ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เจ้าสาวบ้านไร่

    ลำดับตอนที่ #4 : เปิดตัว

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 348
      3
      26 เม.ย. 54

           เช้าอันสดใสมินโฮถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไปในห้องคู่หมั้นและก้าวเข้าไปด้วยความเงียบ(ยังกะจะไปลักหลับงั้นแหละ) ภายในห้องเงียบสายตาคมมองกวาดไปทั่วห้องแล้วก็สะดุดเข้าร่างบางที่ยังหลับใหลอยู่บนเตียง ชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้กอดอกยืนมอง อนยูกำลังหลับสบายในท่านอนหงายมือข้างหนึ่งก่ายอยู่บนหมอน ผ้านวมสีชมพูหวานคลุมถึงอก ใบหน้ายามหลับดูไร้เดียงสาแต่ริมฝีปากอิ่มๆนั่นกลับดูเย้ายวนคนที่กำลังมองอยู่เหลือเกิน (ถ้านึกไม่ออกว่าอนนอนท่าไหนดูภาพประกอบเลย)
     
    *แต่ถ้าดูภาพแล้วยังไม่เห็นความเย้ายวนของอนก็ขอให้คิดมุมกลับแล้วกันว่ามินโฮน่ะ หื่น!*

    มินโฮค่อยๆหย่อนกายนั่งลงบนเตียงข้างร่างบาง ใช้มือหนาไล้แก้มเนียนใสเบาๆอย่างหลงใหล

    เฮ้อ!ลักหลับลีจินกิดีมั้ย(ใจเย็นมินโฮยังไงเต้าหู้น้อยก็เป็นของนาย)คนหลับอยู่รู้สึกตัวขยับหน้าหนีแต่ไม่ยอมลืมตาตื่น

    “งื้ออ แทมินอย่ากวนพี่ได้มั้ย  จานอนนน”

    เป็นปกติทุกเช้าแทมินจะต้องมาปลุกพี่ชายด้วยการหยอกล้อแบบนี้ไม่หอมหรือหยิกแก้มก็ต้องมีอุปกรณ์เสริมแหย่จมูกให้รำคาญ ร่างบางพลิกตัวมาทางที่อีกคนนั่งอยู่ยกแขนคว้ามั่วซั่วสะเปะสะปะและไปหยุดที่ตักของมินโฮ ที่เจ้าตัวเข้าใจว่าเป็นแทมินและตามปกติน้องชายจะถูกลงโทษด้วยการจี๋เอว

    แต่ก่อนที่จะลงมือทำโทษน้องชายเมมโมรี่ในสมองก็เริ่มประมวลผล เมื่อวานเขาเดินทางมาถึงบ้านไร่ของชเวมินโฮ แล้วคนที่มากวนการนอนของอนตอนนี้ก็ไม่ใช่แทมินน่ะสิ  แล้ว

    ตาเบิกกว้างทันทีแหงนมองร่างสูงที่นั่งอยู่ข้างๆใบหน้าหล่อเข้มและแววตาคมกำลังจ้องมองสบมาที่เขาเช่นกัน 

    “อรุณสวัสดิ์ ที่รักลวนลามแต่เช้าเลยนะ”

    “ลวนลาม”

    ทวนคำเบาๆอย่างงงๆแล้วก็มองตามสายตาของมินโฮที่เหล่มองแขนเรียวที่ก่ายเกยอยู่บนตักของเขา

    “เฮ่ย!

    ร่างบางผุดลุกขึ้นทันทีเด้งตัวถอยให้ออกห่างมินโฮด้วยความรวดเร็ว ผ้าห่มหมอนเหมินกระจัดกระจายและ

    โครม!

    ผลก็คือเต้าหู้ขาวอวบลงไปกองกับพื้นก้นจ้ำเบ้าอย่างจังโดยที่ขาข้างหนึ่งยังพาดอยู่ขอบเตียง

    “โอยยย”

    ส่งเสียงครางเบาๆ มินโฮผินหน้าหนีพยายามกลั้นไม่ให้ตัวเองขำแล้วหันมาตีหน้านิ่งเดินไปจะช่วยประคองแต่อนยูกระเถิบหนีบอกลุกเองได้(เล่นตัวอีกนะ) เมื่อลุกขึ้นได้ก็เปิดประเด็นทันที

    “นายเข้ามาห้องฉันได้ไง ถึงนายจะเป็นเจ้าของบ้านแต่แบบนี้ถือว่าเสียมารยาทนะ”

