ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เนื้อเพลง Anime

    ลำดับตอนที่ #396 : Vocaloid: Hikari to Kage no Rakuen (สวนสวรรค์แห่งแสงและเงา)

    • อัปเดตล่าสุด 14 ต.ค. 54


    Vocaloid: Hikari to Kage no Rakuen <Paradise of Light and Shadow>

     

    Album / Collection: Multiple Vocaloids
    Description: Synchronicity chapter 2/3

    Miku Hatsune, Len Kagamine, and Rin Kagamine

     

    Song Description:

    少年は少女を解放する為戦い、少女は少年の世界を守る為歌う。その、命尽きるまで

    เด็กหนุ่มต่อสู้เพื่อปลดปล่อยเด็กสาว เด็กส่าวขับขานเพื่อปกปักษ์โลกของเด็กหนุ่ม ตราบจนกว่าชีวิตนั้นจะสิ้นสูญ...

     
     

    虚像の楽園の果ての
    深い 深い大地の底で
    ただ独り 祈りの歌を
    謡(うた)い綴(つづ)る運命(さだめ)――

     

    行き場を無くした過去から
    巡り続ける声を繋ぎ
    繰り返す 歴史の淵で
    運命(さだめ)に身を捧ぐ

     

    何も知らず ただ歌だけ
    紡いで 生きてきた
    晴れの歌を 雨の歌を
    優しいレクイエムを
    楽園へと 続く道の先に
    差しのべられた
    暖かい手さえ 届かずに

     

    「トワニウタイツヅケナサイ

     

    滅ぶ世界の 歪みの底で
    祈りの歌を 奏でる ――宿命(さだめ)――
    忘られし 過去に眠る 優しい声に
    絶望さえも 微笑みに変え
    涙の底に 沈んでいく

     

    絶望の楽園の果てに
    無くした声を探し求め
    道なき道をただ遠く
    彷徨い往(ゆ)く運命(さだめ)――

     

    閉ざされた歴史の影に
    奪われし日を想いながら
    心の奥 響く声は
    苦痛に身悶える

     

    永久に続く楽園へと
    願いは届かずに
    ただ歪んで 声とともに
    消え去って巡るだけ

     

    今此の手で 確かめたい
    君の温もりの音
    傷つくことさえ 厭(いと)わずに

     

    「俺は戦う「私は歌う

     

    荒ぶる声の 魂を奪い
    この世の果てまで 綴(つづ)って眠れ
    此の光を 溶かしても 届かぬなら
    偽りの楽園を此の手で
    終わらせるだけ

     

    「歌って

     

    私は 祈る (俺は 戦う)
    守るために (壊すために)
    笑顔がこぼれ (君は泣いてた)
    光射す世界のために (ただ独りで
    明日へと繋ぐ (過去を葬る)
    光の希望の歌 (影の絶望の歌)
    命を与え (命を奪い)
    息吹く声を 新しい風にのせ (終わりの声 止まない雨に流し)
    命尽きるまで (命尽きるまで

     

    「マタメグル

     

    全ての声は 光と出会い 影へと繋ぐ
    繰り返す歴史となりて
    巡る世界の 鼓動の音は
    終わりを告げる 鐘となり 響く
    全ての命は絶え 新しい芽が息吹く先の
    光と影の楽園に 願いを

     

    ************************************************

     

    Kyozou no rakuen no hate no
    fukai fukai daichi no soko de
    tada hitori inori no uta wo
    utai tsuzuru sadame

     

    yukiba wo nakushi ta kako kara
    meguri tsuzukeru koe wo tsunagi
    kuri kaesu rekishi no fuchi de
    sadame ni mi wo sasagu

     

    nani mo shirazu tada uta dake
    tsumuide ikite kita
    hare no uta wo ame no uta wo
    yasashii requiem wo
    rakuen eto tsuzuku michi no saki ni
    sashi nobe rareta
    atatakai te sae todokazu ni

     

    (towa ni utai tsuzuke nasai...”)

