คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : -STEP 2: เตรียมพร้อมก่อนออกเที่ยว (3)-
-STEP 2: เตรียมพร้อมก่อนออกเที่ยว (3)-
จองที่พัก
6 ขั้นตอนเลือกที่พักดีๆ
การจองที่พักล่วงหน้า เป็นสิ่งที่นักเดินทางทุกคนควรจะทำ คงไม่มีใครอยากเดินหาโรงแรมจนเหนื่อยทั้งวัน แล้วสุดท้ายก็ไม่มีที่พักอยู่ใช่ไหมคะ ข้อดีอีกอย่างของการจองที่พักล่วงหน้าคือ จะได้ราคาถูกกว่าการ Walk in ไปเปิดห้องเดี๋ยวนั้น ในตอนนี้เจ้าของบทความจะข้อแนะ 6 ขั้นตอนเลือกที่พักดีๆ ให้นะคะ ซึ่งรายละเอียดก็มีดังนี้
1. เลือกประเภทที่พัก
เลือกที่พักให้เหมาะกับความต้องการของตัวเอง ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงความสะดวกสบายด้วย เช่น ใกล้กับรถไฟฟ้าใต้ดินหรือเปล่า เป็นต้น โดยหลักๆ แล้ว ที่พักที่เหมาะกับนักเดินทางอย่างเราๆ จะมีด้วยกันอยู่ 2 แบบค่ะ
โรงแรม (Hotel) มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ราคาที่พักคิดเป็นต่อห้องต่อคืน เหมาะกับคนที่ต้องการความสะดวกสบาย เช่น เดินทางไปกับเด็กๆ หรือไปเป็นครอบครัว ส่วนมากเด็กอายุไม่เกิน 12 ปีมักเข้าพักฟรีได้ (โปรดตรวจสอบรายละเอียดกับโรงแรมแต่ละแห่งอีกครั้ง)
โฮสเทล (Hostel) ที่พักแบบพักรวมกับคนอื่น มีสิ่งอำนวยความสะดวกน้อยกว่า ห้องน้ำมักใช้เป็นแบบรวมกัน คิดราต่อหัว เหมาะกับการไปท่องเที่ยวแบบมีงบจำกัด และไม่ต้องการความสะดวกสบายมากนัก สำหรับประเทศที่เจริญแล้วมักไม่มีปัญหาอะไร
2. เลือกช่องทางการจองที่พัก
จองผ่านเว็บไซต์ตัวแทน หรือเอเยนต์ เป็นที่นิยมมากเพราะมักได้ราคาถูกกว่าการจองผ่านเว็บไซต์โรงแรมโดยตรง ชำระเงินผ่านบัตรเครดิตเท่านั้น เช่น
Booking.com
ข้อดีคือ เมื่อจองไปแล้วจะยังไม่ตัดเงินจากบัตรเครดิตทันที แต่จะกันวงเงินเอาไว้เท่านั้น และสามารถยกเลิกได้โดยไม่โดนหักเงิน (แต่ต้องอ่านเงื่อนไขของโรงแรมแต่ละแห่งให้ดี)
Agoda.com
เว็บไซต์จองที่พักยอดนิยม เพราะเก่าแก่และน่าเชื่อถือ แต่เงื่อนไขมักจะโหดกว่า Booking.com คือเมื่อยกเลิกแล้วมักจะถูกหักเงิน และมักมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเมื่อเข้าเช็กอิน เช่น ค่าบริการ และภาษี เป็นต้น
การชำระเงินจองที่พักผ่านผ่านเอเยนต์ มีทั้งแบบตัดเงินจากบัตรเครดิตทันที และแบบกันวงเงินจากบัตรเครดิตเอาไว้ก่อน ต้องศึกษาเงื่อนไขการชำระเงินให้ดีก่อนกดชำระเงิน
ตัวอย่างการจองห้องพักผ่านเว็บไซต์ Booking.com
ขั้นตอนที่ 1 เข้าเว็บไซต์ www.booking.com แล้วกรอกชื่อประเทศและวันที่ต้องการเข้าพัก
