ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ประสบการณ์ลดน้ำหนักด้วยตัวเอง เดือนละ 10 กิโลฯ

    ลำดับตอนที่ #80 : บทสรุป 6 เดือนตอนที่ 4 : เกือบทำให้ห้างฯเขาวุ่นวาย

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.26K
      1
      16 ส.ค. 48



                        เขียนวันที่ 16 ส.ค. 48                            วันที่ 197 ของการเข้าโปรแกรม                หนัก 72.5 กก.





                        ถ้าดูจากน้ำหนักที่ผ่านมาก็ขึ้นๆลงๆระหว่าง 72-73 กก.ครับ เพราะเมื่อสัปดาห์ที่แล้วผมไปต่างจังหวัดมา ไปต่างจังหวัดทีไรจะเสียการควบคุมน้ำหนักทุกทีเลย แต่ยังดีที่ตอนนี้ตามเช็คตลอด ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ไม่เคยใส่ใจเลย มิน่าหล่ะน้ำหนักตัวถึงปาเข้าไปถึง 107 กก.ได้ สำหรับเดือนสิงหาคมนี้ก็ผ่านมาครึ่งเดือนพอดี ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้าเลยนะครับ คิดว่าอีกครึ่งเดือนคงจะต้องค่อยๆเร่งทำหน่อยแล้ว แต่ก็คงไม่เร่งมากครับ เพราะ 4 เดือนแรกก็ทำมาได้พอสมควรแล้ว



                        ถ้าดูจากรอบเอว ผมก็ลดจาก 43 นิ้วจนมาเหลือประมาณ 34 นิ้ว ส่วนรอบอกก็ประมาณ 36 นิ้ว ตลอดเวลา 1 เดือนครึ่งที่ผ่านมา การออกกำลังเพื่อปรับสัดส่วนดูจะลุ่มๆดอนๆเล็กน้อย อาจเป็นเพราะความไม่สนุกกับสิ่งที่ทำมั้งครับ ตอนนี้เหลืออีก 1 เดือนครึ่งของช่วงที่ 2 ก็คงต้องเร่งกันหน่อย ส่วนโยโย่นี่ไม่มีมาใกล้เลยครับ การกินต่างๆก็กำลังไปได้สวย การปรับสัดส่วนก็คิดว่าจะเอาอย่างน้องชายนายอัสเชอร์น่าจะสนุกดีนะครับ



                        อัสเชอร์ถือเป็นผู้ชายนายหนึ่งที่สุขภาพดีมากๆ ผมทราบมาว่าน้องเขาคุมเรื่องอาหารอย่างดีและที่สำคัญเขาวิดพื้นวันละ 40 นาที ไม่รู้ว่ากี่ทีเหมือนกันนะครับ แต่น่าจะหลายร้อยอยู่ ผมว่าจะเลียนแบบน้องอัสเชอร์นี่แหละ โดยผมคิดว่า 1 เดือนครึ่งต่อจากนี้ จะทำ 3 อย่างนี้ทุกวันดูครับคือ วิดพื้น กรรเชียงบก และซิทอัพแบบออกกำลังท้อง



                        วิดพื้นคงรู้จักกันดีนะครับว่าทำยังไง ส่วนท่ากรรเชียงบกก็คือการนั่งชันเข่า และเอามือยกขึ้นมากำในระดับข้างๆหัวเข่า แล้วก็ยกเท้าเหนือพื้นนิดหน่อย หลังจากนั้นก็ดึงมือไปข้างหลังพร้อมๆกับเลื่อนเท้าไปข้างหน้ากลางอากาศ นับ 1 ท่านี้จะคล้ายๆพายเรือกรรเชียง ผมอ่ะชอบมากทีเดียวแหละ ส่วนซิทอัพแบบออกกำลังท้องนั้น ผมทำแบบนี้ครับคือนอนราบกับพื้นทับมือของตัวเอง แล้วเอาขาพาดไว้บนเก้าอี้ หลังจากนั้นก็ยกหัวขึ้นมาพอให้ท้องได้ออกกำลังแล้วก็กลับไปยังท่านอนเหมือนเดิม