     

    horobu sekai no yugami no soko de
    inori no uta wo kanaderu sadame
    wasu rareshi kako ni nemuru yasashii koe ni
    zetsubou sae mo hohoemi ni kae
    namida no soko ni shizunde iku

     

    zetsubou no rakuen no hate ni
    nakushi ta koe wo sagashi motome
    michi naki michi wo tada tooku
    samayoi yuku sadame

     

    tozasareta rekishi no kage ni
    ubawareshi hi wo omoi nagara
    kokoro no oku hibiku koe wa 

    kutsuu ni mi modaeru

    towa ni tsuzuku rakuen e to 

    negai wa todokazu ni
    tada yugande koe to tomo ni
    kie satte meguru dake

     
    ima kono te de tashikametai
    kimi no nukumori no oto
    kizu tsuku koto sae itowazu ni

     

    (“ore wa tatakau...” watashi wa utau...” )

     

    araburu koe no tamashii wo ubai
    kono yo no hate made tsuzutte nemure
    kono hikari wo tokashi temo todokanu nara
    itsuwari no rakuen wo kono te de 
    owaraseru dake

     

    (utatte...”)

     

    watashi wa inoru (ore wa tatakau) 

    mamoru tame ni  (kowasu tame ni)
    egao ga kobore   (kimi wa naiteta )

    hikari sasu sekai no tame ni … (tada hitori de…)

    asu eto tsunagu  (kako wo houmuru)

    hikari no kibou no uta  (kage no zetsubou no uta)
    inochi wo atae     (inochi wo ubai)

    ibuki koe wo atarashii kaze ni nose (owari no koe yamanai ame ni nagashi)

    inochi tsukiru made...  (inochi tsukiru made...)

     

    (mata meguru…”)

     

    subete no koe wa hikari to deai kage e to tsunagu
    kuri kaesu rekishi to narite
    meguru sekai no kodou no oto wa
    owari wo tsugeru kane to nari hibiku
    subete no inochi wa tae atarashii me ga ibuku saki no 

    hikari to kage no rakuen ni negai wo...

     

    ************************************************

     

    ภายใต้เบื้องลึกสุดล้ำเหลือของผืนดิน

    ณ ปลายสุดขอบสรวงสวรรค์อันลวงหลอก

    มีเพียงฉันถักทอขับขานร้อยเรียงเสียงเพลงภาวนา

    เพียงลำพังเรื่อยไปตามที่ชะตาฟ้ากำหนด

     

    นับแต่ครั้งอดีตมิอาจรู้ถึงจุดเริ่มต้น

    ฉันได้ถูกพันผูกไว้กับเสียงเพลงที่ได้เพียงวนเวียนอยู่เรื่อยไป

    มอบกายให้กับชะตากำหนด

    ภายในห้วงลึกแห่งประวัติศาตร์ที่หมุนวนซ้ำมาซ้ำไป

     

    มิเคยได้รับรู้สิ่งใด

    มีเพียงชีวิตเพื่อถักทอบทเพลงเท่านั้น

    ทั้งบทเพลงแห่งฟ้ากระจ่าง ทั้งลำนาแห่งสายฝนพร่างพรม

    ทั้งเพลงส่งวิญญาณอันแสนอ่อนโยน

    ถูกพลักดันให้ก้าวไป

    ยังปลายทางมุ่งสู่สวนสวรรค์

    โดยมิอาจจะยื่นมือไปถึงมืออันแสนอบอุ่นนั้นได้เลย

     

    (“จงร้องเพลงเรื่อยไปชั่วนิรันดร์เถอะ...”)

     

    ภายใต้เบื้องลึกอันบิดเบี้ยวของโลกที่ผุพัง

    คอยขับขานเสียงเพลงภาวนาไปตามชะตาลิขิต

    เสียงอันอ่อนโยนที่หลับใหลอยู่ในอดีตอันลบเลือน

    เปลี่ยนแม้ความสิ้นหวังให้กลับกลายเป็นรอยยิ้ม

    ก่อนจ่อมจมลง สู่ก้นบึ้งหยาดน้ำตา

     

    ณ ปลายทางของสรวงสวรรค์อันสิ้นหวัง

    ข้าเฝ้าค้นหาไขว่คว้าเสียงนั้นที่สูญหาย

    ก้าวไปไกลห่างบนหนทางลำบากจะฝ่าฟัน

    เป็นชะตากรรมให้ร่อนเร่เรื่อยไป

     

    เสียงที่ก้องสะท้อนในเบื้องลึกหัวใจ

    ทุกครายามคำนึงถึงวันเวลาซึ่งถูกช่วงชิงไป

    ภายใต้เงาดำแห่งประวัติศาสตร์ที่ถูกปิดขัง

    ใจก็ยังรวดร้าวทรมานจนทุกข์ทน

     

