[[SF-SNSD]] :+:Timeless:+: (Yuri)
คุณเคยคิดอยากย้อนเวลา กลับไปทำในสิ่งที่เคยมองข้ามมาโดยตลอดบ้างหรือเปล่า (YulSic) [ลงแล้วค่ะ!]
ผู้เข้าชมรวม
6,089
ผู้เข้าชมเดือนนี้
2
ผู้เข้าชมรวม
SF เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่แต่งค้างไว้นานมากกกกก
ตั้งแต่เพิ่งแต่งเซ็ท Believe ไปแค่ไม่กี่เรื่อง
แต่มันก็ยังแต่งไม่เสร็จเสียที จนวันนี้ทนไม่ไหว
เกิดอารมณ์อยากแต่งอะไรซึ้งๆ ขึ้นมาบ้าง
เลยขุดมันออกมาเขียนซะทีค่ะ
ยังไงก็ฝากติดตามด้วยนะคะ
*****************************************************
ควอน ยูริ
"แม้เพียงเวลาอีกแค่เสี้ยววินาที ถ้าย้อนมันกลับไปได้ ฉันก็จะทำ"
เจสสิก้า จอง
"แม้เพียงลมหายใจในห้วงสุดท้าย ฉันก็จะรอฟังคำนั้นของเธอ"
"คนหนึ่งนั้นทำได้แค่รอ
อีกคนขอให้ตัวเองกล้า
คนหนึ่งอยากหยุดวันเวลา
อีกคนขอบอกว่ารักเธอ"
| |||||||
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
:+:Timeless:+: (YulSic)
เวลามันก็เหมือนกับสายน้ำ
พัดเลยผ่านไปแล้วคงไม่อาจเรียกย้อนคืนมา
หากขอเวลาอีกเพียงเสี้ยววินาที ให้โอกาสฉันได้พูดคำๆ นั้นได้มั้ย...
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
“บ้า! ทำอะไรของยูลน่ะ” เจสสิก้า จอง ว่าอย่างเขินอาย พลางผลักใบหน้าของฉันออก หลังจากที่ฉันเผลอ... ไปหอมแก้มใสๆ นั่นเข้า เธอคงไม่โกรธฉันใช่มั้ย... บางการกระทำที่ดูเกินเพื่อนจากฉัน ถ้าทำให้เธอลำบากใจ ขอให้ช่วยมองผ่านๆ ไปเถอะนะ เพราะควอน ยูริ คนนี้รักเธอเกินกว่าคำว่าเพื่อน
“เอ่อ...โทษที พอดียูลจะหยิบของน่ะ” ฉันแก้ตัวน้ำขุ่นๆ พลางก้มลงหาของในกระเป๋าเป้ที่วางอยู่กับพื้นของตัวเอง แล้วฉันก็ต้องชะงักเมื่อเห็นของที่ฉันซ่อนเอาไว้ในนั้น...
“กระเป๋ายูลมันไม่ใกล้กับแก้มเจสเลยนะ ให้ตายสิ” เธอยังคงแหวใส่ ก่อนจะหันไปมองนอกหน้าต่างแทน พวกเรากำลังอยู่ในร้านกาแฟเล็กๆ แห่งหนึ่ง มันเป็นร้านประจำของเรา ที่มักจะมาหลังจากเลิกเรียนเมื่อตอนอยู่ม.ปลายเสมอ หากนี่จบมหาลัยและต่างทำงานทั้งคู่ แต่เราก็ยังเจอกันที่นี่ประจำ ทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย เหมือนกับความสัมพันธ์ของเรานั่นแหละ ที่เจสสิก้าก็ยังปฏิบัติต่อฉันอย่างเสมอต้นเสมอปลาย เคยเป็นเพื่อนยังไงก็ยังเป็นอยู่อย่างนั้น
“แล้วเจสเป็นไงมั่ง ทำงานเหนื่อยมากมั้ย ไม่มียูลคอยดูแล เจสดูแลตัวเองดีรึเปล่า” เนื่องจากเราเคยเป็นรูมเมทกันมาก่อนตอนอยู่มหาลัย และทำให้ฉันเคยชินกับการมีร่างบางตื่นขึ้นมาพร้อมๆ กันทุกเช้า คอยดูแลไม่ห่าง จนบางทีเจสสิก้าคงใกล้ชิดกับฉันมากเกินไป เลยมองไม่ออกว่าฉันคิดอะไรกับเธออยู่ล่ะมั้ง
“พูดบ้าๆ อีกแล้ว เจสก็ต้องดูแลตัวเองได้สิ ยูลเป็นเพื่อนนะไม่ใช่แม่ จะตามติดกันเป็นเงาเลยรึไง” ฉึก... คำพูดแทงใจดำ แสดงถึงความที่เธอไม่คิดอะไรกับฉันเลย เพราะอย่างนี้ไงล่ะ ฉันถึงทนเก็บคำพูดต้องห้ามนั้นมาสิบปี เพราะกลัวว่าระหว่างเราจะเปลี่ยนไป
“ก็ยูลห่วงเป็นห่วงนี่”
“ห่วงอะไร เจสโตแล้วนะ” ใช่สิ...เธอโตแล้ว เธอไม่ต้องมีฉันคอยปลอบตอนร้องไห้ ไม่ต้องมีฉันไว้ขี่หลังตอนเธอเจ็บขา ไม่ต้องมีฉันช่วยทำอาหารให้เวลาเหนื่อย ทั้งๆ ที่รู้ว่าฝีมือฉันมันแย่แค่ไหน ฉันก็คงเป็นเพื่อนธรรมดา ไม่ได้สำคัญอะไรต่อเธอเลย แต่เธอกลับเป็นคนที่สำคัญกับฉันที่สุด
“อืม เจสโตแล้ว” ฉันตอบรับแบบขอไปที เราต่างหันหลังใส่กัน เจสสิก้ามองอะไรอยู่ฉันไม่อาจรับรู้ แต่ฉันไม่อยากมองหน้าเธอตอนนี้ เพราะกลัวว่าลึกลงไปในใจจะเผลอแสดงอะไรออกไปให้เธอรับรู้ถึงความรู้สึกที่มี
“ยูลล่ะ เป็นไงบ้าง” คำถามเบาๆ มาจากเธอ ทำให้หัวใจฉันเต้นแรงขึ้น อย่างน้อยฉันก็ยังพอมีค่าในใจเธออยู่บ้างล่ะนะ
“คิดถึงเจสไง” ฉันตอบกลับทีเล่นทีจริงให้เธอหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหยิบบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาตั้งบนโต๊ะ มันเป็นนาฬิกาทรายเรียบๆ ไม่ได้ดูหรูหราอะไรมากมาย หากเพราะรูเล็กๆ ของมัน ทำให้เม็ดทรายไหลลงมาช้าเหลือเกิน เหมือนว่ามันจะใช้จับเวลาได้เป็นชั่วโมงอย่างไรอย่างนั้น
“เวลามันไม่รอคอยใครนะยูล เจสไปล่ะ” เธอว่าพลางเดินออกไปจากร้าน โดยไม่รอฟังฉันบอกลาเลยซักนิด ฉันพยายามวิ่งตามหากเธอก็หายไปเสียแล้ว เหลือบมองของบางอย่างในมือก็ต้องถอนหายใจ ...เวลาหรอ นี่เจสสิก้ากำลังจะบอกอะไรฉันกันแน่ เวลาไม่คอยใคร... ฉันไม่เข้าใจเธอเลย ให้ตายสิ
เป็นอีกครั้งที่ฉันขับรถผ่านที่ทำงานของเจสสิก้า จะว่าผ่านก็ไม่ได้สินะ... คงต้องใช้คำว่าจงใจมามากกว่า วันนี้เป็นวันฝนตก เธอไม่ชอบมันซักเท่าไหร่ เนื่องจากจะทำให้เธอเปียก ร่างสูงของฉันจึงมายืนรออยู่ด้านหน้าท่ามกลางหยาดฝนที่โปรยปรายลงมาภายใต้ร่มคันใหญ่คันหนึ่ง
ในที่สุดสายตาก็หันไปเห็นใครบางคนเดินออกมาจากนอกตัวอาคาร แม้ในที่ไกลๆ ทว่าฉันกลับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าเป็นเจสสิก้า คนที่อยู่ในห้วงความคิด และอยู่ในหัวใจของฉันมาโดยตลอด
“เจส...กลับกันเถอะ” เดินเข้าไปใกล้พลางพูดเสียงหวาน เธอยิ้มออกให้ฉันบางเบา ใบหน้าขาวซีดจนน่าใจหาย ฉันจึงยกมือขึ้นไปกุมแก้มเนียนใส หากหญิงสาวกลับปัดมันออกก่อนจะหันหน้าหนี ทำเอาฉันต้องรู้สึกใจหายวูบ เธอรังเกียจสัมผัสของฉันมากเลยสินะ...
