ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    King of Lions บุรุษหัวใจราชันย์ ออนไลน์

    ลำดับตอนที่ #1 : รักของข้านิรันดร [100%]

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 14.11K
      52
      21 ต.ค. 59

          ปฐมบุรุษ       
          รักของข้านิรันดร     




    "แม้นสิ้นแล้วเหล่าวีรชนกษัตริย์กล้า
    วลีหวานปานสกุณามิขอลิ้มชาติรส
    เวียร์ผู้เป็นราชันย์แห่งฤทัยข้า
    ท่านคือหนึ่งเดียวที่ข้าต้องการทั้งชีวิต
    ไม่มีท่านก็ไม่ควรมีข้าอีกต่อไป
    ข้าให้สัตยาบัน"
                 เธอผู้มีดวงตาสีครามน้ำทะเลกำลังจ้องมองดอกไม้ห้าแฉกสีเหลืองทองซึ่งถูกประคองไว้เหนือฝ่ามือ ดอกไม้สีเหลืองทองนั้นลอยอยู่ในอากาศ ละอองแสงสีทองของมันช่างสวยงามวิจิตรนัก มันสามารถบอกเล่าเรื่องราวที่ผ่านพ้นจากอดีต เก็บงำพลังอำนาจลี้ลับที่มีเพียงผู้ให้คำมั่นแก่มันเท่านั้นจะแถลงไข บัดนี้แสงทองของมันเรืองสว่างเต็มที่ เพราะเงื่อนไขของคำมั่นเป็นจริงแล้วตามพันธสัญญาที่เธอเพิ่งให้ไว้กับมัน แด่รักของเธอกับชายที่เธอเอ่ยถึงจะคงอยู่ชั่วนิจนิรันดร์ ครั้นแสงทองบังเกิดขึ้นแล้วมอดดับ ดอกไม้ห้าแฉกสีเหลืองทองนั้นกลับกลายเป็นลูกกุญแจสีทองดอกหนึ่ง     
         
    "ข้างนอกเสียงอึกทึกจัง เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่านะ?" หญิงสาวดวงตาสีครามน้ำทะเลเอ่ยขึ้นพลางดึงเชือกเส้นเล็กออกมาจากแขนเสื้อที่ยาวจรดข้อมือซ้าย เธอร้อยเชือกใส่รูลูกกุญแจทอง แล้วมัดปลายเชือกทั้งสองไว้ยังท้ายทอย เสียงใสของเด็กสาวในศีรษะกล่าวชี้แจงการเกิดขึ้นของไอเทมชิ้นใหม่     
         
    >> ผู้เล่น เซนต์ฟาร์ ได้รับไอเทมพลังแฝง สร้อยกุญแจผนึกสัตยาบัน ผลของสัตยาบันเป็นจริงเสมอ หรือไม่ก็สาปให้สิ้นสูญความทรงจำแห่งสัตยาบันเหล่านั้น     
         
    "ในเมื่อท่านอยากผูกมัดข้านัก ดูซิว่าจะเป็นท่านหรือข้าที่อึดอัดก่อนกัน" เธอที่ระบบคอมพิวเตอร์ขนานนามว่าเซนต์ฟาร์กระโดดลงจากเตียงขนนกสีขาว เมื่อหญิงสาวกระโดดลงขนนกจึงฟุ้งขึ้น     
         
           ห้องแห่งนี้อยู่บนชั้นที่สูงที่สุดของหอคอยและอยู่ในหอคอยที่สูงที่สุดอีกด้วย เป็นห้องที่กว้างขวางมีพื้นที่ใช้งานเหลือเฟือ ภายในห้องประกอบไปด้วยข้าวของเครื่องใช้ไม่กี่อย่าง ได้แก่ ตู้เสื้อผ้าทรงเตี้ยสีเงินที่สูงจากพื้นไม่ถึงเมตร บนตู้เสื้อผ้าตั้งกระจกบานโตเอาไว้ ขอบของตู้และกระจกขดด้วยโลหะสีทองวาวเข้ากันเป็นเซต มีแผ่นกระดาษรูปดาวห้าแฉกอ้วนๆบันทึกข้อความหลากสีติดตามขอบกระจกทางซ้ายเรื่อยไปกระทั่งถึงด้านล่างของกระจกเสมือนว่ามันถูกจัดเรียงไว้อย่างนี้     
         
    'ไม่ตื่นสายอีกนะ' ข้อความที่เขียนบนแผ่นกระดาษสีเหลือง     
         
    'ใครกันแน่ที่ตื่นสาย' ข้อความที่เขียนบนแผ่นกระดาษสีขาวซึ่งอยู่ถัดลงมา     
         
    'ก็เจ้าไงคนนอนน้ำลายยืด' บนแผ่นกระดาษสีม่วงและอีกแผ่นสีส้มที่อยู่ข้างๆ 'อีตาบ้าเอ้ย'     
         
    'นมโคอยู่ที่ริมหน้าต่างตะวันออกนะ' บนแผ่นกระดาษสีขาว แผ่นสีเหลืองอยู่ใกล้กัน 'รู้แล้วน่า'     
         