                        ตอนนี้ที่ผมทำได้คือ วิดพื้น 23 ที กรรเชียงบก 30 ที ซิทอัพ 180 ที ครับก็คิดว่าจะทำโดยเพิ่มปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆ และทำไปประมาณสักเดือนครึ่งเพื่อจะเช็คดูว่าสัดส่วนจะมีการปรับเปลี่ยนหรือไม่ ทั้งนี้และทั้งนั้นก็ยังทำควบคู่กับการเดินออกกำลังกายครับผม ส่วนการยกดัมเบลล์นั้นก็คงทำบ้าง แต่จะให้ทำเป็นหลักเห็นท่าว่าจะไปไม่รอดในตอนนี้ครับ



                        เรามาเข้าสู่เรื่องบทสรุป 6 เดือนกันต่อดีกว่า ผ่านมาครึ่งเดือนแล้วผมยังเขียนไปไม่ถึงไหนเลย เอาเป็นว่าในตอนที่ 3 นั้นก็ถือว่าเป็นประโยชน์ข้อแรกที่ได้รับก็แล้วกันครับ นั่นก็คือเรื่องระบบทางเดินหายใจที่ดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตา ส่วนในตอนนี้ก็จะมาพูดถึงประเด็นที่ 2 ก็คือเรื่องของระบบขับถ่าย ก่อนหน้า 1 ก.พ. 48 ที่ผ่านมา ผมมักประสบกับปัญหาเรื่องระบบขับถ่ายจนอาจเรียกได้ว่ามาถึงทางตันแล้ว เพราะก่อนหน้านั้นผมรู้จักแต่คำว่า \"ท้องเสีย\"กับ\"ท้องผูก\" ไม่เคยสัมผัสกับคำว่า\"การขับถ่ายปกติ\"เลย และผมจะประสบกับการท้องเสียบ่อยมากๆจนยาประจำตัวระยะหลังๆจะเป็นยาแก้ท้องเสียแทน และที่สำคัญที่อยากจะบอกด้วยความอายๆ แต่ก็พอบอกได้ก็คือ ช่วยต้นปีที่ผ่านมาผมค่อนข้างเสี่ยงต่อการเป็นโรคริดสีดวงทวารเอามากๆ หลายๆคนที่อยู่ในสภาพเดียวกันคงพอรู้นะครับว่า มันทรมานขนาดไหน



                        แต่ 6 เดือนกว่าๆที่ผ่านมานี้ ผมไม่เคยสัมผัสกับอาการท้องผูกและท้องเสียอีกเลย แล้วก็รู้แล้วครับว่า อาการถ่ายคล่องแบบปกติมันเป็นยังไง และที่สำคัญมากไปกว่านั้นก็คือเรื่องของกลิ่นครับ พูดไปก็อายไปน่ะเนี่ย แต่เมื่อถือว่าเป็นเรื่องของความรู้ก็จำเป็นต้องพูดอะครับ ว่าเมื่อก่อนนั้นเวลาขับถ่ายที นอกจากจะท้องเสียแล้วกลิ่นยังแรงมากๆอีกด้วย เมื่อก่อนก็ไม่ทราบหรอกครับว่าเป็นเพราะอะไร แต่มีอยู่วันหนึ่งที่ผมไปเข้าห้องน้ำห้างฯแห่งหนึ่ง วันนั้นคงกินเข้าไปเยอะน่าดู พอผมกำลังทำธุระของตัวเองในห้องน้ำอยู่นั้น คนที่เก็บตังค์ค่าใช้บริการที่เขากำลังคุยกับเพื่อนของเขาอยู่ก็จำเป็นต้องเปลี่ยนเรื่องพูด



                        \"นี่แก ได้กลิ่นเหม็นเน่าอะไรแถวนี้ไหมว่ะ โชยมาแต่ไกลเลย\"

