คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 1 : ก็เราเป็น..... ของเล่นนี่นา!
หมายเหตุ : เนื่องจากผู้แต่งไมได้เก่งภาษาอังกฤษมาก ดังนั้น จะใช้ตัวเอียง(ไม่รวมหนา) เพื่อเป็นการบ่งบอกว่า ตัวละครนั้นๆ กำลังพูดภาษาอังกฤษอยู่นะครับ
หมายเหตุ 2 : ผู้แต่งขออนุญาต ใช้ "ชั้น" แทน "ฉัน" เพื่อให้ตรงตามเสียง มากกว่านะครับ
ตอนที่ 1 : ก็เราเป็น..... ของเล่นนี่นา!
======ครื้น!!!!!
เสียงของไฟที่กำลังโหมกระหน่ำลุกโชนกำลังเผาผลาญทุกสิ่งทุกอย่างทั่วทั้งบ้านพัก ท่ามกลางสายตา ของผู้คนมากมายที่รุมดูต่างกระวนกระวายใจ กับเพลิงไหม้ที่ได้เกิดขึ้น
เสียงโหวกเหวกโวยวายรุมเร้า รถดับเพลิงที่เพิ่งจะมาถึง น้ำที่เพิ่งจะฉีดเข้าไปที่นั่น
"พ่อฮะ!! พ่อ!!! ฮื้ออ พ่อ!!! พ่อฮะ!! ปล่อยผมนะ ผมจะเข้าไปช่วยพ่อ!! พ่อฮะ!! ฮื้อ พ่อ!!"
เด็กชายคนหนึ่งที่พยายามจะฝ่าวงล้อมของผู้คนเข้าไปช่วยพ่อของเขาด้วยความหวังว่าพ่อของเขาจะปลอดภัย แต่ผู้คนต่างก็ได้แต่รั้งตัวของเขาเอาไว้
เขาดิ้นพยายามจะทำให้หลุด ในไม่ช้าเขาก็หลุดได้สำเร็จ
"พ่อ! ผมจะไปช่วย อ้ะ!!" เขาเอ่ยด้วยเสียงมุ่งมั่น แต่แล้วก็ต้องหยุด ด้วยความตกใจ
ฟุบ!
แต่แล้วทุกๆอย่างก็เงียบลงไปทุกสิ่งทุกอย่างรอบร่างกายเด็กชายกลับกลายแปลเปลี่ยนเป็นเพียงความมืดและกลิ่นอายของสิ่งที่ไหม้เกรียม พร้อมกับเสียงฝีเท้าที่ดังออกมาจากด้านหลัง
เด็กชายคนนั้นชะงักค้างกับความน่ากลัวรอบด้าน
แกรก ... แกรก ... แกรก ... เสียงฝีเท้าที่เดินบ่งบอกได้ถึงความไม่ปกติ กับเสียงการขยับที่ดูสั่น สร้างความรู้สึกไม่ปลอดภัย ดังสะท้อนไม่หยุดตลอดเวลา
"ฮึก อึก" เด็กชายร้องไห้สะอึกสะอื้น ทั้งความเสียวใจ และความกลัวทำให้ไม่กล้าหันไปทางต้นเสียงฝีเท้า
แต่แล้ว เสียบฝีเท้านั้นกลับเอ่ย ด้วยเสียงที่เด็กชายคุ้นเคย
"เล่น ... ไม่ต้องกลัวนะ พ่อไม่เป็นไร" เสียงของชายโทนสูงแฝงไปด้วยความอบอุ่นและจริงใจ
เสียงที่คุ้นเคยสำหรับเด็กชายคือเสียงของคนที่เขาปรารถนาอยากจะให้เจ้าของเสียงปลอดภัย มันสร้างความหวังทำให้ความกลัวของเด็กชายหายวับไปในชั่วขณะจิต
"พ่อฮะ!"
เด็กชายเอ่ยด้วยความยินดี พร้อมหันหลังกลับไปมองทางต้นเสียง ด้วยใบหน้าที่ยิ้มเต็มไปด้วยคราบน้ำตา หวังที่จะได้เห็นใบหน้าของพ่อของเขา
"!!!!!!!" เด็กชายดวงตาเบิกโพลงทันที เพราะสิ่งที่เขาได้เห็นไม่ใช่พ่อ แต่กลับกลายเป็นซากโครงกระดูกที่โดนเผาไหม้จนเกรียมไหม้ไร้ซึ่งเนื้อหนังห่อหุ้ม กำลังยกมือมาทางเขา พร้อมกับเสียงที่อบอุ่นเปลี่ยนไปกลายเป็นเสียงอันโหยหวนดังขึ้น
"เล่น เข้มแข็งนะ เล่น ~~"
แม้คำพูดนั้นจะเป็นคำพูดให้กำลังใจ แต่สำหรับเด็กชายนั้นมันไม่ใช่ เสียง ภาพ ความรู้สึก ที่บ่อนทำลายจิตใจดวงเล็กๆ ได้กระชากความหวังทั้งหมดจากเด็กชายไป แปลเปลี่ยนเป็นความกลัว
"มะ ม่ายยยยยยยยย!!!!!!!!!!!!!!"
เขากรีดร้องเสียงดังอย่างสุดขีด กับการเจอผีโครงกระดูกไหม้เกรียมหลอกหลอนเขาต่อหน้าต่อตา และมันก็เป็นภาพน่ากลัวที่สุดเท่าที่ชีวิตเขาจะเคยเห็นมา ==================================
ฟุบ!!!
