[[SF-SNSD]] จากคนหนึ่ง...ถึงอีกคน (Yuri)
คนหนึ่งคิดถึงกัน อีกคนหนึ่งคิดถึงใคร ขณะคนหนึ่งรักมากมาย แต่อีกคนทำไมน้อยลง... (TaeNy) [ลงจริงค่ะ ไม่ได้อ่อย!!]
ผู้เข้าชมรวม
5,073
ผู้เข้าชมเดือนนี้
11
ผู้เข้าชมรวม
กลับมาอีกครั้งนะคะสำหรับ SF คู่แทนี่
เรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจจากเพลง
"จากคนหนึ่ง...ถึงอีกคน" ของ ปาน ธนพร
และแรงยุยงจากเพื่อนสนิทคนหนึ่ง
ที่บอกว่า อยากอ่านฟิคจากเพลงนี้มาก
จะคู่ไหนก็ตาม ไม่แคร์ แค่ได้อ่านก็พอ
บุงเลยจัดเป็นแทนี่ให้สมใจ (ตัวเอง) ซ้า ฮ่าๆ
พร้อมแล้วก็ไปสนุกกับ SF เรื่องนี้กันเลยค่ะ ^^//
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
[[SF-SNSD]] จากคนหนึ่ง...ถึงอีกคน (Yuri)
ใครบางคนต้องทนคิดถึงใครคนหนึ่ง
โดยที่ใครคนนั้น
อาจไม่เคยรู้เลย...
*************************************************
“แป๊บนะ...ฟานี่ ฉันกำลังยุ่ง” เสียงแทยอนลอดมาจากโทรศัพท์ ให้ฉันทำอะไรไม่ได้ นอกจากจะกำมันไว้แน่น และทนฟังเสียงสัญญาณที่ถูกตัดขาดหายไป เหมือนหัวใจจะถูกตัดขาดตามไปด้วย หยาดน้ำตาที่คลอเอ่ออยู่ ฉันต้องพยายามกลั้นมันแค่ไหน เพื่อไม่ให้มันไหลรินมาประจานความอ่อนแอของตัวเอง
“มันเกิดอะไรขึ้นระหว่างเรากันแน่แท...” ฉันพึมพำเบาๆ ขณะปล่อยให้โทรศัพท์เครื่องแพงแนบข้างลำตัว ...เครื่องที่เธอเป็นคนซื้อมันให้ฉัน
เครื่องที่เธอเคยบอกว่าเอาไว้ให้เราติดต่อกันเวลาคิดถึง
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอเป็นอย่างนี้ ฉันพยายามไม่คิดมาก ไม่เซ้าซี้ ไม่วุ่นวาย ฉันพยายามทำทุกอย่างที่เธอต้องการ แต่เธอล่ะ... ทุกการกระทำของฉันมันเป็นเรื่องผิดไปเสียหมด
ผิดที่ฉันอยากรู้ใช่มั้ย ว่าวันนี้เธอกินข้าวหรือยัง...
ผิดที่ฉันนั่งคอยเธออยู่ในหอของเรา ขณะที่เธอคงกำลังออกไปกับใครโดยที่ฉันไม่เคยรู้...
ผิดที่ฉันบอกว่าเหงา ทั้งที่เธอคอยย้ำว่าอย่าทำตัวน่ารำคาญ...
ฉันมองไปรอบๆ ห้องของเราอย่างอ้างว้าง ไม่สิ...ห้องของฉันคนเดียว ที่เธอมักมานอนกอดฉันทุกครั้งยามต้องการกำลังใจ ยามเหนื่อยล้า และทุกเวลาที่ฉันต้องการเธอ...
อาจดูเป็นคนเห็นแก่ตัวใช่มั้ย ที่ฉันปล่อยให้ซันนี่รูมเมทของแทยอนต้องทนนอนเหงาคนเดียว ขณะฉันได้อยู่กับเจ้าของหัวใจ หรือบางทีอาจเป็นแค่การคิดไปเองของฉันกันแน่
เมื่ออารมณ์วุ่นวายก่อกวนหัวใจ ทำให้ฉันพาร่างบางของตัวเองออกมานั่งบนโซฟาใหญ่กลางหอแทน เพราะรู้ดีว่าถึงนอนรอให้ห้องให้ตาย เธอคงไม่เข้ามากอดฉัน เอาอกเอาใจฉัน หรือหอมแก้มฉันเหมือนเดิมอีกแล้ว ยิ่งคิดน้ำตาที่เคยคลอเอ่ออยู่ก็ค่อยๆ ไหลผ่านแก้มใสลงมาช้าๆ ท่ามกลางความเงียบทำให้เสียงสะอื้นของฉันดังไปทั้งห้อง มือยกขึ้นปิดปากเพื่อไม่อยากให้เพื่อนๆ คนอื่นที่เหนื่อยจากการทำงานในวันนี้ต้องตื่นขึ้นมาเพราะเรื่องไร้สาระ รู้อะไรมั้ย...บางทีฉันอยากให้เธอออกจากการเป็นหัวหน้าด้วยซ้ำ!