    “นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว จะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงไหน”

    มินโฮกอดอกตอบเสียงเรียบหน้าตาจริงจังมาก ตาหยีๆเหล่มองนาฬิกาที่หัวเตียงแปดโมงเกือบครึ่งแล้ว เถียงไม่ออกสิครับ แต่ก็ยังแอบเถียงในใจก็มันแปลกที่เมื่อคืนก็เลยนอนไม่ค่อยหลับ

    “ฉันให้เวลาสิบนาที จัดการตัวเองให้เรียบร้อยแล้วไปที่โต๊ะอาหารกินข้าวแล้วจะได้ไปกันซะที”

    “จะ จะไปไหนเหรอ” เอียงคอถาม

    “ก็ไปไร่ไง ฉันเป็นชาวไร่ก็ต้องไปทำไร่”

    “แล้วฉันต้องไปทำไร่กับนายด้วยเหรอ” ไม่ได้ถามออกมาแต่สีหน้าแววตาและคิ้วที่ขมวดมุ่นเข้าหากันทำให้อีกฝ่ายพอจะเดาได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

    “ถึงนายจะมาเป็นเมียฉันก็ไม่ได้หมายความว่าจะมานั่งกินนอนกินเป็นคุณนายนะต้องช่วยกันทำมาหากินสิ เร็วเข้า เดี๋ยวจะสายแดดจะร้อน”

    บอกแค่นั้นมินโฮก็เดินออกไปทิ้งให้หนุ่มน้อยร่างบางยืนพะงาบๆพูดไม่ออก

    “มะมะเมียนาย  ใครอยากเป็น ไอ้บ้าชเวมินโฮ”

    ไม่ทันแล้วล่ะอนยูกว่าจะพูดออกมาได้มินโฮไปถึงไหนต่อไหนแล้ว

                สิบห้านาทีต่อมาอนยูก็ลงมาถึงโต๊ะอาหารในชุดเสื้อยืดแขนสั้นพอดีตัวกับกางเกงยีนส์ มินโฮเงยหน้าจากหนังสือพิมพ์มองแล้วก้มลงอ่านต่อจริงๆก็ไม่ได้อ่านหรอกแค่ก้มลงซ่อนรอยยิ้มพอใจกับความน่ารักของอีกคนเท่านั้นเอง สักพักก็พับหนังสือพิมพ์เก็บและตีสีหน้านิ่ง

    “กาแฟมั้ย”

    ถามเสียงเรียบ อนยูส่ายหน้าตอบหย่อนกายนั่งลงเก้าอี้ที่ว่างโดยเว้นให้ห่างจากมินโฮที่นั่งหัวโต๊ะหนึ่งตัว ชายหนุ่มร่างสูงขมวดคิ้วเข้มเข้าหากัน กลัวอะไรกันหนอลีจินกิ

    “มานั่งตรงนี้สิ ฉันไม่กัดหรอกน่าฉันกินข้าวอิ่มแล้ว”

    หนุ่มร่างเล็กอึกอักจะไม่ยอมลุกแต่เมื่อเจอสายตาดุๆของอีกคนก็จำต้องยอมในที่สุด และก็เป็นอย่างที่อนยูคิดไว้ไม่ผิด อะไรน่ะหรอก็เหมือนตอนเย็นนั่นแหละ สงสัยชเวมินโฮจะโรคจิตชอบมองคนกินข้าว และมันก็ทำให้คนที่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองน่ารักรู้สึกอึดอัด

    “รีบกินข้าวได้แล้ว”

    สั่งอีกแล้ว และอนยูก็ยอมทำตามแบบขัดใจเลื่อนชามข้าวต้มมาตรงหน้าแล้วตักเข้าปากอย่างเสียไม่ได้ ฮึ! ยังจะมองอีก นั่งกอดอกมองด้วยดูท่าจะตั้งใจมาก แต่คนถูกมองทำอะไรไม่ถูกแล้วมินโฮอมยิ้มแล้วขยับตัวเอื้อมไปดึงกระดาษชำระจากกล่องลายสวยที่อยู่ตรงหน้า ร่างบางมองตามด้วยความสงสัย  แล้วชายหนุ่มก็ขยับเข้ามาใกล้ ใช้กระดาษที่หยิบมาบรรจงเช็ดมุมปากซ้ายที่เปื้อนให้

    “นายนี่เหมือนเด็กเลยนะ”

    บอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนปนเอ็นดูผิดกับทุกครั้ง แต่มันกลับทำให้คนฟังรู้สึกแปลก ก้อนเนื้อที่อกข้างซ้ายจู่ๆก็เริ่มเต้นแรงผิดปกติทั้งๆที่เมื่อกี้ยังเต้นสม่ำเสมออยู่เลย แล้วยังมีอาฟเตอร์ช็อคตามมาอีกรู้สึกร้อนที่ใบหน้าเป็นอะไรไปหนออนยู รีบยกมือขึ้นจับมือของอีกฝ่ายไว้

    “เอ่อ ฉันเช็ดเองได้”

    มือหนายอมปล่อยแต่ยังไม่ยอมละสายตาจากใบหน้าหวานใสที่ตอนนี้ขึ้นสีระเรื่อ

    “แหวนไปไหน”

    ถามขึ้นเมื่อเห็นว่ามือข้างที่ยกขึ้นเช็ดปากว่างเปล่า อนยูมองนิ้วนางซ้ายนิดหนึ่งก่อนตอบ

    “ก็ถอดเก็บไว้น่ะสิ ใครเขาใส่แหวนเพชรไปทำไร่กันล่ะถ้าเกิดหลุดหายขึ้นมาทำไง”

    ” งั้นก็แล้วไป กินข้าวต่อเถอะ”

    เมื่อมินโฮไม่ได้พูดอะไรต่อก็ทำให้ร่างบางแอบโล่งใจ จริงอยู่เขาเป็นคนถอดแหวนหมั้นออกจากนิ้วเองแต่กลับจำไม่ได้ว่าวางหรือเก็บไว้ที่ไหน ดีที่คนตัวสูงไม่ถามต่อกลับจากไร่ค่อยไปหาละกัน

                มินโฮยื่นรองเท้าบูทเมื่อทั้งสองเดินออกมาถึงหน้าบ้านอนยูรับไปด้วยท่าทางงงๆ

    “อะไร”

    “ถามได้ ก็รองเท้าบูทไง”

    “ให้ฉันทำไม”

    “ก็ให้ใส่ไง ไปไร่ใครเขาใส่รองเท้าแตะไปกันล่ะหรือใส่ไม่เป็นเดี๋ยวใส่ให้เอามั้ย”

    ตอบกวนๆและไม่พูดเปล่าขยับตัวเข้าไปใกล้ๆทันทีร่างบางรีบขยับตัวถอยหลบเช่นกันแล้วก้มหน้าสวมบูท มินโฮลอบยิ้มเจ้าเล่ห์เมื่อเห็นว่าอีกคนพร้อมแล้วก็ก้าวเดินนำทันที

    “ไปกันเถอะ”

    “ไปยังไง อย่าบอกนะว่าจะเดินไป”

    อนยูถามออกไปเมื่อมองไม่เห็นแม้แต่รถสักคัน และก็เป็นจริงอย่างที่คิด มินโฮพยักหน้ารับแล้วยังบอกว่าไม่ไกล แค่กิโลกว่าๆเอง สำหรับคนเดินทุกวันมันก็ไม่ไกลหรอกนะแต่สำหรับคนที่ใช้ชิวิตในเมืองไปไหนใกล้ไกลใช้รถตลอดอย่างลีจินกิมันดูไกลเอาการอยู่นา แม้จะรู้สึกขัดใจแต่ก็ทำได้แค่เดินกระแทกเท้าหนักๆตามร่างสูงให้รู้มั่งว่าคนมันไม่พอใจแต่ก็ดูเหมือนไม่ได้ผล นายโย่งชเวมินโฮยังคงเดินนำ ฮัมเพลงอย่างสบายอารมณ์

    แม่บ้านจางเดินออกมาเห็นหลังเจ้านายกับคู่หมั้นไวๆ นางออกจะแปลกใจเจ้านายวันนี้นึกยังไงถึงให้ชินดงขับรถออกไปไร่ก่อนส่วนตัวเองเดินไปแทน แล้วยังพาคุณอนยูเดินไปด้วยหนุ่มน้อยอรชรนั่นจะเดินไหวเหรอ นี่แดดก็เริ่มแรงแล้วนางส่ายหน้าเบาๆถอนหายใจ เฮ้อ!นางไม่เข้าใจความคิดเจ้านายเลย