"เฮือก!! อึก บ้าจริง ... ฝันบ้านั่นอีกแล้วงั้นเหรอ"
ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาในยามดึก หายใจหอบเหงื่อแตกซึมไปทั่วร่างกายราวกับวิ่งออกกำลังกายมาหลายกิโล
ระหว่างหันไปมองดูนาฬิกาข้างเตียงที่บอกเวลาตีสี่ครึ่งแล้ว คงต้องเรียกตื่นขึ้นมาในยามรุ่งสางแทนแล้วสินะ เพราะความฝันบ้าๆนั่น คอยมากวนใจสัปดาห์ละครั้งสองครั้งแท้ๆ เล่นเอานอนแทบไม่พอเลย แถมพอเอนตัวลงไปจะนอน
--- "เล่น เข้มแข็งนะ เล่น ~~" ---
"....." ภาพโครงกระดูกที่น่ากลัวนั่น ก็ตามมาหลอกหลอนอีก ถึงมันจะไม่ได้น่ากลัวเท่ากับพวกปีศาจหรือผีในหนัง แต่มันกลับสร้างแรงกดดันและความหวาดกลัวให้ใจผมมากกว่าโข
"นอนไม่หลับเว้ย!" ผมข่มตาหลับต่อไปได้ราวยี่สิบนาทีสุดท้ายผมก็ต้องดันตัวลุกขึ้นออกจากเตียงเพื่อหาอะไรอย่างอื่นทำแทน
"เพิ่งทำงานกลับมาบ้านตีสองแท้ๆ เล่นเอานอนไม่หลับเลยเว้ย" ผมบ่นออกมาอย่างอดไม่ได้ ระหว่างถอดเสื้อผ้าออกเพื่อเข้าห้องน้ำชำระล้างร่างกาย พลางเหลือบมองไปที่ รูปภาพ ของผมกับพ่อ ของดูต่างหน้าที่ยังเหลืออยู่ ผมจ้องมองมันนิ่งเงียบอยู่แบบนั้น
"จะว่าไป วันนี้มันก็สิบปีพอดีแล้วสินะ" ผมเอ่ยออกมาอย่างใจลอยกับเรื่องที่ไม่น่าจดจำ หลังจากเหตุการณ์เพลิงไหม้ครั้งนั้นทรัพย์สมบัติ บริษัทและธุรกิจของพ่อ ก็... ไม่อยากจะนึกถึงมันเลยแฮะ
ยังไงตอนนี้ ผมก็สามารถออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า มายืนหยัดอยู่ได้ด้วยตัวเองแล้วเป้าหมายต่อไปของผม ก็คือการเรียนให้จบในระดับสูงและได้เข้าทำงานในบริษัทที่ควรจะเป็นของพ่อ พร้อมกับใช้ความสามารถของผมยึดบริษัทกลับคืนมาให้จงได้ เข้าใจใช่ไหมครับพ่อ สิ่งที่ผมอยากจะบอกพ่อ ก็คือ
"เลิกตามหลอกหลอนผมด้วยคำพูดให้กำลังใจแล้วไปผุดไปเกิดสักที! ผมเข้มแข็งพออยู่แล้วครับ"
ผมเอ่ยบ้าๆบอๆกับรูปภาพนั่นออกไป เพื่อปัดเป่าภาพหลอนๆ ที่ยังค้างคาในหัวของตนเอง ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป
ไหนๆก็นอนไม่หลับอยู่แล้ว ไปนั่งที่โรงเรียนแต่เช้าแล้วเตรียมตัวอ่านหนังสือสำหรับการสอบวันสุดท้ายเลยก็แล้วกัน
หวังว่าข้อสอบวันนี้ มันจะออกตามที่ผมอ่านเตรียมเอาไว้
<<<<>>>>
เวลา 4.48 น. ณ ลานจอดเครื่องบินที่มีพื้นที่ใหญ่สุดลูกหูลูกตา
ฟิ้ว~
เสียงของเครื่องบินลำหรู ระดับ First Class ที่บินตรงมาจากต่างประเทศเพิ่งแล่นลงจอด ณ ท่าอากาศยานสนามบินนานาชาติสุวรรณหงส์
ในเวลาไม่นานมากนักประตูเครื่องบินก็เชื่อมต่อเข้ากับทางเดินพิเศษตรงไปจนถึงจุดบริการรถรับส่งถึงที่หมายภายในตัวเมืองและเขตปริมณฑลสุดหรูพิเศษสำหรับผู้ใช้ First Class ในสายการบินนี้
ภายในเครื่องบินลำดังกล่าว ซึ่งมีเพียง 50 ที่นั่ง แต่ละที่นั่งกว้างขวางพอให้นอนและนั่งทานอาหารคอสหรูดูทีสีได้อย่างสะดวก สบาย พร้อมการตกแต่งอันดูหรูหราไฮคราส
"ขณะนี้ เครื่องบินได้เทียบท่า ก่อนกำหนดสิบสองนาที ณ สนามบินนานาชาติสุวรรณหงส์แล้วค่ะ โดยในขณะนี้รถยนต์รับส่งทั้งสิบเจ็ดคันตามจำนวนผู้ที่แจ้งความประสงค์จะใช้บริการรถของทางเรา ได้เตรียมไว้เรียบร้อยแล้วนะคะ" เสียงของแอร์โฮสเตสสาวแสนสวย ประจำเครื่องฝั่งด้านหน้า ได้กล่าวขึ้นหลังจากการตระเตรียมทุกอย่างสำหรับผู้โดยสารพร้อม
เหล่าผู้โดยสารได้ยินเช่นนั้น ต่างก็จัดกระเป๋า ข้าวของของพวกเขาเพื่อเตรียมตัว
เมื่อแอร์โฮสเตสได้สังเกตเห็นแล้วว่าผู้โดยสารต่างเตรียมตัวใกล้เสร็จ เธอก็รีบกล่าวประโยคปิดท้ายทันที
"ขอให้ท่านผู้มีอุปการคุณโปรดตรวจดูสิ่งของและสัมภาระที่นำขึ้นมาบนเครื่องบินของท่านก่อนออกจากที่นั่งค่ะ และสุดท้ายนี้หวังว่าท่านจะพอใจกับบริการจากสายการบินโมเอะโมเอะคิ้วแอร์ของเรา แล้วพบกันใหม่ ในโอกาสหน้า สำหรับวันนี้สวัสดีค่ะ... อะ" ในช่วงที่พูดจบพอดีนั้นเองเธอก็ได้สังเกตเห็นผู้โดยสารตัวเล็กคนหนึ่ง ที่ไม่น่าจะมาคนเดียวได้ ไร้ซึ่งสัมภาระขนาดใหญ่ใดๆติดตัวเธอมาด้วยเลยนอกจากกระเป๋าเป้สะพายข้างสำหรับเด็กลายหุ่นยนต์แมวสีฟ้าแสนน่ารัก 1 ใบกำลังเดินตรงดิ่งนำหน้าใครๆมาที่ทางออกด้านหน้า
แอร์โฮสเตสสาวที่ยังไม่เห็นผู้โดยสารคนอื่นๆ เคลื่อนไหวหรือเดินออกมาจึงค่อยๆ ย่อตัวลงพูดคุยด้วยรอยยิ้มอย่างเอ็นดูกับผู้โดยสารตัวน้อย
"ไม่รอคุณพ่อคุณแม่ก่อนหรือจ้ะ?"