ไม่ใช่เพราะเธอทำมันได้ไม่ดี เพียงแต่เธอทำมันดีเกินไปต่างหาก... ดีเกินจนไม่เหลือเผื่อแผ่มาถึงคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคนรักของเธอเลย...
เสียงเปิดประตูห้องดังขึ้นเบาๆ ตามมาด้วยร่างเล็กของเธอที่เดินก้าวเข้ามาในห้องอย่างเงียบๆ แทยอนไม่แม้แต่จะสนใจใครที่นอนอยู่บนโซฟาอย่างฉัน กำลังจะเปิดประตูห้องนอนออกอยู่แล้วล่ะ ถ้าเพียงแต่ฉันไม่เรียก รั้งเธอเอาไว้เสียก่อน
“จะไม่ทักกันหน่อยหรอแท” ถามเสียงสั่น ทั้งที่ไม่อยากให้เธอรู้ว่าฉันร้องไห้ หากมันกลั้นไม่อยู่จริงๆ
“ทักอะไรอีกล่ะฟานี่ เมื่อกี้ก็เพิ่งคุยกันอยู่ไม่ใช่หรอ” เธอตอบกลับแทบตวาดให้ฉันใจสั่น อยากถามกลับไปเหลือเกินว่า คำว่าเมื่อกี้ของเธอ มันหมายถึงเมื่อสี่ชั่วโมงที่แล้วรึเปล่า
“เธอไปไหนมาน่ะแท กลับซะดึกเชียว เลิกซ้อมเสร็จก็หายไปเลย ทุกคนเค้าเป็นห่วงมากนะ” อยากจะบอกแทบตายว่าแท้จริงแล้วก็คนบ้าบอคนนี้แหละที่เป็นห่วง แต่กลัวเธอจะรำคาญฉันไปมากกว่านี้
“ทำไมต้องถามเซ้าซี้ด้วย ฉันบอกเธอกี่รอบแล้วห๊ะฟานี่ ว่าฉันต้องไปธุระกับญาติ กลับมาเหนื่อยๆ ยังต้องมาโดนเธอถามคำถามไร้สาระอย่างนี้อีกหรอ!” เธอขึ้นเสียงอย่างไม่เกรงใจว่าคนอื่นจะได้ยินหรือไม่ ฉันจึงได้แต่มองหน้าเธออย่างตัดพ้อ เพราะอะไรกันที่ฉันต้องถามเธอ...เพราะว่าฉันห่วงเธอมากไงแทยอน
‘คนหนึ่งอยากจะรู้ อีกคนไม่อยากให้ถาม
คนหนึ่งคอยวิ่งไล่ตาม อีกคนก็เดินหนีไป’
“ฉ...ฉันขอโทษ” คำสั้นๆ นับพันรอบที่ฉันเคยพูด หลุดออกมาจากปากอีกจนได้
“คราวหลังอย่าพูดมันเลยนะ ถ้าเธอทำไม่เคยแก้ไขมันเลย” ว่าเสร็จก็ไม่สนใจฉันอีก เดินเข้าห้องของเธอกับซันนี่ไปทันที ให้ฉันได้แต่ทรุดลงกับพื้นด้วยความเจ็บปวด มือกุมแน่นจนเล็บแทบจิกเข้าเนื้อ ทว่าฉันกลับไม่รู้สึกอะไรแล้ว ในเมื่อหัวใจมันคงเจ็บยิ่งกว่าเป็นพันเท่า
ดวงตาที่พร่าเลือน กลับยังอุตส่าห์มองเห็นแผ่นหลังของเธอ ที่ลับสายตาไปช้าๆ ราวกับช่องว่างระหว่างเราที่เพิ่มมากขึ้นทุกที
“ฉันก็แค่เหงา...ฉันอยากมีเธออยู่ข้างๆ เหมือนเดิม แค่นั้นไม่ได้หรอแท” คำพูดเบาๆ เลือนหายไปกับสายลมอย่างที่เธอคงไม่อาจได้ยิน ใบหน้าซบลงกับโซฟาใช้แทนเป็นที่ซับน้ำตา นาทีนี้ฉันคงอ่อนแอเกินกว่าจะรับความจริงที่เธอเปลี่ยนไปได้แล้ว...