                สองหนุ่มสาว(?)เดินมาเรื่อยๆแดดเริ่มแรงขึ้น คนเดินนำยังคงก้าวเดินอย่างสบายอารมณ์แต่คนที่เดินตามที่ร่างบอบบางกว่านี่สิเริ่มมีอาการ เหงื่อเริ่มซึม รู้สึกว่าเดินมานานแล้วก็ยังไม่ถึงสักที หนึ่งกิโลกว่าของมินโฮเนี่ยทำไมมันไกลจังวะ

    “มินโฮ อีกไกลมั้ย”

    ไม่มีคำตอบแต่หันมามองแวบหนึ่งแล้วก็เดินต่อ เมื่อไม่มีคำตอบมันก็ทำให้คนถามเริ่มหงุดหงิดเดินกระแทกเท้าเสียงดังแต่ก็ไม่ได้รับความสนใจอยู่ดี

    “มินโฮ ชเวมินโฮ ไอ้โย่งไอ้เอเลี่ยน แกล้งฉันใช่ไหม แดดก็ร้อน ร่มก็ไม่มี หมวกก็ใส่อยู่คนเดียว ไกลก็ไกลพาเดินมาได้ คนบ้าโรคจิตชัดๆ ฯลฯ”

    เมื่อไม่ได้ดังใจสิ่งที่ลีจินกิทำได้ก็คือบ่นพึมพำ บ่น บ่น บ่นก้มหน้าก้มตาบ่น ทั้งที่ปกติเขาไม่ใช่คนขี้บ่นเลยนะ

    “อู้ย!

    และเพราะมัวแต่ก้มหน้าก้มตาบ่นจึงชนเข้ากับหลังแกร่งของนายเอเลี่ยนที่หยุดรอตรงหน้า อ้าปากจะด่าแต่คนตัวสูงหันกลับมาพร้อมชี้ไม้ชี้มือไปด้านหลัง

    “ ถึงแล้ว นี่ไงไร่ส้มของเรา”

    เชอะ ของนายคนเดียวต่างหากล่ะ

    อนยูแย้งในใจมองตามปลายนิ้วที่ชี้บอก มีป้ายขนาดไม่ใหญ่มากติดอยู่เบื้องหน้า

    ไร่ส้มระฆังทอง งั้นเหรอ ถัดไปจากนั้นก็เป็นต้นส้มต้นเตี้ยๆออกลูกขนาดเท่าลูกเทนนิสสีเขียวดกเต็มต้นเรียงกันไปจนสุดลูกหูลูกตาอีกไม่นานคงกลายเป็นสีส้มเต็มต้น ตาหยีถึงกับเบิกกว้างกับภาพตรงหน้าอดตื่นเต้นไม่ได้ ตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งเคยเห็นไร่ส้มของจริงก็วันนี้แหละ ไร่กว้างขนาดนี้กี่ไร่กันนะแต่ถึงอยากรู้ก็ไม่เอ่ยปากถามไอ้หนุ่มบ้านไร่ผู้เป็นเจ้าของหรอก ฮึ! เคืองโว้ย

                ทั้งสองเดินลัดเลาะเข้าไปภายในไร่สักพักก็ไปเจอกับกลุ่มคนงานชายหญิงราวยี่สิบคนจับกลุ่มนั่งรออยู่ อนยูมองด้วยความสงสัยแต่ก็ไม่ยอมถามคำใดๆออกมา

    “เจ้านายมาแล้วๆ”

    เสียงคนงานคนหนึ่งร้องเมื่อเห็นเจ้านายหนุ่มเดินมาพร้อมหนุ่มน้อยร่างบางหน้าหวานที่ไม่คุ้นหน้า ทุกคนพากันยืนขึ้นต่างกล่าวทักทายและถามถึงคนที่เขาพามาด้วยว่าเป็นใครเสียงดังเซ็งแซ่ จนมินโฮต้องยกมือขึ้นห้าม

    “ทุกคน ฉันขอแนะนำนี่คือคุณลีจินกิ เป็นคู่หมั้นฉัน”

    มินโฮประกาศเสียงดังฟังชัดคนที่ถูกแนะนำถึงกับสะอึก หันขวับไปมองหน้าทันทีแต่กลับเจอรอยยิ้มกวนๆแถมด้วยการยักคิ้วข้างเดียวให้อีก จำต้องหันกลับมาก้มหน้ามองปลายเท้าตัวเองใครจะกล้าสู้หน้าชาวบ้านหละ รู้สึกอับอายที่ถูกแนะนำแบบนั้นอยากแทรกแผ่นดินหนีเหลือเกินทำไมชเวมินโฮกล้าขนาดนี้ไม่สิแบบนี้ไม่ใช่กล้าแล้วอย่างนี้ต้องเรียกหน้าด้านถ้าไม่หนาจริงทำไม่ได้หรอก ดูสิท่าทางลั้นลาขนาดนั้นสงสัยไม่แคร์สื่อ