รอยยิ้มเล็กๆ ผุดขึ้นมาบนใบหน้าของผู้โดยสารตัวน้อย พลางเอามือทาบที่อกขนาดใหญ่จนเสื้อยืดรัดรูปสำหรับเด็กผู้หญิงแทบปริออกมา พร้อมเอ่ยตอบออกไปด้วยเสียงเล็กๆแต่โทนสูง
"เรามาคนเดียวหน่ะ"
"ตายจริง มาคนเดียวเหรอ เก่งจังเลย! แล้วมีคนมารับหรือเปล่าจ้ะ?" เธอยิ้มรับ แต่สายตาเธอนั้นก็มีเหลือบไปมองหน้าอกของเด็กสาวบ้าง .... ความพ่ายแพ้ ?
"เปล่าหน่ะ เราให้รถที่นี่ไปส่ง" ผู้โดยสารตัวน้อยส่ายหัวตอบเบาๆ พลางปล่อยมือลง
"อ๋อ พอจะรู้จุดหมายหรือสถานที่ที่จะไปแล้วใช่ไหมจ้ะ ถ้ายังสงสัยตรงไหน ถามพนักงานคนขับรถ ที่พาหนูไปได้เลยนะจ้ะ"
"อื้ม!" ผู้โดยสารตัวน้อย พยักหน้ารับแล้วเอียงคอตอบต่อทันที "คิดว่ารู้นะ ก็เราเคยอยู่ที่นี่ มาตั้งเกือบยี่สิบห้าปีนี่นา"
".... อะ เอ่อ เหรอจ้ะ ยี่สิบห้าปีเลยเนอะ" แอร์โฮสเตสสาวมึนงงไปชั่วขณะยิ้มแหยๆรับระหว่างยืนขึ้นเมื่อเห็นว่าผู้โดยสารคนอื่นๆ เริ่มทยอยมากันแล้ว "งั้น ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพนะจ้ะ"
"อื้ม!"
ผู้โดยสารตัวน้อยพยักหน้ารับ แล้วเดินจากไป ปล่อยให้แอร์โฮสเตสที่ต้องทำหน้าที่ของตนเองต่อ พึมพำอยู่ในหัวตนเองคนเดียว
'เด็กฝรั่งนี่ ชอบเล่นมุขเป็นคนแก่สินะ'
บนรถแวนโดยสารส่วนบุคคลขนาดครอบครัวหมายเลข 3 ที่ติดโลโก้ ของสายการบิน โมเอะโมเอะคิ้วแอร์
บรื้น~
รถยนต์นั้นแล่นผ่านเขตต่างๆ ไปตามทางแยกและเส้นทางเดินรถที่คดเคี้ยว ราวกับไม่ได้วางแผนผังเมืองมาให้ดี แถมยังก่อเกิดรถติดเป็นช่วงๆ แม้ว่าขณะนี้ จะเพิ่งเวลาตีห้ากว่าๆก็ตาม แล้วก็มาหยุดสนิท เมื่อเริ่มเข้าช่วงใจกลางเมือง
พนักงานขับรถหนุ่มเมื่อเห็นรถติด เขาก็เหลือบตามองไปทางผู้โดยสารเพียงคนเดียวที่นั่งข้างๆเขา ซึ่งเธอเป็นเพียงเด็กผู้หญิงตัวเล็ก...ยกเว้นหน้าอก ผมสีทองอ่อนยาวสลวยประคอ กำลังเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างรถอยู่ เห็นแล้วเขาก็อดชวนคุยไม่ได้
"คุณหนูนี่เก่งจังเลยนะครับ เดินทางได้ด้วยตัวเองแบบนี้"
"อืม" เด็กสาวตอบรับเสียงนิ่งเรียบ เหมือนเธอกำลังลำลึกเรื่องราว หรือกำลังเศร้าอะไรบางอย่างอยู่
พนักงานขับรถที่เห็นแบบนั้น จึงต้องเพิ่มหัวข้อการสนทนาเพื่อให้เด็กสาวคึกคักมากขึ้น
"ที่นี่มีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะแยะเลยนะครับ ทั้งสวนสัตว์ในเมือง และสวนสนุก"
"อื้อ เรารู้อยู่แล้วหละ ที่นี่มีสถานที่สวยงามเยอะแยะเต็มไปหมดเลย" เด็กสาวพยักหน้ารับระหว่างที่สายตาเธอเริ่มจับจ้องไปที่ตึกของบริษัทขนาดใหญ่หลากหลายตึกทั่วเมือง จนกระทั่งสายตาเธอหันไปเพ่งเล็งที่ตึกสูงใหญ่ดูหรูหรา สีโทนเทาน้ำตาลติดตราสัญลักษณ์บริษัท PC เธอหรี่สายตาลงเล็กน้อย จ้องมองตึกนั้นอย่างไม่ละสายตา
"ครับ ถ้าคุณหนูสนใจอะไรเป็นพิเศษถามผมได้เลยนะครับ เผื่อผมจะแนะนำได้"
เมื่อเห็นว่าเด็กสาวตอบแบบนั้น พนักงานขับรถจึงเริ่มคำถามปลายเปิดเพื่อจะได้เป็นหัวข้อสนทนาต่อไปทันที
"เน่.. ตึกนั่น..." เด็กสาวเอ่ยแล้วใช้มือซ้ายยกขึ้นชี้ด้วยนิ้วชี้และนิ้วกลางตรงไปยังตึกที่เธอเล็งไว้
"ครับ?" ชายหนุ่มคนขับรถตอบรับ
เหมือนผู้โดยสารตัวน้อยจะตามประเด็นที่เขาชักนำทำให้เขา ค่อยๆ เขยื้อนกายเข้าไปใกล้กับเด็กสาวเล็กน้อยเพื่อจ้องมองตามที่เด็กสาวชี้
"ตึกนั่นเปลี่ยนสีอย่างงั้นเหรอ แล้วเปลี่ยนตั้งแต่เมื่อไหร่ ?"
