ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ประสบการณ์ลดน้ำหนักด้วยตัวเอง เดือนละ 10 กิโลฯ

    ลำดับตอนที่ #62 : ความลับของโยโย่ บูลิเมีย การกินและการลดน้ำหนัก 2

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.32K
      3
      21 มิ.ย. 48





                       หมายเหตุ เขียนวันที่ 21 มิ.ย. 48                        หนัก 74.0 กก.





    พอดีไปเจอสิ่งที่คล้ายๆจะเป็นโฆษณาชิ้นหนึ่ง ดูจากเนื้อหาที่กล่าวเอาไว้ก็สามารถที่จะนำมาวิเคราะห์เพื่อให้เกิดประโยชน์ได้ เนื้อความมีอยู่ว่า









    \"โยโย่ เอฟเฟกท์\" ทำเอาคุณแทบช็อคใช่ไหม?

    คุณเคยอดอาหาร เพื่อลดน้ำหนักไหม? นี่คือประสปการณ์ตรงจากผู้ที่เคยทดลองมาแล้ว \"ช่วงสองอาทิตย์แรก อดบ้าง กินบ้าง พยามยามลดอาหารพวกแป้งและไขมัน ได้ผล น้ำหนักลดตั้ง 5 ก.ก. จาก 62 เหลือ 57 แต่หลังจากนั้นมันไม่ลดอีกเลย พอระยะหลังเริ่มอดไม่ไหวแล้วร่างกายมันโหยหาสารอาหาร ถ้าไม่ได้กินอาหารเข้าไปบ้างมีหวังตายแน่ ๆ แล้วก็กลับไปกินอาหารที่อยากซะพุงกาง ทุกวัน กะว่าอีกซัก สอง สามวัน ค่อยเริ่มอดใหม่ ให้รอดตายคราวนี้ก่อน กะว่า ไม่นาน น้ำหนักไม่น่าขึ้นเกิน 2 กก.หรอก หลังตัดสินใจชั่งน้ำหนักใหม่ แทบช็อค เข็มมันตีขึ้นไปถึง 67 กก.ถึงตอนนี้ถึงได้รู้ว่า \"โยโย่เอฟเฟกท์\" มันเป็นจริงอย่างเขาว่ากัน\"

    คุณเคยกินยาลดน้ำหนักไหม? นี่คืออีกประสปการณ์ตรงจากผู้ที่เคยทนทรมาน \"ตอนช่วงแรกๆกินยาลดความอ้วน น้ำหนักลดลงจริงระยะหนึ่ง แต่ผลที่ตามมานี่สิ มันทนไม่ไหว ยามันบีบหัวใจ นอนไม่หลับ หวาดระแวง และน้ำหนักก็ไม่ได้ลดลงอีกเลย หนำซ้ำระบบขับถ่ายยังไม่ปกติ ท้องผูก และที่ร้ายที่สุดคือเมื่อทนไม่ไหวหยุดยา น้ำหนักมันกลับยิ่งค่อย ๆ เพิ่มขึ้นยิ่งกว่าตอนก่อนกินยาเสียอีก\"

    และที่สำคัญ คุณทราบหรือไม่ว่า ? 70 % ของผู้ที่เสียชีวิตด้วยโรค มีสาเหตุจากโรคเหล่านี้ หัวใจ มะเร็ง เบาหวาน ความดัน ระบบทางเดินหายใจ คอเรสเตอรอล คุณทราบไหมว่า ? โรคเหล่านี้เกี่ยวข้องอย่างสูงกับคนที่มีปัญหาน้ำหนัก(โรคอ้วน) คุณจะสูญเสีย ! มากกว่าที่คุณคิดหากคุณแก้ไขผิดวิธี ปัญหาเหล่านี้สามารถป้องกันและแก้ไขด้วยโภชนาการที่ถูกต้อง ที่มา : องค์การอนามัยโลก หากคุณกำลังต้องการแก้ไขปัญหาน้ำหนักด้วยวิธีที่ถูกต้องปลอดภัยในการดูแลของผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะ ติดต่อที่ ......................................................