    'แหวะนมบูด!' บนแผ่นกระดาษสีเทา บนแผ่นสีน้ำเงิน 'ต้องเททิ้ง 555'     
         
    'บูดแล้วจริงอะ' บนแผ่นกระดาษสีเหลือง บนแผ่นสีเขียว 'ข้าล้อท่านเล่นหรอกพ่อคนโง่'     
         
    'ชิ มาเรียนสายเจ้าตาโต' บนแผ่นกระดาษสีทอง บนแผ่นสีครีมชมพู 'แต่ก็มา แบร่ๆ'     
         
    'เลขยากไหม ให้ช่วยไหม?' บนแผ่นกระดาษสีแดงและต่อจากข้อความบนแผ่นเดิม 'สอนข้าหน่อยดิ'     
         
    'ไม่สอน' บนแผ่นกระดาษสีน้ำเงินจางๆ บนแผ่นสีส้ม 'ใครง้อท่านกันล่ะ เชอะ!'     
         
    'เพิ่งสอบเข้ามหาลัยได้งอนซะล่ะ' บนแผ่นกระดาษสีเขียวแกมน้ำเงิน บนแผ่นสีเทา 'เกี่ยวอะไรกันย่ะ ปะเดี๋ยวกัดคอ'     
         
    'อ๊ะ!เป็นหมาไปแล้วเหรอ~' บนแผ่นกระดาษสีเงิน บนแผ่นสีทอง 'ท่านแกล้งข้า'     
         
    'โอ้ยโมโหๆ' บนแผ่นกระดาษสีส้ม บนแผ่นสีชมพู 'แล้วจะทำไม'     
         
    '...' บนแผ่นกระดาษสีฟ้าไม่เขียนอะไร บนแผ่นสีม่วงอันว่างเปล่าอยู่เคียง     
         
    'ข้าขออภัย ข้าผิดไปแล้ว' บนแผ่นสีคราม บนแผ่นสีแดงอันว่างเปล่าเช่นสีม่วงที่อยู่ด้านบน     
         
    'ข้ารักเจ้านะ' บนแผ่นกระดาษสีแดง บนแผ่นสีขาว 'จะสอนเลขให้ หายโกรธข้าเถอะนะ'     
         
    'ท่านต้องรักข้าคนเดียวด้วย' บนแผ่นกระดาษสีแดง บนแผ่นสีชมพู 'แน่นอน ข้าให้สัญญา'     
         
           แผ่นกระดาษสีเหลืองหล่นอยู่ที่พื้นหินใกล้กับขาตู้เสื้อผ้า เซนต์ฟาร์เห็นเข้าก็ย่อกายลงหยิบมันขึ้นมาอ่าน     
         
    "อยู่แต่ในห้อง ห้ามออกมานะ"     
         
           หญิงสาวพยักหน้าว่ารับทราบ จากนั้นจึงนำแผ่นกระดาษดังกล่าวติดไว้ส่วนล่างของขอบกระจกรวมกับพวกเพื่อนๆของมัน เธอหยิบแผ่นกระดาษรูปดาวห้าแฉกอ้วนสีทองพร้อมปากกาหมึกขนนกเตรียมจะเขียนถ้อยคำ คนน่ารักพลันยิ้มเล่ห์     
         
    "จะก้าวออกไปหนึ่งก้าว" แล้วแปะแผ่นกระดาษสีทองกับขอบล่างของกระจกก่อนจะลุกขึ้นเดินไปยังหน้าต่างทางตะวันออก     
         
    ฟู้~ สายลมอ่อนพัดทักทายแก้มใสๆ เหล่านกพิราบบินผ่านโผนสู่ท้องฟ้าสีคราม ภายนอกที่สองตาคนน่ารักเห็นล้วนไม่มีสิ่งใดนอกจากความสวยงามของนครสีขาว ทั้งสนามหญ้ารูปเกือบม้าสีเขียวขจีไกลลิบนั่นอีก...สบายใจเหลือคณา     
         
           เพราะเหตุใดเล่าจึงเห็นต่าง แค่เพียงเอื้อมมือ...     
         
    ก๊าซซซ!!! เสียงร้องคำรามของมังกรยักษ์ตัวขนาดเท่าขุนเขาดังก้องผืนฟ้า ดวงตาของมันแดงฉานดั่งถ่านไฟ กรงเล็บยาวแหลมดั่งใบดาบคมกริบทั้งห้าตะปบใส่ลำตัวชายหนุ่มผู้หนึ่งที่หาญต่อกรกับมังกรเพลิงมัจจุราช เปรี๊ยะ!!! บังเกิดคลื่นสีเงินสาดออกเป็นวงกลมปกป้องร่างกายของเขาเอาไว้ เปรี๊ยะ!!! เปรี๊ยะ!!! เปรี๊ยะ!!! อีกสามกรงเล็บไขว่คว้าร่างชายหนุ่มในอากาศอย่างต่อเนื่องก่อนที่เจ้ามังกรร้ายจะถาโถมด้วยแรงมหาศาลสะบัดศีรษะโขกใส่เป้าหมาย     
         