เด็กสาวยิงคำถามที่พนักงานขับรถหนุ่มได้ยินต้องตอบลำบากไม่น้อย เขาไม่แน่ใจว่ามันเปลี่ยนสีจากในหนังสือที่เธอเคยอ่านตามแหล่งท่องเที่ยว หรือยังไง แล้วไหงคำถามของเด็กต่างชาติถึงได้ถามในสิ่งที่ดูไม่สะดุดตา ของบริษัทการอาหารและโรงแรมชั้นนำอย่างบริษัท PC ได้
"อืม~~" พนักงานขับรถทำเป็นนึกออกเสียงสูงเล่นกับเด็กสาว ก่อนจะตอบออกไป "เท่าที่ผมจำได้ ตึกนั่นก็เป็นสีนี้มาตั้งนานแล้วนะครับคุณหนู"
เด็กสาวนิ่งเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำตอบ
"สนใจอะไรอีกไหมครับ ถามมาได้นะ" เมื่อเห็นเงียบ พนักงานขับรถก็ชวนคุยต่อ ระหว่างหันกลับไปเขยื้อนรถไปข้างหน้าได้เพียงเล็กน้อยก็ติดแหงกต่อ
"แต่ว่าเมื่อสิบปีก่อน มันเคยเป็นสีเขียวอ่อนทั้งตึกยกเว้นขอบตึกที่เป็นสีน้ำตาลอ่อน เหมือนต้นไม้ที่กำลังเติบโต ไม่ใช่เหรอ ?"
"...." พนักงานขับรถที่โดนถามมาต่อก็ไปต่อไม่เป็น เขาไม่รู้จะตอบเด็กยังไงดี เขาจึงตอบออกไปตามตรงแทน "ฮ่ะๆ ผมก็เพิ่งมาทำงานที่ตัวเมืองได้แค่ สี่ถึงห้าปีเอง คงจะไม่เคยเห็นตึกมันเปลี่ยนสีหรอกครับ"
เด็กสาวเงียบไปอีกครั้ง แถมครั้งนี้ยิ่งเงียบนิ่งกว่าตอนแรกเป็นเท่าตัว เหมือนเริ่มมีบรรยากาศมาคุแทรกไปทั่วทุกแห่งบนรถ ทำให้พนักงานขับรถต้องเริ่มเปลี่ยนเรื่องคุยแทน
"แล้วนี่ ครอบครัวของคุณหนูเดินทางมาก่อน แล้วให้คุณหนูตามมาอีกทีเหรอครับ"
"เปล่า ครอบครัวเราอยู่ที่นี่อยู่แล้ว" เด็กสาวตอบอีกครั้ง แถมเสียงของเธอยังออกน่ารักสดใสโทนสูงขึ้น เหมือนเธอจะสนใจในหัวข้อสนทนานี้มาก
"ฮ่ะๆ แบบนี้เอง คงจะคิดถึงพวกเขามากๆเลยนะครับ" พนักงานขับรถรีบเสริมทันทีเมื่อเห็นว่าสร้างแรงจูงใจให้เด็กได้
"อื้ม!!!" เด็กสาวตอบรับ
ด้วยคำพูดของพนักงานขับรถประโยคนั้นทำให้เธอหันหน้ากลับมามองเขาอย่างรวดเร็ว ด้วยดวงตาสีเขียวมรกตเปล่งประกายแสนสดใส ทำให้เขาแทบละสายตาจากดวงตาคู่นั้นไม่ได้เลย
"คิดถึงมากสุดๆเลยหละ ลูกชายของเราหน่ะ!!!"
"..." พนักงานขับรถจ้องดวงตาเด็กสาวนิ่ง พร้อมติดสถานะมึนงงไปหลายวินาทีกับคำตอบของเธอ แล้วหันกลับไปขับรถต่อ ระหว่างโดนเด็กสาวชวนคุยจนทำให้เขาได้แต่คิดในใจ 'เด็กฝรั่งคนนี้นี่ จะเรียกว่าจินตนาการสูงเกินเด็ก หรือแก่แดด ดีฟระ'
<<<<>>>>
เวลา 15.45 น. ภายในห้องสอบ 213 ของโรงเรียนมัธยมดำรงวิทยา
"เหลือเวลาอีกสิบห้านาที จะหมดเวลาสอบ" เสียงของอาจารย์วัย 30 ปีดังขึ้น ภายในห้องสอบที่เคยเงียบสะงัด ทำให้เกิดรังสีแห่งความกระตือรือร้นในการเร่งกาไม่ก็เร่งเดา ของเหล่านักเรียน ม.5 เทอม 2 กว่าครึ่งจาก 40 ชีวิตที่ยังทำข้อสอบไม่เสร็จกระจายไปทั่วทั้งห้อง
ตัวผมเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ต้องเร่งแบบนั้น เพราะเพิ่งทำไปได้แค่ 40 ข้อจากทั้งหมด 80 ข้อเท่านั้น พอยิ่งเร่ง ก็ยิ่งมึน ตาเริ่มลายแปลกๆ แถมปวดหัวตุบๆอีกต่างหาก ถึงรอบนี้อยากจะทำให้ได้เยอะๆเพื่อที่คะแนนจะได้ไม่ลงไปแตะเส้นอันตรายก็เถอะ
ไม่ไหวแฮะ ตัวเราเอง ที่ไม่ค่อยได้มีโอกาสอ่านหนังสือเท่าไหร่ กว่าจะมาอ่านก็ช่วงเช้าก่อนสอบแบบนี้คงทำได้แค่นี้หละมั้ง
"เหลือเวลาอีกสามนาทีเตรียมเอาข้อสอบมาส่งครูได้แล้วค่ะ" เสียงสวรรค์ จากอาจารย์ดังขึ้นมาอีก
เหลือ 3 นาทีงั้นเรอะ! ไวชะมัด ยังทำเพิ่มจากเมื่อกี้ไม่ถึง 5 ข้อเลยเห้ย! ไม่ต้องคิดกันละ!
