[[SF-SNSD]] อย่าปล่อยให้คนคนหนึ่งคิดถึงเธอ (Yuri)
SF ภาคต่อของ "จากคนหนึ่งถึงอีกคน" (TaeNy) ลงแล้วค่ะ รับรองว่าไม่ผิดหวัง! >
ผู้เข้าชมรวม
5,686
ผู้เข้าชมเดือนนี้
7
ผู้เข้าชมรวม
จำเรื่อง "จากคนหนึ่ง...ถึงอีกคน" ได้มั้ยคะ
(ถ้าจำไม่ได้ก็กด Shift แล้วเข้าไปอ่านดูค่ะ)
SF เรื่องนี้เป็นภาคต่อของเรื่องนั้น
จากคำเรียกร้องของเพื่อนคนเดิม
ที่บอกว่าอยากอ่านฟิคจากเพลง
"อย่าปล่อยให้คนคนหนึ่งคิดถึงเธอ" ของเต้นมาก
บุงเห็นว่าเนื้อหาเพลงน่าจะเข้ากับ SF ตอนเก่าดี
เลยจัดเรื่องนี้เป็นพาร์ทต่อให้ ยังไงก็ฝากติดตามกันด้วยนะคะ ><
ปล. ตอนแรกกะจะลงใน "หลากมุมมองของความรัก" เพื่อความเป็นระเบียบ
แต่ไปๆ มาๆ ไม่มีคนเข้าเลย (สงสัยไม่เห็น) เพราะงั้นก็เปิดเรื่องใหม่มันซ้า
ส่วนถ้าประกาศจะรวมเล่ม SF เมื่อไหร่ก็จะแจ้งให้ทราบอีกทีแล้วกันค่ะ
(ถ้าแจ้งในหลากมุมมองของความรักจะเห็นมั้ย? T___T)
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
[[SF-SNSD]] อย่าปล่อยให้คนคนหนึ่งคิดถึงเธอ (Yuri)
รู้ว่าการเว้นระยะห่างที่พอดีมันสำคัญต่อรัก
แต่ความเหงาในหัวใจ ถ้าควบคุมได้ง่ายๆ
ฉันคงไม่ต้องทนเจ็บเพราะคิดถึงเธออย่างนี้
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
อีกคืนแล้วใช่มั้ย... ที่ทิฟฟานี่ ฮวังอย่างฉันต้องนอนคนเดียว จะแปลกอะไรล่ะ ในเมื่อฉันก็ไร้รูมเมทอยู่แล้ว และห้องอันแสนกว้างใหญ่ก็สมควรจะมีฉันคนเดียว... แต่เธอก็รู้ไม่ใช่หรอ ว่าฉันจะนอนไม่หลับถ้าไม่มีอ้อมกอดอันอบอุ่นของเธอน่ะ... คิม แทยอน
‘รู้ว่าขอบ่อย บ่อยจนเกินเข้าใจ
อยู่นานนานได้ไหม มาหากันบ้างสิ’
อย่างี่เง่าให้มันมาก! ฉันพูดตอกย้ำตัวเองด้วยคำเดิมๆ ซ้ำๆ หากทำไมหัวใจอันอ่อนไหวจึงไม่รับฟังเลย อย่างี่เง่า อย่าทำให้เธอลำบากใจมากไปกว่านี้
รู้ว่าเธอต้องเหนื่อย และรับภาระหนักแค่ไหนในฐานะหัวหน้าวง นั่นยังไม่นับเรื่องอื่นๆ ที่เธอต้องคอยรับผิดชอบอีก ถ้าให้อธิบายฉันเองยังคงเหนื่อยแทน และก็เป็นฉันอีกนั่นแหละ ที่เอาแต่เรียกร้องความสนใจจากเธอ ทำตัวให้เธอรำคาญ ฉันผิดหรอ เพียงเพราะฉันแค่ขี้เหงา และอยากมีคนรักอยู่ข้างๆ กาย
ทั้งที่เธอขอระยะห่างระหว่างเราเอาไว้บ้าง การใกล้ชิดกันเกินไป อาจทำให้มองไม่เห็นกัน และใช้ชีวิตเคียงข้างกันด้วยความเคยชินมากกว่าจะเป็นความรัก ฉันเข้าใจในเหตุผลของเธอ เข้าใจและเห็นด้วยมากๆ แต่ที่น่าแปลกที่ฉันทำมันไม่ได้เลย
‘แท...กลับมาเร็วๆ นะ ฟานี่เหงา’ ไม่อยากโทรหาเซ้าซี้ เพราะเพิ่งวางสายจากเธอไม่นาน เลยกดพิมพ์ส่งแมสเซสไปแทน เมื่อไหร่จะเลิกซะทีนะ อาการอ่อนแอจนน่าอ่อนใจเช่นนี้ เมื่อไหร่จะเลิกคิดถึงเธอพร่ำเพ้อบ้าบอ เมื่อไหร่ที่ฉันจะควบคุมความรู้สึกของตัวเองให้อยู่ในคำว่าพอดี ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใครได้
‘ทั้งที่รู้อยู่ ว่ามันดูไม่ดี แต่ความเหงาชนะทุกที
อยากให้เธอเข้าใจ’
นอนพลิกกายไปมาบนเตียงอย่างไม่อาจข่มตา ทั้งที่ควรจะเหนื่อยหลังจากขึ้นไลฟ์ในวันนี้ และนอนหลับเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ ที่ต่างเข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว หากทำไมฉันกลับเอาแต่คิดถึงเธออยู่อย่างนี้
เธอต้องทำงานหนัก...ฉันรู้
เธออยากให้ระหว่างเรามีคำว่าคิดถึง...ฉันรู้
เธอต้องเหนื่อยกับงานมามาก และไม่ควรทำให้เธอเหนื่อยกับความรักของเรา...อันนี้ ฉันก็รู้
เสียงแมสเซสดังตอบกลับมา ทำให้ฉันรีบเปิดมันอย่างร้อนรน แต่แล้วความรู้สึกดีใจ ถูกแทนที่ด้วยความเหว่ว้ากับอารมณ์เหงาจนอ้างว้าง
‘กลับดึกค่ะ นอนเลยไม่ต้องรอ’ กลับดึก...อีกแล้ว ทำไมเธอต้องทำงานอะไรดึกขนาดนั้น ในขณะที่พวกเราทั้งแปดกำลังพักผ่อนเนี่ยนะ ฉันอดสงสัยไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เธอจึงทำงานได้หามรุ่งหามค่ำ ออกแต่เช้าก่อนฉันตื่น และเข้ามาหลังจากฉันหลับ
อยู่วงเดียวกัน อยู่หอเดียวกัน อยู่ห้องติดกัน แต่ทำไมฉันรู้สึกว่าเราอยู่ไกลกันเหลือเกิน
‘กลัวทุกอย่าง หวาด ระแวงมันไปทุกอย่าง
เธอยิ่งห่าง... ยิ่งโหดร้าย’
มันคงเป็นความคิดที่เลวร้ายมาก ถ้าฉันจะเริ่มระแวงเธอว่าเธออาจมีคนอื่น เธออาจรักคนอื่นที่ไม่ใช่ ‘มิยอง’ ของเธอคนนี้ ฉันคิดกับเธออย่างนั้นได้ยังไง แค่นี้เธอก็งานยุ่งจนไม่มีเวลาหายใจแล้ว แม้แต่เวลาให้คนรักอย่างฉันยังไม่มี จะให้เธอไปหาใครคนอื่นที่ไหนได้
