดๆ หรือเปล่า?”
ผิดหวังในที่นี้ไม่ใช่การ์ตูนเนื้อหาห่วยแตกนะครับ ผิดหวังในที่นี้หมายถึงการดำเนินเนื้อเรื่องการ์ตูนมันไม่ถูกอกถูกใจเราเสียเลย เช่น ทำไมต้องยืดเยื่อ ออกทะเล ฉากจบไม่ดี ปาหมอน ตัดจบ อะไรประมาณนี้ หรือไม่ก็เราไปตั้งคาดหวังเรื่องนี้มากไปแต่พอดูแล้วเซ็งจิตเสียยี่ห้อคนทำโครต อะไรประมาณนั้น
แน่นอนครับ ใครที่อ่านการ์ตูนหลายเรื่องย่อมมีแน่ การ์ตูนที่ผิดหวัง ผมก็คนหนึ่งแหละที่มีการ์ตูน สุดผิดหวังเหมือนกัน บางเรื่องนี้ถึงขั้นเข็ดขยาดการ์ตูนแนวนั้นๆ เลยทีเดียว ยิ่งเห็นชื่อของคนเขียนยิ่งตัวสั่นกลัว กลับไปฝันร้าย(จนบัดนี้ยังฝันร้ายอยู่เลย) บางเรื่องทำให้ผมนอนไม่หลับ บางเรื่องอ่านแล้วผมอยากร้องลั่นว่า “คนเขียนมันคิดอะไรของมันว่ะ”
อันดับ 10. Kurokami(เหตุผลที่ผิดหวังเพราะจบไม่แฮปปี้) อนิเมชั่นที่ดำเนินเรื่อง “ทำไปได้” และ “ฉากจบสุดจะ....” ที่สุดเท่าที่ดูมา จนบัดนี้ยังไม่หายจากฝันร้ายเลย(ความจริงถ้าไม่ดูตอนจบ ดูแค่ช่วงช่วง 1-15 ล่ะก็การ์ตูนเรื่องนี้สนุกมากๆ) ผิดหวังสำหรับผมในที่นี้ไม่ใช่การ์ตูนห่วยนะครับ
Kurokami นั่นเป็นการ์ตูนแนวแอ็คชั่นเหนือธรรมชาติ ที่แปลกหน่อยตรงที่พระเอกเป็นฝ่ายดู(เชียร์) ส่วนคนที่ต่อสู้คือนางเอก(จนเรียกได้ว่า อีหนูหมัดดินระเบิด) โดยดัดแปลงจากเรื่อง Black God การ์ตูนญี่ปุ่นแต่คนเขียนเป็นคนเกาหลีเชื่อ Dall-Young Lim มี 15 เล่ม ยังไม่จบ เขียนตั้งแต่ปี 2005 และไม่รู้ว่าคนเขียนจะเขียนต่อหรือเปล่า เพราะตอนนี้ก็ไม่มีตอนใหม่ออกมาแต่อย่างใด ทำให้คนสร้างอนิเมชั่นจำเป็นต้องดัดแปลงเปลี่ยนเนื้อหาบางส่วนจนกลายเป็นอย่างที่เห็น(มี 23 ตอนจบ) นอกจากเปลี่ยนดำเนินเรื่องแล้ว ยังเปลี่ยนตัวละครบางตัวอีก เช่นตัวพระเอกที่มังงะเป็นโปรแกรมเมอร์แต่ในมังงะเป็นนักเรียนมัธยมปลายธรรมดา ในมังงะมีนิสัยก็แบบวัยรุ่นรักสนุกหื่นนิดๆ แต่ในมังงะนี้เศร้าแถมทำหน้าเหมือนแบกโลกทั้งใบและไม่หย่อหยิ่ง ส่วนตัวละครอื่นๆ นางเอก นางรองไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร(แปลกดี) และอนิเมชั่นฉายที่อเมริกา และเกาหลีในปี 2009
อนิเมชั่น Kurokami นั่นได้กล่าวถึง เคย์ตะ นักเรียนม.ปลายที่เสียแม่ไปตั้งแต่ยังเด็กเพราะเหตุการณ์ดอพเพิลแกงเกอร์ (ตำนานที่ว่าหากไปเจอคนที่เหมือนกับเราแล้วจะต้องตาย) ตั้งแต่นั้นมาเขาก็พยายามหลีกเลี่ยงที่จะคบเพื่อนหรือสนิทกับคนอื่นอย่าง ใกล้ชิดเพราะตัวเคย์ตะเองนั้นคิดว่าตัวเขาเป็นสาเหตุที่นำโชคร้ายมาสู่ผู้คน เคย์ตะมี อากาเนะ พี่สาวเพื่อนสมัยเด็ก(นางรอง)คอยดูแลอยู่ คืนหนึ่ง ระหว่างที่เขาไปกินราเม็งเจ้าประจำก็ได้พบกับเด็กสาวลึกลับ(นางเอก)ชื่อ “คุโร” ซึ่งได้อธิบาย เรื่องของ ดอบเปิลไลน์เนอร์ และ รูท รวมทั้งการเติมเต็มโชคชะตาให้เขาฟัง หลังจากการทั้งสองพบกัน เคย์ตะก็ได้รับรู้ว่าตนได้เข้าไปอยู่วังวนการต่อสู้ที่ได้เปลี่ยนชะตาชีวิตของเขาไปโดยสิ้นเชิง
ช่วงที่ผมดูการ์ตูนเรื่องนี้ช่วงแรก นางเอกนี้น่ารักโครตๆ น่ารักแถบจะกลืนกินให้ได้ แถมเป็นนางเอกที่โดนต่อยโดยตัวละครชายมากที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา(ไม่เห็นแก่ความน่ารักของนางเอกเลย)ตั วร้ายผู้ชายล่ำบึกต่อยผู้หญิงตัวเล็กๆ คนเดียวเนี้ยโครตแมน และเป็นเรื่องเดียวด้วยมั้งที่พระเอกนั่งเชียร์นางเอกต่อย(อันนี้ผมชอบน่ะ ฮ่า) ตัวการ์ตูนพยายามจะทำให้เป็นการ์ตูนต่อสู้สร้างสรรค์ โดยเสริมศัพท์ต่างๆ มากมายให้ งง เล่นๆ แต่ถ้าดูไปสักพักนี้ก็มาอีหรอบแอ็คชั่นสู้กันธรรมดาแหละ เริ่มจากพระเอกตายมาครั้งหนึ่งก่อนที่จะคืนชีพมาโดยทำสัญญากับนางเอกแต่แตกต่างตรงที่การทำสัญญาที่ไม่ถูกต้อง เพราะพระเอกไม่ใช่ผู้ถูกเลือกและไม่ใช่คู่สัญญาของนางเอก ทำให้เมื่อนางเอกต่อสู้ชีวิตของพระเอกจะลดลงไปเรื่อยๆ และตัวโกงเป็นพี่ชายแท้ๆของนางเอก(จะเน่าไปถึงไหนเนี้ย) ส่วนเนื้อเรื่องก็ทำดีบ้าง ไม่ดีบ้าง
สิ่งที่การ์ตูนเรื่องนี้ต้องการนำเสนอคือ “จงต่อสู้กับโชคชะตา” แม้ว่าตนจะด้อยกว่าคนอื่นแต่ก็ขอให้สู้จนถึงที่สุดแล้วมันจะดีเอง โดยในเรื่อง แม้ว่าพระเอกจะอ่อนแอ ไม่ใช่ผู้ถูกเลือก ใครๆ ก็ดูถูกว่าเป็นไอ้อ่อน แต่พระเอกก็ไม่ย่อท้อ ขอสู้จนหยดสุดท้าย ดังนั้นจึงเกิดเหตุการณ์ “หมูกัด” สะใจมาก เมื่อคนดูถูกพระเอกโดนต่อยปลิวทะลุเพดาน และสุดท้ายสะใจอีกเมื่อพระเอกเคย์ตะก้าวข้ามโชคชะตาเป็นผู้ถูกเลือกเองโดยไม่ต้องพึ่งโชคหรือปาฏิหารย์ใดๆ ทั้งสิ้น อันนี้แหละประทับใจจริงๆ
แต่ความสนุกของอนิเมชั่นก็หยุดอยู่ตรงนั้น(เพราะการ์ตูนไม่มีฉากจบเลยต้องเพิ่มเนื้อเรื่องเอง) เมื่อช่วงหลังออกทะเล(ที่จริงจบตั้งแต่ช่วง 1-17 ก็ดีแล้วไม่น่าไปเพิ่มเลย) มาแบบต่อยตีแบบ “พ่อกรูทุกสถาบัน” แล้วตอนใกล้จะจบนางเอกและพระเอกต้องสู้กับจอมมารที่พลังราวกับพระเจ้า(เอาเข้าไป) มีปล่อยพลังคลืนเต่า ปล่อยหมัดดินระเบิด(ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าไม่มี) แถมพี่นางเอกคืนชีพอีกครั้งทั้งๆ ที่ตายมาแล้วครั้งหนึ่ง(ไม่รู้ว่ามันคืนชีพได้ไง ทะลุสงสัยได้หมอเทวดาฝีมือดี) แต่ที่สุดความผิดหวังคือฉากจบที่พระเอกและนางเอกต้องพรากจากกันและไม่มีวันพบเจออีกเลย นางเอกต้องจองจำตัวเอง ส่วนนางรองเพื่อนสมัยเด็กคาบพระเอกไปกิน และฉากตอนท้ายที่แสนรับไม่ได้ ดูแล้วเศร้า ทั้งนางเอกพระเอก(รวมไปถึงนางรอง)อุตส่าห์ฝ่าพันอันตรายมาด้วยกัน จะจบดีๆ หน่อยไม่ได้เรอะ เป็นฮาเร็มก็ได้ ทำไมคุโระถึงไม่สมหวังกับพระเอกอ่ะ(กลายเป็นคู่รักคุดอีกหนึ่งคู่)
Kurokami จึงติดอันดับ อนิเมชั่นการ์ตูนที่ฉากจบผิดหวังที่สุดในชีวิตของผมในที่สุด(ปล. มังงะไม่ได้ดูหรอกครับเพราะไม่มีลิขสิทธิ์และสำนักพิมพ์มดเคยเอามาพิมพ์แต่ไม่ได้สั่งซื้อ)
อันดับ 9 Heroic Age(เหตุผลที่ผิดหวัง จืดและจืด) เป็นการ์ตูนอนิเมชั่นแนวแอ็คชั่นไซไฟและสงคราม กำกับโดย Toshimasa Suzuki ผลิตโดย XEBEC ออกอากาศในปี 2007 มีทั้งหมด 26 ตอน
การ์ตูนอนิเมชั่นเรื่อง Heroic Age นั้นผู้สร้างพยายามทำให้มันเป็นมหากาพย์ อลังการด้วยสงครามอวกาศเต็มขั้น เนื้อหาใหญ่โต ตัวละครพยายามทำให้ยิ่งใหญ่ โดยทีมผู้สร้างพยายามระดมเงินทุนเพื่อสร้างการ์ตูนเรื่องนี้ หากแต่ปรากฏว่า “มันขายไม่ออก” ทั้งๆที่ช่วงแรกอื้อฮากนมาก เพราะว่ามีฮิซาชิ ฮิราอิ คาแรคเตอร์ดีไซน์จากซีรีส์ Gundam SEED เป็นคนออกแบบและหนึ่งในทีมงาน อีกทั้งค่าย สตูดิโออนิเมไซไฟชั้นยอดที่เคยสร้างชื่อโด่งดังสุดขีดเมื่อปลายยุค 90 และต้นยุค 2000 ด้วยผลงานระดับรางวัลกรังซ์ปรีอย่าง Martian of Nadesico เป็นคนสร้าง แต่ปรากฏว่ามันเจ็งสนิท ทำให้ทีมผู้สร้างและหลายคนเกิดความ งงงวย ว่า “มันเกิดอะไรขึ้น?”