                        \"เออ...จริงด้วยสิ ทำยังไงดีล่ะ ท่าจะไม่ดีแล้วนะ\"

                        \"เกิดอาเพศอะไรขึ้นกันวะเนี่ย สงสัยคงมีหนูตายอยู่ในห้องน้ำแน่ๆเลย และน่าจะมีหลายตัวด้วยนะ\"

                        \"แต่มันจะใช่เหรอ เมื่อกี้ก็ยังไม่ได้กลิ่นอะไรเลยนะ เพิ่งได้เมื่อไม่นานนี่เอง\"



                        หลังจากเขาคุยกันอยู่สักพัก พอหาคำตอบไม่ได้ก็เลยต้องเรียกหัวหน้าในระดับที่สูงขึ้นอีกนิดมาช่วยหาคำตอบ พอหัวหน้าวิเคราะห์เหตุการณ์แล้ว ก็เสนอความคิดว่า \"เป็นไปได้ไหมว่า เป็นกลิ่นที่เกิดจากการทำธุระของผู้ใช้บริการ\" จริงๆเธอก็เดาถูกต้องแล้ว แต่พนักงาน 2 คนนั้น ไม่ปักใจเชื่อ



                        \"ไม่น่าเป็นไปได้นะคะ ทำงานมาจนป่านนี้ไม่เคยได้กลิ่นอะไรที่แรงเท่านี้เลย\"

                        \"ใช่ค่ะ ถ้าเป็นอย่างที่หัวหน้าว่าจริงๆ ก็นึกไม่ออกนะคะว่าเขาไปกินอะไรมา มันถึงได้ส่งกลิ่นมากขนาดนี้\"



                        เมื่อทั้ง 3 คนคล้อยตามกันไป ก็เลยสรุปว่า มีหนูตายในห้องน้ำแน่ๆ 3 สาวก็เลยไปขอแรง รปภ มาช่วยกันหาว่าซากหนูนั้นอยู่ที่ไหน ขณะที่ รปภ ปฏิบัติการอยู่ก็มีเด็กวิ่งเข้าไปในห้องน้ำ แล้วเขาก็รีบวิ่งร้องไห้ออกไปพร้อมกับตะโกนว่า \"เหม็นๆๆๆ\" รปภ นายหนึ่งก็เลยบอกว่า \"อย่าเพิ่งให้ใครเข้ามาใช้บริการนะ จนกว่าทางเราจะค้นหาซากหนูจนพบ\" ผมเองถึงแม้จะเสร็จกิจแล้ว และก็อายแทบแทรกแผ่นดินหนี แต่ก็ยังไม่กล้าลุกครับ มันเหมือนกับกลัวว่าถ้าลุกแล้วชักโครกจะระเบิดอย่างนั้นแหละ รปภ 2 นายค้นหาหนูสักพัก แต่ก็ไม่พบ จนกระทั่งกลิ่นเริ่มจาง พวกเขาจึงสรุปว่า \"สงสัยคงมีตัวอะไรเอาซากหนูไปแล้วล่ะ ช่างมันเถอะ\" แล้วก็เป็นช่วงที่ผมมีเวลาพอที่จะหาทางเล็ดลอดออกมาจากห้องน้ำได้



                       ขอเล่าอีกเหตุการณ์หนึ่งนะครับที่เกี่ยวกับการกินแบบไม่รู้จักประมาณ เรื่องเกิดในห้างฯแห่งหนึ่งอีกเช่นกัน ตอนนั้นเป็นช่วงที่ผมเรียนปริญญาโท วันนั้นสงสัยจะเครียดมากเลยกินพิซซาไป 1 ถาด ไก่ kfc อีก 8 ชิ้น โค้กอีก 6 แก้ว และน่าจะกินอะไรเข้าไปอีกสักอย่าง 2 อย่าง จำได้ว่าเป็นตอนเย็นครับ ผมกินมากขนาดนี้แสดงว่าวันนั้นต้องเครียดมากแน่ๆ พอกินทุกอย่างจนหมด เดินไปแค่พักเดียวอาการก็ออก ผมวางกระเป๋าไว้ตรงโต๊ะที่ศูนย์อาหาร แล้วค่อยๆกระเสือกกระสนเข้าไปในห้องน้ำ พยายามทำท่าทางไม่ให้มีพิรุธ