เป็นอีกคืนที่เธอกลับดึก แล้วตอนนี้มันก็คงเป็นอีกคืน...ที่ฉันคงนอนไม่หลับจริงๆ
วันต่อมา
เสียงตอบรับดังลั่น หลังจากเราขึ้นแสดงเพลง Genie ในรายการหนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงท้ายของรายการ พวกเราโค้งคำนับอย่างขอบคุณ ก่อนจะพากันลงจากเวทีแล้วตรงไปยังห้องแต่งตัว
“ฟานี่... เมื่อคืนไม่ได้นอนรึไง” เจสสิก้ากระซิบถาม ทันทีที่เข้าห้องมา เธอคงรู้ได้ว่าดวงตาที่เคยยิ้มหรือ Eye-smile ของฉันมันหม่นหมองลงแค่ไหน แต่ด้วยความที่อยู่กันแค่นี้ ไม่กระซิบคนอื่นก็คงได้ยินเป็นอย่างดี คงรู้กันสินะ ว่าเหตุผลที่ทำให้ฉันนอนไม่หลับคืออะไร หากทำไมแม้แต่เพื่อนสนิทของเจสสิก้ายังรู้ว่าดวงตาของฉันมันบวมช้ำ ทั้งที่ใช้เครื่องสำอางปกปิดอย่างดี แต่คนรักของฉัน...ยังไม่ถามถึงมันซักคำ
“นอน...แต่ไม่หลับ” ฉันตอบเสียงเบา ให้ร่างบางที่นั่งข้างๆ ส่ายหน้าอย่างระอา เธอดึงฉันไปโอบกอดเบาๆ โดยไม่แคร์สายตาของเพื่อนร่วมวงที่อยู่ในห้อง เจสสิก้าก็เป็นอย่างนี้ ทำทุกอย่างตามความต้องการของใจ ไม่จำเป็นต้องแคร์ใคร ทว่าแสดงความเป็นตัวของตัวเองออกมาให้มากที่สุด
...ถ้าแทยอนเป็นได้แบบนั้นซักนิดเดียวก็คงดี...
“คิดถึงยัยรั่วนั่นรึไง” คำถามแทงใจ ทำให้ฉันได้แต่พยักหน้า แทยอนอาจดูรั่วในสายตาของคนอื่นเวลาออกกล้อง แต่เธอเป็นคนที่จริงจังกับทุกสิ่งทุกอย่างมาก นั่นทำให้ฉันรัก...รักในตัวตนหลายด้านของเธอ
รักมาก...ก็กลับมาหวงมาก คิดถึงมาก ทุกความรู้สึกมันมากตามไปด้วย...รวมถึงความเจ็บปวด
‘อย่าปล่อยให้คนคนนึงคิดถึงเธอ
รอคอยจนเพ้อจนเหนื่อยจะขาดใจ’
“เหงา...” ฉันบอกเจสสิก้าไปตามเสียงของหัวใจ เธอคงเข้าใจดี ถ้าไม่มีอ้อมกอดของยูริ เจสสิก้าก็นอนไม่หลับเหมือนฉันใช่มั้ย ถ้าไม่มีถ้อยคำแสดงความเป็นห่วงจากยูริ เธอก็จะคิดมากเหมือนฉันใช่มั้ย แล้วทำไมยูริถึงมอบทุกอย่างที่เธอต้องการให้ได้ แต่กลับฉัน...ทำไมแทยอนไม่เข้าใจฉันเหมือนควอน ยูริล่ะ
ฉันรักแทยอนที่เธอเป็นเธอ ไม่ได้อยากให้เธอเป็นใคร ฉันเข้าใจว่าเธอก็มีความหวาน ดูแลความรักของเราในแบบของเธอ แต่การเปลี่ยนไปที่เกิดขึ้นระหว่างเรา มันทำให้ฉันกำลังเหงามากขึ้นทุกที
ระยะห่างที่เธอเรียกร้อง รู้มั้ยมันกลายเป็นช่องว่างของเราสองคน
รักกัน...แต่สัมผัสไม่ได้ถึงกัน
คำว่ารักยังมีความหมายสำหรับเราอยู่มั้ย...
“อย่าคิดมากสิ แทรักเธอนะ” เจสสิก้าว่าพลางดันร่างของฉันออก เธอยิ้มให้บางๆ ก่อนจะให้ฉันหันไปหาแทยอนที่กำลังดื่มน้ำจากขวดอยู่
รัก...แทยอนรักฉันใช่มั้ย
“ซัน...เมื่อกี้เห็นเธอเหนื่อยมาก ไหวรึเปล่า” ถ้อยคำอ่อนโยนนั่น...ทำไมไม่เป็นของฉันล่ะ ทำไมไม่พูดว่าฉันนอนไม่หลับเพราะอะไร คิดถึงเธอมากแค่ไหน... เธอยังคงเทคแคร์ทุกคนในวงดีเหมือนเดิม หากกลับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคนรักของเธอ ไม่มีแม้แต่หางตาจะเหลียวแลหรือสนใจ
ขวดน้ำที่เธอเพิ่งดื่มเมื่อครู่ ถูกยื่นให้คนตัวเล็กของวง ซันนี่รับมันไปอย่างขอบคุณ ขณะฉันได้แต่เบือนหน้าหนี ด้วยความเจ็บปวดที่เริ่มคืบคลานเข้ามาในจิตใจ
‘อยู่กับคำว่าเหงา... ฉันกลัวเงาแห่งความหวั่นไหว
ได้ยินแต่เสียงหัวใจ มันตะโกนใส่ร้ายว่าเธอ... ไม่รักกัน’
ไม่จริง!! ฉันอยากจะลบล้างเสียงจากหัวใจนั้นออกไปสิ้น หากทำไม่ได้เลย แม้ซันนี่จะเป็นเพื่อนร่วมวง เป็นเพื่อนที่ฉันรักมากคนหนึ่ง แต่แฟนคลับแทซันก็มีเยอะไม่ใช่หรอ... ทั้งที่ซันนี่ก็มีคนของเธออยู่แล้ว ฉันไม่อยากจะงี่เง่าหึงแม้แต่เพื่อนของตัวเองหรอกนะ
ทว่า...ความระแวงเพราะความรัก มันกัดกินหัวใจให้แทบสลายไปแล้วทั้งดวง
“แท...” ฉันเรียกเธอเสียงแผ่วๆ ด้วยความเหนื่อยอ่อน วิ่งเข้าหาเธอก็เหนื่อย พอพยายามรั้งขาตัวเองเอาไว้ ไม่อยากเข้าใกล้ให้เธอต้องรำคาญไปมากกว่านี้มันกลับเหนื่อยยิ่งกว่า เหนื่อยที่ต้องทนกลั้นความรู้สึกอันล้นปรี่ในหัวใจ เหนื่อยที่ต้องทำเป็นฝืนว่าฉันเข้าใจในสิ่งที่เธอเรียกร้อง
เข้าใจ...แต่ฉันทำตามไม่ได้...ฉันคงไม่ผิดใช่มั้ย
“จะเอาอะไรหรอฟานี่”
‘จะเอาอะไรหรอ
จะเอาอะไรหรอ
จะเอาอะไรหรอ’ ประโยคนั้นวิ่งวนเวียนราวกับเปิดเทป เธอถามฉันว่าจะเอาอะไรอย่างนั้นหรอ นี่เธอคิดอะไรของเธออยู่กันแน่คิม แทยอน...