‘คนหนึ่งคอยตรงนี้ อีกคนไปอยู่ที่ไหน
คนหนึ่งบอกว่าเหงาใจ อีกคนว่าน่าระอา’
“ฮึก...ฉันรักเธอนะ” นั่นคงเป็นประโยคที่ฉันคงไม่อาจพูดต่อหน้าเธอได้อีก แม้เรายังเป็น ‘คนรัก’ กันอยู่ก็ตามที
เช้าวันรุ่งขึ้น
“วันนี้วันหยุด ใครจะไปไหนกันมั่งอ่ะ” ยูริถามขึ้นในตอนเช้า วันนี้เป็นวันหยุดของพวกเรา ซึ่งหาได้น้อยเหลือเกิน ถ้าเป็นเมื่อก่อน ฉันคงตอบได้เต็มปากเต็มคำแล้วล่ะว่าอยากไปเที่ยวกับแทยอน อยากอยู่ด้วยกันสองต่อสอง ที่ไหนก็ได้ที่มีแค่เรา หากมาวันนี้ ฉันจึงได้แต่ก้มหน้านิ่งเงียบ ให้คนอื่นแสดงความคิดเห็นกันไป
“ฉันไม่ไปนะ อยู่หอ...จะนอน” เจสสิก้าพูดพลางหาว ใครก็รู้ว่าเธอต้องการนอนและปลุกยากมากแค่ไหน ฉันเห็นสีหน้าผิดหวังเล็กน้อยจากยูริแต่เธอก็ไม่ได้ว่าอะไร หึ...อย่างน้อยๆ เธอก็ยังได้อยู่ใกล้กัน ได้บอกรักกันไม่ใช่หรอ ต่างจากฉันสิ้นดี
“ยุนจะไปเที่ยวกับน้องซอนะคะ” ยุนอาพูดเขินๆ ขณะน้องเล็กยังคงทำหน้านิ่งตามฟอร์มเดิม
“อื้อ เดินทางกันดีๆ นะ” แทยอนกล่าวพลางยิ้มให้ ทำไมฉันไม่เคยได้รับสีหน้าอย่างนั้นจากเธอบ้าง...
ทุกคนแยกย้ายกันไป ในขณะที่ฉันและเธอยังคงนั่งอยู่ด้วยกันท่ามกลางความเงียบ ฉันมองหน้าเธอเป็นระยะ หากเธอกลับไม่เคยสบตาฉันเลยแม้แต่ครั้งเดียว เลื่อนกายเพื่อไปนั่งใกล้ๆ เธอ ทว่าสิ่งที่ได้รับตอบกลับมานั้นเป็นการที่เธอย้ายไปนั่งเก้าอี้ตัวอื่นที่ไกลกว่านั้นแทน... หยาดน้ำตาที่เคยคิดว่าหมดไปแล้วเมื่อคืน บัดนี้มันคลอเอ่อเต็มสองหน่วย
‘คนหนึ่งอยากไปหา อีกคนก็กลับห่างเหิน
คนหนึ่งอยากนั่งใกล้ๆ อีกคนไม่ยอมสบตา’
“แท...ทำไมเธอต้องห่างเหินกับฉันด้วย” ถามเสียงเบา ขณะเธอกลับถอนหายใจเฮือกใหญ่ ราวกับหนักใจเสียเต็มประดา เธอคงเบื่อที่ต้องตอบคำถามซ้ำๆ ซากๆ อย่างนี้ ซึ่งคำตอบที่ได้รับมันก็ยังคงเหมือนเดิม
“เธอก็รู้ว่าตอนนี้ทางบริษัทไม่อยากให้รูปลักษณ์ของเราออกมาในแบบคู่รัก แล้วจะให้ฉันทำไง” ประโยคเดิมๆ ที่ฉันได้ยินจนเบื่อ หากมันก็ไม่เคยเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นเสียที
“แล้วยูลกับเจสล่ะ? ทำไมเค้ารักกันได้ เค้ากอดกันได้”
“ก็นั่นยูลสิก ไม่ใช่คู่เรานี่ เธออย่าถามเซ้าซี้มากได้มั้ย น่ารำคาญ” แทยอนเริ่มขึ้นเสียงอย่างโมโห กี่ครั้งแล้วที่เธอทำแบบนี้กับฉัน ประโยคที่เคยอ่อนโยนจากเธอ...ฉันคงไม่มีวันสัมผัสมันได้แล้วใช่มั้ย
“เธอรำคาญ...หรือเธอคิดคำตอบใหม่ไม่ออกกันแน่คิม แทยอน ใครก็รู้ว่าเธอเปลี่ยนไปแค่ไหน...”
“นี่จะหาเรื่องกันให้ได้เลยใช่ปะ? น่าเบื่อชะมัด” เธอเดินออกจากห้องไป โดยที่ไม่ปรายตามามองฉันเลยแม้แต่นิดเดียว นี่คือคำตอบของเธอแล้วใช่มั้ยแทยอน
เธอเบื่อฉัน เธอไม่อยากมีฉันคนนี้อยู่ข้างๆ อีกต่อไปแล้ว...
มือสั่นเทาด้วยแรงสะอื้นหยิบกระดาษเล็กๆ แผ่นหนึ่งขึ้นมา มันเป็นกระดาษความทรงจำระหว่างเรา ที่ฉันไม่อาจลืมมันได้เลยแม้เพียงเสี้ยวเวลาเดียว
‘ฉันกับเธอรู้จักกันมา 2 ปีกว่าๆแล้วนะ วันแรกที่เราได้พบกัน รอยยิ้มของเธอสดใสที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมา... เธอคอยปรึกษาฉันเสมอๆเลย ฉันไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับเธอนะ แต่ฉันอยากบอกกับเธอว่า ที่ฉันชอบดุเธอ ก็เพราะว่าฉันเป็นห่วงเธอ’
น่าแปลกนะ... คนที่เคยพูดกับฉันไว้ด้วยถ้อยคำห่วงใย เอาใจใส่คนนั้น กลับแปรเปลี่ยนเป็นคนละคนอย่างที่ฉันไม่เคยตั้งตัว เธอเบื่อฉัน มีคนใหม่ ไม่อยากคบกันแล้ว กี่เหตุผลก็ช่วยบอกฉันมาซักคำเถอะที่เธอห่างเหินกับฉัน... ไม่ใช่ยื้อความรักพังๆ ที่มันสวนทางกันสิ้นเชิงระหว่างเราอยู่อย่างนี้
อยากจบมันเหมือนกัน เพราะฉันเองก็เจ็บจนแทบทนไม่ไหว...หากฉันไม่กล้าพอ
‘ไม่กล้าที่จะบอกเลิกกับเธอ...’