Heroic Age มีเนื้อหาที่ใหญ่มาก(แต่มาคิดดูดีๆ แล้วมันน้ำเน่าจิ๊บเป๋ง) โดยเนื้อหากล่าวถึง 4 เผ่าพันธุ์ในจักรวาล ที่ประกอบไปด้วย เผ่าทอง, เผ่าเงิน, เผ่าทองแดง, วีรบุรุษ โยสมัยก่อนนั้นเผ่าทองถือว่ามีอำนาจมากเพราะถือว่าเป็นผู้สร้างและมีวิทยาเหนือกว่าผู้ใดในจักรวาล รองลงก็ทำเงินที่มีสติปัญหาสูงส่ง แต่ไร้ซึ่งอารมณ์ เวลาจะทำอะไรต้องเอาความคิดเห็นส่วนรวมเป็นหลัก ส่วนเผ่าทองแดง เป็นพวกแมลง และเผ่า วีรบุรุษ เผ่าของนักรบผู้กล้าที่ทรงอำนาจ มีพลังขนาดทำลายล้างดวงดาวและอวกาศได้ ซึ่งทั้งสี่เผ่านั้นมีการเกื้อหนุนกันและกันมาอย่างยาวนานจนเกิดสมดุล
หากแต่แล้ววันหนึ่ง ความสมดุลนั้นก็ได้หายไป เมื่อเผ่าทองคำจากไป และมีเผ่าหนึ่งเข้ามาแทนที่ โดยเผ่านั้นคือ เผ่าเหล็ก หรือมนุษย์โลกนั่นเอง ซึ่งฝ่ายเผ่าเงินกลับเห็นว่าเผ่าเหล็กนั้นไม่สมควรอยู่ร่วมกับจักรวาลแห่งนี้ จึงได้ร่วมมือกับเผ่าทองแดงเข้าทำลายล้าง และพวกเขายังมีเผ่าวีรบุรุษอีก 4 ตน เคยช่วยเหลือ แม้ว่าเผ่าเหล็กจะมีวิทยาการยังไงก็ไม่สามารถต่อต้านเผ่าสามเผ่านี้ได้เลย จนกระทั้งมีผู้นำของเผ่าเหล็กคนหนึ่งชื่อ เจ้าหญิงเดียนิเอร่า -เจ้าหญิงแห่งราชวงศ์ ผู้ปกครองมนุษยชาติ ซึ่งเป็นผู้มีพลังอำนาจจิตอันสูงส่งเพียงผู้เดียวได้นำผู้ติดตามออกตามหามนุษย์ผู้หนึ่งที่อยู่ดาวอันไกลโพ้น โดยมนุษย์ผู้นั้นได้ทำสัญญากับเผ่าวีรบุรุษ(อย่างกับอุลตร้าแมน)และเขาเป็นเผ่าวีรบุรุษคนเดียวเท่านั้นที่จะช่วยเผ่าเหล็กได้ เมื่อเจ้าหญิงและคณะผู้ติดตามตามหาเขาก็ได้พบเผ่าวีรบุรุษคนดังกล่าว เขาชื่อ “เอดจ์” ที่ภายนอกเหมือนคนไร้เดียงสาและใสซื่อ แต่ความจริงแล้วล่วงรู้ทุกสิ่งทุกอย่างและสร้างกลายร่างเป็นเผ่าวีรบุรุษได้ ซึ่งเขาก็ตอบรับคำขอร้องของเจ้าหญิงและเข้าร่วมสงครามครั้งนี้ สงครามนี้จะจบลงยังไง มันจะแอปปี้หรือไม่ก็สามารถติดตามได้ในการ์ตูนเรื่องนี้
พูดตามตรงไม่สะตอแม้จะชอบสเตอเบอรี่ก็เถอะ ผมไม่ค่อยชอบพวกไซไฟประเภทยานรบอวกาศเท่าไหร่สาเหตุก็คือมันไม่สมจริง มีอย่างที่ไหนระเบิดเสียงดังตูมๆ ในอวกาศ ทั้งๆ ที่ตามหลักวิทยาศาสตร์แล้วอวกาศมันสูญญากาศ ต่อให้นิวเคลียร์ระเบิดมันก็ไม่เกิดเสียงหรอก
เอาเถอะอย่างน้อยก็คิดเสียว่าจักรวาลข้างหน้าอาจเป็นแบบในการ์ตูนก็ได้ ที่เกิดระเบิดแล้วมีเสียง ใครจะไปรู้ โดยการ์ตูนแนวสงครามอวกาศที่ผมยอมรับมีเรื่องเดียวเท่านั้นคือกัมดั้ม(ภาคแรกสุด สงครามหนึ่งปี ภาคอื่นผมไม่เคยดู)
ก่อนที่จะพูดต่อไป ผมขอบอกความรู้สึกอะไรสักหน่อยครับหลังจากดูอนิเมชั่นเรื่องนี้ ลองคิดดูนะครับเวลาที่คุณจะแนะนำการ์ตูนคนอื่นแล้วบอกว่าสุดยอดสุโค่ย ดูแล้วได้ข้อคิดดี ต้องดูให้ได้น่ะแล้วมาแชร์ความรู้สึกกัน แต่แล้วหลังจากที่คนๆ นั้นได้ดูการ์ตูนที่หลายคนบอกสุดยอดเรื่องดังกล่าว ปรากฏว่ามันไม่สนุกเลย จืดและจืด ไม่รู้จะพูดอะไรดี จะห่วยก็ไม่ใช่ จะแย่ก็ไม่เชิง จะด่าก็ด่าไม่ออก จะชมก็ชมไม่ได้ แล้วจะให้เขียน 10 หน้ากระดาษเอสี่บรรยายความสุดยอดของมันได้อย่างไง
นี้แหละคือความรู้สึกของผมเมื่อดูการ์ตูนเรื่องนี้และต้องทนดูจนจบซะด้วย
ใช่แล้วครับการ์ตูนเรื่องนี้ผมดูเพราะคำบอกเล่าของคนอื่นว่าการ์ตูนเรื่องนี้สนุกนักหนา แต่หลังจากที่ผมดูแล้วออกอาการเหมือนข้างต้นแหละ โอเคครับจุดขายการ์ตูนเรื่องนี้คือ ฉากสงครามอลังการ ภาพสวย เป็นฉากในอวกาศมากถึง 23-24 ตอน เรียกว่าเอียนไปข้าง วิทยาการต่างๆ สุดล้ำยุค มีทั้งพลังจิต อาวุธทำลายดวงดาว แต่ก็แค่นั้นแหละ เพราะตัวการ์ตูนยังขาดความน่าติดตาม ผมเห็นแต่ฉากรังแมลงโดนระเบิด ยานระเบิด ไม่มีความแหวกอะไรเลย อะไรก็จืดหมด ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินเนื้อเรื่องที่ดูก็รู้แล้ว ตัวละครก็แสนจะแบนบางตัวมีบทน้อยไม่ได้มีความสำคัญต่อเนื้อเรื่องอะไรเลย พระเอกก็เก่งเทพเกินไปจนไม่รู้จะลุ้นตรงไหน แบบว่ามีพระเอกตัวเดียวก็ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว สิ่งที่เสียดายที่สุดคือตัวละครที่ชื่อเจ้าหญิงนิเอร่าที่ทีมผู้ผลิตพยายามที่จะทำให้หลายคนประทับใจแต่กลายเป็นว่าจืดสำหรับผมเพราะว่าตัวละครไม่ได้ทำให้มีฐานะเริ่มจาก 0 เหมือนเรื่องอื่นที่ผมชอบ สาเหตุก็คงเป็นเพราะเน้นฉากสงครามมากเกินไปจนไม่เหลือพื้นที่ฉากพัฒนาความสัมพันธ์ของตัวละครอื่นๆ(อีกสาเหตุคือมันได้พระเอกเทพมาตั้งแต่ต้นเรื่องจนไม่ต้องลุ้นอะไรเลย) ปรัชญาหรือข้อคิดต่างๆ ในการ์ตูนเรื่องนี้ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกับการ์ตูนเรื่องอื่นเท่าไหร่ สรุปคือผมขอบอกว่าโอเวอร์แมนคิงกันเนอร์ และ Xamdou การ์ตูนสงครามดังกล่าวดีกว่าเรื่องนี้มาก จึงไม่แปลกอะไรที่ Heroic Age ไม่ประสบผลสำเร็จในเรื่องรายได้และคำวิจารณ์
สิ่งที่ผมชอบการ์ตูนเรื่องนี้มีอย่างเดียว คือ ตัวละครที่ชื่อ “Yuty” ที่เป็นสาวเตี้ย แบน ซึน แบบว่ายังขโมยซีนพระเอก นางเอกด้วยซ้ำ แบบว่าออกมาแต่ละฉากผมร้องกริ๊ดลั่น(เพราะผมชอบสาวซึน) แต่เสียดายที่เรื่องไม่ค่อยได้ให้ความสำคัญกับตัวละครนี้เท่าไหร่ แถมดันไปหลงรักตัวละครที่ไม่พระเอกอีก ดูแล้วเสียดายของ เอาเป็นว่าการ์ตูนเรื่องนี้เป็นการ์ตูนที่ผมดูแล้วจืดในชีวิตของผมล่ะกัน
อันดับ 8 Imouto – Akane (สาเหตุที่ผิดหวัง นางเอกเสียความบริสุทธิ์) เป็นการ์ตูนแนวคอมมาดี้, ดราม่า, โรแมนติก, โศกนาฏกรรม ผลงานของ YAMAHANA Noriyuki (ผู้เขียน Orange Yane no Chiisana Ie ) มี 14 เล่มจบ เขียนตั้งแต่ปี 2000 ในบ้านเราได้ตีพิมพ์แบบไม่มีลิขสิทธิ์และสามารถหาซื้อได้ตามแผงหนังสือเก่า(ติดตามดีๆ บางทีอาจมีตีพิมพ์ใหม่)