เธอเทคแคร์ซันนี่ได้ทุกอย่าง ไม่ต้องเอ่ยปากร้องขอก็เข้าใจ หากฉันล่ะ สิ่งที่ฉันต้องการ เธอไม่รับรู้ถึงมันรึไง เธอคบกับฉันมานานเท่าไหร่ ทำไมเธอไม่รู้ว่าฉันต้องการเธอมากแค่ไหน
ฉันต้องจากบ้าน จากอเมริกามา โดดเดี่ยว...ท่ามกลางประเทศที่ไม่คุ้นเคย เธอเองก็รู้ไม่ใช่หรอ นั่นจึงเป็นเหตุผลทำให้ฉันรักเธอมาก มีเธอเป็นที่พึ่งทุกอย่าง
แล้วเธอ...เคยเห็นฉันสำคัญแบบนั้นบ้างรึเปล่า
เดินไปนั่งข้างๆ เธอ มือเลื่อนไปกำลังจะกุมมือของเธอไว้ หากแล้วมือนุ่มคู่นั้นเธอกลับย้ายมันไปซุกในเสื้อกันหนาวสีฟ้าราวกับหนาวมาก ทั้งที่อุณหภูมิในห้องนี้มันปกติ
...แต่ความรักของพวกเราต่างหากที่เริ่มไม่ปกติ...
“ฉันก็แค่อยากให้แทสนใจฉันบ้างน่ะ” พูดเบาๆ อย่างเอาแต่ใจ ใช่สิ! ฉันมันน่ารำคาญ เอาแต่ใจ เข้าใจอะไรก็ยาก ทำให้เธอลำบากใจ ฉันมันไม่มีอะไรดีซักอย่างแหละ เธอถึงได้ห่างเหินมากขึ้นทุกวัน ขอระยะห่างระหว่างเรา หรือขอช่องว่างระหว่างรักกันแน่ ฉันเองก็ไม่เข้าใจ
“ฟานี่... แค่นี้ฉันยังเหนื่อยไม่พอหรอ” คำตัดพ้อจากเธอทำฉันสะอึก เพื่อนโซนยอชิแด พยายามไม่หันมามองเราสองคน เพราะรู้ดีว่าเราต้องการความเป็นส่วนตัว
“ฉันขอโทษ”
‘รู้ว่าเธอเหนื่อย เหนื่อยกับฉันทุกวัน
เหนื่อยกับความรำคาญ ผู้หญิงขี้เหงาไป’
ดูเธอจะชะงักไปบ้างเมื่อเห็นสีหน้าเศร้าๆ และแววตาที่คลอไปด้วยหยาดน้ำของฉัน แทยอนถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะยกแขนขึ้นมาโอบไหล่ และรั้งฉันเข้าไปใกล้จนได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นแผ่วเบาในแผงอกด้านซ้าย ฉันไม่คาดหวังให้มันเต้นเป็นชื่อฉัน แต่หวังเพียงแค่ไม่เพ้อเป็นชื่อใครคนอื่นเท่านั้นพอ
“ขอโทษที...ฉันแค่เหนื่อยไปหน่อยน่ะ” หลังจากเราปรับความเข้าใจกัน ดูเธอก็พอจะรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ฉันต้องการ หากเธอเองก็พยายามให้ฉันรับรู้ในสิ่งที่เธอต้องการบ้าง
เธอเหนื่อยกับงานมามากพอแล้ว และเธอก็ไม่อยากเหนื่อยกับความรักมากขึ้นอีก ซึ่งทั้งที่รู้อย่างนั้น ทำไมฉันยังคงเรียกร้องความสนใจ ความเอาใจใส่จากเธออยู่อย่างนี้
หรืออาจเป็นเพราะฉันไม่ชิน เนื่องจากเมื่อก่อนเราสนิทกันมาก และเธอก็ดูแลฉันทุกอย่าง ฉันจึงเคยชินกับภาพของเธอในแบบนั้น มากกว่าจะเป็นภาพที่มองเธอเดินหันหลังจากไปเรื่อยๆ โดยไม่สามารถเหนี่ยวรั้งอะไรไว้ได้เลย...
“ฉันก็แค่คิดถึงเธอน่ะแท...วันนี้กลับมานอนห้องของเราได้มั้ย” ฉันพูดคำว่าห้องของเราได้อย่างเต็มปากเต็มคำ เพราะห้องของฉันมันก็เหมือนห้องของเธอ ทว่าแทยอนกลับเอามือที่โอบกอดอยู่ลงไปเสียดื้อๆ เธอหันข้างให้กับฉัน ไม่รู้ว่าอายกับประโยคที่หลุดปากไป หรือเธอกำลังลำบากใจในสิ่งที่ฉันพูดกันแน่
ถ้าให้เดา...ฉันว่ามันคงจะเป็นอย่างหลัง
“ซู...มานอนห้องฉันนะ” ไม่มีใครรอฟังคำตอบจากแทยอนใจจดใจจ่ออย่างฉันเลย หากซันนี่กลับหันไปหาซูยองคนรักของเธอให้มานอนเป็นเพื่อน เนื่องจากถ้าแทยอนซึ่งเป็นรูมเมท มานอนห้องฉัน และวงจรมันก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม เมื่อไม่มีซูยอง ยูริต้องมานอนเป็นเพื่อนเจสสิก้า และซอฮยอนก็ต้องมานอนกับยุนอา เพราะร่างสูงเป็นรูมเมทกับยูริ มันเป็นการเปลี่ยนห้องที่เคยชินของพวกเรา จนแทบอยากให้รูมเมทมันเป็นอย่างนี้ซะเลยก็หมดเรื่อง
เพียงแต่คนที่เป็นตัวกลางกลับยังคงนั่งนิ่ง ไม่ปฏิเสธ...แต่แทยอนก็ไม่ตอบรับเช่นกัน
“ฉันนอนไม่หลับซักคืนที่ไม่มีเธอน่ะแท...” ฉันตอกย้ำความต้องการของตนเองอีกครั้ง
‘คิดถึงเธอบ่อย บ่อยเท่าลมหายใจ
อยู่คนเดียวก็ฟุ้งซ่านไป มันหลับตาไม่ลง’
“แต่วันนี้ฉันกลับดึกนะฟานี่”
“อีกแล้วหรอ... เธอไปทำอะไรของเธอกันแน่” ฉันเริ่มขึ้นเสียง กลับดึกๆๆ ทั้งวงเก้าคนทำงานด้วยกัน เหนื่อยด้วยกัน ทว่าทำไมเธอต้องกลับดึกเป็นพิเศษอยู่เพียงคนเดียว อย่างนี้จะให้ฉันคิดยังไง ถ้าทำงานหนักจนต้องกลับดึกจะไม่ว่าเลย แต่มันเป็นอย่างนี้มาหลายเดือนแล้ว! อย่ามาอ้างว่าจัดรายการวิทยุดึกเลย เพราะวิทยุบ้าอะไรจัดกันอยู่ได้ทุกวันยันข้ามเช้าวันใหม่อย่างนี้น่ะ
“พูดกันด้วยเหตุผลสิฟานี่ อย่าเอาแต่ใจตัวเองนักได้มั้ย” เธอตวาดกลับให้ฉันต้องสะดุ้ง หยาดน้ำตาที่เคยคลอเอ่ออยู่ บัดนี้ค่อยๆ ไหลรินผ่านแก้มลงมาช้าๆ ถึงแม้มันจะเป็นเพียงแค่หยดเดียว หากนั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับความเจ็บปวดทั้งหมดที่มี ความคิดถึง ความเหงา ความอ้างว้าง กร่อนกินหัวใจจนไม่เหลือเป็นดวง ทุกความรู้สึกเหล่านั้นรวมเป็นความทรมานที่ฉันได้รับในทุกวินาทีที่หายใจ!!