เมื่อเบื่อบรรยากาศเก่าๆ ในหอพัก แทยอนจึงพาร่างเล็กของตัวเองออกมาเดินเล่นข้างนอกแทน มือซุกลงในเสื้อโค้ทอย่างต้องการความอบอุ่น ไม่เข้าใจเลยว่าทิฟฟานี่เป็นอะไรไป ถึงได้เอาแต่ใจ คิดมาก และยุ่งวุ่นวายขึ้นทุกวัน
บริษัทบอกให้ห่างกันบ้าง เพราะมันไม่ดีต่อภาพลักษณ์ ด้วยความที่เธอเป็นถึงหัวหน้าวง มันก็หลีกเลี่ยงคำสั่งนั้นไม่ได้จริงๆ
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น แทยอนจึงรีบหยิบมันออกมาดู ทว่าก็ต้องอารมณ์เสีย เมื่อคนที่โทรเข้ามา คือคนที่เพิ่งห่างจากเธอไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงดี
‘คนหนึ่งโทรทุกครั้ง อีกคนไม่เคยโทรหา
คนหนึ่งแบกรักเต็มบ่า อีกคนไม่แคร์อะไร’
“มีอะไรหรอฟานี่” เธอกรอกเสียงลงไปอย่างเหนื่อยอ่อน พลางทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ยาวในสวนสาธารณะใกล้กับหอพัก อากาศที่หนาวเย็นทำให้แทยอนต้องกระชับผ้าพันคอไหมพรมแน่นขึ้น
(“ฉันแค่จะบอกว่าข้างนอกอากาศหนาว ใส่ผ้าพันคอรึเปล่า เดี๋ยวจะเจ็บคอนะ”) รู้ว่าเป็นห่วง แทยอนก็พยายามเข้าใจ แต่การเป็นห่วงของทิฟฟานี่มันมากมายจนเกินไป บางทีก็ทำให้เริ่มรู้สึกอึดอัด คนเป็นแฟนกัน ไม่ได้เป็นเจ้าของชีวิต จำเป็นด้วยหรือที่ต้องรับรู้ทุกความเคลื่อนไหว ราวกับนักโทษที่ถูกสะกดรอยตาม...
“ก็ใส่สิ... ถามอะไรของเธอ” หนาวใกล้ติดลบ ไม่ใส่ก็บ้าแล้ว... เธอเป็นนักร้อง แทยอนรู้ดีว่าเส้นเสียงสำคัญและต้องดูแลดีขนาดไหน ใครจะปล่อยให้ตัวเองป่วยง่ายๆ
(“ขอโทษที่ถามวุ่นวาย แต่ฉันเป็นห่วงเธอ”)
“มันมากเกินไปนะฟานี่ ฉันรู้ว่าเธอเป็นห่วงฉัน แต่ที่เธอทำทุกวันมันมากเกินไป ฉันไม่ใช่เด็กสามขวบนะฮวัง มิยอง!” เริ่มแหวใส่เพราะความอึดอัดผลักดันให้เธอแทบทนไม่ไหว แต่แทยอนก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงร้องไห้มาจากปลายสาย
...ไม่ใช่เธอไม่รู้...ว่าหลายครั้งหลายคราทิฟฟานี่ต้องร้องไห้เพราะเธอ...
(“ฉันขอโทษ...”)
“...”
ความเงียบเข้าปกคลุมทั้งสอง จนแทยอนได้ยินเสียงสะอื้นหนักยิ่งขึ้น มันทำให้เธอค่อนข้างรำคาญไม่น้อยกับอารมณ์อ่อนไหวง่ายของอีกฝ่าย ทว่าสิ่งที่มากไปกว่านั้นคือเธอกำลังเจ็บ... ที่เธอเย็นชา ที่เธอห่างเหิน ไม่ได้หมายความว่าเธอไร้หัวใจ หรือหมดรักใครคนนั้นแล้ว
เพียงแต่ก็แค่อยากถอยห่างออกมา เพื่อให้ระยะห่างมันลงตัว...
...บางทีการใกล้ชิดเกินไประหว่างความรักก็ทำให้เกิดปัญหาได้ ขณะที่ถ้าห่างเหินจนเกินไปก็ทำให้ความรักพังไม่เป็นท่าเช่นกัน เพราะฉะนั้นความรักก็เหมือนกับหนังสือ ต้องเว้นระยะห่างตัวอักษรให้พอดี...