“ยูลขอโทษ” เอ่ยพึมพำ แต่เธอไม่ได้หันมามองสายตาอันเศร้าสร้อยของฉันเลยแม้แต่น้อย เท้าก้าวไปตามทางเดินยาวๆ อย่างรวดเร็ว ให้ฉันได้แต่วิ่งตาม เนื่องจากกลัวว่าเธอจะออกไปพ้นนอกร่ม แล้วทำให้ต้องเปียกหยาดน้ำฝน เธอเคยบอกเหตุผลที่เธอไม่ชอบฝนตก เนื่องจากเธอกลัวเสียงฟ้าร้อง และเธอยังเคยบอกกับฉันว่ามันแทนความเศร้าสร้อย หยาดน้ำตาอันขมขื่นจากฟากฟ้า
เนื่องจากร่มคันไม่ใหญ่มาก ทำให้เราต้องยืนเบียดจนเกือบแนบชิดติดกัน หัวใจที่เคยนิ่งสนิท บัดนี้สั่นไหวจนยากเกินควบคุม มันพร่ำเพ้อร่ำร้องหาเจ้าของหัวใจ ที่อยู่ห่างกันแค่เพียงเอื้อมมือ หากในห้วงความรู้สึกนั้นฉันกลับรู้สึกว่ามันไกลแสนไกล ราวกับอยู่คนละปลายขอบฟ้า มือหนึ่งถือร่ม ทว่าอีกมือที่ไม่รักดี มันแกว่งไปมา จงใจให้โดนแขนเรียวขาวของเธอ ใครจะว่าฉันฉวยโอกาสก็ยอมรับ แต่มันผิดนักหรือ ถ้าฉันเพียงแค่ต้องการไออุ่นจากฝ่ามือของคนข้างกาย ทว่าเพราะไม่กล้าพอ จึงได้แต่เฉียดไปเฉียดมาเท่านั้น ไม่อาจกอบกุมมือเรียวของเธอ เช่นเดียวกับไม่อาจกอบกุมหัวใจของเธอได้เช่นกัน
“รถจอดตรงไหน” เธอถามเสียงเบา หากเพราะสายฝนที่เริ่มโปรยปรายหนักขึ้น ทำให้ฉันไม่อาจได้ยิน จึงโน้มหน้าลงไปใกล้เธอ หญิงสาวเลื่อนริมฝีปากบางมาแนบใบหู ลมหายใจที่เป่ารด พาความรู้สึกเตลิดไปไกลจนเกินหวนกลับ เมื่อไหร่เพื่อนที่คิดไม่ซื่อคนนี้ จะคิดกับเธอได้เพียงแค่เพื่อนคนหนึ่งเหมือนเดิม
ความรู้สึกอึดอัด หากใครไม่ยืนตำแหน่งเดียวกันกับฉันคงไม่เข้าใจ การเป็น ‘เพื่อนรัก’ มันเต็มไปด้วยความสุข รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ แต่ถ้าเมื่อไหร่ คำๆ นั้นแปรเปลี่ยนมาเป็น ‘รักเพื่อน’ มันจะเต็มไปด้วยความเศร้า หยาดน้ำตา แล้วก็เสียงสะอื้น
น่าแปลกนะ เพียงแค่สลับตำแหน่ง ทว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันกลับกันโดยสิ้นเชิง คำว่าเพื่อนทำให้เราได้ใกล้ชิด ได้ใช้ลมหายใจร่วมกับคนที่เรารัก แม้คำว่าแอบรักจะทรมาน หากมันก็มีความสุขได้ในตัวมันเอง ทว่ายิ่งแอบรักไปนานๆ ความรู้สึกมันก็เหมือนกับอัดอากาศในขวดแก้ว แม้อากาศมันจะเบาบาง แต่เมื่อยิ่งกดดันมันหนักมากๆ เข้า สุดท้ายขวดแก้วนั้นก็จะระเบิดออก เศษแก้วคงบาดกระจายไปผิวกายของคนที่อยู่ใกล้
ซึ่งไม่เพียงแต่เราจะเจ็บเท่านั้น เขาเองก็ทรมานปางตายไม่แพ้กัน ความห่างเหินถูกขีดขึ้นเพื่อกั้นไม่ให้ก้าวล้ำเส้นบางๆ ในความสัมพันธ์
การที่เพื่อนแอบรักเพื่อนมันคงไม่ใช่เรื่องผิด แล้วก็ไม่ได้เกิดขึ้นน้อยเสียแต่เมื่อไหร่ หากถามกลับหน่อยเถอะ ว่ากี่คู่กันที่จะได้สมหวัง
ในเมื่อเริ่มต้นมาเป็นเพียงเพื่อน ถ้าคนหนึ่งความรู้สึกเปลียนไป ในขณะอีกคนความรู้สึกเหมือนเดิม ทุกสิ่งทุกอย่างที่เพียรสร้างมา อาจสลายลงได้ภายในพริบตา!
“ยูล...ถึงรถแล้ว” สะดุ้งจากภวังค์เพราะเสียงเรียกของเธอ แล้วฉันยังคงทำเหมือนเคย เดินมาส่งเธอถึงที่นั่งข้างคนขับ มือเปิดประตูรถ ก่อนจะปิดให้สนิทเมื่อร่างบางเข้าไปนั่งเป็นอันเรียบร้อย ฉันจึงเดินมานั่งตำแหน่งหลังพวงมาลัยแทน
ภายในรถปกคลุมด้วยความเงียบ มีเพียงเสียงหยาดฝนที่พากันโปรยปรายลงมาเท่านั้น น้ำตาของฟ้าตกกระทบบนกระจกหน้ารถ ให้ความรู้สึกเศร้าสร้อย และหนาวเหน็บในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก
สตาร์ทรถพลางเปิดแอร์เบาที่สุด หากเมื่อหันไปเห็นคนข้างๆ นั่งกอดแขนตนเอง ฉันจึงยิ้มออกบางๆเสื้อกันหนาวสีเข้มที่ใส่อยู่ถูกถอดออกอย่างไม่ลังเล ฉันโน้มตัวไปคลุมมันให้เธอ ขณะเจสสิก้าทำเพียงแค่ยิ้มขอบคุณ ก่อนริมฝีปากบางจะพูดออกมาแผ่วเบา
“รออะไรอยู่หรอ” ถามให้ต้องงุนงง ฉันจึงพาลคิดไปว่าเธอสงสัยที่ฉันมัวทำอะไรอยู่ ถึงไม่ยอมออกรถเสียที จึงทำตามความต้องการนั้นของเธอ
ระหว่างเรายังคงเงียบเช่นเคย ในที่สุดเป็นฉันเอง ที่ทนบรรยากาศอึดอัด อันมีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศและลมหายใจของพวกเราไม่ไหว มือจึงทำหน้าที่เปิดวิทยุ เพื่อให้เสียงเพลงบรรเลงทำลายความเงียบ
‘หากว่าเราต้องเป็นเพื่อนกัน จะต้องเป็นอย่างนั้นอีกนานเท่าไหร่ ถ้าเธอรักฉัน ช่วยให้ความหวังซักครั้งจะได้ไหม และความจริงในใจของฉัน...ไม่อยาก จะเป็นเพื่อนกันตลอดไป จะมีทางไหมให้เป็นมากกว่าเพื่อนเธอ (เพื่อนกันไม่ตลอดไป Nice 2 meet u)’
“เจสอยากฟังคลื่นไหนหรอ...” หัวเราะแห้งๆ เพลงมันช่างเสียดแทงใจเหลือเกิน ถามอย่างไม่ต้องการฟังคำตอบ เพราะเธอเอาแต่เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ที่ภาพเบื้องหน้ามันพร่ามัวเนื่องจากหยาดน้ำเกาะเต็มกระจก แม้แต่สายฝนที่เธอเกลียด ยังน่าสนใจกว่าฉันที่เป็นเพียงเพื่อนอีกสินะ...