‘กลัวทุกอย่าง หวาด ระแวงมันไปทุกอย่าง
เธอยิ่งห่าง... ยิ่งโหดร้าย’
“ก็ฉันแค่อยากอยู่กับเธอ เธอกลับดึกแค่ไหนฉันก็รอได้...”
“พักผ่อนเยอะๆ เถอะน่า อย่ามารอฉันเลย” แทยอนพูดยังไม่ทันจบประโยคดี โปรดิวเซอร์คนหนึ่งก็วิ่งเข้ามา
“แทยอนครับ วันนี้เดี๋ยวคุณต้องไปจัดรายการต่อเลยนะ” เธอพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินจากห้องไปทันที เป็นครั้งที่เท่าไหร่กัน ที่พวกเราต้องกลับหอเพียงแค่...แปดคน
หอพักโซนยอชิแด
“อ๊ายยย ซู... อย่าผลักฉันสิยัยเสาไฟฟ้า” ซันนี่ร้องโวยวาย มือยังคงถือจอยส์สติ๊กในมือแน่นอย่างเมามัน ขณะคนตัวสูงกว่ากลับผลักร่างเล็กเบาๆ และฉวยโอกาสทำคะแนนนำไปได้อย่างหน้าตาเฉย
“หุหุ ไปฝึกมาใหม่แล้วค่อยแข่งกับฉันนะกระรอกน้อย” ซูยองยิ้มร่ากับชัยชนะ
“เย่! พี่ซันนี่แพ้แล้ว ยุนต่อนะคะ” ขออนุญาตไม่รอคำตอบ ยุนอารีบแย่งจอยส์คืนมาจากซันนี่ ก่อนจะแข่งประทะกับซูยองอย่างดุเดือด เป็นคู่ที่ค่อนข้างสมน้ำสมเนื้อไม่เบา เนื่องจากเซียนเกมส์ทั้งคู่ ส่วนมักเน่ซอฮยอนได้แต่นั่งดูคอยเชียร์อยู่ห่างๆ ไม่ต้องบอกก็คงรู้ใช่มั้ยว่าเธอคงไม่เชียร์คนอื่นนอกเสียจากอิม ยุนอา
ขณะเจสสิก้าและยูริ ยังไม่ถึงช่วงเวลาปล่อยความหวานและติดเรท ทั้งสองจึงพากันหลุดเข้าโลกส่วนตัวไปในหนังสือ ใครก็บอกว่าพวกเธอนิสัยไม่ค่อยเหมือนกัน ไม่น่าเข้ากันได้ แต่เพราะความต่างนั่นแหละ เติมเต็มในสิ่งที่กันและกันไม่มี จนกลายเป็นคู่รักคู่ฮอตของโซนยอชิแด
ฝ่ายฮโยยอนแดนซิ่งควีนก็เอาแต่คิดท่าเต้นใหม่อยู่หน้ากระจก จนอดคิดไม่ได้ว่าเธอเต้นไม่กลัวสะโพกหลุดบ้างหรือไง
นี่คือเวลายามว่างของพวกเรา โซนยอชิแด!
แล้วฉันล่ะ... ฉันจะทำอะไรดี
ฉันไม่ชอบเล่นเกม จะให้ดูพวกนั้นเล่นก็เปล่าประโยชน์ ฉันเบื่อการอ่านหนังสือเล่มเดิมหลายๆ รอบ ซึ่งไม่เหมือนเจสสิก้า ที่สามารถอ่านหนังสือเล่มเดียวทุกวันโดยไม่เปลี่ยนได้ จะให้ไปช่วยฮโยยอนคิดท่าเต้นฉันก็ไม่สันทัด อีกอย่างซ้อมวันนี้ก็เหนื่อยมากพอแทบจะขยับไม่ได้แล้ว แถมฉันยังแอบลืมท่าเต้นเก่าๆ ไปแล้วด้วยซ้ำ!