Imouto – Akane เป็นเรื่องของพระเอก นาม “ชิมเป” ที่อาศัยอยู่ตัวคนเดียวและทำงานอย่างหนัก เพื่อเก็บเงินให้ครบหนึ่งล้านเยน เพื่อที่จะสามารถรับเลี้ยงดูอากาเนะซึ่งน้องสาว(ที่ไม่เกี่ยวพันในสายเลือด) มาเลี้ยงดูให้ได้ ซึ่งเมื่อเขารับเลี้ยงดูอากาเนะแล้วนานวันเข้า เขาก็เกิดความรักและเริ่มเกินเลยความสัมพันธ์ระหว่างพี่กับน้อง และความสัมพันธ์แบบโศกนาฏกรรมที่เต็มไปด้วยปัญหานี้จะจบยังไง ก็ติดตามกันเอาเอง
การ์ตูนเรื่องนี้นอกจากจะเน้นฉากเซอร์วิสเต็มที่แล้ว สิ่งที่เป็นจุดเด่นมากที่สุดคือฉากการดึงอารมณ์ถึงขีดสุด ที่ทำให้ผู้อ่านมีอารมณ์ร่วมกับการ์ตูน เช่นในช่วงแรกเน้นชีวิตประจำวันของสองพี่น้องไม่เกี่ยวข้องในสายเลือด ประวัติความเป็นมาที่เป็นเพราะอะไรที่พี่ชายคนนี้ถึงรักน้องสาวมาก และความรักที่มีให้แก่น้องสาวก็ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องเพศหรือภรรยาแต่อย่างใด แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านไปความรักใสๆพี่น้องได้กลายเป็นความรักต้องห้าม(หรือเปล่า??) และนำไปสู่ดราม่าในช่วงท้าย ด้วยฉากร่วมเพศระหว่างพระเอกและนางเอกอย่างชัดเจนไม่ปิดบัง(ขอบอกว่าการ์ตูนที่ผมอ่านเซ็นเซอร์แล้วนะครับ แต่ผมเชื่อว่าของจริงคงไม่เซ็นเซอร์แน่นอน) มันไม่ใช่แค่การ์ตูนคอมมาดี้ตลกแต่เป็นการ์ตูนโศกนาฏกรรมที่ส่งผลทำให้ชื่อของคนเขียนคนนี้โด่งดังไปด้วย
สำหรับผมแล้ว ผมรู้สึกอึ้งกับฉากจบมาก จนทำให้เกิดทัศนะในการอ่านการ์ตูนอย่างหนึ่ง คือผมมักเลือกและชอบอ่านการ์ตูนที่นางเอกมีความบริสุทธิ์ ไม่มีฉากจบบนเตียง(ประมาณว่าตอนจบ ไม่ใช่มีฉากแต่งงานกับพระเอก หรือ นางเอกเสียตัว) ไม่ใช่อะไรหรอก อิจฉาพระเอกเว้ย!! เออ ล้อเล่นน่า คือตามความคิด นางเอกก็ที่ดีก็คือความบริสุทธิ์ผุดผ่อง จะมีใครละที่ชอบนางเอกไม่บริสุทธิ์โดนข่มขืน(เหมือนนิยายไทยบางเรื่อง) แต่งงานกันก็ไม่ได้เพราะแสดงว่าหัวใจนางเอกนะไม่มีช่องว่างให้แก่คนอ่านแล้ว(เพราะรัก พระเอกอย่างเดียว)สำหรับผมแล้วนางเอกก็เหมือนแฟนในโลกจินตนาการของผมแหละครับ เหอๆ
ดังนั้นผมมักจะหลีกหนีการ์ตูนที่มีฉากจบประเภทนี้เท่าที่จะทำได้ แม้ผมจะชอบคอมมาดี้ก็เถอะ(ปล. ทัศนะนี้ไม่นับรวมการ์ตูนโป๊นะครับ การ์ตูนโป๊ก็อีกทัศนะหนึ่ง) แต่ก็ต้องทำใจระดับหนึ่งนะครับ ที่การ์ตูนเดี๋ยวนี้มันมีฉากแบบว่าเยอะเหลือเกิน เช่น School day, Please Teacher, บางเรื่องฉากอย่างว่าไม่เท่าไหร่หรอก เพราะผมเหมารวมกับนางเอกแต่งงานไปด้วย อย่าง Karin ที่ผมค่อนข้างเซ็งกับฉากจบ(ปล.ความคิดเห็นส่วนบุคคล) ส่วนการ์ตูนผู้หญิงยิ่งแล้วใหญ่หลายเรื่องมักจบบนเตียง (การ์ตูนที่ดีก็ต้องแบบ To Love Ru)
ระดับทัศนะของผมนี้ยังน้อยมากนะครับ ถ้าเป็นโอตากุคนญี่ปุ่นนี้ยิ่งกว่านี้อีก เคยเห็นไหมครับคนญี่ปุ่นแต่งงานกับหมอนข้าง งานศพตุ๊กตา(โมเดล) คนญี่ปุ่นนี้ถือว่าเหล่าการ์ตูนสาวเป็นแฟนจินตนาการที่ไม่สามารถแยกออกในชีวิตจริงได้เลยทีเดียว
Imouto – Akane สมกับแนวจริงๆ ครับ คือแนวโศกนาฏกรรม ที่จริงการ์ตูนเรื่องนี้เกือบเป็นการ์ตูนในดวงใจผมแล้วแท้ๆ นอกจากเรื่องพี่รักน้องแล้วการ์ตูนยังสอดแทรกอะไรมากมายลงไปด้วย จนเหมือนเป็นรักใสๆ ไร้มลพิษ แต่ดันมาเสียตอนฉากสุดท้ายมันช่างทำให้ผมจิตตกทันที เนื่องจากนางเอกไปเสียความบริสุทธิ์แก่พระเอกแถมยังมีฉากอ้าแข้งอ้าขา งมหอยใ ห้ปาดตาอีก ผมงี้ใจหายวาบ(ในขณะที่ผมเขียนขนผมลุกจริงๆ) ถ้าไม่มีฉากดังกล่าวน่ะผมว่าการ์ตูนเรื่องนี้เหมาะแก่การแนะนำแก่ผู้สนใจคอมมาดี้เป็นอย่างยิ่งเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว และปัจจุบันกลัวการ์ตูนเรื่องนี้มาก(ประมาณว่าเหมือนผีกลัวน้ำมนต์) และตอนนี้ในหนังสือชุดดังกล่าวผมเก็บในลิ้นชัดไว้แน่น จนไม่คิดจะเก็บมาอ่านอีกเลย ก็แปลกดีที่เสียงคำวิจารณ์การ์ตูนเรื่องนี้ด้านบวก ทั้งๆ ที่การร่วมประเวณีระหว่างพี่น้องมันค่อนข้างผิดศีลธรรม(แม้ไม่ใช่สายเลือดก็ตาม อย่างน้อยก็น่าจะทำให้ถูกกฎหมายเสียก่อน)
เออ....แล้วเป็นอดีตการ์ตูนที่น้องผมชอบอ่านด้วยนะครับ ตอนแรกน้องผมกำลังชอบอ่านการ์ตูนแท้ๆ แต่พอมาเจอฉากสุดท้ายในเล่มสุดท้ายน้องผมสิ้นหวังกับการ์ตูนญี่ปุ่นทันที แถมมองหน้าผมแปลกๆ อีก(หนูไม่รู้ง่ะ ว่าการ์ตูนเรื่องนี้มันมีฉากแบบนี้นะ) ส่งผลทำให้น้องผมไม่ชอบการ์ตูนญี่ปุ่นโดยบริยาย
อันดับ 7 Street Fighter Zero 3 (สาเหตุที่ผิดหวัง นี้คือการ์ตูนที่เอามาจากเกมที่ห่วยที่สุดเท่าที่คุณเคยอ่านมา) เป็นการ์ตูนฮ่องกงจากปลายพู่กันจีน ผลงานของ หลี่จงซิ่ง และ สวี่จิ่งเซิน(Hui King Sum และ Lee Chung Hing) มี 8 เล่มจบ โดยนำตัวละครจากเกมสตรีทไพท์เตอร์มาทำเป็นกาณืตูนแนวจอมยุทธิ์ และยังอุตส่าห์ทำภาคต่ออีก 2 ภาค คือสตรีท ไฟท์เตอร์ EX2 1+2 พลัส, สตรีท ไฟท์เตอร์ 3 นิวเจเนเรชั่น มาแบบหนังจีนเลยเพราะเล่นถึงลูกถึงหลาน
ใครที่ไม่รู้จักสตรีทไฟท์เตอร์ก็เขาเล่าแบบย่อๆ ละกัน(รายละเอียดติดตามตอน Cammy Gaiden Manga) สตรีทไฟท์เตอร์เป็นเกมแนวต่อสู้ ผลิตโดยบริษัทแคปคอมของญี่ปุ่น โดยเป็นเกมที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก ซึ่งทางแคปคอมได้จัดจำหน่ายเกมภาคแรกในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1987นอกจากนี้ ยังเคยมีการนำสตรีทไฟท์เตอร์มาสร้างเป็นภาพยนตร์ฮอลลีวูดมาแล้วถึง 2 ครั้งด้วยกัน และสตรีทไฟเตอร์เป็นอีกเกมที่ถูกนำมาสร้างเป็นการ์ตูนมากที่สุดอีกเกมหนึ่ง โดยเป็นอนิเมชั่น 2 ครั้ง และโดจินและมังงะนับไม่ถ้วน
เนื้อหาของสตรีทไฟเตอร์นั้นตอนแรกทางผู้ผลิตไม่เคยคิดจะทำเนื้อเรื่องแต่อย่างใด หากแต่เมื่อเกมฮิตจนต้องสร้างภาคต่อผู้ผลิตเลยจำเป็นต้องวางเนื้อเรื่องใหม่ โดยเนื้อหากล่าวถึงตัวเอกคนหนึ่งที่ได้กลายเป็นต้นแบบพระเอกในวงการเกมต่อสู้ชื่อ “ริว” ที่พยายามฝึกฝนต่อสู้ตนเองให้แข็งแกร่งโดยเข้าร่วมงานประลองเกมต่อสู้บนท้องถนนเพื่อเป็นเจ้ายุทธจักรโดยเขาต้องต่อสู้กับนักสู้ทั่วโลกที่มีพลังราวกับเทพเจ้าผีป่าซาตาน และน่าแปลกมากคือในช่วงแรกเกมไม่ออกประวัติของตัวละครแต่ละตัวเลย ดังนั้นประวัติของตัวละครจะปรากฏในหนังสือคู่มือหรือจากปากคำของทีมงานมากกว่า และกลายเป็นอีกเกมที่ตัวละครแถมั่วมากที่สุด เช่นตัวละครที่ชื่อเวก้า(หรือนายพลไบสัน) ตอนแรกเขาผอม แต่ภาคหลังๆ เขากลับล้ำบึก ทามทีมงานเลยแถว่าเขาตอนแรกของสูญเสียพลังงาน และนานวันก็แถใหม่ว่าเวก้าไปสิงร่างใหม่)