    ไม่ใช่แค่ลีจินกิเท่านั้นที่อึ้งคนงานทุกคนก็ไม่ต่างกันแต่แป๊บเดียวเสียงซุบซิบเซ็งแซ่ก็ดังขึ้น

    “คุณมินโฮมีคู่หมั้นเป็นผู้ชายเหรอ” เสียงที่หนึ่ง

    “ไม่เชื่อไม่จริงฉันรับไม่ได้” เสียงที่สอง

    “ สงสัยคุณมินโฮโดนหมอนั่นทำของใส่ไม่งั้นไม่มีทางหมั้นกับผู้ชายด้วยกันแน่ๆ”เสียงที่สาม

    “ใช่ๆ หน้าตาก็ดีนะไม่น่าเลย”เสียงที่สี่

    “ดูแต่หน้าไม่ได้หรอกเธอสงสัยหาไม่ได้ต้องมาจับคุณมินโฮของเรา”เสียงที่ห้าและฯลฯเสียงนินทา

    อนยูเข้าใจดี ชเวมินโฮเป็นชายหนุ่มที่ตัวเองยังแอบยอมรับในใจว่าเป็นชายหนุ่มที่หล่อ ดูดีและเพียบพร้อมจะมีคู่หมั้นเป็นหญิงสาวแสนสวยสักคนก็คงไม่แปลกแต่ลีจินกิคนนี้เป็นชายเหมือนกันแม้จะเป็นหนุ่มน้อยหน้าหวานร่างเล็กบอบบางก็ตามแต่ก็ยังเป็นชายอยู่ดี เป็นใครก็คงรับไม่ได้ แต่ว่าเล่นนินทากันซึ่งๆหน้าแบบนี้มันก็แย่อยู่นะแล้วก็บอกไม่ได้ด้วยว่าผมไม่ได้อยากเป็นคู่หมั้นมินโฮแต่ผมจำเป็น

    “ทุกคน ไม่ต้องสนใจว่าคู่หมั้นของฉันจะเป็นอะไรแต่ขอให้รู้ไว้ว่าลีจินกิคนนี้มีสิทธิ์และอำนาจเท่าฉันถ้าเขาสั่งก็เหมือนฉันสั่ง  ถ้าเข้าใจก็แยกย้ายกันไปทำงานได้”

    โอ้ว เด็ดขาดมากชเวมินโฮ

    มินโฮประกาศกร้าวเสียงดังและเฉียบขาดเสียงของเขาช่างมีอำนาจเหลือเกิน คนงานทุกคนเงียบกริบไม่มีเสียงโต้แย้งใดๆแล้วพวกเขาก็แยกย้ายกันไปทำงาน อนยูหันมองหน้ามินโฮอีกครั้งสีหน้าของชายหนุ่มร่างสูงดูเคร่งเครียดผิดกับเมื่อครู่มาก

    “แล้วอย่างนี้นายยังคิดเรื่องการแต่งงานของเราอีกเหรอ ฉันเคยบอกแล้วมันไม่มีทางเป็นไปได้”

    มินโฮหันมาสบตาคนพูดยกยิ้มเจ้าเล่ห์ อะไรกันเมื่อกี้ยังดูเครียดอยู่เลยตามอารมณ์ไม่ทันว่ะ

    “ฉันก็เคยบอกนายเหมือนกันว่า ฉันไม่แคร์ และฉันก็ยังยืนยันคำเดิม I don’t care

    ไม่รู้จะหาคำใดมาแย้ง ชายหนุ่มร่างสูงจึงถือโอกาสโอบไหล่บางของคู่หมั้นหนุ่มหน้าหวาน

    “เราไปกันเถอะ”

    “ไปไหน แล้วทำไมนายต้องโอบด้วย”

    “โอบกอดคู่หมั้นตัวเองผิดตรงไหน มีคู่หมั้นหล่อๆแบบฉันนายน่าจะภูมิใจนะ”

    ฉันไม่ได้อยากเป็นสักหน่อย

    “มาเถอะน่า ฉันจะพาชมไร่ของเรา”