เมื่อไร้เธอ ชีวิตของฉันมันดูว่างเปล่าชอบกล ไม่มียัยหมารั่วทำหน้าตลกๆ ให้ฉันดู ไม่มีคนที่คอยทำหน้าเงียบขรึมยามถึงเวลาจริงจัง ไม่มีคนที่ภายนอกกลับดูเหมือนร่าเริง แต่ความจริงเป็นคนที่พวกเราแทบไม่รู้จักเลยในบางที บุคลิกเหล่านั้น ให้ใครเลียนแบบก็ไม่เหมือนเธอ... เพราะอย่างนี้ฉันถึงเรียกร้องหาเธอมากไง
‘อย่าปล่อยให้คนคนนึงคิดถึง
เธอ
รอคอยจนเพ้อจนเหนื่อยจะขาดใจ’
เนื่องจากความเหงาคืบคลานในใจ ให้ทนอยู่ต่อไปมันก็คงฟุ้งซ่านเสียเปล่าๆ ฉันเงยหน้ามองดูนาฬิกา เกือบสี่ทุ่มแล้ว... มันอาจจะดึกไปสำหรับการออกไปนอกหอ ทว่ามันยังคงดีกว่านั่งเพ้อ นั่งคิดถึงเธอจนแทบบ้าอยู่อย่างนี้
สุดท้ายฉันก็พาตัวเองมาเดินเล่นข้างนอกจนได้ แม้เพื่อนร่วมวงคนอื่นจะไม่เห็นด้วย แต่ก็คงรู้ดีว่าฉันมันดื้อรั้นแค่ไหน อากาศยามดึกหนาวเล็กน้อย ทำให้ฉันต้องกอดตนเองเอาไว้คลายความหนาวเหน็บ ปรายตามองไปรอบด้าน ดึกป่านนี้ร้านค้าส่วนใหญ่ก็ปิดหมดแล้ว
ไฟสว่างจากร้านๆ หนึ่ง เรียกร้องความสนใจจากฉันได้ไม่ยาก มันเป็นร้านเจเวอรี่เล็กๆ ฉันเลยไปด้อมๆ มองๆ อยู่ภายนอก ทำให้พอมองเห็นได้ว่ายังมีลูกค้าอยู่สองคน ดูท่าทางคงเป็นคนรักกัน เนื่องจากแสงที่ไม่สว่างนัก ทำให้ฉันเห็นได้เพียงแค่เงาเลือนลางเท่านั้น ทว่าก็พอจะเดาได้ กับท่าทางและการกระทำกระหนุงกระหนิงผลัดกันลองสร้อยไปมา
อดคิดถึงแทยอนขึ้นมาไม่ได้ นานเท่าไหร่แล้ว ที่ฉันกับเธอไม่ได้คุยเล่น หยอกล้อกันตามประสาคนรัก ตั้งแต่ทางผู้ใหญ่เริ่มเพ่งเล็งคู่ของเรามากกว่าคู่อื่นๆ เนื่องจากแทยอนเป็นหัวหน้าวง ซึ่งส่งผลกระทบต่อรูปลักษณ์ของคนทั้งวงด้วย ความซวยเลยมาตกที่ฉันผู้เป็นคนรักของเธอเช่นกัน
ไม่ใช่แค่คู่เราหรอกที่โดนจับตามอง คู่รักคู่เรทยูลสิกมีหรือจะพลาด หากเจสสิก้าแคร์สื่อบ้างที่ไหน รูปโมเม้นต่างๆ ยูริพยายามทำหน้านิ่ง พยายามไม่สนใจ ก็ไม่ใช่ร่างบางหรอที่ไปกระเง้ากระงอด แอ๊บเนียนเกาะแขนเกาะไหล่บ้าง อยู่ด้วยกันไม่ได้ ต้องแอบกุมมือกันตลอดเวลา
ลองฉันทำอย่างนั้นกับแทยอนบ้าง... มีหวังคงโดนว่าและโวยวายไปหลายวัน
เพราะอย่างนี้ไงล่ะ เขาถึงเรียกคู่เราว่าคู่รักแคร์สื่อ... ก็ใช่น่ะสิ สื่อบ้านั่นมันมีดีอะไรนักหนา เธอถึงแคร์มันมากกว่าฉันที่เป็นแฟนเธอก็ไม่รู้!
‘อยู่กับคำว่าเหงา
ฉันกลัวเงาแห่งความหวั่นไหว’
แอบจ้องอยู่นานพอสมควรจึงเพิ่งรู้ตัว เมื่อคู่รักเดินออกมาจากร้าน ฉันจึงรีบวิ่งไปแอบอยู่ในซอย หลังพิงกำแพง เนื่องจากไม่อยากให้พวกเขารู้ว่าฉันมาแอบมองอย่างนี้
แต่แล้วหัวใจที่ตกลงไปถึงตาตุ่ม ยามเห็นทั้งสองคนเต็มตา...
หยาดน้ำใสที่คลอเอ่ออยู่ แม้มันจะทำให้ภาพเบื้องหน้าเริ่มพร่าเลือน หากกลับไม่ได้ทำให้ความรู้สึกเจ็บในใจเลือนลางตามลงไปด้วยเลย ยิ่งเข็มวินาทีผ่านไปทุกที ย่างก้าวที่เดินผ่านไปในทุกการเคลื่อนไหว ยิ่งตอกย้ำเหล็กแหลมให้ทิ่มแทงใจจนถ้าเป็นแผลสดป่านนี้เลือดข้นคงท่วมเอ่อล้นไปทั้งห้องหัวใจแล้ว
ภาพแทยอนเดินเคียงข้างซอนมีทั้งที่เวลาเกือบห้าทุ่มเช่นนี้เนี่ยนะ ทั้งที่มันเป็นเวลาที่เธอมักอ้างว่าต้องออกไปทำงาน นี่คืองานของเธองั้นหรอคิม แทยอน
งานที่ต้องมาเดินเล่นกับคนที่ปลาบปลื้มเธอ งานที่ต้องมาซื้อสร้อยด้วยกันเหมือนเป็นคนรัก งานที่ทำให้เธอต้องทิ้งฉันให้นอนเหงาอยู่คนเดียวอย่างไม่อาจข่มตาหลับได้
การกรีดบาดแผลในใจของฉัน...เธอเรียกมันว่างานใช่มั้ย...
‘ได้ยินแต่เสียงหัวใจ
มันตะโกนใส่ร้ายว่าเธอ... ไปอยู่กับใครไปทำอะไร’
นี่สินะ สิ่งที่ฉันหวาดระแวงมาโดยตลอด... เธอไม่มีเวลาให้ฉัน ก็เลยคิดเข้าข้างตัวเองว่า เธอคงไม่มีเวลาหันไปหาสาวอื่นเช่นกัน และแล้วเสียงหัวใจที่เคยใส่ร้าย บัดนี้ตอกย้ำได้แล้วว่ามันคือเรื่องจริง เวลาที่ไม่มีให้ฉัน เพราะเธอมอบมันให้ผู้หญิงที่ชื่อซอนมี การที่เธอเหนื่อยมากมาย จนไม่อาจเทคแคร์ฉันได้ คงเพราะเธอทำหน้าที่นั้นให้กับซอนมีไปหมดแล้วสินะ
ฉันมันโง่เองแหละที่หลงเชื่อคำพูดหลอกลวงของเธอ
เหนื่อยกับงาน...และไม่อยากให้ฉันทำให้เธอเหนื่อยมากขึ้น มันหมายความว่า อย่าสร้างความรำคาญให้เธอ
เว้นระยะห่างระหว่างเราให้พอดี ให้มีคำว่าคิดถึง มันหมายความว่า ห่างกันไปไกลๆ เถอะ เธอไม่ต้องการฉันแล้ว
ที่ไม่ได้บอกรักกันเหมือนเมื่อก่อน มันหมายความว่า ความรู้สึกของเธอตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน...
ฉันทรุดนั่งลงกับพื้นอย่างไม่สามารถฝืนยืนได้ หัวใจถูกเหยียบขยี้จนแหลกละเอียดด้วยมือที่มองไม่เห็น อึดอัดจนหายใจแทบไม่ออก เหมือนว่าอากาศรอบกายในยามนี้เต็มไปด้วยฝุ่นควันพิษ ยามนี้การกลั้นหายใจไม่รับรู้อะไรเลยยังดีกว่าก็เป็นได้
แขนยกขึ้นมากอดตัวเองแน่น เพราะจากนี้คงไม่มีอ้อมกอดของเธออีกต่อไป ใบหน้าซุกลงเพื่อปกปิดรอยหยาดน้ำตาที่พากันไหลรินไม่ขาดสาย อย่างไม่กลัวว่าน้ำจะหมดกาย... บางทีน้ำเหล่านั้น อาจเป็นตัวแทนของเลือดที่รินหลั่งมากมายจนล้นออกจากหัวใจล่ะมั้ง
‘ทิ้งให้คนอ่อนไหว
กอดความคิดถึงจนนอนหลับไป...กับใจปวดร้าว’
ไม่รู้ว่าพาร่างอันอ่อนแรงของตนเองออกมาจากซอกเล็กๆ นั่นได้ยังไง เพียงแต่จิตใต้สำนึกมันร้องสั่งมาว่าให้กลับไปถึงหอพักก่อนเธอให้ได้ ขาก้าวเดินเชื่องช้าอย่างไร้แรงจะสู้ต่อ เวลานี้ฉันอาจเหมือนคนที่พอเดินไหว หากกำลังหาทางไปต่อไม่เจอ
หัวใจกำลังเต้นแผ่วเบาลงทุกที เมื่อไม่มีความรักของเธอช่วยหล่อเลี้ยงมันอีกต่อไปแล้ว...