                       พอเข้าไปในห้องน้ำผมก็นั่งลงไปเลย มันไม่ใช่อาการอยากถ่ายนะครับ แต่เหมือนมีอะไรบางอย่างมันตีขึ้น ไม่ได้อยากอาเจียนด้วย ตอนนั้นทั้งหน้ามืด แน่นหน้าอก และมึนงงแทบจะสิ้นสติ ขนาดใกล้จะตายถึงขนาดนั้น ผมยังนึกถึงพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ฉบับเช้าของวันพรุ่งนี้ได้ถ้าผมเป็นอะไรไปขึ้นมาจริงๆ



                       \"นิสิตปริญญาโทของมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งดับอนาถคาห้องน้ำห้าง........ ทางตำรวจกำลังสืบอยู่ว่าเป็นการฆ่าตัวตายหรือถูกฆาตกรรม\"



                       ผมเริ่มหมดเรี่ยวหมดแรง มือหนึ่งก็กุมท้องไว้ อีกมือหนึ่งก็ยันกำแพงห้องน้ำ คิดว่าวันนี้คงไม่ได้กลับไปเห็นหน้าพ่อกับแม่เป็นครั้งสุดท้ายแน่ๆเลย ตอนนี้ผมเริ่มพับ หันหน้าไปมองกำแพงเห็นที่กำแพงมีปากกาเขียนว่า \"กูรู้มึงต้องอ่าน\"  ผมก็คิดในใจว่า \"แต่มึงไม่รู้หรอกว่ากูกำลังจะตาย\" ผมพยายามตั้งสติทำใจดีๆ ตอนนี้นึกถึงแต่ชูชกตอนที่กินจนท้องแตกตาย ความรู้สึกของเขาคงจะคล้ายๆผมตอนนี้นี่เอง เดชะบุญที่พอเวลาผ่านไปสักชั่วโมง ผมเริ่มมีอาการดีขึ้น ผมเดินอย่างโซซัดโซเซออกไปที่โต๊ะที่วางกระเป๋าไว้ ปรากฏว่ากระเป๋าหายไป ผมนึกในใจว่า \"โถ ... วันนี้มีแต่เรื่องร้ายๆ กินจนแทบจะเอาชีวิตไม่รอดแล้วยังจะโดนขโมยกระเป๋าอีก ข้อมูลที่เพิ่งไปค้นมาจากหอสมุดศิริราชก็หายไปด้วย\" ผมกลับบ้านอย่างปลงๆ



                       แต่พอผ่านไปอีก 4 วันผู้จัดการห้างฯนั้นก็โทรมาหาผม บอกว่าผมลืมกระเป๋าทิ้งไว้ เขาประกาศตั้ง 3 ครั้ง เห็นผมไม่มาเอาแน่ๆแม่บ้านก็เลยเอามาให้ผู้จัดการ เขาค้นกระเป๋าของผมทุกซอกทุกมุม บังเอิญไปเจเบอร์โทรของผมเข้า เขาก็เลยโทรมาที่บ้านได้ เขาถามผมว่าทำไมพอไม่เห็นกระเป๋าอยู่ที่โต๊ะแล้วไม่มาติดต่อที่ประชาสัมพันธ์ มันดูแปลกๆที่ผมไม่สนใจกระเป๋าของตัวเอง เอกสารสำคัญๆก็ตั้งเยอะแยะ ไอ้ผมก็ไม่รู้จะตอบเขาไปยังไงอ่ะครับ ผมคิดแต่เพียงว่า ตอนนั้นคงไม่คิดอะไรแล้วล่ะ ก็คนมันกำลังจะแน่นตาย คงคิดอะไรไม่ออกหรอก เอาชีวิตรอดมาได้ก็นับว่าบุญแล้ว