ขั้นตอนที่ 2 จะมีรายชื่อที่พักขึ้นมาให้เลือก โดยเลือกให้แสดงตามความน่าสนใจหรือที่ตั้งก็ได้
ขั้นตอนที่ 3 เมื่อเลือกที่พักแล้ว จะมีรายละเอียดต่างๆ เช่น รูปภาพ ราคา ประเภทห้องพัก จำนวนห้องว่างในวันที่จอง สิ่งอำนวยความสะดวก เงื่อนไขต่างๆ ของที่พัก
ขั้นตอนที่ 4 เมื่อคลิกจองที่พักแล้ว จะมีรายละเอียดของการจองพร้อมเงื่อนไข เช่น ที่ตั้ง วัน-เวลาเช็กอนและเช็กเอ๊าต์ ราคา ให้กรอกรายละเอียดของผู้เข้าพักให้ครบถ้วน แล้วคลิกขั้นตอนต่อไป
ขั้นตอนที่ 5 กรอกที่อยู่ของผู้เข้าพัก และวิธีการชำระเงิน เช่น หมายเลขบัตรเครดิต แล้วคลิกจองที่พัก
ขั้นตอนที่ 6 เมื่อจองที่พักแล้ว หลังจากมีการตัดเงินจากบัตรเครดิต จะมีอีเมลใบจองที่พักมาจากเว็บไซต์ ให้เซฟเก็บไว้และ Print ไว้เป็นหลักฐานด้วย
จองจากเว็บไซต์ที่พักนั้นโดยตรง ส่วนใหญ่โรงแรมระดับมาตรฐานจะมีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง แม้การจองห้องพักจะได้ราคาถูกกว่าการจองโดนตรง แต่บ่อยครั้งที่ทางโรงแรมจะจัดโปรโมชั่นลดราคาเป็นพิเศษ ก่อนเลือกจองแนะนำให้ตรวจราคาของทั้งสองทางควบคู่กันไป เพื่อเทียบราคา
3. Print อีเมลเก็บไว้เป็นหลักฐาน
หลังจากจองที่พักเสร็จเรียบร้อย ทางเว็บไซต์จองที่พักจะส่งหลักฐานการจองที่พักกลับมาทางอีเมล ซึ่งมีรายละเอียดต่างๆ เช่น ชื่อ ที่อยู่ของผู้จอง (ต้องสะกดตรงกับในหนังสือเดินทาง) รวมถึงรายละเอียดการจองที่พัก
ตัวอย่างวิธีเดินทางไปที่พักของ Seoul Banana Backpackers
4. ศึกษาวิธีเดินทางไปที่พัก
เมื่อได้ที่พักแล้ว ก็ต้องหาข้อมูลว่า จากสนามบินจะสามารถเดินทางไปยังที่พักได้อย่างไร และใช้เวลาเท่าใด เช่น รถไฟฟ้าใต้ดินที่ใกล้กับที่พักมากที่สุด รถแท็กซี่ทั่วไปจะใช้เวลาประมาณเท่าใด
5. ส่งอีเมลเพื่อยืนยันการจอง
หากจองที่พักผ่านเว็บไซต์เอเยนต์ เมื่อใกล้ถึงวันเดินทางควรส่งอีเมลไปยังโรงแรมโดยตรง เพื่อสอบถามว่ามีรายการจองที่พักตามชื่อ และวันเข้าพักตามที่เราจองจากเอเยนต์หรือไม่ เพราะบ่อยครั้งที่ทางโรงแรมไม่ได้รับข้อมูลการจองที่พักจากทางเอเยนต์
6. Check in เข้าพัก
มาถึงขั้นตอนสุดท้าย เมื่อเข้าเช็กอินที่พัก ให้ยื่นหนังสือเดินทางและหลักฐานการจองที่พัก ซึ่งชื่อในหนังสือเดินทางต้องสะกดตรงกับชื่อที่จองเท่านั้น มิฉะนั้นโรงแรมอาจไม่อนุญาตให้เข้าพัก
โรงแรมระดับต่ำกว่า 4 ดาวหลายๆ แห่งมักมีการเรียกเก็บค่าประกันของเสียหายในวันที่เข้าเช็กอิน เรียกว่าค่า Deposit ซึ่งหากในวันเช็กเอาท์ไม่มีของเสียหาย ทางโรงแรมก็จะคืนเงินส่วนนี้ให้ โดยจะจ่ายเป็นเงินสดหรือกันวงเงินในบัตรเครดิตไว้ก่อน แล้วทำเรื่องคืนวงเงินให้ภายหลัง ก็แล้วแต่เงื่อไขของแต่ละโรงแรม จึงควรเตรียมเงินสำหรับส่วนนี้เอาไว้ด้วย