ในที่สุดฉันก็กลับมาก่อนเธอจริงๆ ไม่รู้สิ บางทีเธอกับซอนมีอาจกำลังมีความสุขกัน ได้หัวเราะ ได้ใช้เวลาร่วมกัน เธอาจไปส่งซอนมีที่หอ อาจไปต่อด้วยกัน
ยิ่งคิดยิ่งฟุ้งซ่าน ความรู้สึกมันตีกันปนเปมั่วไปหมดแล้ว ฉันรอคอยการกลับมาของเธอ แต่มันก็เป็นการรอคอยที่เปล่าประโยชน์อย่างสิ้นเชิง ทั้งที่บอกไว้ว่าถ้าไม่มีเธอฉันคงนอนไม่หลับ หากเธอไม่ได้สนใจใยดีเลยซักนิด วันนี้เธอก็ยังกลับดึก ทิ้งให้ฉันจมอยู่กับความเศร้าบนเตียงเดี่ยวเพียงคนเดียว
เสียงเปิดประตูห้องนอนทำให้ฉันสะดุ้ง แม้ไม่ต้องเปิดไฟ หากร่างเล็กที่กำลังเดินเข้ามา ฉันก็รู้ได้อยู่ดีว่าเธอเป็นใคร ก็แค่คนที่เพิ่งเหยียบหัวใจฉันจนแหลกสลายไปไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงนี่เอง
ฉันแกล้งทำเป็นหลับ ไม่รับรู้อะไร อย่าเลยนะ... แค่นี้ฉันก็เจ็บมามากพอแล้ว อย่าเพิ่งมาต่อว่าทำไมฉันถึงฝืนคำสั่งรอเธอ อย่าเพิ่งมาบอกว่าจากนี้เราจบกันเพราะเธออยากเดินไปกับซอนมี
ความอ่อนแอในหัวใจ ทำให้ฉันรับความเจ็บปวดได้เท่าที่มีอยู่ ยอมโง่ต่อไปก็ได้ อย่างน้อยได้อยู่กับความฝันที่คำว่า ‘TaeNy is real’ ยังเป็นเรื่องจริง ฉันยังไม่เตรียมใจพร้อมจะรับอะไรเพิ่มเติมในตอนนี้ เพราะฉะนั้นให้ฉันรับรู้เพียงแค่ว่าเธอไปทำงาน และกลับมาดึก ซึ่งฉันควรจะหลับไปแล้วเท่านั้นพอ
“ร้องไห้เพราะรอฉันหรอ...” ด้วยความที่คิดว่าหลับไปแล้ว แทยอนเลยเปรยขึ้นมาเบาๆ เธอค่อยๆ เกลี่ยรอยคราบน้ำตาข้างแก้มฉันอยู่ออก น่าจะชินได้แล้วนะคิม แทยอน... ถ้าฉันร้องไห้เพราะรอเธอ นั่นแสดงว่าฉันร้องไห้ทุกคืน เพราะเธอไม่เคยกลับเร็วเลย รู้บ้างหรือเปล่า...
‘อย่าปล่อยให้คนคนนึงคิดถึง
เธอ
รอคอยจนเพ้อจนเหนื่อยจะขาดใจ’
“ฝันดีนะ มิยองของฉัน” น้ำเสียงอ่อนโยน ทำไมเธอไม่เคยใช้มันตอนที่ฉันตื่นหรือรับรู้เลยล่ะ ถ้าเธอพูดอย่างนี้กับฉันทุกวัน ต่อให้เธอต้อง ‘ทำงาน’ ดึกแค่ไหน อย่างน้อยๆ มันก็ช่วยทำให้หัวใจที่อ่อนไหวของฉันเข้มแข็งขึ้น
น้ำตาที่คิดมาเหือดแห้งไปแล้ว บัดนี้มันกำลังไหลรินออกมาให้เธอรู้ว่าคนที่เธอคิดว่าหลับ ยังคงได้ยิน และรับรู้ทุกคำพูด รวมถึงความเจ็บปวดอันแสนทรมานในตอนนี้ด้วย
“ฟานี่...ยังไม่นอนหรอ” สิ้นคำถาม ฉันก็ลืมตาขึ้น เธอมองฉันอย่างตกใจ ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดโคมไฟหัวเตียง และจับไหล่ฉันเอาไว้ด้วยความที่ทำอะไรไม่ถูก
“ฉันบอกแล้วไง ถ้าแทไม่กอดฉัน ฉันนอนไม่หลับ” พูดพลางสะอื้น ขณะโผเข้ากอดเธอ ซึ่งเธอก็ยอมกอดตอบโดยดี ฉันยอมไม่ได้หรอกนะ ถ้าวันหนึ่งอ้อมกอดนี้ต้องเป็นของคนอื่นที่ไม่ใช่ฉัน ฉันทนไม่ไหวหรอก ถ้าคนๆ นี้จะมอบความรักความห่วงใยต่อฉันให้คนอื่น
...ทนไม่ไหวจริงๆ...