มือกดเปลี่ยนคลื่นทันที เพื่อไม่ให้มันดูเป็นอะไรที่โจ่งแจ้งมากไปกว่านี้
‘อย่าบังคับให้ฉันรู้สึกดี ยิ่งเธอทำแบบนี้ รู้ไหมยิ่งเจ็บเหลือเกิน ความรู้สึกมันเปลี่ยนกันไม่ได้...’
ไม่รู้ว่าวันนี้ทั้งสองคลื่นนัดกันเปิดเพลงทำร้ายหัวใจคนฟังหรืออย่างไร ฉันกำลังจะเปลี่ยนเพลงเสียแล้ว ถ้าไม่มีมือเรียวของเธอเข้ามาปัดเสียก่อน บทเพลงนั้นจึงเล่นต่อไป
‘ไม่ต้องมาเจอหน้ากันอีกนะ ก็แค่เธอไม่รัก มันเจ็บอยู่แล้วเข้าใจไหม ก็ฉันเป็นเพื่อนกับเธอ...ไม่ได้จริงๆ (เป็นเพื่อนเธอไม่ได้จริงๆ ขนมจีน)’
“ยูล...ไม่ต้องไปส่งเจสที่บ้านนะ พาเจสไปโรงพยาบาลอิมด้วย” คำพูดนั่นทำเอาฉันชะงัก ไม่ใช่เพราะเธอเป็นอะไรหรอกถึงเข้าโรงพยาบาล หากเพราะ ‘เขา’ ทำงานที่นั่นใช่มั้ย
“ให้ยูลขึ้นไปเป็นเพื่อนด้วยรึเปล่า”
“ไม่ต้องหรอก” เธอปฏิเสธความหวังดีจากเพื่อนคนนี้ เนื่องจากกลัวเขาเข้าใจผิดใช่มั้ย ยังไงๆ ฉันที่เป็นแค่เพื่อน คงไม่เทียบเท้าเจ้าของหัวใจอยู่แล้ว
มือไม่อยู่เฉย มันกดปุ่มเปลี่ยนคลื่น เนื่องจากเกินทนฟังเพลง เพื่อนแอบรักเพื่อนได้อีก
‘เกือบขาดใจทุกครั้ง ที่พูดว่าเธอช่างเหมาะกับเขา เจ็บปวดร้าวทุกครั้ง เหมือนฝังตัวเองในรอยแผลเก่า เมื่อก่อนคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นเป็นฉันไม่ใช่เขา เราเป็นได้แค่ตัวอิจฉา (ตัวอิจฉา เอ็ม อรรถพล)’
กำลังจะกดเปลี่ยนเพลงอีกครั้ง รู้สึกวันนี้ดีเจพากันเปิดเพลงทำร้ายหัวใจคนแอบรักอย่างฉันเหลือเกิน หากเธอกลับปัดมือฉันออกเต็มแรง นัยน์ตานั้นไม่มีความหมายอะไรแอบแฝง นอกเสียจากความรู้สึกที่ฉันไม่อาจมองออก
“จะเปลี่ยนให้มันได้อะไรขึ้นมา” เธอเสียงแข็งเล็กน้อย ในขณะที่กดปิดวิทยุเพื่อหยุดปัญหา จึงมีเพียงหยาดฝน และเสียงลมหายใจของเราดังก้องอยู่ในโสตประสาท
“เพลงมันไม่เพราะ เลยไม่อยากฟัง...” โกหก... ใช่! ฉันโกหก มันเพราะทุกเพลงนั่นแหละ ทว่าหัวใจฉันต่างหากที่ไม่กล้าพอจะรับฟัง
“เมื่อไหร่ยูลจะเลิกหนีซะที” ไม่เข้าใจคำพูดของเธอเลยซักนิดเดียว และไม่ทันให้เธออธิบาย รถของฉันก็จอดหน้าโรงพยาบาลอิมเสียแล้ว เธอวิ่งลงไปโดยไม่สนใจฉันอีกเลย ในขณะที่ฉันทำได้เพียงแต่ยิ้มเศร้าๆ ให้ตัวเอง
หนีหรอ... หนีไปให้ไกลได้ถึงไหนกัน ในเมื่อหัวใจมันผูกพันอยู่เพียงเธอ ยิ่งหนียิ่งรักมากขึ้นทุกที...
และด้วยความเป็นห่วง ฉันจึงนำรถไปจอด ก่อนจะเดินเข้าไปในโรงพยาบาล แค่อยากรู้ว่าเธอจะอยู่กับเขาอย่างปลอดภัยแล้วเท่านั้นเอง หน้าที่ของเพื่อนคนนี้จึงจะหมดลง
พาร่างสูงเดินเข้ามาเรื่อยเปื่อย โรงพยาบาลอิม ตกแต่งอย่างหรูหรา เนื่องจากเป็นโรงพยาบาลที่สืบทอดต่อกิจการมาหลายช่วงอายุคน รวมถึงทายาทตระกูลอิมคนล่าสุดอย่าง อิม ยุนอา ที่มีตำแหน่ง ว่าที่ผู้บริหารโรงพยาบาลนี้ต่อจากครอบครัว และยังพ่วงทั้งแพทย์หญิงมากฝีมืออีกด้วย
มองย้อนดูตัวเอง... แล้วแกมีอะไรบ้างล่ะ ควอน ยูริ!
แค่พนักงานบริษัท กินเงินเดือนไปวันๆ ไม่โรแมนติก ไม่อบอุ่น ไม่ได้มีรอยยิ้มหวานๆ เหมือนเขาคนนั้นไง ฉันไม่มีอะไรเทียบเท่ายุนอาได้เลยซักอย่าง...
ความเจ็บปวดไม่อาจหลีกหนีพ้น เมื่อสายตากลับหันไปเจอภาพน่าปวดใจทันที ร่างบางของเจสสิก้าถูกโอบโดยยุนอา คุณหมอที่มีแต่คนมารุมล้อมทั้งหญิงและชาย
ใบหน้าของพวกเขาดูมีความสุขดีนี่... รอยยิ้มของเธอที่ฉันไม่ค่อยได้เห็น บัดนี้เธอกลับมอบมันให้แก่คนที่ยืนอยู่ข้างกายเธอ เขายังคงดูแลเธอเป็นอย่างดี ก่อนจะเดินเข้าห้องทำงานของยุนอาไปด้วยกัน...