    คำวิงวอนที่ส่งไปยังคงมิอาจจะไปถึง

    ณ สรวงสรรค์ที่จักคงนิจนิรันดร์นั้นได้

    เพียงผิดเพี้ยนไปพร้อมกับเสียงเพรียก

    แล้วลบเลือนหาย วนเวียนซ้ำมาซ้ำไปอยู่เช่นนั้น

     

    ยามนี้ เพียงหวังอยากยืนยันด้วยมือนี้

    ถึงเสียงอบอุ่นของเธอ

    แม้จะต้องบาดเจ็บเป็นแผล มิเคยเลยจะบ่ายเบี่ยง

     

    (“ข้าจักคอยต่อสู้...” “ฉันจักคอยขับขาน...”)

     

    ช่วงชิงดวงวิญญาบรรดาเสียงอันโหดร้าย

    ดำเนินเรื่อยไปตราบจนโลกนี้สิ้นสูญ แล้วจึงค่อยทอดกายลงหลับใหล

    หากแม้จะหลอมรวมแสงนี้มาแล้วก็ยังคงมิอาจส่งไปถึงเธอได้

    ก็เพียงแค่ทำให้สรวงสรรค์อันลวงหลอก

    สิ้นสุดลงด้วยมือนี้เพียงแค่นั้น

     

    (“จงขับขานสิ...”)

     

    ฉันจักคอยภาวนา (ข้าจักคอยรบรา)

    เพื่อได้ป้องปกไว้ (เพื่อทำลายให้สิ้นลง)

    คอยแย้มยิ้มเรื่อยไป (เธอได้ร้องร่ำไห้)

    เพื่อให้แสงส่องลงยังโลกา... (เพียงลำพังเดียวดาย...)

    คอยร้อยเชื่อมโยงสู่วันพรุ่งนี้ (ฝังภาพอดีตทิ้งไป)

    ขับขานบทเพลงความหวังแห่งแสงสว่าง (เพื่อขับขานบทเพลงสิ้นหวังแห่งเงามืด)

    มอบชีวิตให้ (ช่วงชิงชีวิต)

    ให้เสียงลมหายใจได้ติดตามสายลมใหม่ (ให้เสียงของการสิ้นสุดถูกสายฝนที่มิเคยจะหยุดยั้งชะล้างไป)

    ตราบจนชีวิตสิ้นลง... (ตราบแม้ชีวิตสิ้นลง...)

     

    (“หมุนเวียนซ้ำเดิมอีกแล้ว...”)

     

    เสียงทั้งมวลนั้น ได้พานพบกับแสงสว่าง ร้อยโยงไว้กับเงามืดดำ

    กลับกลายเป็นประวัติศาสตร์ที่หมุนวนซ้ำเดิม...

    เสียงจังหวะหัวใจของโลกที่เวียนมาใหม่

    กลับกลายเป็นระฆังแจ้งบทสิ้นสุด ส่งเสียงก้องสะท้อน

    ชีวิตทั้งหลายได้สิ้นสุด ต้นอ่อนใหม่ได้เริ่มมีลมหายใจ

    ณ ปลายสุดสวรรค์แห่งแสงสว่างและเงามืด ความปรารถนาจัก...

     

    ************************************************

    Download:

    http://www.mediafire.com/?avpb7qh9sw2a38w

     

    PV: http://www.youtube.com/watch?v=98jmPpsAbAY&feature=related

    ขออธิบายเพิ่ม(อีกแล้ว)
    เด็กหนุ่มต่อสู้เพื่อปลดปล่อยเด็กสาว เด็กสาวเฝ้าขับขานบทเพลงเพื่อป้องปักษ์เด็กหนุ่ม
    หากสิ่งที่ช่วงชิงอิสระของเธอไปคือโลกอันบิดเบี้ยว ข้าจักทำลายมันเสีย
    หากสิ่งที่มอบความเดียวดายให้กับเธอคือชะตาที่ถูกลิขิต ด้วยมือนี้ข้าจักเปลี่ยนมันเอง
    ขอสาบาน...ตราบจนชีวิตนี้จะสิ้นไป

    ดูตอนก่อนหน้าก่อนจะช่วยเพิ่มความเข้าใจนะคะ ^^
    Vocaloid: Kimi wo Sagasu Sora (ไขว่คว้าหาเธอบนฟากฟ้านั้น)
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×