    สมัยนี้ธุรกิจเกี่ยวกับการลดความอ้วนกำลังบูมถึงขีดสุด และหลายธุรกิจก็เอาเจ้าคำว่าโยโย่นี่แหละมาเป็นเหตุผลในทำนองที่ว่า ถ้าลดน้ำหนักเองอาจจะเกิดโยโย่นะ เราไม่ควรทำเช่นนั้น ถ้าอยากลดน้ำหนักให้ได้ผลควรมาปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เวลาผมเจอข้อความประเภทนี้ ผมอดที่จะคิดไม่ได้ว่า มันจำเป็นที่จะต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญมายุ่งกับเรื่องกิน ซึ่งถือเป็นเรื่องส่วนตัวของเราเลยเหรอ ผมยอมรับว่าผมอาจจะคิดมากเกินไป แต่ผมก็ยังมีความรู้สึกแปลกๆอยู่ดี ถึงแม้จะอ้างว่าเป็นการกินเพื่อลดน้ำหนักก็ตาม ถ้าเรื่องกินเราต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ และเรื่องอื่นๆล่ะ ถ้าเกิดมีปัญหาขึ้นเราควรจะทำยังไง เดี๋ยวนี้ทุกเรื่องถ้าเกิดมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น เราต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทุกเรื่องเลยรึเปล่า ก่อนที่ผมจะบ่นเพ้อไปมากกว่านี้ เรากลับมามองในประเด็นที่ว่า ที่เขาอ้างว่าควรพบผู้เชี่ยวชาญนั้นเพราะลดเองอาจเกิดโยโย่ได้ เราลองมาดูตัวอย่างที่เขายกมาดีกว่าครับว่า อะไรที่ทำให้เกิดโยโย่ได้บ้าง



    ที่เขายกมาจะมี 2 ตัวอย่างนะครับ ตัวอย่างแรกคือ การลดน้ำหนักด้วยการใช้วิธีอดอาหาร  จริงๆเราน่าจะรู้นะครับว่า การอดอาหารไม่น่าจะเรียกได้ว่าเป็นวิธีการลดน้ำหนักอย่างมีประสิทธิภาพ และต้องเกิดปัญหาขึ้นมาแน่ ก่อนอื่นต้องถามตัวเองก่อนครับว่า ในแต่ละวันเรากินอาหารเข้าไปเพื่ออะไร ก็เพื่อที่จะเอาอาหารไปสลายเพื่อให้ได้พลังงานออกมาให้เราใช้ในแต่ละวันไงครับ และถ้าเรากินมากเกินไป พลังงานที่มากเกินนั้นก็จะเหลือเก็บในรูปของไขมันเพื่อใช้เป็นแหล่งพลังงานสำรองต่อไป ถ้ามองกันง่ายๆแค่นี้ก็อาจจะมองได้ว่าอดอาหารก็สามารถนำเอาพลังงานสำรองที่เก็บไว้ออกมาได้ และถ้ายิ่งอดไปเลย พลังงานสำรองที่ถูกดึงมาน่าจะเยอะพอสมควร ถ้าคิดเพียงผิวเผินมันก็น่าที่จะใช้ได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงคือ ถ้าเราอดอาหารโดยที่ไม่กินอะไรเลย เราจะหิวมากๆ หลายท่านคงเคยมีประสบการณ์เช่นนี้มาก่อน มันก็น่าสงสัยเหมือนกันนะครับว่า ทำไมพอเราไม่กินอะไรเลยแล้วทำไมเราจะต้องหิวด้วย ทำไมร่างกายไม่ดึงพลังงานสำรองออกมาใช้และพอดึงออกมาแล้วก็ทำให้เราอิ่มไปเลย ทำไมมันจะต้องทำให้เราหิวด้วย และพอมันดึงพลังงานสำรองบางส่วนออกมาใช้ทำไมเราจึงยังหิวอยู่ และต้องอดทนต่อความหิวเหล่านั้น