                      และนี่ก็คืออีกวีรกรรมหนึ่งของการกินของผมครับ เล่าไปก็อายไป แต่ก็อยากเผยแพร่เป็นอุทธาหรณ์อะครับ โดยเฉพาะผู้ที่เครียดมากๆแล้วชอบกินเยอะๆๆๆจนกว่าจะหายเครียด มันไม่ดีเลยครับ คิดถึงตัวเองสมัยก่อนก็แปลกนะครับ มีเวลาไปสรรหาของกินตั้ง 2-3 ชม. จนตัวเองเอาชีวิตแทบไม่รอด แต่พอมีคนแนะนำว่า หาเวลาออกกำลังกายสักวันละครึ่ง ชม. ผมก็จะชอบบอกไปว่า \"ไม่มีเวลาเลย งานเยอะมากๆ ไม่มีเวลาเลยจริงๆนะ\" พอมีใครมาแนะนำให้ปรับการกิน ผมก็จะบอกว่า \"จะปรับได้ยังไงล่ะก็กินอาหารไขมันสูงมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว น้ำอัดลมนี่ขาดไม่ได้เลยจริงๆ และมันก็คงต้องเป็นเช่นนี้ตลอดไป\" แต่พอมาลองนึกย้อนดูจริงๆ ผมก็ไม่ได้เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เกิดซะหน่อย



                     แต่สาเหตุสำคัญก็คือ ตอนที่ผมหนุ่มๆอายุประมาณ 20 เวลาไปกินอะไรที่ไหน คนที่ร่วมกินด้วยก็จะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า



                     \"กินไปเถอะ เป็นผู้ชายต้องกินเยอะๆ พวกน้ำอัดลม ไก่เก่ยเนี่ย กินไปเลยไม่เป็นไรหรอก\"

                    

                     และผมก็เชื่อตามพวกเขา ตอนนั้นผมยังไม่ติดกินของที่มีแต่ไขมันสูงและน้ำอัดลม แต่พอกินจนหนัก 80 กว่าๆ ผมก็อยากเลิกกินแบบนี้เหมือนกันนะ แต่พวกเขาก็จะบอกว่า \"กินๆต่อไปเหอะ เกิดเป็นผู้ชาย ท้วมนิดท้วมหน่อยไม่เห็นเป็นอะไรเลย เราไม่ใช่ผู้หญิงนะจะได้มาซีเรียสเรื่องควบคุมการกิน\" ผมก็กินสิครับ แต่พอน้ำหนักถึง 92 กก. ผมก็รู้อยู่แก่ใจแล้วว่า ตอนนั้นตัวเองติดอาหารไขมันสูงทุกชนิดแล้ว รวมทั้งน้ำอัดลมที่ขาดไม่ได้เลยอย่างต่ำก็ต้องวันละ 5 ขวด และที่สำคัญผมไม่รู้จะจัดการกับตัวเองยังไงดี แต่พอผมหนักถึง 95 กก. และติดอาหารไขมันสูงทุกชนิด คนรอบข้างก็จะบอกว่า \"คุมไว้นะ อย่าปล่อยให้เกิน 100 นะ\"



                    ผมอยากตะโกนดังๆว่า \"ทำไมเพิ่งจะมาบอก และรู้ไหมว่าตอนนี้มันติดจนเลิกไม่ได้แล้ว\" และพอผมแตะที่ 100 กก. ผมก็โดนว่าจากคนรอบข้างจนฟังแทบไม่หวาดไม่ไหวเลย



                   \"ไม่รู้จักประมาณการกินเลย\"

                   \"ปล่อยตัวเองอย่างงี้ได้ไง\"

                   \"ไอ้อ้วน ไอ้หมู ไอ้หมีควาย\"

                   \"เมื่อไหร่จะคิดลดน้ำหนักซะทีนะ ไอ้ห่า\"