ภาพเบื้องหน้าพร่าเลือนไปหมด เมื่อถูกลบเลือนด้วยหยาดน้ำตา อาการเจ็บแปลบเกิดขึ้นในหัวใจ ทั้งที่เคยคิดว่ามันชาชินเสียแล้วอีก อย่างน้อยๆ ฉันก็ยังแน่ใจว่ายุนอาจะดูแลเธอดีพอ อาจดีมากกว่าฉันด้วยซ้ำ ในเมื่อเธอรักเขา ไม่ใช่คนที่เป็นได้เพียงเพื่อนคนนี้
ตลอดระยะเวลาทั้งหมดสิบปีที่เราเป็นเพื่อนกันมา ไม่ว่าทางใด...คงไม่อาจแปรเปลี่ยนมันเป็นอย่างอื่นได้เลย
มือพลิกนาฬิกาทรายในมืออย่างสนเท่ หวนนึกถึงใบหน้าเรียบเฉยของคนให้ ฉันจึงไม่รู้ว่าความรู้สึกของเธอในตอนนั้นเป็นเช่นใด หากความหมายของนาฬิกาทรายมันคืออะไรกันนะ
การเริ่มต้นใหม่... ทุกๆ ครั้งที่ความรู้สึกที่เรามีต่อใครคนหนึ่งมันหมดลง เหมือนกับทรายเม็ดสุดท้ายที่ไหลผ่าน เราก็ทำเพียงแค่พลิกมันกลับด้าน และเริ่มต้นเรื่องราวใหม่อย่างนั้นหรอ?
ไม่ใช่แน่! เจสสิก้าคงไม่ใช่คนที่คิดอะไรแบบนั้น
เฝ้าคิดวนเวียนก็คิดไม่ออก เธอต้องการบอกอะไรฉัน ผ่านสิ่งของเล็กๆ ขนาดเท่าฝ่ามือนี้ เวลาที่กำลังจะหมดลง และไม่รอคอยใครอย่างนั้นน่ะหรือ
ฉันเหลืออะไรที่สมควรทำบ้างนะ...
สุดท้ายก็ยังไม่ได้รับคำตอบอยู่ดี ความจริงแล้วสิ่งเดียวที่ฉันปรารถนาในชีวิตนี้... คือการได้บอกรักเธอ ได้ยืนเคียงข้างเธอในฐานะคนรัก หลับพร้อมกัน และตื่นขึ้นพร้อมรอยยิ้มต้อนรับวันใหม่ๆ พร้อมกัน
เฮ้อ... ฟุ้งซ่านเนอะ ก็รู้อยู่แล้วว่ามันเป็นได้ไม่ได้ อีกอย่างหนึ่งคือฉันกับเธอก็เคยมีช่วงเวลาอย่างนั้น ตอนเป็นรูมเมทกัน ทว่าความรู้สึกของเธอ มีฉันเป็นเพียงเพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งเท่านั้นเอง
“เจส...ยูลรักเจสนะ” ทำได้แค่นี้แหละ...แค่เพียงบอกรักเบาๆ กับตนเองคนเดียว...
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
‘เจส...ตื่นได้แล้ว’ ร่างสูงเรียกเมื่อตอนนี้ปาเข้าไปค่อนข้างสาย หากคนที่นอนหลับสบายอยู่บนเตียง ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาเลย แม้แสงแดดยามเช้าจะสาดทอเข้ามาในห้องมากแค่ไหนก็ตาม ยูริถอนหายใจเฮือกใหญ่ รู้ว่าเจสสิก้าปลุกยากแค่ไหน หากเธอยังไม่ชินเสียที แม้จะใช้ชีวิตร่วมหอเดียวกันมาหลายปีแล้ว
‘จะตื่นไม่ตื่น’ ขู่ก็แล้ว อะไรก็แล้ว... เจสสิก้ายังคงนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน เธอยิ้มกริ่ม เดินเข้าไปใกล้ ก่อนจะกระตุกขา และลากร่างบางลงจากเตียงเต็มแรง!!
‘โอ๊ย...อะไรกันเนี่ยควอน ยูริ เจสจะนอน!!’ คนเพิ่งตื่นงัวเงียขึ้นมาตวาด ร่างบางขยี้ผมยาวของตนเอง เธอหันไปมองรอบๆ ด้านด้วยความสะลึมสะลือ จึงเห็นว่าตนเองกำลังนั่งอยู่ปลายเตียง โดยมีผ้าห่มผืนหนาห่อหุ้มร่างบางส่วนราวกับเป็นตัวอะไรซักอย่าง คนตรงหน้าก็เอาแต่นั่งหัวเราะอย่างเอาเป็นเอาตาย
‘นี่! มีอะไรน่าขำนักห๊ะ’ เจสสิก้าว่าพลางยกหมอนข้างตีคนตรงหน้า ยูริจึงวิ่งหลบพัลวัน กลายเป็นสงครามหมอนขนาดย่อมยามเช้า
สุดท้ายพวกเธอก็พากันเหนื่อยหอบ ล้มตัวลงนอนบนเตียงกว้างของเจสสิก้าทั้งคู่ ดวงตามองอยู่ยังเพดานขาวสะอาดด้านบน ทว่าปากพึมพำพูดกับคนข้างกาย
‘เจสปลุกยากชะมัดเลย รู้ตัวรึเปล่า’ ยูริเปรยถามเสียงสั่นด้วยยังไม่หายเหนื่อยจากการวิ่งหนีเจสสิก้าที่เอาแต่ไล่ฟาดหมอนใส่เธอ เนื่องจากไปกวนเวลานอนหลับ แม้วันนี้จะเป็นวันเสาร์ก็ตามที
‘ปลุกยากแล้วยูลจะปลุกปะละ’ ถามกวนๆ พลางพลิกตัวมามองใบหน้าด้านของของยูริ ดูเหมือนคนถูกจ้องจะเพิ่งรู้ตัว แก้มเนียนจึงแดงเรื่ออย่างไม่ได้ตั้งใจ หญิงสาวพลิกหันมาตะแคงข้าง เพื่อเพ่งมองใบหน้าสวยๆ ของเจสสิก้าที่กำลังจ้องตนอยู่ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
‘ถ้าเจสยอม...ยูลก็อยากปลุกเจสตลอดไป...’
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
เจสสิก้าสะดุ้งตื่นขึ้นมา เธอเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง มีเพียงแสงสลัวๆ เท่านั้น นาฬิกาหัวเตียงยังคงบอกเวลาตีห้า หญิงสาวยกมือกุมขมับตนเองแน่น ไม่รู้ว่าทำไมอยู่ๆ จึงฝันถึงเรื่องราวระหว่างที่เคยอยู่ร่วมหอกับยูริได้ ร่างบางถอนหายใจเฮือกใหญ่
ต่อจากนี้...คงไม่มีคนมาปลุกเธออีกแล้ว
“เจสยังรออยู่นะ...ยูล” พึมพำเบาๆ หวังเพียงสายลมนำข้อความนี้ไปบอกเพื่อนสนิทที ความรู้สึกที่เก็บไว้มานาน เมื่อไหร่กันที่เพื่อนเธอจะยอมเอ่ยปากบอกมันแก่เธอ
เวลายังคงเคลื่อนผ่านไปทุกวินาที... แล้วยูริจะปล่อยให้มันผ่านไปอีกนานแค่ไหนกัน...
หลังจากวันที่ฉันไปส่งเจสสิก้าที่โรงพยาบาลอิม ฉันก็ไม่เห็นเธออีกเลย พยายามแล้วที่จะหาทางติดต่อ ทั้งโทรศัพท์ก็กระหน่ำโทรถี่ หากเธอไม่แม้แต่จะเปิดเครื่อง ไปหาที่โรงพยาบาลต่างก็ยืนยันกันว่าเธอไม่อยู่ ไปหาที่บ้านก็มีเพียงกุญแจล็อคไว้อย่างแน่นหนา พ่อและแม่ของเธอเสียไปนานแล้ว หนำซ้ำเธอยังไม่มีญาติที่ไหน เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่เธอมีก็คือฉัน
อึดอัดใจอย่างบอกไม่ถูก อยู่ๆ เธอก็หายไปโดยไม่บอกไม่กล่าว ฉันเหมือนกับเป็นคนบ้า เฝ้าพยายามตามหาเธอตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ ไม่มีคืนไหนที่ฉันจะหลับได้สนิท หลับฝันก็เห็นแต่ใบหน้าของเธอ ยามตื่นก็คิดถึงเธอ
“เจส...หายไปไหน” พูดเสียงแหบพร่า คนเคยเจอกันอยู่ทุกวัน พูดคุยหยอกล้อ ได้เห็นหน้า กลับหายไปโดยไร้การติดต่อ หัวใจมันโหวงเหวง ราวกับเศษเสี้ยวของมันกำลังจะขาดหาย ฉันกำมือแน่น หยาดน้ำตาที่เคยกลั้นไว้ บัดนี้ไหลรินออกมาราวกับเขื่อนพังทลาย
ความคิดถึงกัดกร่อนหัวใจจนแทบไม่เหลือเต็มดวง เป็นห่วงเธอเหลือเกิน...