“เฮ้อ... อย่าฝืนร่างกายสิ ฉันก็บอกว่าฉันกลับดึก เธอน่าจะชินได้แล้วนะ” แม้เธอจะกอดฉันแน่นอยู่อย่างนี้ ทว่าความรู้สึกของฉัน เหมือนเรากำลังห่างไกลกันออกไปทุกที
“ชินหรอ... ใช่สิ ฉันควรจะชาชินกับความเจ็บปวด ทั้งที่หัวใจมันไม่เคยชินชากับบาดแผลนั้นเสียที” น้ำเสียงสั่นสะท้านจนแทบจับใจความไม่ได้ ความเจ็บปวดมันก็เหมือนกับขวดแก้วเล็กๆ ใบหนึ่งนั่นแหละ อัดแน่นอารมณ์ทุกอย่างไว้ภายใน จนเมื่อเวลาผ่านไป ความอัดอั้นที่มีทั้งหมด มันไม่อาจเบียดเสียดกันอยู่ในขวดใบเล็กได้แล้ว ขวดอารมณ์จึงระเบิดออกมา พร้อมกับเศษแก้วที่พร้อมเชือดเฉือน กรีดแทงลงไปทั้งใจ
“ทำไมวันนี้เธอพูดอะไรแปลกๆ”
“ถามตัวเองดูบ้างมั้ยล่ะว่าไปทำอะไรมา”
“อะไรของเธอเนี่ยฟานี่! เดี๋ยวนี้เธอเป็นอะไรกันแน่ เอะอะก็โวยวาย เอะอะก็จ้องจับผิดฉันอยู่เรื่อย ฉันไปทำงานได้ยินมั้ยว่าฉันไปทำงาน!!” เธอตวาดจนฉันแทบสะอึก สรุปคือฉันกลายเป็นคนผิดใช่มั้ย ที่ถูกเธอนอกใจ เป็นคนผิดเองใช่มั้ยที่เห็นเธอไปเดินกับคนอื่น
คนมันไม่ใช่...ทำอะไรก็ผิดไปหมดแหละในสายตาเธอ
‘อยู่กับคำว่าเหงา ฉันกลัวเงาแห่งความหวั่นไหว
ได้ยินแต่เสียงหัวใจ มันตะโกนใส่ร้ายว่าเธอ... ไม่รักกัน’
“งาน...เดทกับซอนมีนี่ก็หนึ่งในงานของเธอใช่มั้ย” ฉันถามเสียงเรียบ ทำให้เธอถึงกับแน่นิ่งไปทันที มือที่เคยโอบกอดฉันอยู่แนบลงข้างลำตัว ขณะที่ฉันหันหลังให้เธอ
“มันไม่ใช่อย่างที่เธอคิดนะฟานี่”
“แล้วฉันควรคิดแบบไหนหรอ...” คำถามตอกกลับ ทั้งห้องนี้จึงมีเพียงแค่ความเงียบ เงียบ เงียบ... ทั้งที่ฉันรอคอยการกลับมาของเธอตั้งนาน แต่ทำไมกลับรู้สึกว่าถึงเธอมาแล้ว มันก็ไม่ได้ทำให้ความเหว่ว้าในหัวใจลดหายลงไปได้เลย เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกนั้นซ้ำๆ ทุกที
เสียงถอนหายใจของเธอดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ รับรู้ได้ถึงมือนุ่มๆ ที่วางลงบนไหล่ อยากรู้สึกดีหรอกนะ เพราะมันเป็นสัมผัสที่ไม่ได้รับจากเธอมานาน ทว่า... มือนี้ไปจับมือของคนอื่นมาแล้ว!
“ฟังฉันนะ...” เธอพูดเสียงอ่อนลงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน อ้อมกอดอุ่นๆ จากทางเบื้องหลัง มันทำให้หัวใจที่เคยนิ่งสนิทเริ่มเต้นไหวได้อีกครั้ง แต่แล้วฉันต้องแปลกใจ เมื่อสัมผัสถึงหยาดน้ำอุ่นๆ ยังแผ่นหลัง... แขนที่รัดแน่นเริ่มสั่นสะท้าน หมายความว่าเธอกำลังร้องไห้!!
ทำไมกัน...คนเจ็บมันควรเป็นฉันไม่ใช่หรอที่โดนเธอนอกใจ แล้วเธอจะมาร้องไห้ทำไม!? ถ้าไม่เจ็บจริงก็อย่าร้องเลยดีกว่า มันไม่ได้ช่วยให้เรื่องราวระหว่างเราในตอนนี้ดีขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว
“ฉันขอโทษ ที่ฉันกลับดึก ไม่ได้ดูแลเธอเหมือนเมื่อก่อน ขอโทษที่ทำตัวห่างเหิน ขอโทษที่ทำให้เธอเสียน้ำตา แต่รู้มั้ย...ทุกครั้งที่ฉันเห็นเธอร้องไห้ ฉันเองก็เจ็บไม่ต่างกันเลย เจ็บที่ว่าทำไมฉันต้องทำให้คนที่ฉันรัก ทรมานเพราะฉันอีกแล้ว ฉันไม่กล้าแม้แต่จะถามว่าทำไมเธอถึงตาช้ำ เพราะฉันกลัวคำตอบ ฉันไม่กล้าแม้จะถามว่าเธอนอนไม่หลับใช่มั้ย เพราะรู้ดีว่าต้นเหตุมันเป็นเพราะฉันคนนี้” แทยอนพูดพลางสะอื้น ภายในห้องของเราเหมือนเต็มไปด้วยความเศร้า ทั้งที่มันเป็นประโยคที่ยาวที่สุดในวันนี้ของเธอ หากฉันกลับไม่เข้าใจเลยว่าเธอพยายามจะสื่อสารอะไรกันแน่
“ฉันนอนไม่หลับ...เพราะใจมันคิดเป็นห่วงเธอว่าป่านนี้จะเสร็จงานรึยัง เธอเหนื่อยมากมั้ย เธอต้องการอ้อมกอดจากใครซักคนรึเปล่า และเฝ้าถามว่าเมื่อไหร่เธอจะกลับ...”
‘ได้ยินแต่เสียงหัวใจ
ถามว่าเธออยู่ไหน ทำไม...ถึงไม่มา’
“ฉันรู้...ฉันเข้าใจ แต่ฉันจำเป็น”
“เธอเอาแต่อ้างความจำเป็นบ้าบออะไรนั่น มันมีเหตุผลอะไรมากมายกับการที่เธอทิ้งฉันเหงาแล้วไปกับคนอื่น ก็เพราะแค่...เธอไม่รักฉันแล้วน่ะสิ”
“ไม่ใช่! ที่ฉันทำอย่างนี้ก็เพราะฉันรักเธอมากต่างหากฮวังมิยอง” น้ำเสียงที่หนักแน่นแม้จะเต็มไปด้วยแรงสะอื้นแค่ไหนก็ตามทำให้หัวใจฉันเริ่มอ่อนไหว เธอจะโกหกอะไรฉันอีก...ตอนนี้มันคงยินยอมรับฟังแต่โดยดีแล้วล่ะ ระหว่างเป็นคนที่ต้องทรมานกับความเจ็บปวด และคนโง่ที่ยินดีให้เธอหลอก มีไม่น้อยหรอก ที่เลือกจะเป็นอย่างหลังเหมือนฉัน
“...” นั่งฟังเงียบด้วยความจำนน ก็เพราะคำว่า ‘รัก’ เพียงแค่คำเดียว
“ร้านที่เธอเห็น เป็นร้านญาติของซอนมี” เธออธิบายขณะคลายอ้อมกอดออก เพียงครู่เดียวฉันก็รู้สึกถึงความเย็นของโลหะทาบทับบนลำคอ และเสียงกดล็อคเบาๆ จากทางด้านหลัง มือยกขึ้นไปจับมันเชื่องช้า ลักษณะเป็นรูปหัวใจประดับสวยงาม แม้ยังไม่ทันได้เห็น หากเพียงสัมผัสฉันก็รู้ได้ว่ามันถูกออกแบบมาพิเศษ