"วางปากกา เอาข้อสอบมาส่งแล้วออกจากห้องสอบได้ ขอให้ได้คะแนนเยอะๆกันทุกคนนะ"
และนั่นก็คือเสียงสุดท้ายจากอาจารย์คุมสอบที่ดังขึ้นพร้อมกับความสิ้นหวังของผมที่เพิ่งกาข้อสุดท้ายเสร็จด้วยการเดามั่วล้วนๆ
'ตัดใจได้เลย' ผมพึมพำเบาๆระหว่างหยิบกระเป๋ามาสะพายลุกออกจากโต๊ะพร้อมกระดาษข้อสอบไปวางไว้ที่โต๊ะอาจารย์ สวัสดีอาจารย์สวยๆ แล้วเดินออกจากห้องเรียน
"ข้อสอบไม่ยากเลยเนอะ"
"นั่นสิ ค่อยยังชั่วหน่อยที่อ่านตรงนั้นเอาไว้"
"แต่ชั้นไม่ไหวจริงๆนะ ตอบไม่ได้เลย"
"แหม ก็ไม่ยอมอ่านหนังสือเองนี่"
"นี่ๆ ไปหาอะไรกินฉลองกันมั้ย"
"นั่นสิไปกันทั้งห้องเลยไหมหละ"
"ร้านหมูกระทะจรวด ใกล้โรงเรียนไหมหละเธอ"
"ร้านนั้นมีกุ้งเผาด้วยนี่"
"ว้าย ไปๆ ไปกันๆ"
"พวกผู้ชายจะไปด้วยกันมั้ย"
"ไปด้วยๆ!"
"ไปด้วยสิ ไม่พลาดอยู่แล้ว!"
เสียงพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติเขาเหล่าเพื่อนร่วมห้อง ที่เครียดมาตลอดสัปดาห์ หลังจากสอบกลางภาคเสร็จ พวกเขาก็คงจะได้ปลดปล่อยและผ่อนคลายกันอย่างเต็มที่ตลอดช่วงสัปดาห์หน้าทั้งสัปดาห์ รวม 10 วันเต็ม ของวันปิดเทอมสั้น
"นี่แหละน้า ชีวิตวัยรุ่น" ผมอดไม่ได้ทันที ที่จะบ่นออกมาราวกับตาแก่อายุ 50 ปีขึ้นไป เพียงเพราะว่าผมไม่ค่อยได้มีโอกาสที่จะไปแบบเพื่อนๆเท่าไหร่นัก ... ไม่สิก็ดันไปสร้างวีรกรรมไม่ค่อยดีกับเพื่อนๆไว้ด้วย จะเรียกไม่ถูกกับใครเลยน่าจะดีกว่า มีใครชวนเราไปก็แปลกหละ
"นี่จะชวนเล่นไปด้วยไหม"
"ไม่เอาน่า มันไม่ไปหรอก"
"ชวนทีไรก็เห็นบอก ไม่ว่าง ยุ่ง ทุกทีนี่"
"วันนี้ก็เหมือนเดิมหละม้างงงงงง"
"... แต่ว่า"
"ถ้ามันไม่อ้างเรื่องเงินก็อ้างเรื่องงานแหละฝน"
"ปะๆ ไปกันเหอะ!"
"ลุยกันๆ"
"เคๆ"
"ทุกๆคน ไปร้านหมูกระทะจรวดโลด ปลดปล่อยความเหนื่อยล้าให้เต็มที่"
"โอ้ว!!"
นั่นไงหละเสียงแว่วๆ ของการสรุปแบบไม่ต้องการคำตอบนั่น ก็บ่งชี้อยู่แล้ว
ผมยิ้มเล็กๆ แล้วเดินออกจากจุดนั้นไปอีกทางเพื่อออกจากโรงเรียนโดยไม่ได้หันไปมองพวกเขา
เวลา 16.24 น. บนรถเมล์ไม่ปรับอากาศที่แน่นเไปด้วยผู้คนสาย 5500 บนถนนสายรองมุ่งหน้าจากเขตนอกตัวเมืองเข้าไปสู่ตัวเมือง
บรื้น~~
ผมกำลังยืนห้อยโหนบนรถเมล์ที่กำลังเดินทางไปยังสถานที่ที่เป็นจุดแห่งความทรงจำของผม น่ายินดีที่เส้นทางขาไปวันนี้รถไม่ติดหนักอะไรทำให้น่าจะไปถึงในเวลาแค่ 20-30 นาที ยังพอมีเวลานั่งรถขากลับอยู่บ้างนั่นแหละ
เรื่องชวนไปกินอะไรกันกับเพื่อนฝูงก็อยากไปอยู่หรอก แต่มันก็เปลืองเงินจริงๆ แล้วยังไงวันนี้ก็ต้องไปทำงานที่ร้านอาหารตอนหกโมงเย็นอยู่ดีอย่างที่พวกเขาแขวะ ไม่มีเวลาจะไปกินอะไรด้วยกับเพื่อนๆหรอก
"อีกนิดเดียวก็จะถึงแล้วเนอะแก"
"อื้ม ได้เที่ยวเต็มที่สักทีเนอะ"
"ไปดูหนังด้วยเลยมั้ย"
"ไปๆ"
"เอาเรื่องนั้นเลย แดนโสมโลมรัก"