    เปรี๊ยะ!!! คลื่นสีเงินกระจายสว่างวาบพร้อมกับตัวของชายหนุ่มปลิวกระแทกยอดหอคอยฝั่งตะวันตก โครม!!! เศษกระเบื้องแลหินแตกกระเด็นตกสู่พื้นเบื้องล่างให้พวกอัศวินหลบหลีกกันวุ่นวาย     
         
    วูบวูบวูบ!!! ลำแสงสีแดงเพลิงถูกดูดจากอากาศเข้าไปในปากอันมโหฬารของมักกรยักษ์ ก๊าซซซ!!! มันจึงพ่นออกเป็นเพลิงมหากาฬดาลเดือดเผายอดหอคอยที่เขานั้นติดอยู่ภายใน พริบตายอดปราสาททั้งหอก็หลอมละลายลงและคลุ้งโขมงไปด้วยฝุ่นธุลี     
         
    "ฮ่าฮ่าฮ่า! เด็กน้อย! ข้าอยากรู้นักเจ้าจะใช้วิธีไหนมาสู้กับข้า!" เฒ่าชราผู้สวมเครื่องแบบนักบวชชั้นสูงหัวเราะชอบใจที่ได้ประจักษ์กับตาตัวเองว่า กษัตริย์ที่น่ายำเกรงของแผ่นดินลอยฟ้าแห่งนี้กำลังตกเป็นมวยรอง หาใช่คู่มือของมังกรยักษ์นามเบเฮโมทที่ตนเป็นผู้อัญเชิญไม่ "บัญชาของท่านกิเลียสซ่าคือหนึ่งเดียวที่ควรศรัทธา ในเมื่อเจ้าแข็งขืนอยากลองดี ข้าจะให้เจ้าได้หนำใจ!"     
         
           เฒ่าชรายกฝ่ามือซ้ายขึ้นเหนือศีรษะ คฑาสีน้ำเงินทรงแหลมที่หัวสลักรูปคล้ายงูทะเลก็ปรากฏ พลันผู้ชราร่ายเวทมนตร์อัญเชิญสุดยอดเทพพิทักษ์แห่งท้องทะเลคลั่งมาสมทบกับมังกรไฟ     
         
    "พาราโอนิฟา โซเซเรียม โอนิฟาเอเตรียม คังก้าอันทราร่า เลวีอาธานกอก้อนโอชา!"     
         
           พื้นหินของปราสาทขาวรอบกายมหานักบวชชราเริ่มเคลื่อนไหวกระเพื่อมดุจคลื่นในมหาสมุทร คลื่นนนนนน!!! พื้นหินยกตัวนูนขึ้นแตกปริออกจากกันและมีน้ำทะเลไหลออกมาอย่างมหาศาล อย่างบ้าคลั่งที่สุด     
         
    ก๊าซซซ!!! "น้อมรับบัญชา" ร่างของสิ่งมีชีวิตดั่งงูยักษ์เกล็ดสีน้ำเงินใหญ่โตเกินประมาณบังเกิดจากใต้น้ำทะเล ซึ่งเป็นที่รู้จักในนามเลวีอาธาน     
         
           เป็นที่ทราบกันว่าผองภูติธรรมชาติระดับเทพพิทักษ์มีด้วยกันสี่ตน หนึ่งคือสกิพโกซท์ราชันย์อัคคี สองคือเบเฮโมทราชันย์ปฐพี สามคือซิซราชันย์นภาและสี่เลวีอาธานราชันย์นที บัดนี้สองในสี่พี่น้องตั้งใจจะกำจัดศัตรูตามประสงค์นายผู้ชรา ซึ่งนายเฒ่าต้องการให้ตายเท่านั้น     
         
         
         
    "ไปไหนของเค้านะ" เซนต์ฟาร์เอ่ยพร่ำ มือซ้ายกุมกุญแจแห่งสัตยาบันไว้แนบอก แล้วก็ผละจากริมหน้าต่างเดินไปยังประตูห้องที่อยู่ไม่ไกลนัก หญิงสาวเพ่งมอง ณ หอคอยฝั่งตรงข้ามพลางต้องการจะก้าวข้ามไป บัดนั้นข้อความในกระดาษสีเหลืองกลับเรืองให้หยุดคิดคำนึง     
         
    'อยู่แต่ในห้อง ห้ามออกมานะ'     
         
    "อยู่แต่ในห้องน่ะน่าเบื่อจะตายไป ทีท่านจะไปไหนมาไหนไม่เคยบอกข้า ไม่เป็นไร ข้าจะตามหาท่านเอง" ว่าแล้วก็กระโจนจากประตูไปยืนอยู่กลางระเบียงหินที่ใช้เชื่อมต่อระหว่างสองหอคอย ลมหนาวเหน็บพัดกระทบร่างบางจนสะท้าน ไม่น่าเชื่อว่าอากาศด้านนอกจะต่างจากอากาศในหอคอยปานเรื่องโกหก "วู้~~~ หนาวจังเลย~ อย่าให้ข้าหาท่านเจอนะพ่อตัวดี"     
         