และแล้วเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เบอร์ที่โชว์บนหน้าจอทำให้ฉันแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง คนที่หายจากฉันไปเป็นเดือน!
รีบกดรับให้เร็วที่สุด ราวกับไม่อยากให้มันดังอยู่อย่างนั้นแม้อีกเพียงเสี้ยววินาที ฉันละลักละล่ำกรอกเสียงลงไปในนั้น ร่างสูงสั่นสะท้านไปหมดตามแรงสะอื้น
“เจส...นั่นเจสใช่มั้ย เจสอยู่ไหน” ฉันถามในสิ่งที่ต้องการ หากมันกลับสั่นเครือจนแทบจับความไม่ได้ คนเข้มแข็งอย่างฉัน มันกำลังอ่อนแอลงอย่างถึงขีดสุด
(“พรุ่งนี้ยูลว่างมั้ย”) เธอถามตอบกลับมา หากทำเอาฉันต้องชะงัก เสียงที่เคยสดใส หวานหูที่ฉันชอบฟังมันกลับแหบพร่า จนเหมือนไม่ใช่เธอ
“ว...ว่างสิ”
(“มารับเจสที่บ้านหน่อยนะ เจสอยากไปทะเล”) เจสสิก้าอ้อนวอน อย่างที่ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อน ทำเอาหัวใจที่ร้าวรานแทบพัง สั่นไหวจนต้องยกมือกุมมันไว้ เพราะกลัวว่าปลายสายจะได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นราวกับรัวกลองภายในอกข้างซ้ายนี้
“ได้สิ...ให้ยูลไปตอนนี้เลยก็ได้” ฉันตอบกลับไป หากเสียงที่รอดผ่านมานั้น มีแต่เสียงสะอื้นของเธอ “เจส...เจสเป็นอะไร เจสร้องไห้ทำไม!”
(“เปล่า... มารับเจสตอนบ่ายโมงนะ ไปทะเลของเรา...”) ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า หากกำแพงระหว่างเพื่อนที่เคยกั้นขวางไว้ เหมือนกับถูกพังทลายลงช้าๆ มันจะผิดไหม ถ้าฉันอยากภาวนาให้เธอคิดเหมือนฉันบ้าง แม้เพียงเสี้ยววินาทีก็ยังดี ที่เธอไม่ได้มองฉันคนนี้เป็นแค่เพื่อน
“ค่ะ...ยูลจำได้”
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ดวงดาวพร่างพราวเต็มท้องฟ้า ยิ่งออกมานอกตัวเมือง อย่างชายหาดอันแสนสงบสุขเช่นนี้ ทำให้มองเห็นเหล่าเพชรเม็ดงามบนผืนผ้ากำมะหยี่ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ดึกมากแล้ว ทว่ากิจกรรมรอบกองไปยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่รู้จบ การมาทัศนศึกษาพักผ่อนหย่อนใจในครั้งนี้ สร้างความบรรเทิงให้แก่เหล่าเด็กม.ปลายเป็นอย่างมาก เหมือนเป็นการเลี้ยงส่งกันก่อนจะไปมหาลัย
เสียงดีดกีตาร์ดังมากพอๆ กับเสียงแข่งกันร้องเพลง ทำให้ยูริเกิดอาการเบื่อหน่าย จึงพาร่างสูงของตนเองมานั่งริมระเบียงบ้านพักที่แทบติดขอบทะเล เธอนั่งบนรั้วปล่อยให้ปลายเท้าสัมผัสกับกระแสน้ำเย็นเฉียบเช่นนั้น ลมที่พัดผ่านไม่ได้สร้างความหนาวเย็นให้แก่ผิวกาย ต่างจากความอ้างว้างในหัวใจสิ้นเชิง
เธอต้องสะดุ้งเมื่อมีคนมานั่งข้างๆ หันไปจึงพบเจ้าของใบหน้าสวย เพื่อนร่วมห้องของตนนั่นเอง
‘เจสมาทำอะไรที่นี่’ ถามพลางขยับกายเพื่อให้เจสสิก้านั่งลงเคียงข้างตน
‘แล้วยูลล่ะมาทำอะไรที่นี่’ ร่างบางย้อนกลับไม่ลดละ เธอนั่งข้างๆ ยูริ ก่อนที่จะเอนไปซบกับไหล่มนของเพื่อนสนิท เส้นผมอ่อนนุ่ม ลมหายใจรดรินบนใบหู ทำให้ยูริถึงกับได้แต่นั่งเกร็ง
‘ยูลมาดูดาว’
‘อืม...งั้นเจสก็มาดูดาวเหมือนกัน’
ไม่มีคำพูดใดเกิดขึ้นระหว่างสองสาว นอกจากร่างบางที่เบียดชิด ทำให้คนข้างๆ ได้แต่เอวมือไปโอบเอวไว้หลวมๆ เพื่อดึงเจสสิก้าเข้ามาใกล้มากยิ่งขึ้น ความหนาวเย็นรอบด้านเลือนหายไป มีเพียงความอบอุ่นของกันและกัน กับหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะ สะกดคำว่า ‘รัก’ ไว้ภายใน
...คลื่นที่สาดกระทบเข้าฝั่ง เป็นพยานในมิตรภาพของคนสองคน ที่แม้ใครคนหนึ่ง อาจไม่ได้อยากหยุดไว้ที่คำๆ นั้นก็ตามที...
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ฉันมองคนข้างกายด้วยสายตาวิตก ใบหน้าที่เคยสวยสดใสของเธอ กลับซีดขาว ไร้สีแดงเรื่ออย่างเคยเป็น มือที่เคยกุมไว้อย่างอบอุ่น บัดนี้มันเย็นชืดสิ้นดี เสียงหวานของเธอ มันกลายเป็นแหบพร่าจนน่าตกใจ หนึ่งเดือนที่เธอหายไป เธอไปทำอะไรมากันแน่...
“เจส...จะไม่นอนพักที่บ้านจริงๆ หรอ ไว้หายแล้วเดี๋ยวค่อยไปเที่ยวก็ได้” ฉันถามอีกครั้ง ทั้งที่รถของเราก็กำลังแล่นไปตามท้องถนน ดูเหมือนเธอกำลังไม่สบาย ฉันจึงโน้มมือไปอังหน้าผากมนนั้น เคยคิดว่ามันคงร้อนผ่าว ราวกับคนไข้ขึ้น หากตรงข้ามเหลือเกิน ตัวเธอกำลังเย็นเฉียบ...