โดยทั่วไปที่พักจะให้เช็กอินเข้าพักหลังเวลา 14.00 น. หากไปถึงก่อนและทางที่พักยังเตรียมห้องพักไม่เสร็จ สามารถฝากกระเป๋าเดินทางไว้ก่อน แล้วออกไปเที่ยวได้เลย
TIPS นอนสบายไร้กังวล
(1) การยกเลิกห้องพักที่จองผ่านทางเอเยนต์ มีทั้งแบบที่ได้เงินคืน และแบบที่ไม่ได้เงินคืน จึงต้องอ่านเงื่อนไขให้ดี ตัวอย่างเงื่อนไขที่มักพบบ่อยๆ เช่น
- ไม่สามารถยกเลิกห้องพักได้ แม้ไม่เข้าพักก็ยังต้องจ่ายเงิน
- สามารถยกเลิกได้ โดยคืนเงินให้ทั้งหมด แต่ต้องแจ้งก่อนล่วงหน้า 3 วันก่อนวันที่จองเอาไว้ว่าจะเข้าพักวันแรก
- สามารถยกเลิกได้ แต่จะโดนหักเงินเป็นค่าธรรมเนียมการขอยกเลิก เป็นเงินเท่ากับค่าห้องพัก 1 คืน (หรือตามที่กำหนด)
(2) หากการชำระเงินใช้วิธีกันยอดเงินบัตรเครดิตไว้ก่อนจ่ายเงินจริงในวันเข้าพัก เมื่อจ่ายเงินจะต้องใช้บัตรเครดิตใบเดียวกับที่จองไว้เท่านั้น
(3) หากมาถึงที่พักดึกมากๆ เช่น หลัง 22.00 น. ควรแจ้งให้ที่พักทราบก่อน มิฉะนั้นที่พักอาจนำห้องไปเปิดให้แขกคนอื่นๆ แทนได้
(4) อย่าไว้ใจแผนที่บอกตำแหน่งโรงแรมในเว็บไซต์ เพราะอาจผิดพลาดได้ ควรใช้โปรแกรม Google Earth หรือ Google Map หาตำแหน่งที่พักแล้วเทียบกับภาพที่พักจากเว็บไซต์
(5) Print หรือ Save ภาพด้านหน้าอาคารที่พักติดตัวไปด้วย ไว้ช่วยค้นหาในวันแรกที่ไปถึง
(6) ควรหาข้อมูลโรงแรมอื่นๆ สำรองเอาไว้ด้วย เผื่อเกิดเหตขัดข้องดีกว่าไปเดินหาในวันนั้นเลย
(7) บางครั้งการพักโฮสเทลซึ่งคิดราคาค่าที่พักเป็นรายหัวก็ไม่ได้ถูกกว่าพักโรงแรมเสมอไป เพราะหากเข้าพักหลายคน ราคาต่อหัวอาจพอๆ กับโรงแรมเลยก็ได้
(8) เครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยวในห้องพักมักจะไม่ฟรี และราคาแพงกว่าซื้อจากร้านข้างนอกมาก แต่โดยทั่วไปมักจะให้น้ำเปล่าฟรีทุกวัน สังเกตจากคำว่า Complimentary ที่ข้างขวด
(9) โรงแรมหลายแห่งจะมีรสบัสรับ – ส่ง ระหว่างโรงแรมกับสถานที่สำคัญๆ เช่น สนามบิน สถานีรถไฟสำหรับนั่งไปสนามบิน หรือย่านท่องเที่ยวต่างๆ เมื่อถึงโรงแรมแล้วลองสอบถามดู
(10) ปกติแล้วการจองด้วยบัตรเครดิจ ทางเว็บไซต์เอเยนต์จะกำหนดว่าผู้เข้าพักต้องเป็นบุคคลกันกับเจ้าของบัตรเครดิตที่ใช้จอง ดังนั้นหากเราใช้บัตรของผู้อื่นในการจองและเจ้าของบัตรไม่ได้เดินทางไปพักด้วย จะต้องขอแบบฟอร์มยินยอมจากทางโรงแรมเพื่อให้เจ้าของบัตรเซ็นยินยอมด้วย แต่ส่วนมากหากยอดค่าที่พักไม่สูงนัก ทางโรงแรมมักจะไม่เข้มงวดเท่าใด แต่ก็ควรสอบถามไปยังโรงแรมก่อนเดินทางเพื่อความสบายใจ