         
         
           ซากปรักหักพังของหอคอยฝั่งขวากองสุมราวกับภูเขา ความร้อนและควันไฟคลุ้งโขมงไปทั่วท้องฟ้าในยามนี้ ลมร้อนพัดเอาเถ้าถ่านธุลีที่เกิดจากการสันดาปของไฟปลิวว่อนไปหมด ต้นไม้น้อยใหญ่ละแวกนั้นกำลังตายลงเพราะถูกเพลิงผลาญลุกลามไปอย่างรวดเร็ว แลเฒ่าชราผู้หมายปองชัยชนะในกำมือยิ้มอย่างมีเลศนัย     
         
    "หึหึหึ น่าสมเพชเจ้านักเด็กน้อย แบ่งพลังสองในสามส่วนปกป้องกลุ่มหอคอยตรงกลางอย่างนั้นสินะ ชักน่าสน อะไรที่สำคัญกว่าชีวิตของเจ้า หรือว่า? ...นางอยู่ที่นี่"     
         
    ตูม!!! แสงสีนานาพลางระเบิดซากหอคอยออกทั่วทุกสารทิศ "รู้มากนักนะ" ชายหนุ่มกวัดยอดศาสตรามารที่สร้างจากสรรพแสงอันระอุลงเมื่อเขายืนขึ้นจากเศษปรัก เกราะแขนและอกด้านซ้ายหายไปกว่าครึ่ง "เซนต์ฟาร์อยู่ที่นี่แล้วไง ด้วยการกระทำของท่าน อย่าหวังจะได้มีชีวิตสืบไป"     
         
           ว่าแล้วกษัตริย์หนุ่มจึงชูยอดศาสตรามารที่จะถูกขนานนามในกาลต่อไปว่าราชันย์วิญญาณเบิกฟ้าทมิฬขึ้นสู่ท้องฟ้า ดาบมารอหังการเปลี่ยนจากแสงสีสารพัดเป็นสีม่วง ก่อให้เกิดเกลียววายุแผดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวกระทั่งแผ่นดินสะเทือน ซูมมมมมมมมมมมม!!! แสงสีม่วงพุ่งชนกลุ่มเมฆและแตกกระจายออกไพศาล ท้องฟ้าจึงมืดครึ้มยิ่งกว่า พริบตาฟ้ากว้างกลางวันกลับกลายเป็นกลางคืนทันที     
         
    ก๊าซซซ!!! เบเฮโมทคำรามพลางโถมบินระยะสั้นหาชายหนุ่ม ราชันย์ปฐพีตวัดกรงเล็บยักษ์หมายตะปบศัตรูให้จมดิน เสี้ยววินาทีนั้นพื้นที่ที่กษัตริย์หนุ่มยืนอยู่ก็ยุบตัวลงและเบื้องล่างเต็มไปด้วยลิ่มน้ำแข็งแหลมคม! ซึ่งย่อมเป็นมนตร์ของเลวีอาธาน     
         
           เมื่อทราบว่าตัวเองถูกโจมตีสองด้าน ชายหนุ่มพลันถีบเท้าทะยานขึ้น สองมือจับดาบมารฟันเสยเข้าปะทะอุ้มมือมังกร     
         
    เปรี๊ยะ!!! แสงสีม่วงสว่างวาบพร้อมกับร่างกษัตริย์หนุ่มดิ่งลงกระแทกลิ่มน้ำแข็งแตกฟุ้งคลุ้งละอองเลือด ไหนเลยมนุษย์จะทานแรงมังกรยักษ์ได้     
         
    "ตาย!" เบเฮโมทดูดเอาอากาศธาตุเข้าไปในปาก วูบวูบวูบ ฟุ้มมม!!! ไฟบรรลัยกัลป์อันโอฬารก็พุ่งใส่หลุมลิ่มน้ำแข็งที่เป้าหมายนอนอยู่ภายใน เปลวระอุแผดเผาสรรพชีวิตรอบนั้นกลายเป็นเถ้า อัศวินนับพันวิ่งหนีตายตาลีตาเหลือกอย่างไรก็ไม่รอดพ้น อ๊าก! อาาา ช่วยด้วย!- อ๊าาากกก! วายชีพสิ้น     
         
    แคร็กแคร็กแคร็กแคร็กแคร็กแคร็ก เสียงคลื่นทะเลม้วนตัวแล้วเย็นลงเป็นปราการน้ำแข็งป้องกันความร้อนดุจนรกแก่นักบวชชรา เป็นว่าราชันย์ปฐพีทำหน้าที่โจมตี ส่วนราชันย์นทีคอยป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับนายผู้อัญเชิญ หาพลังอำนาจใดเทียมเท่า     
         
         
         