                   \"ยังไม่รู้ตัวอีก 105 แล้วนะ ไอ้ข้าวขาหมูน่ะ กินเข้าไป ข้าวมันไก่อีก น้ำอัดลมนั่นอีก เอ้า...เทใส่ท้องไปจนหมดเลย กี่ขวดแล้วเนี่ย\"



                   แต่พอผมหันกลับมาลดน้ำหนักได้และพยายามที่จะลดจนให้รูปร่างได้มาตรฐานจะได้คุมน้ำหนักได้ แต่พอลดลงมาเหลือ 96 กก. คนรอบข้างกลุ่มเดิมก็เข้ามายุ่งอีก



                   \"เอาแค่ 95 ก็พอ เดี๋ยวก็โยโย่ถามหาหรอก \"

                   \"เป็นผู้ชายทำไมมาสนใจเรื่องรูปร่างอ่ะ ไม่ไหวเลย\"

                   \"พอลดแล้วดูซูบไปเนอะ แย่จริงๆ\"

                   \"รู้ตัวไหมว่า พอลดน้ำหนักแล้วดูไม่ดีเลยนะ\"

                   \"จะลดไปทำไมเนี่ย เดี๋ยวนี้มาแคร์เรื่องรูปร่างแล้วเหรอ ดูหนังเรื่องบริดเจตโจนสิ เขาไม่เห็นสนใจเรื่องรูปร่างเลย\"

                   \"เริ่มกลายเป็นพวกมองคนแต่เปลือกนอกแล้วนะ สมัยก่อนเห็นแคร์แต่ความรู้สึกข้างใน เดี๋ยวนี้กลายเป็นพวกวัตถุนิยมเต็มตัวแล้ว\"



                   และเมื่อมาถึงวันนี้ คนกลุ่มเดิมก็ยังตามราวีไม่หาย

                   \"เราว่าตอนหนัก 107 ดูดีกว่าเป็นไหนๆเลยนะ ไม่ดูแย่เหมือนตอนนี้\"

                   \"โคตรฉลาดเลยมึงอ่ะ ลดน้ำหนักแล้วยังเขียนหนังสือหาตังค์อีก\"

                   \"เขียนไปทำไมหนังสือพวกนี้ ไม่ใช่คู่มือลดน้ำหนักซะหน่อย ไม่เห็นจะมีอะไรดีเลย\"

                   \"4 เดือน 33 โล มันเร็วไปหน่อยนะ อย่ามาโกหกเลย มึงต้องใช้ยาแน่ๆ\"



                   แล้วก็ยังมีอะไรอีกเยอะครับ ต้องขอโทษทุกท่านด้วยที่เขียนแบบใส่อารมณ์มากไปนิด แต่นี่ก็คือเรื่องจริงของผู้ชายคนหนึ่งที่ยังงงอยู่ครับ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ผมก็ไม่ถึงกับเครียดอะไรมากมายนะครับ ยังประคองให้จิตใจแจ่มใสได้อยู่



                   และผมก็ยิ่งห่วงคนที่น้ำหนักมาก และคิดที่จะลดน้ำหนักว่าจะเจอกับแรงกดดันมากๆอย่างผมรึเปล่า ที่ยังเขียนอยู่ทุกวันนี้ก็มาจากความห่วงใยอย่างแท้จริงครับ  ถ้ามีเรื่องเครียดอะไรระหว่างลดน้ำหนัก ถ้าปรึกษาใครไม่ได้ก็มาปรึกษาผมได้นะครับ เพราะผมอ่ะเจอมาเยอะแล้ว รับมือทุกเรื่องไหวแน่นอนครับผม แต่มาโพสในนี้นะครับ เพราะตอนนี้ถ้าจะให้ตอบทางเมลเห็นจะเป็นเรื่องที่ยากมากๆเลยครับ เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังลดน้ำหนักนะครับ อย่าท้อ อย่าเครียดและมุ่งมั่นเพื่อสุขภาพที่ดีของตัวเองนะครับ ผมจะเป็นกำลังใจให้เสมอครับ



      
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×