    ไร่ของนายคนเดียว และชเวมินโฮก็ยังไม่ยอมปล่อย

    “ปล่อยฉันซะทีฉันไม่ชอบนะ”เพราะมันใกล้เกินไปทำให้สูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง

    บอกน้ำเสียงไม่พอใจขืนตัวออกจากอ้อมแขน มินโฮยอมก็ปล่อย

    “เล่นตัวจั๊ง งั้นก็ตามมาดีๆ”

     อนยูจิ๊ปากไม่พอใจจำยอมเดินตาม ระหว่างเดินมินโฮก็อธิบายให้ฟังถึงส้มในไร่ว่ามีกี่พันธุ์นอกจากส้มแล้วปลูกอะไรบ้างและอีกสารพัดเกี่ยวกับการทำไร่ส้มแม้ว่าคู่หมั้นหนุ่มหน้าหวานจะทำเมินไม่สนใจก็ตาม แต่ช่างเถอะฉันจะทำให้นายสนใจทั้งฉันและไร่ส้มให้ได้ มันคงไม่ยากเกินไปหรอกนะ

    “คุณมินโฮ ครับคุณมินโฮ”

    เสียงเรียกของใครบางคน  ชินดงนั่นเองกำลังเดินมาทางนี้ในมือมีแฟ้มมาด้วยคงมีเรื่องมารายงาน มินโฮหยุดรอและเมื่อมาถึงตัวเจ้านายชินดงก็เปิดแฟ้มรายงานทันที

    โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงสั่นเตือนสายเข้าอนยูรีบล้วงออกมาดู ชื่อและเบอร์ที่โชว์ทำให้เจ้าตัวเผลอยิ้มออกมา ปาร์คแจบอม เพิ่อนสนิทที่คบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย

    “หวัดดีแจบอม”

    ทักทายไปตามสายแต่คนที่หันขวับกลับเป็นมินโฮ เมื่อรู้ตัวว่ากำลังถูกมองอนยูจึงเดินเลี่ยงออกมา

    “แป๊บนึงนะแจบอม”

    “อนยู นายอยู่ไหน กำลังทำอะไรอยู่”

    “คือฉันอยู่ต่างจังหวัดน่ะ”

    “ต่างจังหวัด ไปเที่ยวเหรอจะกลับวันไหน งานของนายล่ะอนยู”

    “ฉันลาออกแล้วล่ะ แล้วที่ฉันมาอยู่ต่างจังหวัดก็เพื่อมาเรียนทำไร่น่ะ”

    บอกไม่ได้จริงๆว่ามาเพื่อเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวของชเวมินโฮ

    “ว่าแต่นายน่ะแจบอม งานถ่ายแบบเป็นไงบ้างเจอดาราสาวๆบ้างมั้ยเล่าให้ฟังหน่อยดิ”

    เปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อจะได้ไม่โดนถามต่อซึ่งก็ได้ผลจากนั้นการสนทนาของทั้งสองจึงมีแต่เรื่องสนุกทั้งมีสาระและไม่มีสาระ

    เสียงใสๆที่กำลังคุยโทรศัพท์เจื้อยแจ้วพร้อมกับเสียงหัวเราะเป็นระยะแว่วมาเข้าหูทำให้คนที่พยายามตั้งใจฟังชินดงพูดเสียสมาธิ

    “คุณมินโฮครับ”

    ชินดงเรียกเมื่อเห็นว่าเจ้านายเผลอหันไปมองคู่หมั้นที่กำลังคุยโทรศัพท์อย่างออกรสให้กลับมาสนใจสิ่งที่เขากำลังรายงานต่อ มินโฮหันกลับมาตั้งใจฟังแต่แค่แป๊บเดียวก็หันกลับไปอีก

    คู่หมั้นของเขากำลังคุยกับคนชื่อแจบอม แล้วแจบอมเป็นใครกัน ทำไมลีจินกิถึงระริระรี้ขนาดนั้น

    “ตอนคุยกับเราทำไมไม่มีท่าทีแบบนี้ นั่นดูสิคุยไปหัวเราะไปน่าหมั่นไส้ชะมัดแล้วมือไม้น่ะอยู่ๆดีๆไม่ได้รึไงทำไมต้องจับโน่นจับนี่ เดี๋ยวจับใบส้มเดี๋ยวจับลูกส้มอาการนี้เหมือนกำลังเขินอยู่หรือเปล่าวะ”

    “คุณมินโฮ

    เรียกเป็นครั้งที่สองแต่คราวนี้ชายหนุ่มยกมือขึ้นมาเป็นสัญญาณว่าอย่าเพิ่งพูดอะไรต่อแล้วร่างสูงโปร่งก็ก้าวฉับๆตรงไปที่คู่หมั้นหนุ่มหน้าหวานที่กำลังนั่งพิงหลังกับต้นส้มเม้าท์กระจายกับปลายสายมือไม้ก็เด็ดใบไม้เล่น

    “ฮะๆจริงเหรอ กล้าจริงนะนายฮะๆๆ เฮ่ย!