    "...ท่านพี่! ท่านพี่รีบลงมา!" เสียงเด็กหนุ่มตะโกนเร่งให้เซนต์ฟาร์มาหาตนที่คุกเข่าคอยอยู่เบื้องล่าง เด็กหนุ่มคนนี้ไว้ผมสั้นสีเหลืองทอง สวมใส่เกราะสีขาวตลอดทั้งร่าง เกราะด้านหลังติดดาบสีดำขนาดใหญ่ไว้ หน้าตาเศร้าสลด ดวงตาสีเขียวเหมือนสีของหญ้าในฤดูฝนที่มีหยาดน้ำคลอหยดลงพื้น เจ้าหนุ่มร่ำไห้ "กะ-กษัตริย์ กำลังจะสิ้นพระทัยแล้ว"     
         
    "ไม่! ไม่จริง~" วินาทีนั้นหัวใจเธอดั่งแก้วที่ตกแตกเป็นเศษเล็กเศษน้อย จู่ๆหญิงสาวก็ได้ประจักษ์ชายผู้รักยิ่งนอนทอดร่างแน่นิ่งเปื้อนเปรอะเลือดอีกทั้งเกราะแตกยับเยิน ไหนเลยจะแยกแยะได้ ไหนเลยจะทราบว่านี่เป็นกลลวง     
         
    "เกิดอะไรขึ้น... เกิดอะไรขึ้นกับเขา" หญิงสาวมาถึงและได้เห็นเวียร์ร่างไร้สติก็อดกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว ปล่อยมันไหลออกมาไม่ต่างจากเด็กหนุ่ม "...เวียร์~"     
         
           การณ์นั้นเจ้าหนุ่มจึงเหสายตาเพื่อหลบสายตาเซนต์ฟาร์ "เขาใช้พลังที่เหลือปกป้องท่าน สร้างภาพลวงตาด้านนอกเพราะไม่ต้องการให้ท่านพี่เป็นห่วง...ใครบ้างจะรักท่านพี่เท่านี้"     
         
           หญิงสาวฟังแล้วยิ่งสะทกสะท้านทรวง ยื่นมือไปสัมผัสใบหน้าที่ซีดเผือด เส้นผมสีน้ำตาลทองบางส่วนของเขาแฉลบหายไป     
         
    วิ้งวิ้งวิ้ง ดวงแสงสีแดงปรากฏในมือเด็กหนุ่ม เจ้าหนุ่มหมายทดลองช่วยชีวิต     
         
    "นี่เป็น วาวา หรือก็คือจิตพำนักของมังกร ไม่แน่มันอาจช่วยเขาได้ ท่านพี่..."     
         
    "ซากิ โปรดช่วยด้วย"     
         
           เด็กหนุ่มที่ถูกเรียกว่า ซากิ ส่ายศีรษะ     
         
    "ข้าไม่รู้ว่าดวงจิตจริงๆของกษัตริย์อยู่ที่ไหน วาวาต้องใช้กับดวงจิตเท่านั้น"     
         
    "ดวงจิตอย่างนั้นเหรอ? ข้าเองก็ไม่รู้ อะไรคือดวงจิตที่ว่า"     
         
    "เวลาเหลือน้อยแล้วท่านพี่ ดวงจิตจะแฝงอยู่กับไรก็ได้ มีของสำคัญอะไรไหมที่เขาให้ไว้กับท่าน"     
         
    "ไม่มีนี่ ไม่มี" น้ำตายิ่งไหลเป็นสายธาร เซนต์ฟาร์ก้มหน้าตรึกตรองอยู่หลายสิ่ง อะไรคือสิ่งสำคัญอย่างนั้นเหรอ อะไรคือสิ่งที่ว่านั่น   
     

    "ต่อให้แผ่นดินของข้าล่มสลาย
    ต่อให้ร่างของข้ากลายเป็นเถ้าถ่าน
    เซนต์ฟาร์...ดวงฤทัยข้า
    เจ้าคือหนึ่งเดียวที่ข้าต้องการทั้งชีวิต
    ไม่มีเจ้าก็ไม่ควรมีข้าอีกต่อไป
    ข้าให้สัตยาบัน"
                 ถ้อยคำมั่นสัญญาที่ว่าเขาจะรักเพียงเธอชั่วชีวาดับสูญผุดขึ้นในใจหญิงสาว เป็นถ้อยคำมั่นเนื้อเดียวกันที่เธอให้ไว้กับเขา สัตยาบันแห่งดอกไม้ห้าแฉกนาม ชูออร่าควีน นี่คงเป็น...     
         