พูดถึงการ์ตูนฮ่องกงลายเส้นพู่กันจีน เรามักจะนึกถึงการ์ตูนแนวจอมยุทธ์สู้กัน โดยเนื้อหาอาจเอามาจากวรรณกรรมหรืออาจมาจากงานเขียน(ที่บางครั้งก็ตรงบ้างไม่ตรงบ้างกับต้นฉบับ) เช่น มังกรหยก ไซอิ๋ว สามก๊ก ลายเส้นอลังการ แต่ภาพไม่ค่อยชัด(ไม่รู้เป็นเพราะอะไร) และมีกรอบสี่เหลี่ยมบรรยายภาพแต่ละภาพ เนื้อหาไม่มีอะไรมากประมาณว่าทั้งเล่มมีแต่ฉากสู้กัน ทำให้การ์ตูนแต่ละเรื่องมีหลายเล่ม บางเรื่องปาไปถึง 100 ก็มี เนื่องจากมันเล่นหลายภาค และถึงลูกถึงหลาน เนื้อหาก็ฉีกแนวบ้างไม่ฉีกแนวบ้างตามประสาการ์ตูนยุทธภพ แม้ว่าปัจจุบันมีการ์ตูนประเภทนี้จำหน่ายตลาดนั่นคือของสำนักพิมพ์บูรพัฒน์ แต่กลุ่มผู้อ่านยังคงจำกัดมากกว่าได้รับความนิยม จุดแข็งของการ์ตูนฮ่องกงก็คือมักเอาวรรณกรรมจีนที่ฮิตๆ นำมาเขียน แต่ในขณะเดียวกันจุดแข็งนี้ก็กลายเป็นจุดอ่อนเหมือนกันเพราะว่าส่วนใหญ่แล้วการ์ตูนจากวรรณกรรมที่นำมาเขียนมักมีการดัดแปลง(สงสัยคนวาดคงคิดจะไม่ให้จำเจ) ใส่เนื้อหาใหม่และเพิ่มอะไรมากมาย แต่กลายเป็นว่าการ์ตูนดังกล่าวกับไม่ทำให้แฟนวรรณกรรมนั้นถูกใจแต่อย่างใด กับสิ้นหวังเสียด้วยซ้ำในความมั่วของมัน(อย่างน้อยก็ผมคนหนึ่ง) ตัวอย่างเช่น เจ้าปลาน้อย เซียวฮื่อยี้
ส่วนตัวผม ผมค่อนข้างชอบผลงานการ์ตูนที่เอามาจากวรรณกรรมที่ตรงกับต้นฉบับ เช่น มังกรหยก และ 8 เทพอสูรมังกรฟ้า ในขณะที่หลายเรื่องของการ์ตูนฮ่องกงไม่รับไม่ค่อยได้ที่ทำไม่ตรงกับต้นฉบับเท่าไหร่ เอาเถอะขอสงวนชื่อการ์ตูนในที่นี้ละกัน
ส่วน Street Fighter Zero 3 เป็นการ์ตูนฮ่องกงที่เอาตัวละครจากสตรีทไฟเตอร์มาใช้ แต่ไม่ได้เอาเนื้อหาของเกมมาดัดแปลงอะไรเลย เพราะเปลี่ยนเนื้อหาใหม่หมด โดยใส่เรื่องยุทธภพลงไป ทำให้เนื้อหานั้นทำให้แฟนพันธ์แท้สตรีทไฟเตอร์รับไม่ได้อย่างรุนแรง
ผมยอมรับว่าผมเป็นแฟนสตรีทไฟเตอร์ ชอบถึงขั้นมาก เห็นได้จากปากกา “แคมมี่” อันมาจากตัวละครสุดรักของผมในเกมนี้เอง ตั้งแต่เด็กผมได้อ่านการ์ตูนที่มาจากสตรีทไฟเตอร์หลายเรื่อง ดีบ้างไม่ดีบ้าง เพราะเน้นฉากสู้กันเป็นหลัก แต่ผมยอมรับว่า Street Fighter Zero 3 ฉบับฮ่องกงนี้แย่ที่สุดเท่าที่อ่านมา แฟนพันธุ์แท้ที่ไหนมาอ่านอาจรับไม่ได้ เพราะตัวละครที่รักถูกบูยี้บูยำซะเสียไม่เหลือเค้าโครงต้นฉบับของเกมเลยสักนิด ที่จริงการ์ตูนที่เอาสตรีทไฟเตอร์มาทำแล้วเปลี่ยนเนื้อเรื่องใหม่ก็มีแต่เขายังทำสนุกและมีกลิ่นอายของเกมด้วย แต่นี้มันไม่มีกลิ่นสักนิดแถมเนื้อเรื่องใหม่ดันแย่เพราะมันไปเพิ่มวรยุทธ์อะไรไปเรื่อย ที่ผมรับไม่ได้สุดๆ คือตัวละครนางเอกคนหนึ่งชื่อชุนลีดันเป็นลูกกับเวก้าไม่รู้คิดได้ไง เพราะในเกมสองตัวละครนี้เป็นคู่ปรับกัน เวก้าเป็นฝ่ายฆ่าพ่อนางเอก สรุปคือการ์ตูนมั่วจนรับไม่ได้จริงๆ แต่ที่เจ็บใจที่สุดคือตัวละครขวัญใจผมอย่าง "แคมมี่" ตัวละครที่ฮิตของเกมนี้ไม่แพ้ตัวอื่นๆ ดันเป็นตัวประกอบของการ์ตูนเรื่องนี้แถมเป็นขี้ข้าคนอื่นและสุดเซ็งคือออกมาไม่กี่หน้าแล้วไม่ออกมาอีกเลย(โครตเซ็งเป็ด อยากเผานั่งยางคนเขียน) เสียดายเงินที่สุดในชีวิตรองจากซื้อนิยายเรื่องบารา...มา
อันดับ 6 Chairudo (สาเหตุที่ผิดหวัง ออกทะเลและเซ็กต์เกินความจำเป็น) แนวแอ็คชั่น, แหวะๆ, และเรต +18 เป็นการ์ตูนของ Makoto Ogino เขียนไว้ปี 1996 มี 7 เล่มจบ ไม่มีลิขสิทธิ
Makoto Ogino เป็นนักเขียนคลาสสิกชื่อดังอีกคนในวงการการ์ตูนญี่ปุ่นครับ โดยเฉพาะผลงานเรื่องคุจากุ(Kujaku) แต่สำหรับผมแล้ว ผมค่อนข้างผิดหวังกับการ์ตูนเขาหลายเรื่องมาก คือตอนแรกออกมาดีและแล้วน่าติดตามแต่หลังๆ เริ่มมั่ว และที่ผมยกย่องก็คือการ์ตูนของเขาสามารถทำให้ออกทะเลได้เก่งมาก แค่เล่ม 2 เนื้อเรื่องก็มั่วไปนอกโลกแล้ว ขณะที่นักเขียนบางคนต้องใช้เวลาหลายเล่มกว่าจะออกทะเลได้(ฮ่า) ยกตัวอย่างนะครับเช่น The Gun Spirit (7 เล่มจบ), Yasha Garasu(10 เล่มจบ) ที่ผมมีโอกาสได้ดูฉบับแปลไทยบ้านเรา(ตัวอย่างแรกลิขสิทธิของสยามครับ) สองเรื่องนี้และรวมถึง Chairudo นี้มีบ่บอกถึงนิยามคนเขียนเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดีคือ หลอกดีใจ, ออกทะเล, บ้าๆ บวมๆ และเซ็กต์ ถ้าขาดสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่การ์ตูนของเขาครับ
Chairudo เป็นเรื่องราวของสิ่งมีชีวิตหนึ่งชื่อ “Chairudo” คือเป็นสิ่งมีชีวิตที่เหมือนกับคน หากแต่มันอยู่ในรูปร่างของเด็กและไม่มีวันที่จะเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่เด็ดขาด โดยทุกตัวจะมีพลังวิเศษแตกต่างกันออกไป เช่น ปล่อยลูกไฟ รู้อนาคต เกาะเพดาน ฯลฯ โดยพวก “Chairudo” เป็นที่รังเกียจในสังคมมนุษย์และพวก “Chairudo” เองก็เป็นที่รังเกียจพวกเดียวกันเช่นกัน ทำให้ต้องฆ่ากันเองเพื่อความอยู่รอดและแย่งชิงอาณาเขต(ยกเว้นตัวผู้กับตัวเมียสามารถอยู่ร่วมกันได้) โดยพระเอกเรื่องนี้คือ Hinagata Heiji เป็นผู้มีพลังวิเศษที่สามารถทำให้สิ่งของต่างๆ รอบตัวมีชีวิตได้โดยใช้เลือดของเขา ภายนอกเหมือนจะเป็นเด็กอ่อนแอ ไร้ตัวตน ชอบโดนคนอื่นแกล้ง แต่ความจริงแล้วเขาเป็นคนดีชอบช่วยเหลือคนอื่น หากเห็นใครเดือดร้อนจะเข้าช่วยเหลือ(โดยเฉพาะเด็กผู้หญิง ฮ่า) โดยใช้พลังวิเศษกำจัดคนชั่วและพวกมีพลังวิเศษที่เข้ามาทำร้ายเขา(และแฟน)