(“เธออยู่ไหนหรอแทยอน แล้วจะกลับหอเมื่อไหร่ ให้ฉันทำอาหารไว้รอมั้ย”) คำถามเดิมๆ ซ้ำๆ ที่ถามย้ำไปย้ำมาทุกวัน บางทีแทยอนเองก็เริ่มเบื่อหน่ายที่จะตอบมันเหมือนกัน
ทำอะไร? อยู่ที่ไหน? ไปทำไม? กลับเมื่อไหร่? ยังไง? กับใคร? ประโยคพวกนี้ เป็นใครก็คงไม่อยากได้ยินมันซ้ำซากอย่างนี้หรอก มันเหมือนกับว่าเป็นนักโทษ เป็นอะไรซักอย่างที่ถูกควบคุมตลอดเวลา คนรักกันก็ไม่ได้จำเป็นต้องติดกันเป็นเงาตามตัวไม่ใช่หรอ... ต่างคนก็ต่างมีอิสระได้ในขอบเขตของตนเองที่ควรจะเป็น ไม่ใช่เหมือนถูกมัดไว้ด้วยกันอย่างนี้
“ไม่จำเป็นต้องรู้หรอกฟานี่ เอาเป็นว่าหมดคำถามแล้วใช่มั้ย? งั้นแค่นี้นะ” แทยอนวางสายลงทันที โดยไม่ฟังเสียงเรียกร้องจากใครอีกคนเลย
‘คนหนึ่งหาเรื่องคุย อีกคนหนึ่งหาเรื่องวาง
คนหนึ่งทำแทบทุกอย่าง อีกคนไม่เคยสนใจ’
ร่างเล็กมองผ้าพันคอไหมพรมสีฟ้าที่ตนเองใช้อยู่ด้วยความรู้สึกหลากหลาย ห่วงที่ถักใหญ่บ้างเล็กบ้าง บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่ามาจากฝีมือจริงๆ ไม่ใช่ซื้อมา
ซึ่งคนที่ทักให้เธอก็ไม่ใช่ใครหรอก แต่เป็นคนที่เพิ่งวางสายไปเมื่อกี้นี่เอง...
แทยอนรู้ว่าทิฟฟานี่รัก เป็นห่วง และหวังดีต่อเธอ หากการเติมน้ำในแก้วที่มีน้ำเต็มอยู่แล้ว ย่อมไม่มีประโยชน์อะไร นอกจากจะทำให้มันล้นออกก็เท่านั้น
เมื่อไหร่อีกคนจะเข้าใจในจุดนี้บ้างเสียที ว่าเธอไม่ได้เปลี่ยนไป แค่อยากเป็นตัวของตัวเอง มีชีวิตเป็นของตัวเองบ้าง
...ไม่ได้หมดรัก...ทว่าความรักที่มีมากไปจนล้นออกนอกใจ ทำให้เธอเริ่มแบกรับมันไม่ไหว...
นาฬิกาเดินไปเรื่อยๆ ตามหน้าที่ของมัน แต่ฉันก็ยังคงทำหน้าที่เหมือนเดิมทุกวันนั่นคือรอคอยการกลับมาของเธอ... มันเป็นวันหยุดที่ฉันไม่อยากจะมีเลย รู้อะไรมั้ย ฉันแทบอยากจะทำงานทุกวัน ต่อให้เหนื่อยจากการซ้อมเต้นซ้อมร้องมากแค่ไหน ทว่าฉันก็ยังได้อยู่ใกล้กับเธอ ไม่ใช่ห่างกันไปจนแทบสัมผัสถึงกันไม่ได้อย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้
ผิดมั้ยถ้าฉันคิดถึงเธอ... แม้เราจะเพิ่งห่างกันไม่ถึงสามชั่วโมงก็ตามที ในเมื่อฉันไม่ได้อ้อมกอดจากเธอมาหลายอาทิตย์ ฉันไม่ได้พูดดีๆ กับเธอหลายวัน ฉันไม่ได้สบตา ไม่ได้กุมมือเธอ ไม่ได้ทำอย่างที่คนรักเค้าทำกันมานานเท่าไหร่แล้วนะ
หัวใจเหงาๆ เรียกร้องหาใครอีกคนที่อยู่ในห้วงความคิดเสมอ มันคิดถึง...คิดถึงจนใจแทบขาด
‘คนหนึ่งคิดถึงกัน อีกคนหนึ่งคิดถึงใคร
ขณะคนหนึ่งรักมากมาย อีกคนทำไมน้อยลง’
ความรักของเธอเริ่มจากร้อย แล้วนับถอยหลังไปจนถึงศูนย์ ส่วนฉันนับจากศูนย์ มาจนถึงร้อย มันค่อยๆ มากขึ้นตามวันเวลาที่เราผูกพันกัน หากทำไมความรักของพวกเราช่างสวนทางกันเช่นนี้ ฉันต้องทนแบกรับเรื่องระหว่างเราไปถึงเมื่อไหร่