    "ซากิ ดวงจิตนั่นคือตัวข้าเอง"     
         
           รับฟังดังนั้นจึงรู้วิธีทำลายศัตรูแล้ว เจ้าหนุ่มซากิยิ้มราวปีศาจคลั่ง มันรีบหันไปมองเซนต์ฟาร์ด้วยสีหน้าสมเพชเจือหฤหรรษ์     
         
         
         
           หลังจากเพลิงกัลป์ได้เผาทำลายส่วนหน้าของปราสาทสีขาวกระทั่งไม่เหลือหลออดีตอันแสนสวยงาม ใจกลางหลุมลิ่มน้ำแข็งที่ควรจะพบศพของกษัตริย์หนุ่มกลับปรากฏปีกสีดำดุจปีกของค้างคาวขนาดยักษ์โผล่พ้นออกมา     
         
           ท้องฟ้ายังคงมืดสนิทและระบายด้วยสีม่วง ทิศตะวันออกจากดวงตะวันกลายเป็นดวงจันทร์กลมโตถึงคราสุกสว่างแทนที่ บรรยากาศวังเวงคละกลิ่นไอสาบสาง เหล่าต้นไม้สูงใหญ่ที่อยู่ไกลลิบมองดูราวกับมีชีวิตขึ้นมาอย่างนั้น กาลเช่นนี้เป็นเวลาของปีศาจแลบรรดาผีพรายทั้งปวง     
         
           น้ำทะเลเริ่มซึมจากพื้นขึ้นมาเรื่อย เลวีอาธานวางศีรษะลงบนพื้นน้ำ หูนั้นสดับฟังเสียงน้ำทะเลที่ไหลลงไปในหลุมลิ่มน้ำแข็ง     
         
    "อา...พี่ข้าศัตรูยังไม่สิ้นลมหายใจ มันกำลังเปลี่ยนร่าง เท่ากับว่าการโจมตีของท่านและข้าไม่มีฤทธิ์เดชมากพอจะเอาชัย"     
         
    "นักบวชเฒ่าพิโคโพเลีย ภูติธรรมชาติระดับราชาของท่านมีน้ำยาเท่านี้หรอกรึ" เสียงของศัตรูที่ควรตายไปแล้วทักทาย ทันใดชายหนุ่มก็กระโดดขึ้นมาจากหลุม ดวงตาซ้ายของเขาถูกบดบังด้วยแสงสีม่วงที่เหมือนจะเผาไหม้ตัวเองตลอดเวลา เปลวของแสงสีม่วงนั้นก็คล้ายกำลังเต้นระบำอยู่     
         
           กษัตริย์หนุ่มผิวกายขาวซีด ใบหน้าก็ผอมแห้งลง ตลอดทั้งร่างของเขามีลายปลายแหลมสีม่วงวิ่งพล่านคดเคี้ยวไปมา เส้นผมสีเงินที่ยาวปรกใบหน้าซีกขวาถูกมือขวากวาดออกสอดไว้กับใบหูจึงเผยดวงตาขวาไม่ต่างจากดวงตาซ้าย     
         
    "จะเจ้าเป็นปีศาจ!"     
         
    "ช่าย... อันที่จริงข้าคือราชันย์แวมไพร์ ไม่อย่างนั้นจะครองศาสตรามารเล่มนี้ได้อย่างไร" ชายหนุ่มกล่าวอธิบายพลางชี้นิ้วชี้ซึ่งมีเล็บแหลมคมขึ้นจรดดวงจันทร์ที่บัดนี้กลายเป็นสีม่วงเข้ม "ท่านทราบว่าข้าเป็นเทพเบญจโลหะ เวทมนตร์ธรรมดาทำอะไรข้าไม่ได้ จึงคิดให้ภูติพวกนี้ทำอันตรายข้าเพราะมีสายธาตุเป็นศัตรูกัน หากเปรียบข้าดั่งแสงสว่างก็ย่อมพ่ายให้กับความมืด แต่ตัวข้าดั้งเดิมเป็นความมืดอยู่แล้ว...ดังนั้น" กษัตริย์หนุ่มยิ้มกริ่ม "ท่านก็คือสวะชั้นเลว"     
         
           จากชี้นิ้วกลายเป็นหงายฝ่ามือ     
         
    ครึ้ม!!!ครึ้ม!!! เสียงลมพายุก่อตัวบนชั้นเมฆ เมฆาสีม่วงจับตัวหมุ่นเป็นวงกลมอันมีฝ่ามือดังกล่าวเป็นศูนย์กลาง ปรากฏเป็นวงแหวนเวทสีม่วงขนาดมโหฬารหมุ่นอยู่บนท้องฟ้า ท้องฟ้าในรัศมีวงแหวนเวทพลันบังเกิดอักขระโบราณจำนวนมากร้อยเรียงเข้าด้วยกัน แสงสีทองของอักขระและแสงสีม่วงของวงแหวนเวทเปล่งประกายผสมผสานดูดซับพลังงานและสิ่งของที่มีน้ำหนักเบาลอยขึ้นเคว้งคว้าง กลิ่นคาวแห่งความตายคลุ้งเวียนวน     
         
           พลันชายหนุ่มถีบเท้าทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าใจกลางวงแหวนเวทอภิมหาอำนาจ ฟิ้ว~ฟิ้ว~ฟิ้ว~ฟิ้ว~ฟิ้ว ติดตามด้วยดวงวิญญาณของเหล่าอัศวินที่สิ้นชีพไปแล้วผุดออกจากแหล่งที่ตายเข้าไปหลอมรวมกันนับพันพันดวง ครึ้ม!!!ครึ้ม!!! ก่อเสียงดังกัมปนาทสนั่นฟ้า     
         
           เฒ่าชราที่ถูกเรียกว่า พิโคโพเลีย เห็นท่าไม่ดีจึงสั่งให้เบเฮโมทจู่โจม     
         
    ก๊าซซซ!!! มังกรไฟยักษ์กระโจนเพียงเล็กน้อยศีรษะก็ทิ่มแทงเข้าไปในวงแหวนเวท วูบวูบวูบ มันอ้าปากออกดูดกลืนอากาศธาตุแล้วพ่นลำเพลิงยักษ์เข้าสลายกลุ่มเมฆทันที ย้อมสีท้องฟ้าให้เปลี่ยนเป็นกลางวันอีกครั้ง     
         
           ไฟกัลป์นรกเผาโดนตัวชายหนุ่มเข้าเต็มประดา!     
         