ขอบอกว่าตอนแรกผมอ่านการ์ตูนเรื่องนี้สนุกมากๆ เพราะอุตส่าห์โปรยอะไรหลายๆ อย่างเข้าไป ให้น่าติดตาม ตอนแรกทำออกมาอย่างสนุกมากพระเอกเป็นผู้มีพลังวิเศษ ฉากรุนแรงเพียบ จิกกัดประเด็นการกลั่นแกล้งในโรงเรียนอย่างถึงกึ๋น แต่หลังๆ คนเขียนนึกอะไรไม่ทราบ เพราะละทิ้งประเด็นเนื้อหาข้างต้นสิ้นเชิง แล้วเปลี่ยนแนวการืตูนเป็นแอ็คชั่นเซ็กต์ ไปเอาเรื่ององค์กรบ้าอะไรก็ไม่รู้ไปใส่ ตอนแรกสู้กับพวกเดียวกันเดี๋ยวนี้มาสู้ตัวอะไรก็ไม่รู้ แถมพลังวิเศษอะไรก็ไม่ใช้ ไปใช้เวทมนต์อะไรสักอย่างที่เพิ่มเข้ามาตอนหลัง(ที่ไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่องที่โปรยไว้เลยสักนิด) ตัวละครที่อุตส่าห์โปรยเอาไว้เล่มแรกๆ ก็ตัดออก นางเอกที่โปรยไว้เล่มหนึ่งก็ไม่มีบทเลยช่วงหลัง สิ่งที่คนเขียนโปรยไว้ช่างไร้ประโยคสิ้นดี เหมือนว่าไม่เต็มใจเขียน(หรือจงใจเขียนหว่า) ออกทะเลยังไม่พอนะครับ ไม่รู้คนเขียนคนนั้นชอบอะไรนักหนา เพราะพี่แกชอบใส่ฉากเซ็กต์ เกินความจำเป็นไปอีก เช่น ตัวร้ายสู้กับพระเอกอยู่ดีๆ พอพระเอกล้มเข้าหน่อยมันก็จับกดตัวละครหญิงข้างๆ แล้ว มันหน้ามืดอะไรหนักหนาว่ะ สรุปคือถ้าเอ็งไม่ได้เขียนฉากเซ็กต์นี้คงจะตายให้ได้ใช่เปล่าเนี้ย แถมเซ็กต์ที่ว่ามีหลายแบบด้วย เช่น คนอ้วนกับสาวสวย คนแก่กับผู้หญิง ผู้หญิงกับปีศาจหื่น หนวดลามก ลงแขก นี้ไม่นับตัวละครหญิงที่ชอบใส่เสื้อนุ่มน้อยห่มน้อยนะครับ ใส่ชุดราวกับว่ากำลังอยู่หาดเปลือยอย่างงั้นแหละ
บอกตามตรงครับผมเสียดายกับเนื้อหาของการ์ตูนของนักเขียนเรื่องนี้มาก แม้จะสิ้นหวังกับการ์ตูนเรื่อง “Chairudo” ผมก็หวังว่าคนเขียนจะคิดได้และทำการ์ตูนดีมีสาระเข้ามา หลังจากนั้นผมก็ได้ดูเรื่อง The Gun Spirit ในตอนแรกความรู้สึกก็มาแบบเดียวกับการ์ตูนข้างต้นแหละคือชอบมากในเนื้อหาของมันแบบว่าโอ้นักฆ่ามืออาชีพกลับใจมาเป็นตำรวจชั้นผู้น้อยชอบๆ ชอบๆ แต่ว่าเมื่ออ่านหลายเล่มเข้า ความแป๊กมาเยือน เมื่อมีฉากเซ็กต์เพิ่มเข้ามาจนเกินความจำเป็น(อีกล่ะ) เจ้าตำรวจผู้น้อยมาเป็นตำรวจสืบสวนพิเศษ สู้กับองค์กรชั่ว แถมพวกอมมนุษย์มากมาย(บางตัวสู้ไปเล่มหนึ่งเต็มๆ) ฉากแหวะๆ ลื่นๆ สยอง เพิ่มสิ่งที่ไม่จำเป็นเข้าไป นอกจากไม่สนุกแล้ว ก็ยิ่งเซ็งจิต เท่านี้ยังไม่พอผมไปอ่านคำวิจารณ์จากเว็บอื่นมา เว็บอื่นต่างให้ 10 คะแนนเต็ม โอ้พระเจ้าจอร์ด เอ็งอ่านภาษาอะไรว่ะเนี้ย มันออกทะเล อวยซะอย่างกับการ์ตูนเทพ หรือว่าคนอ่านชอบฉากเซ็กต์หรือเปล่าเนี้ย
ปัจจุบันผมสิ้นหวังผลงานของ Makoto Ogino เป็นที่เรียบร้อย เอาเป็นว่าใครอยากดูว่าการ์ตูนมันลูกบ้าออกทะเลและสายมืดขนาดไหนสามารถไปดูได้ที่
http://www.mangahere.com/manga/chairudo/c001
อันดับ 5 Berserk(สาเหตุที่ผิดหวัง นักรบที่บ้าคลั่งได้ตายจาใจผมนานแล้ว) เป็นการ์ตูนญี่ปุ่นแอ็คชั่นเลือดสาดแฟนตาซี วาดโดย เคนทาโร่ มิอุระ ลงตีพิมพ์ในนิตยสาร ยังก์แอนิมอล โดยสำนักพิมพ์ฮะคุเซนชะ ในประเทศไทย ได้ลิขสิทธิ์ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์วิบูลย์กิจ ส่วนฉบับอะนิเมะ ได้ลิขสิทธิ์จัดจำหน่ายโดย TIGA
เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในยุคกลาง โดยเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับ กัซ นักรบที่มีดาบมหึมาและปืนใหญ่ที่แขนกลซ้าย เดินทางพร้อมกับเอลฟ์ (ติ๊งต๊อง) ชื่อแพ็ค ที่ออกเดินทางเพื่อปราบปีศาจและตามหาก็อตแฮนซึ่งอดีตมันได้ก่อวีรเวรให้กับเขาและพรรคพวกชนิดว่าอยู่ร่วมโลกไม่ได้ โดยเฉพาะหนึ่งในก็อตแฮนชื่อ “กรีฟีน”
เบอร์เซิร์กเปิดฉากได้ฉีกแนวแฟนตาซีไปจนเสียสิ้น เพราะแฟนตาซีนั้นส่วนใหญ่จะเน้นตลกและความสดใสไร้มลพิษ แต่ภาพของเบอร์เซิร์กนั้นเต็มไปด้วยความรุนแรง บ้าคลั่ง เซ็กส์ และด้วยความแปลกใหม่นี้ทำให้ครั้งหนึ่งเป็นการ์ตูนที่โด่งดังมาก ที่ทำให้เหล่าสาวกการ์ตูนไทยได้รู้จักคำว่าดาร์คแฟนตาซี (Dark Fantasy)
เบอร์เซิร์กได้ชื่อว่าเป็นการ์ตูนที่มีความรุนแรงสูง ในขณะเดียวกันเป็นการ์ตูนที่มียอดขายมากอันดับต้นเช่นกัน ในประเทศญี่ปุ่น และเมื่อคนเขียนหลายเล่มเข้าเริ่มมีคำว่า “ออกทะเล” บังเกิด ออกทะเลในภาษาโลกออนไลน์หมายถึง การเบี่ยงประเด็นไปเรื่อยๆ ซึ่งภาพลักษณ์เบอร์เซิร์กเปลี่ยนจนแฟนๆ ยากที่จะให้อภัย
-บทบาทของตัวละครในเรื่องนี้เปลี่ยนไปจนหลายคนรับไม่ได้(อย่างน้อยก็ผม) ไม่ว่าจะเป็นพระเอกกัซที่ตอนแรกนักรบที่บ้าคลั่งเลือดเย็นเห็นคนอ่อนแออยู่ตรงหน้าก็ไม่สนใจที่จะช่วยเหลือและฆ่าทั้งคนและปีศาจเกลี้ยงหากพวกนั้นมันขวางทางเขา กลายแต่ตั้งแต่เล่มหลบังๆ กัซได้เปลี่ยนภาพลักษณ์ใหม่กลายมาเป็นนักรบที่หมดสภาพที่ดูเยือกเย็นไม่แกว่งดาบบ้าเลือดอีกแล้ว เขาไม่สนใจจะแก้แค้น “พระเจ้า” มุ่งหวังจะหาที่สงบๆ นอนตายตาหลับลูกเดียว นอกจากนี้ตัวละครอื่นๆ ก็เปลี่ยนบทบาทด้วยเช่นอัศวินสาวคลั่งศาสนาเพื่อนร่วมเดินทางของกัซหลังๆ นี้ไม่รู้ไปทำศัลยกรรมที่ไหนมาคางยืดเชียว และก็เลิกเกลียดแม่มดหันมาเป็นแม่มดซะเอง(ดูแล้วเหนื่อยใจ)
-การต่อสู้ของกัซคือการใช้สมองบวกกับความบ้าคลั่งของมนุษย์ในการศุ้กับปีศาจ และสามารถชนะโดยไม่ใช้เวทมนต์นี้แหละคือความสุดยอด แต่ช่วงหลังกัซดันมีเวทมนต์ในการสู้รบด้วย ทำให้ผิดหลักการของกัซโดยสิ้นเชิง
-สิ่งที่เหล่าแฟนการ์ตูนเรื่องนี้คือการเห็นฉากกัซอัดหรือชำระแค้นก็อตแฮนและกรีฟีน แต่ปรากฏว่าช่วงเล่มหลังจุดประสงค์ที่ว่าได้เปลี่ยนไป เพราะดูเหมือนกัซจะลืมเรื่องความแค้น โดยมีจุดมุ่งหมายที่ไปบ้านเกิดของแพ็ค
-ตัวละครที่ผมชอบคือแพ็คที่ตอนแรกผมดูแล้วสับสนคือเจ้าหมอนี้เป็นผู้ชายหรือผ็หญิง เมื่อมีฉากปรากฏตัวของหมอนี้ต้องฮ่าทุกครั้ง แต่เล่มหลังๆ ตัวละครตัวนี้กลับหายไปอย่างไม่น่าให้อภัย
-การปรากฏตัวของแม่มดหนึ่งในเพื่อนร่วมเดินทางของกัซทำให้เนื้อเรื่องเปลี่ยนไปเสียสิ้น กลายเป็นแฟนตาซีเวทมนต์ซะงั้น
-กัซช่วงหลังๆ บทน้อยลง ดันไปเน้นเจ้ากรีฟินที่ผมเหม็นขี้หน้าหมอนี้มาก ดูดีๆ พฤติกรรมหมอนี้น่าตืบมาก ไม่ว่าจะเป็นสังเวยเพื่อนที่อุตส่าห์ร่วมเป็นร่วมตายเพื่อให้ตนเองเป็นก็อตแฮน มันน่าจะมีฉากชำระแค้นหมอนี้สักทีนะ