เหนื่อยมั้ยกับการวิ่งตามใครอีกคนที่ไม่เห็นค่า ถ้าถามใจมันคงตอบว่าล้าและอยากพักเต็มทีแล้ว ทว่าความรักที่มีมันกลับเป็นตัวเหนี่ยวรั้งทุกอย่างเอาไว้ ยอมเหนื่อยแม้จะล้า ยอมเจ็บแม้ทรมาน ขอเพียงแค่ยังมีคำว่า ‘เรา’ ในความสัมพันธ์ครั้งนี้ก็พอ
“ฟานี่... เล่นเกมกันมั้ย” ซูยองที่นั่งเล่นเกมอยู่กับซันนี่เอ่ยชวนฉันให้ตื่นจากภวังค์ เกือบลืมไปเลยว่าฉันยังมีเพื่อน มีพี่น้องอีกทั้ง 7 คนที่ยังคอยเป็นห่วงอยู่ ถึงแม้อีกคนหนึ่งจะเป็นคนที่สำคัญต่อหัวใจที่สุดก็ตามที
“ไม่เป็นไร ซูเล่นไปเถอะ” ฉันปฏิเสธ แต่ก็เลือกที่จะมานั่งมองพวกเธอเล่นเกมไป ทะเลาะกันไป ตามประสาคู่รักคู่กัด มากกว่าจะไปนั่งคิดมากอยู่เพียงคนเดียว
“คิดถึงแทหรอ” คนมาใหม่อย่างเจสสิก้าเปรยเบาๆ ดูท่าทางเธอเพิ่งได้นอนเต็มอิ่มล่ะมั้ง
“อื้อ”
“จะไปคิดถึงยัยรั่วนั่นทำไม เดี๋ยวมันก็กลับมาเองแหละน่า” ยูริพูดพลางยิ้มๆ แล้วดึงร่างเจสสิก้ามาซบไหล่ ขณะที่เจ้าหญิงน้ำแข็งก็เปลี่ยนเป็นแมวน้อยขี้อ้อนได้ไม่ยากเมื่ออยู่กับร่างสูง
“ถ้าเจสออกไปแบบนั้นบ้าง ยูลจะไม่ห่วงหรอ” ฉันถามย้อนกลับ แต่ต้องแปลกใจเมื่อเห็นยูริส่ายหน้า
“ห่วงนะ... แต่ฉันเชื่อใจเจส เชื่อว่าเจสจะไม่มีคนอื่น แม้จะอยู่ลับหลังฉัน เชื่อว่าเจสจะดูแลตัวเองได้ แม้จะไม่มีฉันอยู่ด้วยก็ตาม ถึงห่วง แต่ฉันก็ไม่อยากทำให้เจสลำบากใจด้วยการตามติดทุกวินาทีเป็นเงาหรอก” นิยามความรักของยูริที่ได้ยิน ทำเอาเจสสิก้าหน้าแดงแต่ฉันแทบสะอึก เมื่อมันตรงข้ามกับฉันเหลือเกิน
“ฉันรู้ว่าฟานี่ห่วงแท แต่เว้นระยะห่างบ้างมันก็ทำให้รักมั่นคงขึ้นนะ” เจสสิก้าเปรยขึ้นบ้าง ขณะที่ฉันได้แต่ทำหน้าไม่เข้าใจ เธอจึงอธิบายต่อ “ถ้าตัวติดกันทุกเวลา ความรู้สึกก็คงเหมือนของตาย ไม่มีใครอยากเล่นของเล่นเดิมๆ ทุกวันทุกเวลาหรอก มันต้องมีเวลาพักบ้าง แทเองก็คงคิดอย่างนี้เหมือนกันล่ะ”
ฉันได้แต่ฟังแล้วเก็บมาคิดเงียบๆ ในใจคนเดียว
...ฉันกำลังเข้าใกล้เธอจนอึดอัดมากเกินไปหรือเปล่า...
“แท...กลับมาแล้วหรอ หิวมั้ย” ฉันเดินเข้าไปถามเธอทันทีที่เธอเปิดประตูเข้ามาในห้อง แต่ใบหน้าเหนื่อยๆ ของเธอทำให้ฉันต้องชะงัก ดูเธอจะไม่พอใจกับประโยคทักทายที่เหมือนเดิมทุกวันของฉันล่ะมั้ง
บางทีคำว่า ‘สม่ำเสมอ’ ก็ไม่ได้ดีต่อความรักเสมอไป
“ไม่อ่ะ แล้วดึกป่านนี้ทำไมไม่นอน?” คำถามราบเรียบทำเอาฉันเดาไม่ถูกเลยว่าเธออยู่ในอารมณ์ไหน เธอเป็นห่วงที่ฉันอยู่รอเธอจนดึก หรือคิดว่าฉันนอนแล้วเลยกลับเข้ามา เลยต้องผิดหวังที่เห็นฉันรออยู่... ฉันก็ได้แต่หวังว่ามันจะเป็นอย่างแรกมากกว่า
“รอแทอยู่...”