“เจสอยากไปวันนี้” เธอยังคงยืนกรานเช่นนั้น หญิงสาวเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างรถตามเคย และบรรยากาศอันอึดอัดก็เข้ามาเยือนเราสองคน ทำให้เธอกดเปิดวิทยุ หวังว่าคงไม่มีเพลงทำร้ายหัวใจเหมือนครานั้นนะ
‘เรายังอยู่ด้วยกันอีกนานแสนนาน ฉันเชื่อตัวเองเช่นนั้น ถึงได้ปล่อยวันเวลาไปไกล ควรจะบอกบางคำก็ทำลืมไป คิดว่าเหลือเวลาเท่าไรก็พอพูดมัน’
เพลงเวลาไม่เคยพอ ดังขึ้นภายในรถของเรา ถึงแม้จะไม่เข้าใจ เนื้อความของบทเพลงมากนัก ทว่ามันกลับเสียดแทงหัวใจฉันอย่างบอกไม่ถูก
แต่คำว่ารักของฉัน มันเป็นคำที่ไม่ควรพูดไม่ใช่หรือ...ถ้าพูดแล้วเราต้องห่างเหิน ไม่ได้อยู่ด้วยกันอย่างนี้ ฉันขอทำเป็นว่าไม่มีคำนั้นระหว่างเราดีกว่า
“ทำไมถึงอยากไปหรอ” ถามทำลายความเงียบ หากไม่ได้รับคำตอบ มือของเธอเอื้อมมาจับนาฬิกาทราย ที่ฉันวางไว้ยังคอนโซลรถ ก่อนจะพลิกมันคว่ำลงให้เม็ดทรายค่อยๆ ไหลรินลงมาช้าๆ ก่อนเจสสิก้าจะนิ่งเงียบ เป็นเชิงให้ฉันฟังเพลงนั้นต่อไป
และแล้วรถของเราก็มาจอดเลียบริมชายหาดในยามเย็นพอดี แม้เวลาจะผ่านไปหลายปี ทว่าความเงียบสงบของมัน ยังคงเป็นเหมือนเดิม ผู้คนน้อยเนื่องจากไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญมากนัก
ฉันลงจากรถมาเปิดประตูให้เธอเหมือนที่เคยทำ เธอเอื้อมฝ่ามือเย็นๆ มากุมฉันเอาไว้ ได้แต่คิดว่าแอร์คงเย็นไปล่ะมั้ง เธอคงจะหนาว ฉันจึงเอื้อมมือไปโอบร่างบางของเธอ ก่อนที่เธอจะไม่สบายนักไปกว่านี้
ดื้อไม่มีใครเกินล่ะเจสสิก้า...ไม่สบาย แต่ถ้าอยากมาเที่ยว ใครจะไปขัดเธอได้!
“เราเป็นเพื่อนกันมากี่ปีแล้วหรอยูล” เธอพูดเสียงสั่น เรานั่งลงริมขอบรั้วที่กั้นไว้ระหว่างริมฝั่งกับชายทะเล คล้ายๆ กับเหตุการณ์ในคืนนั้น มือที่กุมกันอยู่ หวังเพียงความอบอุ่นของฉันจะเผื่อแผ่ไปถึงเธอบ้าง...
“หืม...สิบแล้วมั้ง วันนี้ก็ครบสิบปีพอดี” เจสสิก้าดูแปลกใจเล็กน้อย ที่ฉันจำวันที่เราเป็นเพื่อนสนิทกันได้ มีอะไรเกี่ยวกับเธอที่ฉันจะหลงลืมมันล่ะ...
“นานเหมือนกันเนอะ”
“ใช่...นานมากๆ เลย เรารู้จักกันตั้งแต่อยู่ม.4 ตอนนี้เราก็อายุ 26 แล้วนะ”
“ทำไมเราต้องปล่อยให้เวลามันผ่านมานานขนาดนี้ด้วย” เธอเปรยขณะที่ร่างบางเริ่มสั่นสะท้านเบาๆ ตามแรงสะอื้น ให้ฉันทำอะไรไม่ถูก จึงได้แต่ดึงเธอเข้ามากอดไว้แน่น มือลูบแผ่นหลังเธออย่างปลอบประโลม มันคือการกระทำของฉันที่เกิดขึ้นเหมือนหนังฉายซ้ำ เมื่อเธอร้องไห้
“เจสหมายถึงอะไร ยูลไม่เข้าใจเลย”
“ยูลไม่เข้าใจเจส เหมือนที่เจสไม่เคยเข้าใจยูลน่ะแหละ เมื่อไหร่ยูลจะเลิกหนีความรู้สึกของตัวเองซะที” เธอเอาแต่ตอกย้ำเรื่องการหนีความรู้สึกของฉัน หรือนั่นจะหมายถึง คำว่ารักที่มีให้เธอ ซึ่งฉันเอาแต่หนีมันมาโดยตลอดกันแน่ หากจะให้ทำเช่นไร ในเมื่อเราเป็นเพื่อนกัน... ฉันไม่อยากให้เราต้องเสียเพื่อน เพราะความรู้สึกเกินเลยของคนๆ เดียว
อีกอย่าง...คนที่เหมาะสมคู่ควรกับเธอก็มีอยู่แล้ว จะให้ฉันเข้าแทรกตำแหน่งนั้นได้ยังไงกัน
“ยูลไม่ได้หนี”
“อืม...งั้นเจสคงคิดไปเอง คิดว่าที่เคยรอคอยมาโดยตลอดมันจะมีค่ามากพอ แต่คงไม่เลยสินะ...ในเมื่อเจสเฝ้ารอพร่ำเพ้ออยู่ฝ่ายเดียว” คำตัดพ้อทำเอาฉันใจหาย คลายอ้อมกอดออกจากเธอ มือเลื่อนขึ้นไป เกลี่ยซับหยาดน้ำใสให้อย่างอ่อนโยน ไม่อยากคิดเข้าข้างตนเองให้ต้องเจ็บ ขอปิดหูปิดตา ไม่รับรู้คำพูดนั้นได้มั้ย
และแล้วก็ต้องชะงัก เมื่อเลือดอุ่นๆ ไหลรินมาตามโพลงจมูกของเธอ โลหิตสีแดงสดตัดกับผิวขาวซีดราวแผ่นกระดาษ เจสสิก้ายิ้มออกมาเศร้าๆ ขณะที่ฉันได้แต่เขย่าร่างเธออย่างตกใจ
“เจส! เจสเป็นอะไร!!”
“ขอโทษนะ...เคยคิดว่าจะรอ แต่มันไม่ไหวแล้วจริงๆ...” เธอฝืนพูดกระท่อนกระแท่น มือบีบไหล่ฉันแน่นอย่างสะกดกลั้นความเจ็บปวด เลือดยังคงไหลมาจากจมูกโด่งไม่ขาดสาย เกินกว่าจะเชื่อได้ว่ามันเป็นเพียงเลือดกำเดา
“แค่กๆ” เจสสิก้าไอออกมาเป็นเลือด ให้ฉันได้ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ตอนนี้ฉันไม่สนใจอะไรอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเสื้อสีขาวที่เหมือนถูกย้อมสี แรงบีบยังหัวไหล่ผ่อนแรง ขณะที่มือเรียวของเธอตกลงข้างลำตัว ดวงตาเริ่มปิดสนิทช้าๆ ฉันช้อนร่างของเธอขึ้นในอ้อมแขน ก่อนจะรีบขับรถไปโรงพยาบาลอิมที่ใกล้ที่สุดทันที
‘ขอร้อง...ขอให้ทันทีเถอะ’ ได้แต่นั่งเฝ้าภาวนา เจสสิก้าเป็นอะไรกันแน่ ทำไมเธอป่วยหนักขนาดนี้จึงไม่ยอมบอกฉันซักคำ... เท้าเหยียบคันเร่งจนมิด
‘กว่าจะบอกตัวเองว่าอย่ามั่นใจ ก็เมื่อในวันที่สาย ที่ไม่มีเธอข้างๆ กายกัน อยากจะบอกคำเดิมที่เธอรอนาน ฉันก็เหลือแค่เพียงสิทธิ์บอกเธอผ่านสายตา’
เพลงที่เล่นค้างไว้จากในเครื่อง ฉันเพิ่งรู้ตัวว่าตอนนั้นเจสสิก้าไม่ได้เปิดวิทยุ หากเปิดเครื่องเล่นซีดีต่างหาก...