-อนิเมชั่นผมไม่ได้ดู แต่ดูเหมือนได้รับคำวิจารณ์ว่าสนุกมาก
-และที่สะเทือนใจกว่านั้นหนังสือเล่มต่อๆ มาของเบอร์เซิร์กก็เริ่มออกมาวางแผงนานขึ้น นานขึ้น จาก 3 เดือน ไป 1 ปี บางเล่มทิ้งช่วง จนหลายคนลืมไปแล้วว่ายังมีการ์ตูนเรื่องนี้วางแผงในไทยการรอเล่มต่อของเบอร์เซิร์ธของเหล่าแฟนๆ กลับกลายเป็นความสิ้นหวัง หดหู่ แทนที่จะตื่นเต้น จดจ่อ ว่าเรื่องราวจะเป็นยังไงต่อ บางคนถึงกับภาวนาว่า “อย่าให้เนื้อเรื่องออกทะเลมากกว่าเลย แล้วจะถวายส่วนบุญไปให้”
แม้จะผิดหวังการ์ตูนเรื่องนี้ก็ตามแต่ผมก็ยังติดตามการ์ตูนนี้แบบไม่เสื่อมคลาย(เพราะอยากรู้ว่าคนเขียนจะจบเรื่องนี้ยังไง)
อันดับ 4 Watashi wa Kagome (สาเหตุที่ผิดหวังเสียชื่อคนเขียนอย่างบอกไม่ถูก) มีนักเขียนการ์ตูนหลายคนที่ทำผลงานเก่าสุดยอดมากแต่พอผลงานใหม่ออกมาทำเอาผมเซ็งจิต(สำหรับผม) สิ้นหวังต่อโลกใบนี้(ทีเดียว) ยกตัวอย่าง เช่น คนเขียนเรื่อง “เดียร์(Dears)” อลวนรักจากฟากฟ้าที่เอามุกดิจิดอตเลดี้มาใช้แต่ผมชอบน่ะ(น่าแค้นใจนักที่ผมหาซื้อเล่มแปลไทยไม่ครบ) แต่พอเรื่องล่าสุด Shugo Chara ผมดูแล้วเหนื่อยใจกับคนเขียนเพราะไม่ได้เอามุกใหม่หรือสร้างความประทับใจกับผลงานเก่าๆ ได้เลย หรือจะเป็นผลงานของ IWAHARA Yuji ที่ผมอวยหนักหนาในแต่ละเรื่อง แต่พอผลงานเรื่องเหมียวผู้พิทักษ์มันกับลดเกรดคนเขียนยังบอกไม่ถูก
โยสุเกะ ทากาฮาชิเป็นนักเขียนการ์ตูนแนวสยองขวัญและพิศวง คนแรกๆ ที่ผมชื่นชมความสามารถมาก เนื่องจากการการเขียนของเขาส่วนใหญ่มักเป็นการ์ตูนสั้น จบภายใน 10-15 ซึ่งเป็นการยากมากที่จะหาใครสักคนวาดการ์ตูนที่เนื้อหาสยองและหักมุม ตลกร้าย แบบนี้ อีกทั้งเรื่องราวสยองขวัญของเขาส่วนมากเป็นรูปแบบที่คุณต้องไม่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อน เพราะคนเขียนแต่งสร้างเรื่องขึ้นมาเอง บวกกับลายเส้นที่ใช้หมึกจีนเส้นหนักๆ ดูแล้วได้อารมณ์เป็นอย่างมาก โดยผลงานที่ผมชอบที่สุดคือ “ชั่วโมงเรียนพิศวง” ที่ผมชื่นชอบตัวเอกยามางิชิมากเพราะน่ารักสุดๆ แถมมีหลากหลายอารมณ์ดีชั่วเลือดเย็นคละเคล้ากันไป ทำให้ดูกี่ทีก็ไม่มีเบื่อ แต่น่าเสียดายนักที่บทบาทของเขากับสิ้นสุดในอย่างรวดเร็ว และนับจากนั้นเป็นต้นมาผลงานของคนเขียนคนนี้ดูเหมือนจะหลงทาง เพราะการ์ตูนต่อมาของผมไม่ทำให้ผมประทับใจเสียเลย เช่น เรื่องKuroko ที่แนวแอ็คชั่น มีการเสริมเนื้อเรื่องราวเข้าไปให้กานเป็นเรื่องยาว(แต่จำหน้าหน้าแต่ละตอนยังคงเหมือนเดิมคือ 9-10) แม้มีภาพสยอง ไม่ว่าภาพศพ ภาพปีศาจที่สะอิดสะเอียน(อันเป็นจุดเด่นของนักเขียนคนนี้) แต่เนื้อเรื่องไม่ได้หักมุมเท่าไหร่ ซึ่งขอบอกว่าแนวแอ็คชั่นนี้ไม่เหมาะกับคนเขียนคนนี้มากนัก เพราะว่าจำนวนหน้ามันจำกัดการใส่ไอเดีย ทำให้อะไรก็ไม่ลงตัวเท่านัก อีกทั้งดูเหมือนว่าคนเขียนคนนี้ไม่ถนัดเรื่องยาวเท่าไหร่เพราะไอเดียไม่แปลกใหม่เท่าที่ควร
Watashi wa Kagome(2005:สี่เล่มจบ) เป็นการ์ตูนอีกเรื่องที่ผมคิดว่าเสียชื่อของคนเขียนคนนี้มาก โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับพี่เลี้ยงที่มีพลังวิเศษที่คอยปกป้องเด็กของนายจ้างจากปีศาจร้าย เป็นการ์ตูนจบในตอน เน้นปราบปีศาจส่วนใหญ่ ฟังพล็อตแล้วน่าสนุก หากแต่ลายเส้นนี้ค่อนข้างไม่ดีเท่าไหร่ และเป็นผลงานที่ทึ่งมากจนผมไม่เชื่อสายตาตนเองเพราะผมดันเห็นว่า ผู้เขียน Yousuke Takahash (หรือเนื้อเรื่องหว่าแต่ผมแปลว่า คนเขียนนี้ เดาว่าสำนักพิมพ์คงเข้าใจผิดอะไรสักอย่างหรือเปล่าเพราะลายเส้นไม่เหมือนของนักเขียนคนนี้เลย) โดย อึ่งสิครับตอนแรกผมนึกว่าคนละคน ตะโกนลั่นเลยว่านี้คือชื่อเดียวกับคนเขียน “ชั่วโมงเรียนพิศวง” หรือเปล่า นักเขียนที่ผมชอบแท้ๆ แต่ทำไมการ์ตูนเรื่องนี้ถึงไม่ได้สร้างความประทับใจให้ผมเลย เพราะเนื้อหาส่วนใหญ่นั้นสามารถเดาตอนจบได้ ไม่ได้แปลกใหม่หรือหักมุมแต่อย่างใด เรียกได้ว่าเสียเครดิตเจ้าแห่งการ์ตูนหักมุมจบในตอนสุดๆ
อันดับ 3 Jump(สาเหตุที่ผิดหวัง อะไรหลายๆ อย่าง) ปกติผมไม่ค่อยชอบการ์ตูนของจัมป์เท่าใดนัก เพราะว่าการอ่านการ์ตูนของค่ายนี้ทีไรผมมักจะต้องทำใจอยู่เสมอว่า “มันต้องออกทะเล” ไม่ก็ “ตัดจบได้เซ็งจิต” แบบว่าการ์ตูนหลายเรื่องผมติดตาม ชอบมากๆ แต่จู่ๆ ก็ตัดจบอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ไม่ก็จบแบบปาหมอน (ชาแมนคิง) เล่นเอาหลายคนเซ็งเป็นอย่างมาก และโดยเฉพาะการ์ตูนแนวรักคอเมดี้นี้จัมป?ชอบตัดจบสุดเซ็งสุดๆ เช่นกัน และบางเรื่องได้กลายเป็นฝันร้ายผมจนถึงทุกวันนี้
ส่วนตัวผมนั้นตอนนี้ผมอ่านติดตามการ์ตูนของจัมป์ไม่กี่เรื่องเท่านั้นเอง(แน่นอนว่าต้องเป็น To love Ru อันดับแรก) เนื่องจากผมไม่ชอบการ์ตูนพวกแอ็คชั่นบ้าพลังสู้เพื่อหาศัตรูแกร่งไปเรื่อยๆ เท่าไหร่ ผมอยากเห็นการ์ตูนที่เนื้อหาที่ลงตัว จบอย่างลงตัว ไอเดียน่าติดตาม (นอกเหนือจากนั้นก็เป็นรสนิยมของผมด้วยครับ เช่น พระเอกต้องน่ารัก(!!), ตัวละครที่ชอบ(ส่วนมากเป็นตัวร้าย), โมเอะ
สิ่งที่เดาว่าสาเหตุที่การ์ตูนจัมป์ดำเนินเรื่องทำให้หลายคนผิดหวัง(แม้มันจะดังก็ตาม) ก็คือ “เรตติ้ง” ทุกวันนี้มีหลายคนติดตามจัมป์มากและหวังจะเห็นเนื้อเรื่องต่อไปโดยไม่อยากให้การ์ตูนเรื่องนั้นจบ โดยใช้ “เรตติ้ง” เป็นตัวกำหนดว่าการ์ตูนเรื่องไหนควรจะอยู่หรือจะไป ถ้าการ์ตูนไหนดังอาจมีการเพิ่มเนื้อหาแม้จะออกทะเลไปบ้างแต่ผู้อ่านส่วนใหญ่รับได้(โดยเฉพาะผู้อ่านที่เป็นเด็ก ผู้ใหญ่เขาไม่ค่อยปลื้มหรอก) สิ่งเหล่านี้เห็นได้ว่าบางครั้งการเขียนการ์ตูนจะต้องตามกระแสและตามใจผู้อ่านเป็นหลัก ทำให้จำกัดอิสระทางความคิดของนักเขียน(บ.ก.ก็มีส่วน)ทำให้ผลงานออกมาก็อย่างที่เห็น(ปัจจุบันผมอ่านแต่กินทะมะและนิวโรแหละครับที่เป็นของจัมป์)