“อืม ขอบใจที่รอ” แทยอนพยักหน้าเล็กน้อย แล้วเดินเลยฉันไป ให้ต้องรีบคว้าข้อมือของเธอไว้ ก่อนจะดึงร่างเล็กเข้ามากอดไว้แน่น
“แท...ฟานี่รักแทนะ” ฉันแทนตัวอย่างเป็นกันเองที่เธอเคยอยากฟังมาโดยตลอด ซึ่งฉันกลับไม่เคยพูดมันออกมาเลย หากวันนี้...ให้ฉันได้พูดความรู้สึกที่แท้จริงของฉันเถอะนะ
‘คนหนึ่งบอกว่ารัก อีกคนไม่อยากจะรู้
คนหนึ่งยังเหมือนเดิมอยู่ อีกคนทำไมเปลี่ยนไป’
“ฉันรู้แล้ว” เธอพึมพำเบาๆ แม้จะไม่กอดตอบ แต่เธอก็ไม่ได้ผลักไสฉัน... ดีแล้วล่ะ...เธอจะได้ไม่ต้องเห็นน้ำตาของคนอ่อนไหวคนนี้ ที่มันห้ามตัวเองไม่ได้เสียที ทั้งที่อยากเข้มแข็ง อยากบอกว่าไม่ได้เป็นอะไร ไม่อยากให้เธอไม่สบายใจหรือรำคาญ ทว่าน้ำตามันไม่เคยเชื่อฟังกันเลย
“เพราะฉันรักเธอมาก ฉันเลยห่วงเธอมาก...มันทำให้เธอรำคาญรึเปล่า” ฉันถามด้วยเสียงสั่น ดูเหมือนเธอจะรู้ดีว่าฉันร้องไห้ เลยดันร่างบางที่สั่นสะท้านด้วยแรงสะอื้นอยู่ออก ก่อนฉันจะรับรู้ได้ถึงปลายนิ้วเรียวที่ค่อยๆ เกลี่ยหยาดน้ำใสออกจากดวงตา
‘คนหนึ่งห่วงเสมอ อีกคนหนึ่งห่วงอยู่ไหม
คนหนึ่งยังนั่งร้องไห้ อยากรู้หัวใจอีกคน’
“ไม่ได้รำคาญ แต่แค่อึดอัดบางทีน่ะ” คำบอกของเธอ มันทำร้ายความรู้สึกของฉันไม่น้อย แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้รับรู้ความรู้สึกของเธอเลย แล้วนั่งคิดมากไปเองคนเดียวเหมือนทุกทีอีก
คิดมากสิ...ในเมื่อฉันคงไม่อาจรักใครได้ถ้าไม่ใช่เธอ...
คิดมากสิ...ถ้าเห็นเธอเดินจากไป แล้วปล่อยให้ฉันต้องเดียวดาย...
“ฉันไม่รู้จะทำยังไงมากไปกว่าขอโทษ... แต่ฉันก็อยากขอโทษจริงๆ ที่ฉันทำอะไรให้เธออึดอัด”
“ที่ฉันไม่บอกว่าไปไหน เพราะฉันคิดว่าเธอเชื่อใจฉันมากพอที่จะไม่คิดว่าฉันไปหาใคร ที่ฉันไม่บอกว่าอยากกินอะไร เพราะฉันรู้ว่ายังไงเธอก็รู้ใจฉันดีที่สุด ที่ฉันทำตัวห่างเหิน เพราะฉันอยากให้เรามีคำว่าเหงาบ้าง คิดถึงกันบ้าง แล้วที่ฉันไม่บอกรักเธอทุกวันเหมือนเมื่อก่อน เพราะฉันคิดว่าคำพูดมันไม่จำเป็นเท่าความรู้สึกของเราจริงๆ หรอก”
นิยามความรักของเราที่สวนทางกัน ทำให้เกิดความไม่เข้าใจ จนความรักครั้งนี้ทำร้ายกัดกินหัวใจเข้าไปทุกวัน เราจึงต้องปรับมันเข้ามาให้ใกล้เคียงกันมากที่สุด ในตอนนี้ฉันเองก็รู้แล้วว่าควรยืนอยู่จุดใด ที่ไม่ให้เรื่องระหว่างเรามันกลับไปเจ็บปวดซ้ำๆ เหมือนเดิมอีก
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉันเอาแต่คิดว่าเธอเปลี่ยนไป เธอห่างเหิน เธอเย็นชากับฉัน
แต่ฉันลืมย้อนมองตัวเองว่าเธอฉันเข้าใกล้เธอมากไป เธอจึงต้องเดินหนี เพราะฉันยุ่งวุ่นวายกับเธอมากจนเกินไปเธอจึงเบื่อหน่าย และเพราะฉันห่วงเธอมากทั้งที่เธอเองก็ไม่ใช่เด็ก จนทำให้เธอต้องเย็นชาและทำตัวเฉยชากับฉัน
บางทีการมองอะไรมุมเดียวจากด้านเดียว มันก็ทำให้เราตัดสินใจและสรุปอะไรผิดๆ