(11)โรงแรมจะมีบริการฝากกระเป๋า สำหรับคนที่ยังไม่ถึงเวลาขึ้นเครื่องบินกลับ แต่ต้องเช็กเอาท์ตอนเที่ยงตามที่โรงแรมกำหนด สามารถฝากกระเป๋าเอาไว้ก่อนแล้วไปเที่ยวต่อ ถึงเวลาค่อยกลับมารับกระเป๋า
วางโปรแกรมเที่ยวรายวัน
มาถึงขั้นตอนสำคัญของการวางแผนเที่ยวด้วยตัวเอง เที่ยวอย่างมีความสุขก็อยู่ตรงที่เราได้เป็นคนออกแบบโปรแกรมเที่ยวของตัวเองนั่นแหละค่ะ เจ้าของบทความเชื่อว่าอย่างน้อยต้องมีสถานที่สักสถานที่หนึ่งในทัวร์ ที่ให้ตายยังไงฉันก็ไม่อยากไป (แต่สุดท้ายก็ไปตามคณะ) ตอนย่อยนี้จึงขอนำเสนอทริควางโปรแกรมเที่ยวรายวัน ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลยค่ะ
การวางโปรแกรมเที่ยวรายวัน คือการนำรายชื่อสถานที่ท่องเที่ยวที่เราสนใจ และอยากให้มีอยู่ในทริปการเดินทางของเรา ใส่ลงไปในตารางวันและเวลาที่จะท่องเที่ยว โดยคำนึงถึงความเหมาะสม การเดินทาง และงบประมาณที่เรามีอยู่
สิ่งที่ต้องรู้ในการวางโปรแกรมเที่ยว ได้แก่
1. จำนวนวันที่ไปเที่ยว
2. จำนวนสถานที่ที่อยากจะไป
3. เวลาเปิด-ปิดของสถานที่ต่างๆ
4. เวลาที่จะใช้ในสถานที่นั้นๆ
5. วิธีเดินทางจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง และสถานีหรือป้ายรถที่ต้องลง
6. เวลาที่ใช้ในการเดินทางจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง
จากนั้นจึงนำข้อมูลมาจัดเป็นโปรแกรมเที่ยวในตาราง
ตัวอย่างการวางโปรแกรมเที่ยวโซล ประเทศเกาหลีใต้ ระยะเวลา 6 วัน
วันที่ |
โปรแกรมท่องเที่ยว |
เวลาที่ใช้ (ชั่วโมง) |
วิธีการเดินทาง |
1 |
เช้า – เดินทางถึงสนามบิน Incheon |
2-3 |
|
เที่ยง – เดินทางตามคลอง Cheonggyecheon คลองที่จัดว่าภูมิทัศน์สวยงาม ผ่านย่านต่างๆ ใจกลางเมือง และลานกิจกรรมต่างๆ ของชาวเมืองโซล |
|
นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีเขียวหรือสีน้ำเงิน ลงที่สถานี City Hall |
|
บ่าย – เดินย่าน Myeongdong แหล่งรวมร้านค้าและห้างสรรพสินค้า |
4-5 |
นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีฟ้า ลงที่สถานี Myeong-Dong |
|
2 |
เช้า – พระราชวัง Gyeongbokgung พระราชวังที่ใหญ่ที่สุดของเกาหลีใต้ |
3-4 |
นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีส้ม ลงที่ Gyeongbokgung |
เที่ยง – ย่าน Dongdaemun แหล่งช็อปปิ้งที่ใหญ่ที่สุด มีทั้งห้างสรรพสินค้าและร้านค้าเล็กๆ มีสินค้าราคาขายส่ง |
5-6 |
นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีฟ้าหรือสีน้ำเงิน ลงที่สถานี Dongdaemun |
|
3 |