อันดับ 2 Jiburiru (สาเหตุที่ผิดหวัง เพราะตั้งความหวังมากเกินไป มันเลยกลายเป็นความผิดหวัง) Jiburiru เป็นอนิเมชั่นการ์ตูนโป๊ที่สร้างจากการ์ตูนโป๊ ของญี่ปุ่น โดยอนิเมชั่น(OVA)นั้นแบ่งเป็น 3 ภาค ภาคละ 4 ตอน และที่น่าสนคือแต่ละภาคนั้นใช้เวลาทำนานมาก คือ ภาคแรก 2004-2006, ภาคสอง 2007-2009 และภาค 3 2009-2010(ยังไม่จบ)
Jiburiru ภาคแรกนั้น เริ่มต้นในฤดูร้อนในวันหยุด เมื่อมีหนุ่มสาวชายหญิงคู่หนึ่งชื่อนาโอโตะ จินโนะและ ริกะ มานาเบะกำลังสารภาพรักซึ่งกันและกันในสวนสาธารณะ ทันใดนั้นเองเด็กชายปีศาจที่ชื่อ แอสโม่ก็ปรากฏตัว เขาบอกว่าตัวเองเป็นภูตที่ต้องการพลังวิเศษจากตัวหญิงสาวทั้งหลายบนโลก และ ริกะก็คือเหยื่อของมัน จากนั้นแอสโม่ก็เรียกสัตว์ประหลาดปลาหมึกลามกขึ้นมา ในขณะที่ริกะกำลังถูกปีศาจปลาหมึกดูดพลังไปนั้น จู่ๆ ก็มีเด็กหญิงร่างเล็กปรากฏตัวช่วยสองหนุ่มสาวได้ทัน โดยบอกว่าตนมีชื่อว่า เลิฟเรียลเป็นเทวดาที่มาจากท้องฟ้า ตนมายังโลกมนุษย์เพื่อที่จะต่อสู้กับปีศาจจากนรก ซึ่งเป็นศึกต่อสู้ต่อสู้ที่กินระยะเวลาเป็นเวลานาน จนทำให้เลิฟเรียลสูญเสียพลังในการต่อสู้เกือบหมด เธอต้องการให้ริกะเป็นผู้สืบทอดแทนเธอเพื่อต่อสู้ต่อมา และเมื่อริกะฟังจบ เธอก็ตอบตกลง หากแต่การที่จะเป็นนางฟ้านักสู้ได้นั้นเธอจะต้องสูญเสียความบริสุทธิ์ก่อนถึงจะเปลี่ยนร่างได้ และนั้นคือจุดเริ่มต้นของพ่อปลาใหล, นางฟ้าในชุดว่ายน้ำโรงเรียน, ปีศาจหมึกลามก ฯลฯ
Jiburiru ติดอยู่ในการ์ตูนที่ผมโหยหาที่อยากได้ เพราะสาวๆ ในการ์ตูน(เกม)นี้น่ารักโครตๆ ผมชอบวาดตัวละครที่ชื่อ นากิ จินโน(Nagi Jinno) มากเพราะน่ารักสุดๆ หลังจากที่รู้ว่ามีอนิเมชั่นที่สร้างจากเกมส์ แม้จะรู้ว่าภาพอมิเนชั่นจะไม่เหมือนในเกมก็ตามแต่ผมก็ไม่ลดละที่จะตามหาอนิเมชั่นนั้น แม้จะรู้ว่าประเทศไทยมีกฎหมายปราบปรามสื่อลามกก็ไม่ย่อท้อ(เป็นการจุดมุ่งหมายที่ผิดวิธีเหลือเกิน) ทำให้ต้องเสาะหาการ์ตูนนี้นานถึง 3 ปี ไม่ว่าจะเป็นทั้งในและนอกประเทศ(ตอนนั้นยังไม่รู้ว่ามันมีดาวน์โหลดในอินเทอร์เน็ต)เสียเงินไปก็มาก โดนหลอกก็เยอะ กว่าจะได้ Jiburiru ภาคแรกมาเชยชม
แต่ปรากฏว่าหลังจากผมดู Jiburiru ภาคแรกแล้ว ผมรู้สึกผิดหวัง เพราะการ์ตูนอนิเมชั่นเรื่องนี้ไม่ได้สร้างให้สมกับคุณภาพและความตั้งใจเลยสักนิด หรือพูดง่ายๆ ก็คือ “เผา” ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพของภาพ, สัดส่วนตัวละคร, การเคลื่อนไหว, การดำเนินเรื่อง ทุกอย่างเผาหมด
เผา ในภาษาอนิเมชั่นคือการทำให้คุณภาพของภาพลดลงแบบตั้งใจ เช่นสัดส่วนตัวละครเพี้ยน สีของภาพไม่ดีไม่เหมาะสมในเทคโนโลยีการสร้าง(ในสมัยที่สร้าง) การเผานั้นมีหลายระดับ เผามากหรือเผาน้อย แต่กระนั้นอย่างไรก็ตาม Jiburiru เป็นการ์ตูนเผาระดับแมกต์
Jiburiru เป็นการ์ตูนที่ผมทำให้ผมผิดหวังไม่สมกับที่ผมตามหามา 3 ปีเลย เห็นสัจธรรมอย่างหนึ่งของอนิเมชั่นการ์ตูนโป๊คือ ส่วนใหญ่อนิเมชั่นการ์ตูนโป๊ส่วนใหญ่คุณภาพของมันจะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ สาเหตุคือไม่มีงบประมาณหรือทรัพยากรไม่ค่อยมาก ทำให้การทำจำกัดจำเขี่ย ทำแล้วอาจไม่ได้กำไรด้วย แต่กระนั้นผมคิดว่า Jiburiru น่าจะทำได้ดีกว่านั้น ให้สมกับเกมชื่อดังสักหน่อย เพราะว่าช่วงเดียวกันอนิเมชั่นจากเกมโป๊ก็ทำดีกว่านี้มาก ไม่ว่าจะเป็น ล้วนแต่คุณภาพดี ไม่ว่าจะเป็น Sora no Iro, Mizu no Iro(2006-2008),Kanojo x Kanojo x Kanojo
ใช่ว่าอนิเมชั่น Jiburiru คุณภาพจะเลวร้ายตลอดทุกภาค อย่างน้อยก็มีการพัฒนาเรื่องภาพบ้าง แต่กระนั้นภาพรวมส่วนใหญ่ก็ยังแย่อยู่ดี ไม่ว่าจะสัดส่วนตัวละครเพี้ยนๆ ใบหน้าตัวละครไม่โมเอะ จริงอยู่แม้ว่าภาพจะเผาวอดวายขนาดไหน แต่น่าจะทำฉากร่วมรักให้หื่นกว่านี้ อย่างเรื่อง Ane Hara-Mix นั้นลีลาระเริงสุดยอดมากแม้ภาพมันจะเผาวอดก็ตาม แต่ Jiburiru ไม่เพียงแต่งานจะเผาวอด ลีลารักก็ยังไม่สามารถดึงจิตใจหื่นของผู้ชม(ขาหื่น)ได้เช่นกันฉากบนเตียงทำออกมาเร็วและน้อยเกินไป ผิดกับฉากหนวดปลาหมึกลวนลามนั้นกลับทำมากเกินความจำเป็นและไม่ทำได้ไม่ค่อยหื่นเลย(แม้ตัวเกมจะเน้นฉากหนวดปลาหมึกก็เถอะ แต่ผมไม่เข้าใจทำไมคนญี่ปุ่นชอบจังกับฉากพวกนี้) ถ้าตัวการ์ตูนสนใจลีลารักและภาพเสียหน่อยน่าจะดีไม่น้อย
แต่ที่ผิดหวังที่สุดคือภาคสาม ที่เน้นนางเอกสุดที่รักนากิ จินโน แต่อนิเมชั่นทำสุดที่รักของผมไม่ค่อยดีเลย ไม่ว่าจะเป็นหน้าตา คุณภาพของฉาก(ที่ปีนี้น่าจะพัฒนาภาพได้แล้ว) หรือฉากร่วมรักพระเอกที่ทำเร็วมากเกินไป ฉากแปลงร่างก็ไม่ค่อยดี สรุปคือทีมผู้สร้างไม่ยอมแก้ปัญหาจากภาคก่อนเลยสักนิด อีกทั้งระยะเวลาทำแต่ละตอนนี้นานข้ามปีจนคนดูเซ็งไปตามๆ กัน
(การ์ตูนโป๊ไม่เหมาะสมกับเยาวชนไทยนะครับ อย่าไปดูเลย)
อันดับ 1 Sengoku Basara(สาเหตุที่ผิดหวัง ไม่สามารถอินกับเนื้อเรื่องได้) เป็นอนิเมชั่นแนวแอ็คชั่น แฟตาซี(ไม่ได้อิงประวัติศาสตร์) สร้างจากวีดีโอเกมแนวแอ็คชั่นของค่ายแคปคอม โดยออกฉายเมื่อ 1 เมษายน 2009-17 มิถุนายน 2009 มี 13 ตอนจบ กำกับโดย Itsuro Kawasaki
โดยเนื้อหาอนิเมชั่นกล่าวถึงยุคสงครามกลางเมืองของญี่ปุ่นเซ็นโกคุอันเป็นช่วงเวลาที่ญี่ปุ่นอยู่ภาวะบ้านแตกสาแหรกขาดอย่างสุดขีด บรรดาเจ้าเมือง(หรือไดเมียว)ที่ครองแคว้นแต่ละแคว้นต่างพากันตั้งตัวเป็นอิสระ และทำสงครามกันเอง บ้านเมืองเดือดร้อนทุกย่อมหญ้า โดยในเหตุการณ์ในครั้งนั้นมีเจ้าเมืองและนักรบคู่ใจอันเก่งกาจในสงครามมากมาย ไม่ว่าจะเป็น โอดะ โนบุนากะ, ดาเตะ มาซามุเนะ, ซานาดะ ยูคิมูระ, โทโยโทมิ ฮิเดโยชิ ส่วนอนิเมชั่นนั้นเน้นเรื่องของดาเตะ มาซามุเนะและซานาดะ ยูคิมูระมากกว่า โดยทั้งสองนั้นได้ร่วมมือกำจัดจอมมารโอดะ โนบุนากะที่มีแผนการที่จะยึดครองญี่ปุ่นโดยวิธีชั่วร้าย!!