    ใช่แล้วครับ ถ้าใช้เหตุผลคิดล้วนๆมันก็ไม่น่าจะเกิดปัญหาอะไรตามมามากมาย แต่พอเอาเข้าจริงๆ ความหิวอย่างมหาศาลก็เข้ามาถาโถมจนเรายากที่จะป้องกันได้ แล้วทำไมมันต้องเป็นเช่นนั้นด้วยล่ะ ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจว่า พลังงานแต่ละวันที่เราได้มานั้นมันได้มาเนื่องจากสลายอาหารเพื่อให้ได้พลังงาน ถูกไหมครับ มันต้องผ่านกระบวนการนี้ถึงจะให้พลังงานออกมาเพื่อให้เรานำพลังงานไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ แต่ถ้าไม่มีกระบวนการเช่นนี้เกิดขึ้นโดยที่เราไม่ยอมแตะต้องอาหารเลย แน่นอนครับว่าเราก็จะไม่ได้พลังงานที่จะใช้ในวันนั้น สัญญาณเตือนที่สำคัญประการหนึ่งคือ \"ความหิว\" เมื่อเรารู้สึกหิวก็แสดงว่าอาหารยังไม่ตกถึงท้อง ทำให้ไม่มีกระบวนการสลายอาหารเพื่อให้ได้พลังงาน ถ้าจะไปหวังพึ่งพลังงานสำรองที่เก็บสะสมไว้ มันก็อาจจะมีการสลายพลังงานสำรองออกมาบ้าง แต่ \"พลังงานสำรอง\" ย่อมเป็น \"พลังงานสำรอง\"วันยันค่ำครับ มันคงไม่สามารถให้พลังงานได้มากมายเท่ากับการที่เราได้จากอาหารที่เรากิน และประเด็นสำคัญคือ การเอาพลังงานสำรองออกมาใช้มันก็ไม่สามารถประทัง \"ความหิว\" ได้ เพราะมันคนละกระบวนการกันครับ เพราะฉะนั้นคนที่อดอาหารเขาก็ยังมีความหิวอยู่เหมือนเดิม



    การอดอาหารยังถือเป็นอันตรายด้วยครับ น้องๆเคยได้ยินเขาอดอาหารประท้วงหรือเปล่าครับ ถ้ามันไม่อันตรายเขาคงไม่เอาเป็นเครื่องมือในการประท้วงหรอกครับ ลองสังเกตดูสิครับ ไม่มีใครเขานั่งกินสลัดไก่ประท้วง หรืออ่านหนังสือประท้วง ที่เห็นกันบ่อยก็อดอาหารประท้วงนี่ล่ะครับ ขงจื้อเองเวลาที่เขาจะพูดถึงเรื่อง \"อดอาหาร\" ขงจื้อเขาจะใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษครับ เพราะเขาถือว่า เรื่องอดอาหารเป็นสภาวะที่ผิดปรกติ สิ่งที่ขงจื้อเขาถือว่าเวลาที่เขาจะพูดเรื่องนั้นเขาจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษมีอยู่ 3 อย่างครับคือ



    1.การอดอาหาร

    2.สงคราม

    3.ความเจ็บป่วย



    เพราะขงจื้อถือว่าแต่ละอย่างมันเป็นสภาวะที่ผิดปรกติ เวลาที่มีใครสักคนอยู่ในสภาวะเหล่านี้ แสดงว่ามันจะต้องมีอะไรที่ผิดปรกติสักอย่างที่เราจะต้องแก้ไข