พวกสาวๆนักเรียนโรงเรียนอื่นต่างก็คุยกันอย่างสนุกสนานบนรถใกล้ๆกับผมดูพวกเขามีสังคมกันแล้วก็อดอิจฉาไม่ได้ นี่เราไม่มีเพื่อนเลยสินะ หรือบางทีผมอาจจะอัธยาศัย ไม่ได้เรื่องจริงๆ
จะว่าไปเมื่อกี้เราก็ใช้อารมณ์ไปหน่อย เล่นเดินโพล่งออกไปจากจุดสนทนาดื้อๆแบบนั้น เรียกว่าไม่คิดอะไรเลยก็หลอกตัวเองเกินไป พอมานึกๆดูแล้วก็มีคนอยากชวนเราไปเหมือนกันนี่นะ แต่ดันไม่ได้มองหน้าซะได้ ใครหว่าเสียงผู้หญิงสินะ ชื่อเพื่อนบางคนก็ยังจำไม่ได้เลยด้วย
'ช่างมันเหอะ' ผมได้แต่พึมพำออกมา แล้วหลับตาลงพักสายตาในท่าโหนรถเมล์อยู่แบบนั้น
เวลา 16.46 น. ณ หมู่บ้านมั่งมีเศรษฐกิจ เขตใกล้ตัวเมือง
ผมเดินตรงเข้าไปภายในหมู่บ้านขนาดกลาง ที่มีเหล่าคนมีอันจะกินอาศัยอยู่ บ้านแต่ละหลังถูกสร้างอย่างสวยงามตามฐานะของผู้อยู่ ตัวผมเองคงไม่ค่อยเหมาะกับที่นี่เท่าไหร่นัก ถ้าไม่ได้จะเอาพวงมาลัยมาไหว้สถานที่แห่งนี้
ผมตรงเข้าไปจนกลางหมู่บ้าน ถัดจากบ้านที่โอ่อ่าไปได้เล็กน้อย ก็พบกับ ...รั้วบ้านหลังที่ผมรู้จักดี เพียงแต่มันมีแค่รั้วและประตูเหล็กที่ล็อคไว้อย่างแน่นหนา ภายในมีซากปรักหักพังรกร้างเต็มไปด้วยหญ้าเถาวัลย์รากไม้ที่ขึ้นเต็มไปหมด ตามประสาพื้นที่ ที่ไม่มีใครดูแล
"เมื่อเช้านี้ มาเข้าฝันทวงหรือเปล่าครับ ผมไม่ลืมซื้อมาให้หรอก ของโปรดพ่อเลยนะ" ผมเอ่ยออกมาพลางเปิดกระเป๋าแล้วหยิบเอาพวงมาลัย พร้อมกับแฮมเบอร์เกอร์ รสดั้งเดิมของ PC ออกมาระหว่างเดินตรงปรี่เข้าไปที่รั้วบ้าน เพื่อที่จะวางทั้งสองสิ่งลงไว้ตรงนั้น
"อะ!" แต่แล้วตัวผมก็ต้องหยุดชะงักลง พร้อมกับสายตาที่จดจ้องไปยัง ช่อดอกไม้สวยงามที่เพิ่งเริ่มเหี่ยวได้ไม่นานโดนวางเอาไว้ก่อนแล้วน่าเสียดายที่ผมไม่รู้จักว่าดอกสีขาวพวกนี้เรียกว่าดอกอะไร
ตลอด 9 ปีที่ผ่านมา ไม่เห็นจะมีใครเอาดอกไม้หรืออะไรมาวางไว้เลยแท้ๆ
จะดีใจดีไหมนะ ที่มีคนรำลึกเหตุการณ์เมื่อ 10 ปีก่อนได้เหมือนกับผม อาจจะเป็นพนักงานเก่าในบริษัทพ่อ ที่ยังพอจะจำได้ว่าอดีตหัวหน้าของพวกเขาคือใครก็ได้หละมั้ง
ผมวางพวงมาลัยไว้ข้างๆช่อดอกไม้ พร้อมวางแฮมเบอร์เกอร์ที่แกะซองออกแล้วไว้ด้านบนพวงมาลัย พนมมือไหว้โดยไม่ได้อธิษฐานอะไรเลย ก่อนจะลุกขึ้นเดินจากมา เพราะไม่มีเวลาอาลัยอาวรณ์กับเรื่องเก่าๆมากนัก นอกจากต้องเร่งไปทำงานต่อ
ภัตตาคารภายในโรงแรมเขตย่านการค้าใหญ่รอบเมือง
"ถ้ายังมาสายอีกรอบ ผมไล่คุณออกแน่"
"ทำงานให้มันได้เรื่องหน่อยได้มั้ยคะ!"
"เอ้าๆ ทำอะไรของแกวะ ชักช้าจริง"
"เกะกะ หลบทางไปเลยไป"
"ตายแล้ว นี่เสิร์ฟอาหารยังไงของแกเนี่ย .. ไปเรียกผู้จัดการมาเดี๋ยวนี้เลยนะ!"
"ไม่ได้เรื่อง! ทำไมคุณถึงได้ทำงานได้แย่อย่างงี้ เห็นไหม ลูกค้าเขาด่ามา ภัตตาคารอาหารเราเสียหมด!"
"ก็อย่างว่าหละนะ โตมาจากที่ไหน ก็ทำได้แค่ที่นั่นแหละ"
"ใครใช้ให้จ้างเด็กที่ออกมาจากสถานเลี้ยงเด็กมีปัญหามาทำงานหละ"
"มันเรียกเงินแค่ 7500 นี่ ..."
"เอ้านั่น ทำจานแตกอีกแล้วเหรอ!"