Sengoku Basara เป็นอนิเมชั่นที่ผมดูแล้วรู้สึกค่อนข้างผิดหวัง ที่ไม่สามารถนำประวัติศาสตร์สงครามกลางเมืองซันโกคุนำมาใช้ให้ผู้ดูเกิดความสนใจได้ เพราะการดำเนินเรื่องเน้นสู้กันแบบบ้าพลัง(คาดว่าจะทำให้เหมือนวีดีโอเกม) ทั้งนี้เพราะทีมงานพยายามตั้งใจทำให้การ์ตูนเรื่องนี้เป็นการ์ตูนลูกผู้ชาย(ที่สมัยนี้การ์ตูนแนวนี้ไม่ค่อยฮิตเอามาทำกันแล้ว) แม้จะมีฉากต่อสู้และการเคลื่อนไหวที่บ้าพลังก็ตาม แต่ก็นั้นนี้ก็คืออนิเมชั่นการ์ตูนที่ล้มเหลวและเป็นการ์ตูนที่ทรยศคนรักประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นชนิดที่ไม่น่าอภัย(ถ้าคนไทยอีโกเรื่องภาพยนตร์ที่นำประวัติศาสตร์ชาติไทยมาใช้ คุณจะเข้าใจรู้สึกดีกับการ์ตูนเรื่องนี้)
Sengoku Basara มีจุดผิดพลาดและจุดขัดใจมากมายหลายฉาก เช่น การสู้กับอาซาอิ นากาสะ(น้องเขยของโอดะ โนบุนากะ)กับดาเตะ มาซามุเนะที่สู้กันราวกับบ้าพลังสุดๆ แต่กลายเป็นว่า อาซาอิดันมาตายเพราะกระสุนปืนไฟนัดเดียว(มันปล่อยพลังราวกับซูเปอร์ไซย่าดันมาแพ้กระสุนปืนไฟกระจอก เจริญ)
การดำเนินเรื่องการ์ตูนนั้นไม่ได้ให้ความสัมพันธ์นัก ทำให้เราคาดเดาตั้งแต่ต้นจนจบเพราะสุดท้ายธรรมะย่อมชนะอธรรม และความสัมพันธ์การพัฒนาการด้านจิตใจของตัวละครในเรื่องค่อนข้างแบนราบ(เพราะเน้นสู้ตลอด) ตัวละครหญิงก็ไม่ค่อยเด่นเท่าที่ควร หรือตัวละครตัวไหนตายก็ไม่ได้เศร้าใจอะไร(เพราะว่าการ์ตูนไม่ได้เน้นความลึกและอารมณ์ของตัวละครในเรื่อง)
สิ่งที่ขัดใจผมที่สุดคือการ์ตูนเรื่องนี้ดำเนินเรื่องไม่เป็นไปตามประวัติศาสตร์เลย ไม่รู้เป็นเพราะอะไร เดาได้ว่าถ้าดำเนินเรื่องตรงประวัติศาสตร์เกินไปมันอาจน่าเบื่อก็ได้ เลยจำเป็นต้องดัดแปลงเรื่องใหม่ เช่น โตกุกาว่าชิตาย(ทั้งที่ความจริงแล้วประวัติศาสตร์เขาคือผู้ชนะคนสุดท้ายที่สามารถรวบรวมญี่ปุ่นเป็นปึกแผ่น) การแสดงภาพลักษณ์ของโอดะ โนบุนากะนั้นชั่วร้ายเกินไปทั้งๆ ที่ประวัติศาสตร์เขาถือว่าเป็นตัวละครที่น่ายกย่องเพราะอย่างน้อยเขาก็เกือบสามารถรวบรวมญี่ปุ่นและคิดค้นการทำสงครามในแบบไม่เหมือนใครในยุคนั้นได้(โนบุนากะใช้กองทัพทหารเลวที่เป็นชาวบ้าน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วไดเมียวมักทหารที่เป็นพวกซามูไรมากกว่า) จริงอยู่ที่การ์ตูนจั่วหัวว่าเนื้อหาการ์ตุนไม่ได้อ้างอิงประวัติศาสตร์ แต่กระนั้นก็ขัดใจผู้ดูไม่น้อยเพราะอย่างน้อยชื่อตัวละครเหมือนหรือบุคลิกก็เอามาจากตัวละครในประวัติศาสตร์แล้วอ้าง แล้วอย่างนี้จะไม่ให้จำผิดได้ไง(ผมใช่ว่าจะไม่ชอบการ์ตูนที่ไม่ตรงกับประวัติศาสตร์นะครับ ขอบอกไว้ก่อน ผมพูดเผื่อคนที่ชอบประวัติศาสตร์ด้วย)
จริงอยู่ใช่ว่าการ์ตูนเรื่องนี้จะแย่ไปเสียหมดเพราะว่าจุดแข็งของการ์ตูนเรื่องนี้คงเป็นฉากต่อสู้ ฉากทิวทัศน์ที่สวยงาม ศิลปะพื้นหลังที่สมบูรณ์แบบที่ดูแล้วรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ แต่กระนั้นเมื่อบวกลบคูณหารจุดบกพร่องต่างๆ แล้ว ผลปรากฏว่านี้คือการ์ตูนที่ไม่สนุกเลยอีกเรื่องหนึ่ง และไม่เชื่อเลยว่าเป็นผลงานของผู้กำกับ Itsuro Kawasaki ที่มีผลงานมากมายอย่าง Love Hina (2000) – Storyboard, White Album (2009) – Storyboard, Rental Magica (2007–08
อันดับ 0 Murder License Kiba (สาเหตุที่ผิดหวัง เป็นการ์ตูนที่ดูแล้วอย่างบอกคนเขียนว่า "คิดได้ไงเนี้ย") เป็นการ์ตูนญี่ปุ่นแนวแอ็คชั่นโชเน็น ผลงานของ ชินจิ ฮิรามัตสึ เคยลงตีพิมพ์ในนิตยสารซูเปอร์จัมป์ ในปี 1989 (คือชื่อจัมป์ก็การรันตีในความผิดหวังได้เป็นอย่างดี) บ้านเรารู้จักในนาม “อนุญาตให้ฆ่า” มี 22 เล่มจบ (รีแม็ก 16 เล่มจบ)
Murder License Kiba เป็นเรื่องราวของพระเอกหน้าตาย(ทั้งเรื่องทำสีหน้าแบบเดียว) ชื่อ คิบะ ยูจิ ผู้ซึ่งเป็นนินจาจากหมู่บ้านคิบะ เขาเข้ามาแฝงตัวเป็นครูสอนว่ายน้ำอยู่กับผู้เฒ่า แท้จริงแล้วเขาทำงานให้กับท่านนายกอิตางากิ ซึ่งเป็นพ่อแท้ๆ ของเขา หน้าที่ของเขาคือการสะสางคดีที่มีเงื่อนงำต่างๆ และปราบเหล่าโจรผู้ร้ายที่เหิมเกริม เขามีอาวุธคู่กายเป็นดาบคู่ หรือ เขี้ยว นอกจากนี้เขายังสามารถบังคับกล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกายได้ เขาจึงสามารถปลอมเป็นผู้หญิงได้ โดยใช้ชื่อว่า คิบะ ยูโกะ
เป็นการ์ตูนที่ผมอ่านในสมัยตอนยังเป็นเด็ก พอโตขึ้นมาอ่านอีกทีก็ไม่เข้าใจว่า การ์ตูนเรื่องนี้สนุกตรงไหน ด้วยลายเส้นที่แข็งโป๊ก ตัวละครแบนราบ พระเอกหน้าตาย(ทั้งเรื่องไม่เคยยิ้มหรือแสดงสีหน้าใดๆ เลย) การดำเนินเรื่องก็ช่างขัดใจ แต่ที่รับไม่ได้ที่สุดคือแนวคิดของเรื่อง ที่ว่า เมื่อฆาตกรหนีพ้นกฎหมายจึงต้องตัดสินด้วยศาลเตี้ย ซึ่งผมไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้เลย แถมคนที่ออกคำสั่งศาลเตี้ยดันเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในประเทศอย่างรัฐมนตรี ในเมื่อกฎหมายมีช่องโหว่ทำไมพี่ท่านไม่แก้กฎหมายล่ะครับ ทำไมต้องศาลเตี้ยด้วย หรืออย่างน้อยก็ส่งพระเอกนินจาพี่ท่านไปสืบคดีหาหลักฐานเอาผิดสิ เพราะพระเอกพี่ท่านเก่งอย่างเวอร์ ฆ่าคนนับร้อยที่ติดอาวุธครบมือด้วยดาบเดียวได้ ก็น่าจะเก่งถึงขั้นหาหลักฐานได้ ศาลเตี้ยมันไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ดีหรอก ต่อให้ฆาตกรตาย มันก็มีฆาตกรใหม่ปรากฏอีก เพราะคุณท่านไม่ได้ทำให้สังคมตระหนักหรือหวาดกลัวต่อบาปอะไรเลย
แต่สิ่งที่สุดยอดที่สุดในฝันร้ายของผมต่อการ์ตูนเรื่องนี้คือ การดำเนินเรื่องช่วงหลังของมันที่มันออกทะเลอย่างสุดยอดดาวล้านดวง เพราะพี่แกไม่ได้ศาลเตี้ยในประเทศแล้วเพราะท่านนายกรัฐมนตรีของเราอย่างสาระเนไปทั่วโลกบ้าง โดยส่งนินจาพระเอกเทพไปฆ่าผู้ร้ายในประเทศต่างๆ ทั่วโลก แถมผู้ร้ายดังกล่าวเอาต้นแบบบุคคลสำคัญของโลกซะด้วย อย่างต่านส่วยพี่ชายที่แสนดีของพม่าพี่ท่านฆ่าโหดซะไม่มีชิ้นดี ไม่เว้นแม้แต่ซัดดัมก็ไม่เว้น หรือจะเป็นผู้นำลัทธิโอมชินรีเกียวก็มาแจมด้วย(ในการ์ตูนเปลี่ยนชื่อตัวละครและชื่อประเทศนะครับ แต่เห็นหน้าและบุคลิกก็รู้เลยว่าเป็นผู้นำท่านนั่นๆ) พี่ท่านครับเอาสมองไหนมาคิดนี้ว่าการฆ่ามันแก้ปัญหาได้ทุกเรื่อง อย่างเช่นคุณท่านฆ่าต่านส่วยของพม่าแล้วนางอองซานซูจีจะถูกปล่อยตัวเนี้ยคิดได้ไง ต่อพี่ท่านฆ่าตานส่วย มันก็แก้ปัญหาแค่เบื้องหน้า เดี๋ยวตานส่วยหมายเลขหนึ่ง หมายเลขสองเกิดมาอยู่ดี การฆ่าและความรุนแรงไม่ใช้การแก้ปัญหา แต่อยู่ที่การทูตและความสามัคคีของประชาชนในประเทศนั่นๆ ต่างหาก แต่การ์ตูนทำซะอย่างกับการฆ่ามันแก้ปัญหาได้ทุกเรื่องอย่างงั้นแหละ แถมตานส่วยตายง่ายซะทำอย่างกับเป็นคนโง่ ทั้งความจริงแล้วผู้นำแบบนี้ฉลาดเป็นกรด(โหยปกครองพม่ามานับทศตวรรษ) มีหรือว่าพี่แกจะไม่มีองค์รักษ์หรือครับท่าน ทำอย่างกับเดินไปตุ่มๆ แล้วเอามีดฟันคอหอยแล้วจบอย่างงั้นล่ะ
นี้ยังไม่จบนะครับ การ์ตูนยังสร้างภาพ สร้างอุดมคติทางการเมืองหลายอย่างเอาไว้ ชนิดใครที่มาเห็นรับไม่ได้ทีเดียว เช่นสร้างภาพตัวละครคนหนึ่งที่หน้าคล้ายนายอัลเบอร์โต้ ฟูจิอดีตประธานาธิบดีเปรูเป็นคนดีแม้จะเป็นเผด็จการก็ตามทั้งๆ ที่โลกแห่งความจริงแล้วอดีตประธานาธิบดีคนนี้ติดอันดับคอรัปชั่นของโลกและถูกประชาชนเปรูขับไล่จนลี้ภัยมาญี่ปุ่น(ผมว่าคนเขียนคงเสียหน้าขนาดหนัก) และวาดฝันปาเลสไตน์จับมือสันติภาพกับอิสราเอล(มียัสเซอร์ อาราฟัต)ทั้งๆ ที่โลกแห่งความจริงแล้วทั้งสองประเทศไม่อยู่ร่วมโลกไม่ได้ ไม่เผาผีกันเลยทีเดียว หรือจะเป็นสมเด็จพระราชาธิบดีสวาติที่ 3 แห่งสวาซิแลนด์ที่แกล้งเป็นคนห่วยแตกเพื่อให้น้องชายขึ้นครองราชย์แทนตน ทั้งที่ความจริงแล้วพี่แกห่วยแตกจริงแหละแต่อยากอยู่อำนาจไม่มีทางสละตำแหน่งหรอก และนี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ใครที่อยากลิ้มลองก็ไปหาดูละกันว่าการ์ตูนเป็นยังไง
10 การ์ตูนที่ผมยกตัวอย่างนี้เป็นแค่ความคิดเห็นส่วนตัวของผมเท่านั้นน่ะครับ ขัดใจใครที่ไหนก็ขออภัยด้วย และการ์ตูนที่จัดอันดับมานี้เป็นแค่ตัวอย่างเท่านั้น เพราะยังมีการ์ตูนอีกมากมายที่อยากสารยายความผิดหวังของมัน แต่เหตุผลก็คือๆ กันแหละครับ คือ จบบนเตียง, ฉากจบห่วย, พระเอกไม่น่ารัก, ออกทะเล ฯลฯ ใครที่อ่านการ์ตูนมากย่อมหนีไม่พ้นกับเรื่องดังกล่าว เอาเป็นว่าใครมีความคิดเห็นยังไงก็อย่าลืมมาบอกผมนะครับ รับฟังทุกเรื่อง ยกเว้นมาด่าผมน้า
ความคิดเห็น