    เมื่ออดอาหารและคิดไปว่าการเอาพลังงานสำรองออกมาใช้แล้วจะทำให้เราอิ่มและน้ำหนักลด แล้วเราจะมีความสุขนั้นก็ถือว่าเป็นความเข้าใจที่ผิดครับ ผิดมากๆเลย และที่ผิดมากเข้าไปอีกก็คือ ดันไปเข้าใจว่าการอดอาหารเป็นการลดน้ำหนัก อะไรกันครับที่ทำให้เราเข้าใจได้แบบนี้ แน่นอนครับว่าการอดอาหารมันทำให้น้ำหนักลด แต่ที่แน่ๆมันไม่ใช่การลดน้ำหนักอ่ะครับ จะให้ผมคิดยังไงก็ตาม ผมเองก็ยังไม่ค่อยสะดวกใจที่จะเรียกการอดอาหารว่าเป็นการลดน้ำหนัก ขงจื้อเองก็คงเช่นกัน และที่สำคัญถ้าเรายังอดอาหารต่อไปเรื่อยๆ ไอ้\"ความหิว\"ที่มันกำลังเกิดขึ้นเรื่อยๆมันก็ไม่ได้หายไปไหน บางคนให้ข้อคิดเห็นว่าคนที่ทนต่อการอดอาหารจะทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า hidden hungryหรือ \"ความหิวที่ซ่อนอยู่\" ซึ่งมันก็ต้องเกิดแน่นอนอยู่แล้วครับ เพราะกระบวนการประทังความหิวยังไม่เคยเกิดขึ้นเลยนี่ครับ แล้วพอความหิวสะสมเอาไว้มากๆ มันก็ต้องระเบิดออกมาเปรียบเสมือนกับแมกมาที่สะสมอยู่ใต้เปลือกโลกไงครับ พอถึงเวลาของมันแล้วมันก็ต้องปะทุออกมาเป็นลาวา ก็เหมือนกับคนที่อดอาหารนานๆพอทนหิวไม่ไหวก็ต้องหันมากินแบบมโหฬารบานตะไทไงครับ มันมีทางเลือกแค่ 2 ทางครับสำหรับคนที่อดอาหารนานๆคือ



    1. จะหันกลับมากินเพื่อชดเชยความหิว

    2. หรือจะยอมอดไปจนตายเลย



    ทางเลือกก็มีอยู่ 2 อย่างนี่ล่ะครับ พอกลับมากินใหม่ก็แน่นอนครับว่าจะต้องกินในปริมาณที่มากขึ้นเรื่อยๆและก็ทำให้น้ำหนักตัวก็ยิ่งมากขึ้นกว่าเดิม ก็เหมือนที่หลายคนเรียกกันว่าโยโย่ไงครับ ที่อยากถามต่อมาก็คือแล้วมันเป็นเรื่องที่น่าตกใจตรงไหนครับ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติล้วนๆ ทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้นครับ มันเป็นเรื่องธรรมชาติและธรรมดาจริงๆเลยครับ และมันก็ไม่เห็นเกี่ยวกับการลดน้ำหนักตรงไหน เพียงแต่ว่าคนที่ทำแบบนี้จะเกิดผลพลอยได้คือน้ำหนักตัวลดไงครับ แต่ยังไงในท้ายที่สุดก็ต้องกลับมากินจนอ้วนกว่าเก่าอยู่ดีครับ เพราะถ้าไม่ทำอย่างนั้นในท้ายที่สุดก็ต้องตายครับ ถ้าไม่กะฆ่าตัวตายจริงๆยังไงก็ต้องกลับมากินครับ และการเกิดโยโย่ในลักษณะนี้ก็เป็นไปตามธรรมชาติของกระบวนการที่เกิดขึ้นกับร่างกายและจิตใจของมนุษย์ครับ และนั่นก็คือประเด็นสำคัญทั้งหมดของเรื่องการอดอาหาร ตอนหน้าเราจะมาวิเคราะห์เรื่องยาลดความอ้วนกันต่อนะครับ



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×