"สวะ จริงๆ เจ้าเด็กเหลือขอเอ้ย"
"ไปๆ ไปทางอื่น อย่ามายุ่งทางนี้"
"แล้วไม่ใส่หน้าที่หลักให้มันทำงานอะไรสักอย่างไปหละ"
"ก็ไม่มีใครอยากเอามันมาเป็นลูกน้องนี่"
เสียงด่าทอว่ากล่าวดังมาไม่ขาดสาย ก็ยอมรับเรื่องมาสายอยู่หรอก แต่บางอย่างผมไม่ได้ทำเลยแท้ๆ ผมไม่มั่นใจว่ากริยามารยาทหรือคำพูดผมมันไปทำให้พวกเขาไม่ชอบหน้าหรือป่าวถึงได้เป็นแบบนี้
บางทีก็ท้อเหมือนกัน แต่เพราะต้องทำงานสะสมเวลาให้มีประสบการณ์งานอาหารในโรงแรมเพื่อต่อยอดเป้าหมายที่ผมหวังไว้หลังจากนี้ สุดท้าย ผมก็ต้องก้มหน้ายอมรับสิ่งเหล่านั้นไป และเอ่ยประโยคคลาสสิค ออกมา
"ขอโทษครับ จะปรับปรุงตัวใหม่ครับ ขอความกรุณาด้วยครับ"
เวลา 02.20 น. หน้าหอพักราคาถูกขนาดกลางที่มี 5 ชั้น ชั้นละ 10 ห้อง ชื่อหอว่า หอพักร้อยล้าน
ผมเดินขึ้นบันใดหอมาชั้น 5 อย่างอิดโรย บางครั้งผมก็รู้สึกเปล่าเปลี่ยวอยู่เหมือนกัน กับชีวิตแบบนี้ รู้สึกอ้างว้าง อยากจะได้เพื่อน อยากจะได้สังคม ที่ไม่ดูถูกผม อยากจะได้คนเข้าใจ และความอบอุ่น
บางทีผมน่าจะเรียนให้จบ หันหน้าหนีไปจากจุดนี้ แล้วหางานง่ายๆ สบายๆทำ หาหนทางอื่นที่ไม่ใช่การทวงสิ่งที่ผมควรจะได้และเสียไปกลับคืนมา ด้วยความคิดที่จะเริ่มต้นจากการต่อสู้เชิงรูปธรรมแต่กลับห่างชั้นจนคว้าไม่ถึง
"ท้อแฮะ" ผมบ่นออกมาอย่างหมดอาลัยตายอยาก หลังจากขึ้นบันไดจนถึงชั้น 5 เลี้ยวไปที่ห้องริมสุดกลับเข้าห้องนอนของผม หวังว่าจะได้ล้มตัวลงนอนบนเตียงอย่างสบาย และพักผ่อนยาวๆในวันพรุ่งนี้ นี่อาจจะเป็นความสุขเดียวที่ผมเหลืออยู่จากความว่างเปล่าที่ไม่มีใคร ก็เป็นได้
ถึงหน้าห้องสักที ....
ผมไขประตูเข้าห้อง พลางปิดล็อคให้สนิท แล้วเดินโซเซตรงไปที่เตียงล้มตัวลงนอนโดยไม่ได้เปลี่ยนชุดเพราะความเหนื่อยทันที
ตุบ ..
"เหนื่อย ..." ผมบ่นออกมาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเอียงตัวกอดหมอนข้างกำก้อนกลมๆนุ่มๆที่ยื่นออกมาจากหมอนข้างขยำๆด้วยความนุ่มเล่นระหว่างหลับตาลง ขอพักสักตื่นแล้วค่อยอาบน้ำแล้วกัน
ดึ๋งๆๆ
หมอนข้างเรานี่มันนุ่มนิ่ม แถมหอมดีจริงๆแฮะ
.....
.....
หนุบๆ....
ทำไมบีบแล้วมันถึงรู้สึกดีจริงๆ ... กลิ่นหมอนข้างก็เย้ายวนใจชะมัด
.....
.....
.....
"อือ ..."
แถมหมอนข้างของเรายังครางได้อีก หมอนข้างรุ่นใหม่สินะ
.....
.....
หนุบๆ ดึ๋งๆ
"งืออ..."
หมอนข้างครางได้อีกละ สงสัยจะ .....
"เห้ย!! ตรูไม่มีหมอนข้างนี่หว่า!! แล้วหมอนข้างที่ไหนมันจะร้องได้ฟระ!!" ผมตกใจร้องเสียงหลงดันตัวพรวดขึ้นมาจ้องมองไอ้ของที่ผมคิดว่ามันควรจะเป็นหมอนข้าง ....
"อืมมม..." หมอนข้างของผม? ครางแล้วดันตัวลุกขึ้นนั่งพร้อมขยี้ตาตาม
ไม่ๆๆ นี่ไม่ใช่หมอนข้างแล้ว
คนเหรอ เสียงเล็กเหมือนเด็กผู้หญิง
ผมพยายามเพ่งเล็งใบหน้าของเจ้าของเสียงผ่านแสงจันทร์ที่ลอดเข้ามา สะท้อนให้เห็นผมสีทองอ่อนยาวสลวย หยักศกเล็กน้อยคล้ายดัดมา ยาวประบ่า ใบหน้าที่เรียบเนียนใส ไร้ซึ่งริ้วรอย โครงหน้ากระชับได้สัดส่วนกับริมฝีปากเล็กๆและจมูกที่ไม่โด่งมากไป พร้อมทั้งผิว ที่แม้จะมืดแค่ไหนแต่ก็มองออกว่าขาวสะอาดตา รูปร่างเล็กขนาดเด็กผู้หญิง .. เว้นแต่หน้าอกหน้าใจที่ใหญ่จนเบียดเสียดเสื้อยืดที่เธอใส่
"อืมมม.... " ก่อนที่เธอจะขยี้ตาเสร็จ แล้วค่อยๆหันมามองผมด้วยดวงตาสีเขียวมรกตที่เปล่งประกายแม้มีเพียงแสงจันทร์ส่องสว่างอันน้อยนิด
เด็กฝรั่งงั้นเหรอ น่ารัก... ไม่สิจะเรียกว่าโคตรน่ารักเลยก็คงจะได้ ไอ้ความน่ารักเกินบรรยายออกมาเป็นคำพูดนั่นมันทำให้ความคิดที่ผมจะโวยวายอะไรต่อหายไปหมด ไม่ๆๆ ถึงจะน่ารักแค่ไหน แต่นี่มันบุกรุกห้องชาวบ้านชัดๆ ต้องพูดอะไรสักอย่าง
"น้องมาทำอะไรในห้องของพี่ครับเนี่ย!" ผมพูดออกไปแล้ว
เห้ย ไม่สิ ... เด็กฝรั่งจะเข้าใจภาษาเราได้ไงฟระ แต่ตรูไม่รู้ภาษาอังกฤษนี่ ... โอยคิดมากๆก็ไม่ไหว ยิ่งเพิ่งทำงานมาเหนื่อยๆอยู่
เด็กสาวที่ได้ยินคำถามของผม ก็ค่อยๆยิ้มเล็กๆ รู้สึกได้ถึงความอ่อนโยนของเธอพร้อมกับขยับตัวเข้ามาโผกอดผมเอาไว้แน่น
หนุบ!