เธอถูกส่งเข้าห้อง ICU อย่างเร่งด่วน ขณะที่ฉันได้แต่กุมมือชื้นเหงื่อของตนเองแน่นอยู่ภายนอกห้อง กระวนกระวาย และรู้สึกเจ็บหัวใจจนทรมาน วินาทีของคนรอมันน่าขมขื่นได้ขนาดนี้เชียวหรือ... ยกมือกุมหัวใจที่เจ็บจนแทบหายใจไม่ออกของตนเอง ราวกับจะคลายอาการเหล่านั้นไปได้
ดวงตาจับจ้องอยู่ยังนาฬิกาทรายอันเท่าฝ่ามือที่เธอเคยให้ไว้ ฉันพลิกมันกลับด้าน มองดูทรายค่อยๆ ไหลรินผ่านช่องว่างลงมาอย่างเชื่องช้า และแล้ว...เมื่อทรายเม็ดสุดท้ายตกกระทบลงบนกองทรายเบื้องล่าง ประตูห้อง ICU ก็ถูกเปิดกว้าง ตามมาด้วยร่างสูงของยุนอา ฉันฝืนตนเองลุกเดินไปหาเธอ ทั้งที่มันเหนื่อยล้าจนแทบไม่อาจขยับกายได้
“เจสเป็นยังไงบ้าง...”
“เสียใจด้วยนะคะ... เราไม่สามารถช่วยชีวิตเธอเอาไว้ได้” ยุนอาพูดทั้งที่ดวงตายังแดงก่ำ ทำให้ฉันปราดเข้าไปกระชากคอเสื้อของหญิงสาวทันที
“ทำไม! แค่คนที่คุณรักคนเดียว ทำไมคุณรักษาชีวิตเธอเอาไว้ไม่ได้!!” ตวาดทำเสียงสั่นเครือ ขณะที่เธอดันร่างของฉันออกเบาๆ ส่งผลให้ล้มลงไปคุกเข่าอยู่กับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง แม้แต่แรงจะหายใจ
“คนที่รักษาเธอไว้ไม่ได้...คือคุณต่างหาก”
มือเปิดไดอารี่ของเธอผ่านไปช้าๆ ทุกเรื่องราวระหว่างเรา ร้อยเรียงผ่านเป็นตัวหนังสือ ให้ฉันต้องจมอยู่ในห้วงอดีตอย่างไม่อาจดึงตนเองกลับออกมาได้
ฉันเอื้อมมือไปหยิบกล้องวิดีโอที่ยุนอาให้ขึ้นมาเปิด หน้าจอฉายเป็นรูปของเธอ รอยยิ้มบางเบา หากดวงตากำลังเศร้าหมองเต็มทน
‘ยูล...กว่ายูลจะได้เห็นมัน คงเป็นวันที่เจสไม่ได้อยู่บนโลกนี้อีกแล้วสินะ...’
เบื้องหลังนั้นคือเตียงของโรงพยาบาล วันที่ถ่ายเป็นวันสุดท้ายก่อนที่เธอจะหายไปตลอดหนึ่งเดือน
‘เจสไม่เคยบอกยูลว่าเจสเป็นโรคร้าย... รักษาไม่ได้ หรือโอกาสหายมันมีน้อยมาก ทำให้เจสต้องเข้าออกโรงพยาบาลอยู่บ่อยๆ แต่เจสไม่อยากให้เพื่อนที่แสนดีอย่างยูลเป็นห่วง เจสเลยทำเป็นอยากมาพบยุนอา หมอประจำตัวเจสเอง... ขอโทษนะที่ปิดบัง แต่เจสไม่อยากเห็นน้ำตาของยูล’
‘โรคบ้าๆ นั่นมันทำให้เจสอ่อนแอลงทุกที จนในที่สุด ทางเดียวที่ทำได้คือผ่าตัดรักษา...หมอบอกว่าถ้าผ่าแล้วไม่สำเร็จ เจสคงจะมีชีวิตอยู่หลังจากนั้นได้อีกไม่นาน ทว่าเจสไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว เจสเลยยอมเสี่ยง เจสอาจหายไปจากชีวิตยูลซักระยะ หรือไม่ก็...ยูลอาจไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าเพื่อนคนนี้อีกแล้วก็ได้’
‘เพื่อนหรอ... เจสเกลียคำนี้จังเลยยูลรู้มั้ย มันเป็นคำที่ทำให้เราไม่อาจก้าวข้ามเส้นมาหากันได้ ทั้งที่เจสก็รู้ว่ายูลคิดอะไรกับเจสเกินกว่าเพื่อนกัน แล้วทำไมยูลไม่พูดมันซะที รู้มั้ยว่าเจสกำลังรอฟังคำนั้นของยูลอยู่ คำว่ารักเพียงแค่คำเดียว เจสรอมาโดยตลอดสิบปี และเจสก็อยากจะรอต่อไปนะ จนถึงวันที่ยูลจะกล้าพูดมัน แต่เวลาของเจสมันเหลือน้อยลงทุกทีแล้ว เจสเองก็ไม่รู้ว่าชาตินี้จะมีโอกาสได้ฟังคำว่ารัก จากคนที่เจสรักรึเปล่า...’
คำพูดที่ชายหาดเมื่อตอนเย็น ที่เธอบอกว่าเธอรอฉันไม่ไหวแล้ว... ไหลเวียนเข้ามาในห้วงความคิดอีกครั้ง หยาดน้ำตาคลอเอ่อจนมองภาพเบื้องหน้าพร่าเลือน ทว่าปล่อยมันไหลมาเถอะ ประจานความโง่เง่าของตนเองเสียที หลายต่อหลายครั้งเจสสิก้าพยายามบอกแล้ว ว่าให้ฉันเลิกหนีความรู้สึก หากฉันก็เอาแต่คิดว่าเธอเป็นเพื่อนๆๆ คำว่ารักคือคำต้องห้าม อย่าพูดออกไปเลยดีที่สุด แล้วเป็นเช่นไรล่ะ มาวันนี้ฉันมีโอกาสได้พูดมั้นบ้างมั้ย
‘ถ้าไม่มีเจสอยู่แล้ว...ยูลจะคอยปลุกใคร ยูลจะนั่งขับรถไปส่งใคร เปิดประตูรถให้ใคร กินข้าวกับใคร กางร่มให้ใคร เช็ดน้ำตาให้ใคร หรือแม้กระทั่งเวลาฟ้าร้องดังๆ ยูลจะหันไปกอดปลอบใคร...’
‘ถึงไม่มีคนๆ นั้นอย่างเจสอแล้ว ยังไงยูลก็ต้องยิ้มไว้นะ รอยยิ้มของยูลคือสิ่งที่เจสต้องการมากที่สุด... ถ้ายูลรักเจส เจสยังคงมีชีวิตอยู่ในหัวใจของยูลเสมอ และจะเป็นอย่างนั้นตลอดไป แค่กๆ...’