    ขณะกำลังคุยเพลินๆมือถือก็ถูกดึงหลุดไปจากมือเมื่อหันมองก็เจอกับร่างสูงยืนหน้าตึงอยู่ข้างหลังในมือถือโทรศัพท์ของเขาไว้และกำลังกดตัดสายและปิดเครื่องต่อหน้าต่อตาอนยูผุดลุกขึ้นจ้องหน้า

    “มินโฮ!ทำอะไรน่ะ มากไปแล้วนะเอาคืนมา”

    “เวลาทำงานห้ามคุยโทรศัพท์”

    บอกเสียงเครียด

    “โอเคๆเข้าใจแล้วขอมือถือคืนด้วย”

    อนยูถอนหายใจพยามยามระงับอารมณ์ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับอีกฝ่าย ยื่นมือของมือถือคืนแต่มินโฮกลับเก็บมันเข้ากระเป๋าเสื้อตัวเอง

    “ฝากไว้ที่ฉันก่อน เสร็จงานค่อยเอาคืน”

    “มินโฮ!

    ตะคอกด้วยความไม่พอใจแต่มินโฮไม่สนใจกระชากแขนร่างบางลากให้เดินตามไปทันที

    “ไป ไปทำงานได้แล้ว”

    “ปล่อยนะ! ฉันเดินเองได้ “

    พยายามสะบัดข้อมือให้หลุดจากมือหนาแต่ก็ไม่เป็นผลยิ่งทำให้มินโฮกระชับมือขึ้นอีกชายหนุ่มลากคู่หมั้นไปอีกทางปล่อยให้ชินดงยืนเกาหัวงงเจ้านายเป็นอะไรไปเมื่อกี้ยังดีเลย

                มินโฮลากร่างบางไปอีกด้านหนึ่งเขาหยิบกรรไกรตัดกิ่งมาจากกล่องเครื่องมือที่วางแถวนั้นแล้วเดินเข้าไปท่ามกลางต้นส้มยื่นกรรไกรให้คนตรงหน้า

    “นี่งานของนาย” บอกเสียงห้วน

    “จะให้ทำอะไร” ถามกลับเสียงห้วนเช่นกัน

    “ตัดกิ่งที่มันตายหรือไอ้ที่มันไม่สมบูรณ์ออก แบบนี้”

    ทำเป็นตัวอย่างให้ดูแล้วยื่นกรรไกรตัดกิ่งให้ อนยูรับไปแล้วมินโฮก็เดินจากไป

    มือเล็กค่อยๆยื่นกรรไกรจะตัดตามที่มินโฮบอกแต่เพราะไม่ทันระวังจึงโดนกิ่งไม้ขูดเป็นรอยถลอก

    “อูยย เจ็บแฮะ”

    ยกแขนตรงที่บาดขึ้นมาเป่าฟู่ๆแล้วก็ชะงักเมื่อคิดอะไรบางอย่างได้ เขามาที่นี่เพื่อที่เตรียมตัวเป็นเจ้าสาวของมินโฮก็จริงแต่สิ่งที่ตั้งใจก็คือทำให้มินโฮเกลียดจนต้องยกเลิกสัญญาการแต่งงาน แล้วทำไมเขาต้องทำตามที่มินโฮสั่งทุกอย่างด้วย คิดได้ดังนั้นจึงหยุดไม่ทำแล้ว

    “คิดจะอู้เหรอ”

    เสียงของชเวมินโฮดังขึ้นทางด้านหลัง มาตอนไหนเนี่ยเมื่อกี้เดินไปแล้วไม่ใช่เหรอ เมื่อหันไปก็เจอกับร่างสูงยืนกอดอกมองด้วยสายตาดุๆ

    “ปละเปล่าสักหน่อย”

    ตะกุกตะกักตอบแล้วหันไปตัดฉับๆๆ

    “อนยู! ตัดแบบนั้นไม่ได้นะอย่างนี้ก็เสียหมดสิ”

    มินโฮเสียงดังเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าตัดมั่วๆร่างสูงปราดเข้าไปจับมือข้างที่จับกรรไกรไว้ คนตัวบางกว่าหันมาแหวทันที

    “ก็ฉันไม่เคยทำนี่ จะรู้ได้ไงกิ่งไหนควรตัดกิ่งไหนไม่ควรตัด”

    “นี่ต้องแบบนี้ และ………………

    มินโฮบอกเสียงอ่อนขยับเข้าไปยืนซ้อนร่างบางใช้มืออีกข้างที่ว่างเอื้อมไปจับกิ่งไม้แล้วมือข้างที่กุมมืออีกคนที่ถือกรรไกรก็ค่อยๆบรรจงตัดปากก็อธิบายว่าเพราะอะไรทำไมต้องทำแบบนี้ เสียงทุ้มที่ดังข้างหูทำให้อนยูต้องหันกลับ มินโฮใกล้เกินไปแล้วแค่หันหน้ายังเกือบจะชนกัน แล้วยังท่ายืนนี่อีกดูยังไงร่างบางก็ถูกโอบจากด้านหลังมือยังถูกกุมไว้อีก แค่คิดใจก็เต้นแรงหน้าก็ร้อนขึ้นมาแล้วทำไมต้องใจเต้นด้วยเมื่อกี้ยังจะกัดกันอยู่เลยใจมันเต้นแรงจนกลัวว่าคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆจะได้ยิน ทำไงดีล่ะเริ่มจะทำตัวไม่ถูกแล้ว มินโฮเหลือบมองเห็นแก้มใสขึ้นสีระเรื่อก็อดอมยิ้มไม่ได้กับปฏิกิริยาตอบสนองของคู่หมั้น เอาแต่ก้มหน้าเงียบแล้วแดงขนาดนี้คือเขินสินะ งั้นก็แปลว่าลีจินกิกำลังหวั่นไหวกับความใกล้ชิดอยู่เหรอ เป็นคนที่ดูออกง่ายจริงๆ

                ตลอดทั้งวันมินโฮพาทำโน่นทำนี่จนกระทั่งพระอาทิตย์คล้อยต่ำลงท้องฟ้าเริ่มเป็นสีส้ม คนงานต่างเก็บข้าวของเครื่องมือและเตรียมตัวกลับ

    มินโฮเดินเข้าไปหาคนร่างบางที่นั่งพักเหนื่อยอยู่ ยื่นโทรศัพท์มือถือที่ยึดมาเมื่อเช้าคืนให้ เมื่อได้มือถือคืนแล้วรีบลุกเดินเลี่ยงไปและเปิดเครื่องตั้งใจจะรีบโทรกลับหาแจบอม เพื่อนต้องสงสัยและกังวลแน่ว่าเมื่อเช้าเกิดอะไรขึ้น นิ้วเรียวกดหาเบอร์ด้วยความเร่งรีบ

    “คุณแม่ คีย์ แทมิน มินโฮสุดที่รัก เอ๊ะ!

    คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันทันที มินโฮสุดที่รักงั้นเหรอ จำได้เขายังไม่เคยขอเบอร์มินโฮและไม่คิดอยากได้ด้วย ตานั่นต้องแอบเม็มเบอร์ไว้เองแน่ๆแล้วยังใส่คำว่าสุดที่รักอีกน่าอายชะมัด เฮ่อ!ถอนหายใจแล้วกดหาต่อแล้วคิ้วของอนยูก็ขมวดเข้าหากันยิ่งกว่าเดิม

    “คุณแม่ คีย์ แทมิน มินโฮสุดที่รักคุณแม่ คีย์ แทมิน มินโฮสุดที่รักชเวมินโฮ!

    TBC.



    อ่านแล้วรู้สึกว่างงๆมั่วๆมั้ยคะ
    ยอมรับว่ามั่วบ้างเล็กน้อย
    เรื่องการทำไร่ก็พยายามหาข้อมูล
    แต่ที่ได้มาก็น้อยเหลือเกินก็เลยต้อง
    มั่วบ้าง อิอิและมั่วได้อีกนะ
    ให้อภัยสักครั้งนะ รีดเดอร์ทุกท่าน
    ขอบคุณสำหรับทุกๆเมนต์รู้สึกดีมากมาย
    ข้าพเจ้าจะพยายามต่อไป
    เมนต์กันเยอะๆเด้อ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×