"หะ เห้ย" ผมออกเสียงอย่างตกใจทันที
ผมคิดอะไรไม่ออกอีกแล้ว เด็กคนนี้เป็นใครฟระ แล้วมาทำอะไรที่ห้องของผม แล้วมาโผกอดกันแบบนี้ รึว่าเธอจะชอบผม ไม่ สาวน้อยจากต่างดาว? ไม่ๆๆๆ นักฆ่าจากโลกอนาคต? ไม่สิ หุ่นยนต์จากศตวรรษที่ 22? ไม่ใช่อีกนั่นแหละ ว่าแต่ ไอ้หน้าอกใหญ่ๆนี่มัน เบียดแน่นเกินไปแล้วเฟ้ย ละ-เลือดลมมันสูบฉีดเพราะเจ้าก้อนเนื้อมหาภัยนี่อีก
ในระหว่างที่หัวของผมกำลังหมุนมั่วไปหมด บางอย่างอุ่นๆ ก็ไหลลงอาบคอผม มันทำให้อารมณ์ที่กำลังฟุ้งซ่านและเลือดลมที่พุ่งพล่าน ลดลงในฉับพัน
"เธอ... ร้องไห้งั้นเหรอ?" ผมเอ่ยถามออกไประหว่างเอื้อมมือออกมาโอบกอดแผ่นหลังเล็กๆของเธอเอาไว้ โดยอัตโนมัติ ราวกับความรู้สึกบางอย่างมันแผ่เข้ามาถึงหัวใจ
อบอุ่น ความรู้สึกที่ทำให้อาการเหนื่อยและหัวหมุนทั้งหมดของผมหายไปเป็นปลิดทิ้ง ไม่รู้ทำไม แม้ว่าเธอจะเป็นคนแปลกหน้าและไม่เคยเจอกันมาก่อน แต่ความรู้สึกผูกพันธุ์ นี่มันอะไรกันแน่ ผมรู้สึกไว้ใจเธออย่างบอกไม่ถูก
ตอนนี้ไม่ว่าจะอะไรก็ช่าง คงต้องรับฟังความรู้สึกของเธอเอาไว้ก่อน เผื่อว่าเราจะช่วยอะไรได้บ้าง แบ่งเบาความรู้สึกต่างๆมาจากเธอ
"เป็นอะไรหรือป่าว ... ทำไมถึงร้องไห้หละ? พูดออกมาได้เลยนะ พี่ยินดีรับฟัง" ผมเอ่ยพลางเริ่มยกมือขวาขึ้นสางผมสีทองอ่อนของเธออย่างเบามือเพื่อปลอบประโลม
"อึก ...ฮึก .. ฮึก คิดถึงเล่นมากๆเลย ฮึก ..ดีใจจริงๆที่ได้เจอเล่นอีก" เธอเอ่ยออกมาสะอึกสะอื้นไห้ระหว่างยังคงกอดผมแน่น
"ระ-รู้จักพี่ด้วยเหรอครับ เราเคยเจอกันมาก่อนเหรอ" ผมเอ่ยถามกลับไป
เราไม่เคยเจอเธอมาก่อนแน่ๆ หรือว่าเธอจะเป็นเด็กจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ... ไม่น่าใช่ที่นั่นไม่น่ารับเลี้ยงเด็กฝรั่ง แต่เธอก็พูดภาษาของเราได้ชัดเจนนี่ น่าแปลกจริงๆ หรือจะเป็นลูกค้าที่ร้านอาหารที่เราทำงาน ไม่ก็ลูกค้าร้านสะดวกซื้อที่เคยทำเมื่อนานมาแล้ว หรือหุ่นยนต์จากศตวรรษที่ 22! ไม่!มุขนี้เล่นไปแล้ว ไม่น่าใช่ทั้งนั้นนั่นแหละ!
"... อื้อ ทำไมจะไม่รู้จักหละ" เธอเอ่ยแล้วขยับกายเงยหน้าจ้องผมทั้งน้ำตาในระยะประชิด
ใบหน้าใสๆแสนน่ารัก สองฝั่งแก้มแดงระเรื่ออาบไปด้วยน้ำตาแสดงถึงความดีใจอันเอ่อล้นมากกว่าเศร้าสร้อย เธอดูมีความสุขมาก
ทำไมจะไม่รู้จักงั้นเหรอ? หมายความว่ายังไง จะสื่ออะไรกันแน่ ... แต่จะมาแบบไหนก็เอาเถอะ หลังจากชีวิตที่ผ่านเรื่องโหดร้ายมาหลายครั้งติด ทั้งเรื่องตอนเด็กและตอนโต จะมีอะไรแปลกหรือพิสดารไปกว่านี้คงไม่มีอีกแล้วหละ จะพูดอะไรก็บอกออกมาได้เลย
"ก็เราเป็น ... พ่อของเล่นนี่นา!"
เราเป็นพ่อของเล่นนี่นา!
เป็นพ่อของเล่นนี่นา!
พ่อของเล่นนี่นา!
พ่อของเล่นนี่นา!
พ่อของเล่นนี่นา!
.....
.....
หะ ... เมื่อกี้ ว่ายังไงนะ
ตอนที่ 1 : ก็เราเป็น ... พ่อของเล่นนี่นา!
เรื่องราวของตอนต่อไป
ไม่เจอกันนานเลยนะเล่น พ่อกลับมาแล้ว!!
อย่ามาพูดบ้าๆน่า อย่างเธอเนี่ยนะ จะเป็นพ่อของชั้น!!
=========================================================================
....
ความคิดเห็น