เธอไอออกมาเป็นลิ่มเลือด หากเจสสิก้ายังคงฝืนยิ้มให้ฉัน ทั้งที่หยาดน้ำตาใสๆ หลั่งรินมาไม่ขาดสาย มืออันสั่นเทายกขึ้นสัมผัสหน้าจอของวิดีโอ หวังเพียงอยากซับน้ำตาให้เธอเหมือนเมื่อก่อน
‘เจสยังรอฟังคำนั้นของยูลนะ...พูดให้เจสฟังบ้างได้มั้ย ว่ายูลรักเจส เหมือนที่เจสเองก็รักยูล... ลาก่อนนะคะ ...ที่รัก’
ภาพในจอดับวูบไปแล้ว ทว่าฉันยังคงถือมันค้างอยู่อย่างนั้น หลอกตนเองว่าอีกไม่นานมันต้องมีภาพของเธอ พูดบอกว่ารักฉันซ้ำๆ เหมือนที่ฉันเองก็รักเธอมาโดยตลอดสิบปี
และเพียงเวลาไม่นาน เสียงเพลงก็ดังออกมาจากวิดีโอเครื่องนั้น มันคือเพลงที่ฉันรู้จักอย่างดี...เพลงสุดท้ายที่ฉันได้ฟังมันร่วมกับเธอ... หญิงสาวที่ฉันรัก
‘และทีนี้เวลาที่มีไม่พอสักอย่าง
อยากมีหนทางดึงสิ่งต่างๆย้อนมา
จะกอดเธอไว้จะทำทุกวันให้มีความหมายให้มีค่า
จะไม่ทำให้เธอปวดใจ’
ฉันผิดเองแหละ... ที่เอาแต่ให้คำว่าเพื่อนมาบดบังความรู้สึกของตนเอง ทั้งที่เธอก็เตือนฉันอยู่หลายครั้งหลายคราว่าเวลามันไม่เคยรอใคร หากฉันก็เอาแต่ปล่อยให้มันผ่านเลย ไม่ได้สนใจ คิดเพียงแค่มันก็คือประโยคธรรมดาจากปากของเธอ ไม่ได้เฉลียวใจเลยซักนิด ว่าสุดท้าย ฉันต้องมานั่งร้องไห้ฟูมฟาย เพราะแค่เพียงคำว่า ‘เวลาไม่เคยพอ’
‘ฉัน ไม่มีวันได้เธอคืนมา ฉันขอเวลาแค่บอกคำนั้น
ที่เธอเคยต้องการมันยังทันใช่ไหม
ฉันเสียใจตลอดเวลาที่รักษาเธอไม่ได้ สุดท้าย...
อยากให้รู้ว่ารัก’
ยามนี้ฉันขอเวลาอีกเพียงเสียววินาที ให้โอกาสฉันได้บอกคำว่ารัก ที่เธอเคยรอฟังแก่เธอได้มั้ย... คำที่เธอยังคงรออยู่เสมอจนลมหายใจสุดท้าย ขอร้องล่ะ...ฉันผิดไปแล้ว แม้เพียงเวลาอีกแค่เสี้ยววินาที ฉันก็ไม่สามารถย้อนมันกลับไปได้ ต่อให้สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง คงไม่อาจยื้อเธอเพื่อฟังคำว่ารักจากปากของฉัน...
....ถ้าย้อนเวลากลับไปได้อีก 10 ปี ฉันคงไม่ปล่อยให้เราเป็นเพียงเพื่อนกัน...
...ถ้าย้อนเวลากลับไปได้อีก 1 เดือน ฉันจะไปอยู่เคียงข้างเธอ ระหว่างที่เธอพยายามต่อสู้กับโรคร้าย...
...ถ้าย้อนเวลากลับไปได้อีก 1 วัน ฉันจะพาเธอไปเที่ยวในทุกที่ ที่เธอต้องการ...
...ถ้าย้อนเวลากลับไปได้อีก 1 วินาที ฉันจะเฝ้าพร่ำบอกคำว่ารักที่ทนเก็บไว้มานาน...
หากในความเป็นจริง ฉันไม่อาจย้อนเวลาได้ และช่วงระยะเวลาที่กล่าวมานั้น ฉันเอาแต่ฝังตัวเองอยู่กับความรักที่ไม่สมหวัง เพราะไม่เคยมองความรู้สึกของเธอว่าคิดเหมือนกัน
...ฉันปล่อยให้ความสัมพันธ์ของเราผ่านเลยไป 10 ปี...
...ฉันปล่อยให้เธอต้องโดดเดี่ยว ต่อสู้เพียงคนเดียวมาตลอด 1 เดือน...
...ฉันปล่อยให้เธอร้องไห้ แม้ในวันสุดท้ายที่เธอเหลืออยู่เพียง 1 วัน...
...ฉันปล่อยให้เวลาผ่านเลย ไม่ยอมบอกคำว่ารัก แม้จะเหลือเวลาอีกแค่ 1 วินาที...
“ฉันรักเจส...รักเจส รักมากที่สุด รักมานานแล้วด้วย” พูดกับตนเองด้วยเสียงอันสั่นเครือ ทว่าก็ไม่มีใครมารับรู้ หรือได้ยินความในใจของคนโง่งมคนนี้
เพราะฉันเอาแต่ผลัด ไม่ยอมบอกคำว่ารัก ปล่อยให้เวลาผ่านไปนับสิบปี จนมาถึงวันนี้ แม้เพียงอีกแค่เสี้ยววินาที ที่จะใช้บอกคำสำคัญ ก็ไม่มีใครให้มันแก่ฉันได้...
...นาฬิกาทรายถูกพลิกใหม่อีกครั้ง เหล่าเม็ดสีทองพากันไหลริน จนเวลาผ่านเลย... เม็ดทรายเม็ดสุดท้ายก็ตกกระทบลงกับกองทรายเบื้องล่าง ถ้าเราไม่พลิกด้านมัน กองทรายที่ตกลงไปแล้ว คงไม่อาจฝืนแรงโน้มถ่วงไหลย้อนขึ้นมาได้ เช่นเดียวกับกาลเวลา หากเราปล่อยมันผ่านเลยไป ต่อให้อยากยื้อมันแค่ไหน คงไม่อาจเหนี่ยวรั้งกาลเวลาให้กลับคืนมา...
แล้วต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนกัน ความเจ็บปวดในหัวใจของฉันมันจึงจะเลือนหายไป หรืออาจต้องใช้เวลาจนลมหายใจสุดท้าย...ก็ไม่อาจลืมเลือนเธอได้
‘เหลือเพียงความรัก ที่ไม่มีเธอแล้ว
คิดถึงเธอมากมายเท่าไหร่ ก็ไม่มีวันได้พบเจอ
กลับมีเหลือเพียงตัวฉัน กับใจที่มันแทบสลาย
ใช้ชีวิตทุกวันที่มี เพื่อคิดถึงเธอตลอดไป...’
The end
หวังว่าอ่านแล้วคงไม่งงกันนะคะ เพราะมันมีอดีตเข้ามาแทรกบ้าง
บวกกับเพลงอีกสารพัดเพลง ยังไงก็ขอบคุณเพลงประกอบดังต่อไปนี้
“เพื่อนกันไม่ตลอดไป, เป็นเพื่อนเธอไม่ได้จริงๆ, ตัวอิจฉา, เวลาไม่เคยพอ”
และเพลงปิดสุดท้าย สำหรับ “แด่เธอที่รัก” ค่ะ
(เพลงเยอะอย่างนี้ เลยไม่ได้เอารวมเป็นโปรเจ็คต์พิเศษ เพราะไม่รู้จะให้เพลงไหนเด่นดี ฮ่าๆ)
ในที่สุด SF เรื่องนี้ก็แต่งได้จนจบ หลังจากค้างมาหลายเดือนมากๆ (เกือบครึ่งปีได้ =[]=)
คงไม่ทำให้ทุกท่านผิดหวังกันใช่มั้ยคะ
อีกอย่างคือไม่มั่นใจฝีมือตัวเองด้วย ว่าจะมีมากพอทำให้ใครร้องไห้ได้รึเปล่า
ปกติที่แต่ง ถ้าไม่ปวดตับไปเลย ก็จะหักมุม หรือไม่ก็อารมณ์อึดอัด
แต่เรื่องนี้เป็น SF เศร้าเรื่องหนึ่งที่บุงพยายามแต่งสุดฝีมือ
ยังไงก็ฝากผลงานไว้ด้วยนะคะ ติชมได้ตามสบาย
คอมเมนต์คนละนิด ต่อชีวิตไรท์เตอร์...
ผลงานอื่นๆ ของ Ma-Bung (มะบุง) ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Ma-Bung (มะบุง)
ความคิดเห็น