“ที่ฉันต้องทำงานหนักมาตลอดสองเดือนก็เพราะสร้อยเส้นนี้... ตอนแรกฉันกะว่าจะให้มันเป็นของขวัญของเธออีกหนึ่งอาทิตย์ข้างหน้า เนื่องในโอกาสครบรอบหนึ่งปีที่เราเป็นแฟนกัน” แทยอนกล่าวสั่นเครือ ขณะร่างบางของฉันกลับสะอื้นอย่างหยุดไม่ได้ หยาดน้ำตาทั้งหลายพากันพลั่งรินตกกระทบลงบนสร้อยงามเส้นนั้น
“ขอโทษนะ...ถ้าฉันไม่ถือทิฐิว่าอยากได้สร้อยเส้นนี้มาจากความพยายามของฉันเอง แทนที่จะซื้อด้วยเงินเก็บซึ่งมีอยู่ก่อนแล้ว ฉันคงไม่ต้องทำให้เธอร้องไห้เพราะฉันทุกคืน ไม่ทำให้เธอต้องทนเหงายามไม่มีอ้อมกอดของฉัน ไม่ต้องทำให้เธอเสียใจเวลาฉันอารมณ์เสียใส่เพราะความเหนื่อย”
“ฉันกับซอนมีเราไม่ได้เป็นอะไรกันจริงๆ ถึงซอนมีจะปลื้มฉัน แต่ซอนมีเองก็มีแฟนอยู่แล้ว...เชื่อใจฉันนะ ฉันขอโทษจริงๆ สำหรับทุกๆ เรื่อง” สิ้นคำฉันก็หันหน้ากลับมาหาเธอ ดวงตาคู่มุ่งมั่นเต็มไปด้วยความจริงใจ อย่างไม่มีอะไรแอบแฝง ขณะหยาดน้ำตาที่อาบแก้มใสของเธอ อย่างเจ้าตัวไม่คิดปาดมันออก
...แทยอนเป็นคนเข้มแข็ง ไม่เสียน้ำตาง่ายๆ ฉันเคยเห็นเธอร้องไห้แบบหนักมากๆ ไม่กี่ครั้ง ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ ‘ครั้งนี้’
“ไม่ต้องพูดแล้วแท...ไม่ต้องพูดแล้ว” ฉันทาบปลายนิ้วลงบนเรียวปาดของเธอ ก่อนจะแทนที่ตำแหน่งนั้นด้วยริมฝีปากอุ่นๆ ของฉันเอง แม้สัมผัสจะแผ่วเบา นุ่มนวล และเพียงเวลาครู่เดียว หากมันกลับตราตรึงในความรู้สึกของพวกเราเหลือเกิน นิ้วของเธอบรรจงเกลี่ยหยาดน้ำตาที่ทำให้ดวงตาฉันพร่ามัวอยู่ออกด้วยความอ่อนโยนในแบบของเธอ
นั่นทำให้ฉันเห็นสร้อยเจ้าปัญหาได้ชัดเจน ตัวจี้เป็นรูปหัวใจ มีเพชรขาวสะอาดหลายล้อมรอบ มันเป็นล็อกเก็ตซึ่งเมื่อฉันเปิดล็อคออกก็ทำเอาน้ำตาคลออย่างกลั้นไม่อยู่ รูปทางด้านขวาเป็นรูปของฉันส่วนทางซ้ายมือเป็นรูปของเธอ กระดาษแผ่นเล็กๆ ที่ถูกพับไว้ในนั้นตกลงมา ให้ฉันหยิบมันขึ้นมาอ่าน ขณะเธอหันหน้าหนีด้วยความเขินอาย แก้มแดงเรื่อตอนนี้คงให้คำตอบได้เป็นอย่างดี
‘ถึงฟานี่ มิยองจอมสกปรก
ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมาในรอบหนึ่งปีนี้ และต่อจากนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น โปรดรู้ไว้นะว่าฉันยังรักเธอเสมอ
แทยอน’
เธอดึงฉันไปกอดทันทีที่ฉันอ่านข้อความนั้นจบ แม้จะสั้นหากก็รู้ว่ามันเต็มไปด้วยความรู้สึกดีๆ ของเธอรวมอยู่ในนั้นจริงๆ แผงอกที่แนบติดกัน เหมือนเป็นการเติมเต็มหัวใจดวงที่สองซึ่งขาดหายมาตลอดชีวิตทางด้านขวา ฉันได้ยินเสียงพวกมันกำลังเต้นไปพร้อมๆ กัน เป็นจังหวะเดียวกัน...
ทำไมจะไม่รู้ความหมายของสร้อยเส้นนั้น การที่เธอใส่รูปของเธอไว้ด้านซ้ายนั่นก็เป็นเพราะว่าตรงนั้นคือตำแหน่งของหัวใจ แทนว่าเธอจะอยู่ในใจฉันตลอดไป ไม่ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม...
เจ็บมั้ยล่ะกับการคิดไปเองฝ่ายเดียว... บอกได้คำเดียวสั้นๆ ว่ามันทรมานมาก
ต่อจากนี้ฉันจะไม่คิดเองเออเองอีกแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างมีที่มาของมันทั้งนั้น อย่ามองอะไรเพียงแค่ผิวเผินหรือภายนอก อย่าตัดสินทุกอย่างจากที่ตามองเห็น ว่าเธอเดินกับคนอื่น เธอเย็นชา เฉยชา หรือห่างเหินกับฉัน ทุกสิ่งที่ทำให้ฉันเจ็บปวดจนต้องนอนจมน้ำตาทุกคืน มันเริ่มต้นจากจุดเล็กๆ ไม่กี่จุด อันเป็นองค์ประกอบสำคัญของความรัก ทั้งความเชื่อใจ และความเข้าใจกัน
...คำว่ารัก ไม่ใช่แค่คำเดียวสั้นๆ แล้วจบ แต่กว่าจะมาเป็นคำนี้ได้ มันประกอบด้วยอารมณ์อีกหลากหลายมากมายรวมกัน ถ้าหากหลงลืมไปแม้เพียงอย่างเดียว ก็อาจจะทำให้คำว่ารัก เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมก็เป็นได้...
The end
ฮู้ว... และแล้วก็ปิดฉากลงอย่างงดงามค่ะ ไม่ค้างเหมือนเรื่องแรกแล้วใช่มั้ย ><
ตอนแรกเปิดมาซะปวดตับเลย บุงแต่งไปยังเครียดเองเลยค่ะ
เครียดเพราะพี่ชิค พี่สาวร่วมตระกูลขู่อยู่ทุกระยะว่าถ้าทำอะไรฟานี่เค้ามาก แทแทในฟิคเค้าก็ไม่รอดแน่ (ใจร้าย TT)
แต่อย่างน้อยมันก็จบดีนี่คะ เพราะว่าในเอ็มวีตอนจบก็จบแฮป บุงเลยไม่อยากไปแหวกเพลงเค้ามาก
แค่นี้ก็สงสารฟานี่จะแย่อยู่แล้ว (เห็นมั้ย บุงไม่เคยลำเอียง ไม่มี๊ไม่มี)
ทว่าถ้าใครยังปวดตับกับช่วงแรก และแค้นเคืองไม่หาย ที่ทำฟานี่เจ็บ
โปรดโทษเนื้อหาของเพลง รวมถึงคนรีเควสฟิคเรื่องนี้ด้วยนะคะ
ตอนนี้เพื่อนบุงรู้ตัวแล้วล่ะ ว่ามันคงโจทก์เยอะมาก ฮ่าๆ
ยังไงไปเคลียร์กันเองนะคะ บุงไม่เกี่ยวแล้วล่ะ บาย ><// (ชิ่ง)
ปล. คอมเมนต์คนละนิด ต่อชีวิตไรท์เตอร์
ผลงานอื่นๆ ของ Ma-Bung (มะบุง) ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Ma-Bung (มะบุง)
ความคิดเห็น