ถ้าฉันไม่ถามความเห็นคนอื่น ถ้าฉันไม่พยายามเข้าใจเธอ... ไม่แน่ว่าซักวันฉันอาจเป็นคนพังความรักครั้งนี้ลงด้วยตัวฉันเองก็เป็นได้
“ฉันเข้าใจแล้ว ต่อจากนี้ฉันจะพยายามไม่ทำอย่างนั้นอีก”
“ฉันไม่เคยห้ามให้เธอห่วงฉัน หรือห้ามไม่ให้อยู่เคียงข้างฉัน แต่ฉันเองก็ต้องการความเป็นส่วนตัวเหมือนกัน” ยิ่งเธอพูดฉันก็ยิ่งรู้สึกผิด
คิดถึงกันได้ แต่ไม่จำเป็นว่าต้องให้ความรู้สึกนั้นถึงกันทุกครั้ง
โทรหาได้...แต่ไม่ใช่โทรทุกครั้งที่แยกจากกัน
เป็นห่วงได้...แต่ไม่ใช่ถามแบบเดิมซ้ำๆ ทุกวัน
บอกรักได้...แต่ไม่ใช่พูดพร่ำเพรื่อจนมันกลายเป็นคำสั้นๆ ที่ไร้ความหมาย
“ฉันรักเธอนะแท”
“อื้อ...ฉันเองก็รักเธอเหมือนกัน”
ต่อจากนี้ ถ้าให้มันมีช่องว่างเพื่อเว้นที่ให้หายใจ ความรักของเราก็คงมั่นคงขึ้น ได้ใช้เวลาคิดถึงกัน ห่วงหา ได้สัมผัสคำว่าเหงาบ้าง ไม่ใช่มีใครอยู่เคียงข้างจนเป็นความเคยชิน มากกว่าจะเป็นความรัก และถ้าเป็นอย่างนั้น ซักวันหนึ่งเมื่อมีคำว่าเบื่อหน่ายเข้ามาแทนที่ ความรักที่คิดว่ามั่นคงเสมอมาก็พังลงเอาได้ง่ายๆ
...คำว่ารักไม่ได้หมายความว่าต้องอยู่เคียงข้างกันตลอดเวลา
แต่หมายถึงหัวใจทั้งสองดวงที่เข้าใจซึ่งกันและกัน มีความรู้สึกที่เหมือนกันอยู่ต่างหาก...
‘คนหนึ่งคิดถึงกัน อีกคนหนึ่งคิดถึงใคร
ขณะคนหนึ่งรักมากมาย อีกคนทำไมน้อยลง
ขณะที่ฉันรักมากมาย แต่ว่าเธอทำไมน้อยลง...’
The end
เพิ่งแต่งจบค่ะเลยเอามาลง...
ความจริงควรแต่งจบตั้งแต่คิดจะเปิดเรื่องแล้วเนอะ
ไม่ใช่เปิดทิ้งไว้แล้วค่อยแต่งต่อให้จบ ฮ่าๆ
ขอโทษนักอ่านทุกท่านนะคะที่บุงชอบอ่อย
ชอบมาเรียกร้องคอมเมนต์ก่อนอัพ
ขอโทษที่ทำให้เสียเวลาคลิ๊กเข้ามาแล้วไม่เจอนิยาย
ขอโทษที่ทำให้เสียความรู้สึกหรือเบื่อหน่ายที่เจอตัวแดง
กับคำว่า ‘Coming soon’ บ่อยๆ
ที่บุงชอบอ่อย หรือเอาโปรยมาลงก่อน
ก็แค่อยากอ่านคอมเมนต์บ้างระหว่างแต่ง
จะปูเสื่อรอ หรืออะไรก็ได้ที่ทำให้ไรท์เตอร์คนนี้มีแรงเขียนต่อไปไหว
ไม่รู้สิคะ มันเหมือนกับว่ามีคนให้กำลังใจเราไปพร้อมๆ กับที่เรากำลังเขียน
มันทำให้บุงแต่งเร็วขึ้น เพื่อจะให้อัพเร็วขึ้น เมื่อรู้ว่ามีคนกำลังรอ
ยังไงก็ขอบคุณคอมเมนต์นั้นที่ช่วยเตือนสติไรท์เตอร์คนนี้นะคะ
บุงไม่ได้โกรธคุณ แต่แค่อยากขอบคุณที่ทำให้ตาสว่างซะที...
ต่อจากนี้บุงคงไม่เรียกร้องคอมเมนต์ ไม่เรียกร้องความสนใจอะไรอีก
เพราะรู้ดีว่าฝีมือตัวเองก็ไม่ได้ดีพอให้คนมาเมนต์เยอะมากมายถล่มทลายอย่างที่หวัง
ยังไงก็ขอแค่เมนต์ให้กันบ้าง ติชมว่านิยายเรื่องนี้ดีหรือไม่ดียังไง
รู้ว่านักอ่านเงายังไงก็ต้องมี แต่ขอแค่เล็กๆ น้อยๆ
เป็นกำลังใจให้ไรท์เตอร์คนนี้บ้างได้มั้ย...
เฮ้อ... พล่ามอะไรก็ไม่รู้เนอะ ยาวชะมัดเลย
เอาเป็นว่าแล้วค่อยเจอกันใหม่ในเรื่องหน้านะคะ ^^
ผลงานอื่นๆ ของ Ma-Bung (มะบุง) ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Ma-Bung (มะบุง)
ความคิดเห็น