เช้า – เดินเล่นสบายๆ ที่ย่าน Insadong ย่านร้านค้าที่ตกแต่งอย่างเก๋ไก๋ มีสไตล์ |
4 |
นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีส้ม ลงที่สถานี Anguk |
บ่าย – เที่ยวห้างสรรพสินค้า Lotte World ห้างขนาดใหญ่ที่มีสวนสนุก Lotte World ตั้งอยู่ |
4-6 |
นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีส้มหรือชมพู ลงที่สถานี Jamsil |
|
4 |
เช้า – สวนสนุก Everland สวนสนุกกลางแจ้งขนาดใหญ่ที่ได้รับการขนานนามว่า “ดิสนีย์แลนด์แห่งเกาหลี” มีเครื่องเล่นกลางแจ้งมากมาย |
ทั้งวัน |
นั่งถไฟฟ้าใต้ดินสายสีเขียว ลงที่สถานี Gangnam ใช้ทางออก Exit 6 แล้วหาป้ายรถบัสสาย 5002 ที่อยู่ตรงเกาะกลางถนน นั่งไปสวนสนุก Everland ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. |
5 |
เช้า – เที่ยว ย่านมหาวิทยาลัย Hongik มีร้านค้า ร้านอาหารแบบวัยรุ่น เที่ยว Trick Eye Museum พิพิธภัณฑ์ภาพวาดลวงตา |
4-6 |
นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีเขียวลงที่สถานี Hong-ik |
เย็น – เก็บตกย่าน Myeongdong อีกครั้ง |
4-6 |
นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีฟ้า ลงที่สถานี Myeong-Dong |
|
6 |
เช้า – เดินตลาดเช้าย่าน Dong-daemun ก่อนกลับ |
4-6 |
นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีฟ้าหรือสีน้ำเงิน ลงที่สถานี Dongdaemun |
บ่าย – เดินทางกลับไทย |
|
|
TIPS
4ควรมีแผนสำรองไว้เสมอ หากพลาดจากสถานที่ท่องเที่ยวที่อยากไป จะได้เที่ยวต่อได้อย่างไม่เสียอารมณ์
4อย่าเสี่ยงไปยังสถานท่องเที่ยวที่อยู่ไกลๆ ในวันเดินทางกลับ เพราะหากกลับมาไม่ทันอาจตกเครื่อง ทั้งเสียเวลาและค่าใช้จ่าย
4การวางโปรแกรมประจำวันควรเลือกสถานที่ที่อยู่ในเส้นทางเดียวกันหรือใกล้กัน เช่น อยู่บนเส้นทางรถไฟใต้ดินเดียวกัน มีสายรถเมล์ผ่าน หรือนั่งรถแท็กซี่ไปได้ไม่ไกลมาก
4บางประเทศมีบัตรท่องเที่ยว (Travel Pass) ที่ใช้เที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวได้หลายแห่ง รวมค่าเดินทาง ทั้งประหยัดและได้โปรแกรมท่องเที่ยวแบบง่ายๆ ที่คัดสรรมาแล้ว
4หากออกเที่ยวแต่เช้า อาจเลือกเดินเล่นตามสถานที่สาธารณะ เช่น สวนสาธารณะ วัด หรือเดินชมสถาปัตยกรรมและวิถึชีวิตในเมืองเสียก่อนค่อยเดินทางไปที่อื่น
จบไปแล้วกับ STEP 2: เตรียมพร้อมก่อนออกเที่ยว หลังว่าข้อมูลจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านเป็นอย่างมาก ต่อไปจะเป็น STEP 3 เรื่องเกี่ยวกับอะไรนั้นขออุบไว้ก่อน แล้วอย่าลืมติดตามกันนะคะ...
ความคิดเห็น