    วูบ!!! ฟ้าววว~ ด้วยเดชแห่ง เกราะราชสีห์ทองพิทักษ์ ที่เกิดจากการหลอมรวมเหล่าดวงวิญญาณแค้น มันถูกสร้างขึ้นในวินาทีนั้นและสวมอยู่บนกายราชันย์ปีศาจ แสงทองสาดส่องแสบตายิ่งนักดุจมีดวงตะวันโผล่ขึ้นกลางเวหาสีม่วง มังกรร่างทองสูงใหญ่เท่ากับเบเฮโมทบังเกิดเป็นปราการฟ้าคลี่ปีกบดบังอำนาจความร้อนของเพลิงกัลป์ ลำเพลิงกระจายออกเป็นวงกลมเฉกวงแหวนเวทวงที่สองในแนวทแยง     
         
    "นั่นมันอะไร!" นักบวชพิโคโพเลียอุทานตกใจ "มีมนตร์พิทักษ์เช่นนั้น!"     
         
    วิ้ง! แสงวาบจากปากของเบเฮโมทร่างทอง     
         
    "เลวีอาธานป้องกันข้าด้วยกำแพงน้ำแข็งเร็ว!"     
         
    วูบวูบวูบ อากาศถูกดูดเข้าไปในปากร่างทอง ฟุ้มมม!!! ปล่อยออกมาเป็นลำเพลิงยักษ์ทั้งเร็วและแรงพ่นใส่น้ำทะเลที่กำลังจับตัวกันเป็นกำแพงน้ำแข็งขนาดความสูงเหยียดฟ้า     
         
    ครืรรรรรรรรรมมมมมมมมม!!! ไอน้ำฟุ้งโขมงระเบิดขยายตัวทุกทิศทาง แรงดันของมันมหาศาลถล่มแลกวาดทำลายทุกสรรพสิ่งที่ขวางกั้นออกแทบสิ้น ต้นไม้ไกลลิบตาเหล่านั้นถูกแรงลมกระชากหลุดจากดินทั้งราก หอคอยอื่นใดที่อยู่นอกเหนือจากอาณาเขตป้องกันพลันล้มครืนทลายลงเป็นซากฝุ่น     
         
           จากมุมไกลเห็นปราสาทสีขาวบนแผ่นดินลอยฟ้าถูกคลื่นไอน้ำอัดกระแทกแตกพังมลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยปลิดปลิวระยิบไปทางซ้าย พร้อมกันทางขวาแผ่นดินก็ปริผละแยกออกร่วงหล่น ความเสียหายที่เกิดขึ้นคงยากต่อการบูรณภาพให้คืนดุจเดิมได้อีก กระเทือนถึงวงโคจรลอยตัว...อาณาจักรลอยฟ้ากำลังดิ่งจากเวหาสู่พื้นทะเลเบื้องล่างทีละน้อย     
         
           กษัตริย์หนุ่มร่อนตัวลงพื้นหินที่ยังพอมีเหลืออย่างละมุน ปรากฏเกราะสีดำทมิฬสวมอยู่บนร่างของเขา ไหล่ทั้งสองข้างของเกราะทมิฬขึ้นรูปศีรษะสิงโตมีเขากำลังอ้าปากเผยฟันแหลมคม เกราะสิงโตดำดูดกลืนแสงจันทร์ม่วงเข้าไปด้วยอย่างช้าๆ     
         
           และบัดนี้ด้านหลังเหลือเพียงสามหอคอยที่ยังคงยืนหยัด มันทั้งสามคงสภาพสมบูรณ์ทุกประการ     
         
           ชายหนุ่มก้มหน้าเล็กน้อยเป็นเหตุให้ดวงตาสีม่วงถูกกลุ่มเส้นผมปรกซ่อนไว้ แลในหัตถ์แห่งราชันย์จ้าวนครปราสาทขาวมีดาบสีม่วงยาวกระทั่งถึงเท้าถือไว้มั่น พระองค์ควรแล้วที่จะตัดสินโทษผู้บังอาจต่อกรกับพระราชอำนาจล้นเกล้ารวมถึงโคตรตระกูลของมันให้วิบัติสิ้นไป     
         
    "มอบหัวของท่านมา เพนอูนพิโคโพเลียแห่งฟูเรียว"     
         
           ยังผืนแผ่นดินแตกระแหงแห้งผากและบางส่วนของแผ่นดินขยับออกจากกัน ภูติธรรมชาติทั้งสองตนได้อันตรธานไปหมดแล้ว เหลือเพียงเฒ่าชราที่เกิดอาการเข่าอ่อนทรุดตัวลงนั่ง มือซ้ายถือคฑาสีน้ำเงิน ปักด้ามคฑาไว้กับพื้น นักบวชพิโคโพเลียหมดสิ้นหนทาง ทว่า     
         
    "อย่างนั้นหรือ ดีมากซิซ! เจ้าทำได้ดีมาก!"     
         
    "ราชันย์นภา?"     
         
    ตูม!!! เสียงระเบิดก้องกัมปนาทดังจากหอคอยกลางซึ่งตั้งอยู่เบื้องหลังชายหนุ่ม ออร่าสีขาวแหวกอากาศเป็นทรงกลมผลักร่างของหญิงสาวปลิวลอยละลิ่วออกมา เซนต์ฟาร์! ท่ามกลางความตื่นตระหนกของกษัตริย์ เขาหันขวับในบัดดล     
         
    "ฮ่าฮ่าฮ่า! เด็กน้อยดวงจิตของเจ้าไงเล่า ฮ่าฮ่าฮ่า!"     
         
    "ไม่!" หอคอยที่ถูกพิทักษ์ไว้ทั้งหมดแตกถล่มทลายลงอย่างน่าใจหาย พลังรักษาปราการถูกทำลายสิ้นจากภายใน "เซนต์ฟาร์!"     
         
    วิ้ง! พริบตาที่แสงสีม่วงมะลายไป ชายหนุ่มก็ไปถึงตัวหญิงสาว แล้วรวบเธอไว้ในอ้อมกอดกลางอากาศ     
         
    "ฮ่าฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่า" แม้นเป็นเสียงหัวเราะเยาะเย้ยที่กังวานอยู่ในโสต เวลาเช่นนี้เขาก็หาได้ใส่ใจ     
         
           ยิ้มขันเย้ยหยันของนักบวชเฒ่าด้านล่างก็ไม่มีความสำคัญ...ทุกอย่างตอนนี้เงียบแลดำมืดไปหมด เห็นเพียงใบหน้าและเส้นผมสีน้ำตาลยาวสลวยอยู่ใกล้ ยามช้อนเส้นผมที่ปรกหน้ากมลออกใจมันบีบเหลือเกิน เย็นวูบไปถึงปลายนิ้วสัมผัส...นี่มันเรื่องอะไรกัน...เธอเกี่ยวอะไรด้วย....โถ่~ไม่นะไม่ ไม่จริง!     
         
    วูบ จากความมืดสู่ความสว่างสีม่วงที่สะท้อนจากแสงจันทร์ ดวงตากษัตริย์ที่เคยกร้าวกระด้างมาโดยตลอดพลันอ่อนพร่ามัว พระเนตรนั้นกลับเห็นหน้าเซนต์ฟาร์ไม่ชัดเจน นั่นเพราะน้ำตาไหลออกมาเชยชมแสงจันทร์ม่วงเสียแล้ว หาไม่...น้ำตานี้เป็นสิ่งสะท้อนความอ่อนแอของเขาเอง กระทั่งผู้หญิงคนหนึ่งยังปกป้องไม่ได้ กระทั่งผู้หญิงคนหนึ่งยังต้องให้เป็นอันตราย กระทั่งผู้หญิงคนหนึ่งในอ้อมกอด...     
         
    "เจ้าจะต้องไม่เป็นอะไร เซนต์ฟาร์อย่าได้ทิ้งข้า ข้าไม่ยอม ข้าไม่ยอมให้เป็นแบบนี้ได้ยินไหมมมมมมมมมมมม!!!"     
         
           ปีกปีศาจกางออกสุดหล้า ดาบยาวสีม่วงในนามราชันย์วิญญาณเบิกฟ้าทมิฬที่ได้แปรเปลี่ยนเป็นสีม่วงเต็มขั้นถูกเหวี่ยงปักลงพื้นหิน ติ้ง! วินาทีนั้นท้องฟ้าก็โหว่ออกเป็นช่องสีดำ ประกายแสงสีเขียวเรืองรองออกมาแทน เข้าวลีที่ว่า   
     


                ราชันย์มารยอมสยบ เพื่อเคารพจ้าวราชันย์           

                 ปรากฏดาบบางยาวประมาณสองเมตรสีเขียวมรกตซึ่งกั่นดาบเป็นรูปมังกรทะยานฟ้าหล่นจากฟ้าสู่มือขวาของชายหนุ่มที่ชูขึ้นรับ ด้วยเดชแห่ง ทวงแค้นแสนยานุภาพราชันย์มังกรไร้พ่าย แสงเขียวจึงบังเกิดสาดออกเป็นทรงกลมกว้างมหาศาลห่อหุ้มอาณาจักรลอยฟ้าไว้ดั่งประตูที่ถูกล็อค ปิดตายความทรงจำของตนนับแต่บัดนั้น     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×